ว่าด้วยเรื่องของกระบวนการพัฒนาสมอง
ในเวทีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ระหว่างคุณครูปฐมวัยและผู้เลี้ยงดูเด็ก
ที่จัดขึ้นโดยมูลนิธิรักษ์เด็ก
ประเด็นที่เป็นหัวใจของการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ในครั้งนี้ จะโฟกัส
อยู่ที่ การจัด“กระบวนการการเรียนรู้”
ที่เอื้อต่อการพัฒนาสมองเด็ก
การทำให้สมองเรียนรู้ได้ดีในห้องเรียน
คือ การลดความเครียดในห้องเรียนให้มากที่สุด
ดังนี้
เพราะฉะนั้น ครู พ่อแม่
ต้องนึกตลอดเวลาว่า สมองเด็กกำลังเจริญเติบโต และต้องคำนึงถึงว่า
เด็กต้องใช้เวลาอยู่กับครูนานมากกว่าพ่อแม่ ซึ่งแสดงว่า
สมองส่วนใหญ่ล้วนแต่มีผลจากครู และคำนึงว่า
สมองเด็กต้องการหาสิ่งใหม่ๆ ประสบการณ์ใหม่ๆ มาเรียนเสมอ
ต้องการตัวกระตุ้น แต่ไม่ใช่วิชาการมากมายซ้ำซากเกินไป
จนทำให้เด็กมีความทุกข์ โดยให้ความรู้เฉพาะที่ใช้ได้ประโยชน์จริงๆ
ไม่ซ้ำๆซากๆ ต้องมีความพอดีในการให้ความรู้เด็ก การทำกิจกรรม
การออกกำลังกาย และการพักผ่อน และเราต้องดูสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะ
อารมณ์ของครู/พ่อแม่
ที่จะมีผลต่อสมองเด็กและการเรียนรู้
จตุพร วิศิษฏ์โชติอังกูร
เอกสารประกอบการนำเสนอ “กระบวนการพัฒนาเด็กปฐมวัย
ในเขตพื้นที่อำเภอปางมะผ้า”
ประเด็น สมองกับกระบวนเรียนรู้
ภายใต้โครงการ
“เสริมสร้างความเข้มแข็งแก่โรงเรียนและชุมชนในการพัฒนาเด็กปฐมวัย”
ดำเนินการโดย
มูลนิธิรักษ์เด็ก (The Life Skills Development
Foundation)
สนับสนุนโดย บริษัทจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน และองค์การ
เชฟ เดอะ ซิลเดร็น (สหรัฐอเมริกา)
เอกสารอ้างอิงการเขียน :
สมองและการเรียนรู้,หมอชาวบ้าน ปีที่ ๒๗ ฉบับที่ ๓๑๗ กันยายน
๒๕๔๘,หน้า๒๕,สำนักพิมพ์หมอชาวบ้าน บจก.
***ภาพประกอบจาก http://www.siamza.com
ได้ความรู้ดีจัง ขอบคุณค่ะ
ช่วงหลังมาผมสนใจเรื่องราวของ "สมอง " การพัฒนาสมองเพื่อเป็นพื้นฐานของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในอนาคต คุณครูAW สนใจก็สามารถติดตามอ่านได้ในบนทึกที่ผมเขียนขึ้นมาบ่อยๆ อีก ๒-๓ วัน ผมจะเข้าร่วมการแลกเปลี่ยนเรื่อง "เทคนิคการเล่านิทานสำหรับเด็ก" หากมีเรื่องน่าสนใจจะนำมาแลกเปลี่ยนกันครับ...
บันทึกที่เกี่ยวกับการพัฒนาสมอง ที่ผมเคยเขียนไว้
ขอบคุณ คุณครู AW และ คุณ โอ๋-อโณ ครับ
...เพราะสนใจ ความมหัศจรรย์ของ "สมอง" แท้ๆเชียวครับ เลยทำให้ผมต้องค้นคว้า เรื่อง "การดูแลเด็ก" ไปโดยปริยาย เป็นโอกาสดีที่ได้เรียนรู้ พยายามจะหาเนื้อหา -ความรู้ ประเด็นดังกล่าวมาแลกเปลี่ยนสม่ำเสมอครับ
ตามมา ลปรร. อีกบันทึกนะคะ...พอดีเป็นประเด็นที่ดิฉันกับคุณ"ชายขอบ"ได้ร่วมกันศึกษาวิจัย...ภายใต้โครงการไตรภาคีร่วมพัฒนาสุขภาพชุมชน...เกี่ยวกับกระบวนการทางปัญญาของ"มนุษย์"...หากเมื่อได้เริ่มตั้งแต่วัยเด็กย่อมจะเป็นรากฐานที่สำคัญ...ได้ยิ่ง...
