หนึ่งในความประทับใจ ระหว่างอยู่ในเยอรมนี


มีเพื่อนบ้านที่ดี ไม่ต้องสร้างรั้วบ้าน

เมื่อประมาณปี 2003 ผมได้รู้จักเด็กหนุ่มเยอรมันรุ่นน้องคนหนึ่ง ส่งเมล์มาหาผม เด็กคนนี้เป็นเด็กในเมืองชเวทซิงเง่น (เมืองขึ้นชื่อ หน่อไม้ฝรั่ง ไม่ไกลจาก ไฮเดลแบร์ก) เด็กหนุ่มคนนี้ชื่อโทมัส อัลเบร็คท์

วันที่ผมได้รับอีเมล์จากโทมัส เค้าอยากเจอ อยากนัดคุยมากๆ ผมก็เลยเชิญเค้ามาที่ทำงานที่ผมทำวิจัย แล้วได้ถกคุยถึงปัญหาที่เกิดขึ้นอยู่นานเกือบสองชั่วโมงแลกประสบการณ์ และโครงการที่เค้ากำลังทำและกลุ่มบริจาคที่นักเรียนไทยที่นี่ทำกันอยู่

โทมัสเล่าให้ฟังว่า โทมัสได้ไปเที่ยวเมืองไทย แล้วไปเจอพี่คนหนึ่งชื่อว่า ครูเหงา หลายๆคนอาจจะรู้ครับ ครูเหงาเป็นพี่คนหนึ่งที่จัดกิจกรรมเกี่ยวกับเด็กทางแถบภาคเหนือหรือแถบแม่สาย โทมัสเล่าให้ฟังว่า พอไปที่แม่สาย แล้วเค้าไปเจอกลุ่มของเด็ก เหล่านั้นที่มาอยู่ร่วมกันในโครงการที่ครูเหงาจัดขึ้นมา โทมัสบอกผมว่า เค้ารู้สึกว่าเค้ามีความรู้สึกอบอุ่นมาก เหมือนว่าที่นั่นเป็นบ้านของเค้า เค้ารู้สึกว่าอยากจะช่วยเด็กๆ เหล่านั้นมาก เลยคิดอยู่ว่าจะช่วยได้อย่างไรบ้าง หลังจากนั้นโทมัสก็กลับมาที่เยอรมัน แล้วได้ตั้งโครงการหนึ่ง พร้อมเว็บไซต์ที่ชื่อ โฮพฟอร์ไลฟ์ www.hopeforlife.de เค้าเลยได้รับบริจาคเงินจากผู้ใจบุญจากคนในเยอรมัน แล้วเอาเงินที่ได้ไปช่วยกันสนับสนุนโครงการดูแลเด็กที่แม่สาย ไม่ว่าจะเป็นเด็กกำพร้าหรือมีปัญหาเรื่องยาเสพติดและปัญหาต่างๆ ลองเข้าไปอ่านในเว๊บไซต์ของโทมัสได้ครับ ตอนนี้โทมัสก็ได้ทำโครงการนี้ไปหลายปีเหมือนกันครับ

 www.hopeforlife.deเมื่อปีก่อน ได้มีโอกาสเจอกับโทมัสและน้องชายของเค้า เลยนัดมาทานข้าวกันที่ร้านเชียงใหม่ในเมือง แล้วคุยแลกเปลี่ยนกันเรื่องโครงการและความก้าวหน้าของโครงการที่เค้าทำอยู่และโครงการบริจาค และแผนในอนาคต โทมัสบอกว่า ปีก่อนหน้านั้นหลังจากเค้าเรียนจบ เค้าก็ไปอยู่ที่แม่สายเก้าเดือน แล้วมาอยู่เยอรมันสามเดือนเพื่อทำการประชาสัมพันธ์โครงการและหาเงินเพื่อเอากลับไปเมืองไทย ไปสร้างเป็นโรงเรียน หรือสถานฝึกอาชีพเสริม เช่นสอนทำขนม โดยเชิญคนเยอรมันส่วนหนึ่งไปร่วมกิจกรรม และได้รับเงินสนับสนุนจากองค์กรต่างๆ ในเยอรมัน ไม่ว่าจะเป็นธนาคาร หรือองค์กรอื่น ซึ่งตอนนี้คิดว่าโทมัสก็คงอยู่ที่เมืองไทยกับเด็กๆ และโครงการที่เค้าทำ ไม่ได้แค่เมืองไทย แต่จะรวมไปถึงส่วนหนึ่งในพม่า และกัมพูชา ด้วย

