ชอบมาก กับประโยคนี้การบูรณาการในธรรมชาติเกิดมานานแล้ว เมื่อไหร่ถึงเวลาบูรณาการนโยบาย นั่นน่ะสิค่ะเมื่อไหร่กัน?????
สวัสดีครับพี่บ่าว
บูรณาการมีหลายระดับครับ
มีตั้งแต่นำอย่างน้อยสองปัจจัยเข้ามาทำให้มันกลมกลืนกัน
โดยเน้น
การแก้จุดโหว่ ที่มีทุกอย่างเกือบครบ
ขาดเพียงหนึ่ง
แต่หนึ่งที่เอามาต้องสอดประสานกับที่มีอยู่เดิม
อันนี้ไม่ยากเท่าไหร่
หรือ
การน้ำสองสิ่งเข้ามารวมกัน ผสมผสานกันให้เข้ากัน เพื่อเดินไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้
อันนี้แหละยาก
เพราะต่างฝ่ายต่างมีเป้า
ที่อาจต่างกัน
มีทางเดินที่ต่างกัน
แล้วจะให้มารวมกัน ยากส์ จริงๆ
แล้วจะยิ่งยาก ถ้ามีหลายภาคี
อีกแนวหนึ่งคือการคิดแบบบูรณาการ ในคนหนึ่ง ที่ต้องพยายามสอดประสานหลักการต่างๆ พร้อมๆกัน
อันนี้ก็ยากพอสมควร ถ้าไม่ชัดเจนในเนื้อหา แต่จะง่าย ถ้าชัด
แบบที่ ๔ ซับซ้อนขี้นไปอีก
ที่แต่ละคนต้องบูรณาการของตัวเองให้ได้ ก่อนจะไปบูรณาการกับคนอื่น และต้องไปบูรณาการเชิงวิธีการและเป้าหมายอีก
ซึ่งจะซับซ้อนในแต่ละขั้นตอน และมีหลายขั้นตอนที่จะต้องบูรณาการเชิงเวลา และเชิงสถานที่ เชิงทรัพยากร เชิงสังคม เชิงเป้าหมายการพัฒนาอีกหลายชั้น
และบางทีต้องทำพร้อมๆกัน
ต้องการทั้ง harddisk ram cpu ที่เข้ากันพอดี
ขัดกันก็ไม่ได้
นี้แหละที่ว่าบูรณาการมันยาก
ในธรรมชาติใช้เวลา และเป้าหมายร่วมเดียวกัน
แต่เราคิดว่าไม่มีเวลาและเป้าหมายแฝงต่างกันครับ
เลยยากกำลังยี่สิบ ครับ
สวัสดีครับคุณนารี
สวัสดีครับคุณครูแอน
สวัสดีครับท่าน อ.แสวง
สวัสดีครับน้องซาน
....
แปลเป็นภาษาบ้าน ๆ ว่า
"ควรทำไม่เกิน 2 คนเสมอ"
สวัสดีครับท่านอาจารย์
สวัสดีค่ะคุณเม้ง
เบิร์ดชอบความเห็นของทุกๆท่านในบันทึกนี้ คม ชัด ลึก ้ดีเลยล่ะค่ะ โดยเฉพาะของ อ. แสวงและ อ. wwibul
" บูรณาการ " ก็คงเหมือนคำอีกหลายๆคำที่กลายเป็นมนตราในการท่องบ่นเพื่อความดูดีจนลืมคิดถึงรากฐานและ " ความจำเป็น " ที่ต้องมีคำๆนี้
เบิร์ดอยากจะชวนตั้งคำถามว่า " บูรณาการทำไม ? "... " ทำไมเราต้องสนใจศึกษา ค้นคว้าทักษะเกี่ยวกับการบูรณาการ ? " ..และ " เราจะคิดและทำโดยไม่บูรณาการได้หรือไม่ ? "
หากเรายังตอบไม่ได้ว่าจะเรียนรู้และฝึกฝนทักษะ " บูรณาการ " ไปทำไม .. และตัวเราเองยังมองไม่เห็นความหมาย และความสำคัญที่แท้จริง การบูรณาการก็จะเป็นเพียงความรู้ที่ได้แต่พูดออกมาแต่ไม่สามารถนำไปปฏิบัติได้..
ในระยะเป็นสิบปีที่ผ่านมาเบิร์ดสังเกตุเห็นว่าสังคมไทยจะมีกระแสความสนใจเป็นบางเรื่อง และเป็นพักๆเหมือนเป็นแฟชั่นและหายไปโดยที่ยังไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่ำมาพูดกันอย่างแท้จริงได้ เช่นเรื่องการทำงานเชิงพหุภาคี การสร้างประชาคม การพัฒนาทุนทางสังคม แม้กระทั่งงานวิจัยเครือข่ายต่างๆ ทำให้เบิร์ดเป็นห่วงว่าความสนใจต่อเรื่องการบูรณาการก็อาจจะเป็นเช่นนั้นเหมือนกันน่ะค่ะ..
สำหรับตัวเบิร์ดเอง เบิร์ดมองว่าเคล็ดลับแห่งการบูรณาการอยู่ที่กระบวนการพัฒนาศักยภาพภายในตัวตนของเรา เป็นเรื่องพัฒนาจิตให้เป็น มนุษย์ที่แท้ น่ะค่ะ เพราะมนุษย์นี่เองคือแหล่งกำเนิดของการบูรณาการ เนื่องจากการบูรณาการเป็นระบบธรรมชาติ มนุษย์ก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ และมนุษย์กับโลกก็ไม่ได้แยกออกจากกัน..