สิ่งสำคัญอย่างยิ่ง คือ ครูควรจะเข้าใจพัฒนาการทางเชาว์ปัญญาของเด็กและจัดสภาพสิ่งแวดล้อมของห้องเรียนให้นักเรียนมีโอกาสเรียนรู้ตามขั้นพัฒนาการเชาว์ปัญญาของตน หรือใช้วิธีการที่จะใช้เป็นเครื่องมือในการที่มีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมกับวัยเด็กจะสามารถเรียนรู้ได้
วิธีการที่ผู้เรียนใช้เป็นเครื่องมือในการค้นพบความรู้ขึ้นกับขั้นพัฒนาการของผู้เรียน
ซึ่งคล้ายคลึงกับขั้นพัฒนาการทางเชาว์ปัญญาของพีอาเจต์ขั้นพัฒนาการที่บรูเนอร์เสนอมี
3 ขั้น คือ Enactive, Iconic, Symbolic
ฉะนั้นวิธีการที่ผู้เรียนใช้เป็นเครื่องมือในการค้นพบความรู้
แบ่งออกเป็น 3 วิธี ดังต่อไปนี้
1. วิธีการที่เรียกว่า เอนแอคทีป
(Enactive Mode)
ซึ่งเป็นวิธีการที่มปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม
โดยการสัมผัสจับต้องด้วยมือผลักดึง
รวมทั้งการที่เด็กใช้ปากกับวัตถุสิ่งของที่อยู่รอบๆตัว
ข้อสำคัญที่สุดก็คือการกระทำของเด็กเอง
2. วิธีการที่เรียกว่า ไอคอนนิค
(Inconic Mode)
เมื่อเด็กสามารถที่จะสร้างจินตนาการหรือมโนภาพ(Imagery) ขึ้นในใจได้
ก็จะสามารถที่จะรู้จักโลกโดย Inconic Mode
เด็กในวัยนี้จะใช้รูปภาพแทนของจริง
โดยไม่จำเป็นจะต้องแตะต้องหรือสัมผัสของจริง
นอกจากนี้เด็กจะสามารถจะรู้จักสิ่งของจากภาพ
แม้ว่าจะมีขนาดแะสีเปลี่ยนไป เด็กที่มีอายุประมาณ 5 – 8 ปี จะใช้
Inconic Mode
3. วิธีการที่ใชสัญลักษณ์ หรือ
Symbolic Mode วิธการนี้ผู้เรียนใช้ในการเรียนรู้
เมื่อผู้เรียนมีความสามารถที่จะเข้าใจสิ่งที่เป็นนามธรรม
หรือความคิดรวบยอดที่ซับซ้อนและเป็นนามธรรม
จึงสามารถที่จะสร้างสมมุติฐาน
และพิสูจน์ว่าสมมุติฐานถูกหรือผิดได้
บรูเนอร์กล่าวว่า
แม้ว่าวิธีการของผู้เรียนใช้เป็นเครื่องมือในการเรียนโดยการค้นพบจะมี
3 วิธี และขึ้นอยู่กับวัยของผู้เรียนก็ตาม
แต่ในชีวิตจริงไม่ได้หมายความผู้ใหญ่จะพ้นจากการคิดขึ้น Enactive
หรือขั้น Iconic
อย่างเด็ดขาดเพียงแต่ว่าผู้ใหญ่จะใช้สัญลักษณ์เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้มากขึ้น
การเรียนทักษะบางอย่าง เช่น การขับรถ ผู้เรียนยังจะต้องลงมือทำ
และมีประสบการณ์เหมือนขั้น Enactive
ขอบคุณ Dr.Ka-poom+คุณ"ชายขอบ"
สองแรงแข็งขัน ช่วยกันให้ข้อเสนอแนะดีๆ ครับ ข้อเสนอแนะ/ข้อแลกเปลี่ยนที่น่าสนใจเหล่านี้ เราจะนำเข้าไป ในเวทีของการพัฒนาศักยภาพพ่อแม่อาสา คุณครูปฐมวัย และผู้เลี้ยงดูเด็ก ที่ทาง มูลนิธิรักษ์เด็ก จัดขึ้นที่อำเภอปางมะผ้า ในอีกไม่กี่วันนี้
ขอขอบคุณมากครับ