ลองคลิกเข้าไปดูนะครับ ไปดูกิจกรรมที่เค้าทำนะครับ เวลาผมคิดถึงเด็กหนุ่มคนนี้ ผมมักจะคิดว่า เอ นี่เราเป็นคนไทยแท้ๆ แล้วเด็กคนนี้ เป็นคนเยอรมันแท้ๆ หัวใจเค้าเบอร์อะไรเนี่ยถึงได้มองเห็นปัญหาและเอาตัวเองเข้าไปช่วย และทุ่มเทมากกว่าเราเสียอีก

ที่ผมเขียนมาเพียงแค่จะยกตัวอย่างให้เห็นเฉยๆ นะครับ หากเราช่วยกันได้ก็มาช่วยกันพัฒนา สนับสนุนกันเถิดครับ ยังมีปัญหาอีกมากมายครับ ที่เกิดจากภัยธรรมชาติที่เราแก้ไม่ได้ ทำได้แค่เตือนภัยและหลบภัยเท่านั้น หากหลบไม่ทันคนรักก็จากเราไป แล้วยังมีปัญหาอีกมากมายที่เกิดจากคนสร้างขึ้น แก้กันไม่ไหว แต่เราช่วยได้เท่าที่เราช่วยได้ เท่าที่เราพอมีแรง

ชีวิตคนเรา สั้นนิดเดียว ประกอบด้วย ดิน น้ำ ลม ไฟ และจิต เท่านั้น วันหนึ่งส่วนประกอบห้าอย่างนี้ก็แยกแตกสลาย รอวันมารวมกันจนเกิดเป็นสิ่งมีชีวิตใหม่อีกที เมื่อไหร่ไม่รู้ครับ

ขอบคุณมากครับ

 เม้ง

ปล. ผมแอบจำคำพูดดาบตำรวจ วิชัย (คนที่ปลูกต้นไม้เป็นล้านต้น แถบอีสาน) มาว่า หลักโครงการแผ่นดินธรรมคือ ความเดือนร้อนของเพื่อนบ้านคือปัญหาของเรา  มีเพื่อนบ้านที่ดี ไม่ต้องสร้างรั้วบ้าน  เอาไว้ลองคิดกันเล่นๆ ครับ

หมายเลขบันทึก: 77092เขียนเมื่อ 8 กุมภาพันธ์ 2007 10:51 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 17:19 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (10)

ขอบคุณครับ
   เข้ามาอ่านด้วยความสุข  และความหวังว่าเรื่องแบบนี้น่าจะถือเป็น "ข่าวประเสริฐ" ที่คนรุ่นใหม่ ได้อ่าน โดยเฉพาะคนไทย  ที่กำลังปล่อยวันเวลาให้ล่วงไปอย่างไร้ค่า  ติดหล่ม จมปลัก ของกิเลส  ยึดติดอยู่กับสิ่งยั่วยุที่โลกทุนนิยม  บริโภคนิยม จัดสรรไว้ให้ เหมือนแมลงเม่าบินเข้ากองไฟอยู่วันแล้ววันเล่า
   ดีใจที่มี Blogger ชื่อ นาย สมพร ช่วยอารีย์ ในโลก GotoKnow ครับ

ขอเติมอีกนิดครับ
   ติดใจความคิด มุมมองของของท่านมาก เข้ามาอ่านบันทึกใน Blog นี้เป็นครั้งแรก ก็นำเข้า Planet ชื่อ ลานประสบการณ์ ของผมทันทีครับ