วันนี้เริ่มตื้อๆ แล้วจะเข้ามาต่อใหม่ค่ะ..ขอบคุณนะคะที่พูดถึงเรื่องนี้้เพราะอึดอัดมานานเหมือนกัน
สวัสดีครับคุณเบิร์ด
สวัสดีค่ะคุณเม้ง
บูรณาการจริงๆ แล้วต้องจัดการในตัวเองครับเป็นสิ่งเริ่มต้น เพราะหากบูฯ ในตัวเองไม่ได้แล้วจะไปบูฯ ข้างนอกก็อาจจะลำบากครับ
เป๊ะค่ะ..แจ็คพอตแตกเลย
งั้นเบิร์ดเสนอมุมมองในสิ่งที่เบิร์ดเห็นจากการบู ฯ ทั้งหลายที่ผ่านมาให้ทัศนานะคะ
เบิร์ดสังเกตเห็นว่า " ภาพของการบู ฯ " ในสมองของคนส่วนหนึ่งนั้นมีลักษณะเป็นภาพของ " การนำชิ้นส่วนต่างๆมากองรวมกันแล้วก็คิดว่าชิ้นส่วนที่กองรวมกันนี้จะกลายเป็นเครื่องจักรที่ทำงานได้ "้ น่ะค่ะ และคนที่คิดอย่างนี้มักจะนิยมเอาหน่วยงานต่างๆมาประชุมกัน แล้วเรียกว่า " ทำงานอย่างบู ฯ " ซึ่งแท้จริงแล้วถึงแม้ชิ้นส่วนของเครื่องจักรนั้นจะครบทุกชิ้น แต่ชิ้นส่วนเหล่านั้นไม่ได้มีการจัดระบบความสัมพันธ์ระหว่างกันและกัน ไม่ได้เชื่อมโยงปฏิสัมพันธ์ให้เกิดคุณภาพใหม่ของการปฏิบัติ ชิ้นส่วนเหล่านั้นก็เปรียบเสมือนกองของเศษเครื่องจักรที่ไม่ทำงานนั่นแหละค่ะ
มาความคิดที่สองเกี่ยวกับการบู ฯ กันค่ะ มีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่มองว่าการบู ฯ จะเกิดขึ้นหลังจากนำชิ้นส่วนต่างๆมาประกอบกันเป็นเครื่องจักร ที่สามารถขับเคลื่อนให้ทำงานได้ เหมือนการประกอบรถยนต์น่ะค่ะ เอาพวงมาลัย เกียร์ เพลา เครื่อง ฯลฯ มาประกอบกัน ซึ่งเป็นภาพของการบู ฯ แบบกลไกที่ไม่มีชีวิต เป็นภาพของระบบที่มีลักษณะจำกัด ปรับตัวเองไม่ได้ เรียนรู้ที่จะพัฒนาตนเองไม่ได้่ ก็รถยนต์แม้จะประกอบจนวิ่งได้แต่ก็เป็นการบูรณาการแบบสถิตย์นิ่งนี่คะ ไม่มีชีวิต ไม่มีการปรับตัวให้สอดคล้องกับสังคมไทยและสังคมโลกที่เคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา
ภาพ 2 ภาพนี่จะเป็นภาพที่อยู่ในความคิดของคนส่วนใหญ่มากๆเลยล่ะค่ะ เพราะเราจะอยู่ภายใต้กระบวนทัศน์แบบเก่่าที่มองปัญหาแบบแยกส่วน
แต่ถ้าเราบู ฯ แบบระบบที่มีชีวิตล่ะคะ จะเป็นยังไง ?
เป็นแบบที่คุณเม้งตอบไงคะ ..เริ่มที่ตัวเรา.. เอาให้เห็นชัดเลยนะคะ..เรามาดูจากการงอกของเมล็ดพืชกันค่ะ ( คุยกับนักสร้างภาพจำลองของต้นไม้ก็ต้องเอาแบบนี้แหละค่ะ )
เมล็ดพืชเล็กๆย่อมไม่สามารถงอกงามได้ตามลำพัง การงอกของเค้าต้องอาศัยสภาพแวดล้อมที่ดำรงอยู่ด้วย เช่น ดิน น้ำ อากาศ แสง และแร่ธาตุต่างๆ ตัวเมล็ดเองมีหน้าที่เป็น " แหล่ง " ( Place ) ที่เป็นองค์รวมให้เกิดการบูฯของการเจริญเติบโต
เมื่อเมล็ดนี้เริ่มผลิดอก ออกผล เป็นต้นไม้ เมล็ดก็เป็น " ผู้จัดการ " ( organize ) ให้เกิดกระบวนการเจริญเติบโต ( Generate Growth ) เช่นเดียวกับระบบชีวิตที่มีวิวัฒนาการอย่างต่อเนื่องไงคะ..
การบูรณาการจึงเป็นเรื่องของการ " รู้ลึกซึ้ง " ถึงสรรพสิ่งที่เป็นพลวัตร เป็นเรื่องของระบบชีวิตที่ไม่มีวันหยุดนิ่ง แบบที่คุณเม้งว่าไว้นั่นแหละค่ะ..ตัวเราคือผู้เชื่อมโยงกับสรรพสิ่งทั้งตัวเรา คนรอบข้าง สังคม ธรรมชาติ ..และจักรวาล เราจึงต้อง " เรียนรู้ " ในการเดินทางเข้าสู่ตัวตนของเราอย่างแท้จริง
เอาแค่นี้่ก่๋อนนะคะ วันนี้มึนมาหลายเรื่องเลยค่ะ แต่สนุกกับบันทึกนี้จริงๆ ขอบคุณมากๆนะคะที่เขียน
สวัสดีครับคุณเบิร์ด