กราบเรียน คุณแฮนดี้ ที่เคารพครับ

  ขอบคุณมากนะครับ ที่เพิ่มผมเข้าไปในลานประสบการณ์ของท่าน ไว้วันหลังผมจะเขียนเรื่องใหม่ที่อยากจะเล่าให้อ่านกันถึงกิจกรรมที่ทำกันยามอยู่ห่างไกลประเทศไทยเพื่อสนับสนุนเด็กไทยนะครับ ตั้งชื่อโครงการว่า โครงการบริจาค สำหรับจะบริจาคอะไรนั้น ลองติดตามไปอ่านหลักการคร่าวๆได้ที่นี่ ครับ  โครงการบริจาค เป็นแค่เพียงเทียนดวงหนึ่งที่ช่วยส่องให้กับการศึกษาไทยและเด็กไทยครับ

แล้วว่างๆ ผมจะเข้าไปเยี่ยมบล็อกของคุณแฮนดี้อีกครับ

ขอแสดงความนับถือ

สมพร

  • ดีใจที่พบบันทึกดีๆแบบนี้ครับผม
  • ขอให้มีความสุขกับการทำดีนะครับ

สวัสดีครับ คุณขจิตที่เคารพ

   ขอขอบคุณมากครับ สำหรับความเห็น กำลังใจและเพิ่มเข้าไปในแพลนเน็ตนะครับ ผมได้เพิ่มโครงการที่พวกกลุ่มนักเรียนไทยในเยอรมันทำเกี่ยวกับการศึกษา โดยเป็นเพียงเทียนหนึ่งดวง เป็นเทียนที่สองแสงสว่างได้เพียงเล็กน้อย ให้กับน้องๆ ม.ต้นทางภาคอีสานตอนล่างนะครับ www.schuai.net

ขอบคุณมากๆนะครับ

สมพร

ขอบคุณสำหรับบันทึกดีๆนี้ค่ะ รู้สึกว่าเราจะมีพันธมิตรที่เป็นชาวต่างชาติในเรื่องแบบนี้ไม่ใช่น้อยนะคะ เท่าที่เคยพบทุกคนทุ่มเทมากกว่าเราๆคนไทยด้วยกันจริงๆ มีความรู้สึกว่าพวกเรามักจะรอจนกว่าตัวเองจะมีความมั่นคงในชีวิต (ด้วยปัจจัยสารพัด) ก่อนที่เราจะคิดช่วยคนอื่น ในขณะที่คนต่างชาติเหล่านี้มักจะเลือกทำอะไรแบบนี้หลังจากหรือตอนที่เขามีแรงเยอะๆ ความสุขของคนกลุ่มนี้ ดูเหมือนจะอยู่ที่การได้ทำให้ชีวิตมีคุณค่าในปัจจุบัน มากกว่าจะคิดถึงอย่างอื่นของตนเอง ว่าไปก็เป็นปรัชญาชีวิตที่ดีนะคะ เพราะเราไม่รูว่าพรุ่งนี้ในชีวิตของเราจะเกิดอะไรขึ้น

สวัสดีครับ คุณโอ๋-อโณ

    ขอบคุณมากครับ สำหรับข้อคิดเห็นเพิ่มเติมครับ ใช่แล้วนะครับ หากเรามัวแต่จะค่อยทำเมื่อพร้อม แล้วไม่รู้เมื่อไหร่เราถึงจะพร้อม หากเราพร้อมดังที่เราเคยตั้งไว้แต่เมื่อเวลานั้นมาถึงเราก็อาจจะไม่พร้อมในเวลานั้นอีกเพราะความต้องการเราไม่สิ้นสุดก็จะไม่ได้ทำครับ แต่หากเราคิดว่าเราช่วยได้ในยามที่เราพอจะช่วยได้ ไม่ว่ายามไหน เราจะช่วยเท่าที่เราช่วยได้ ทำเท่าที่เราทำได้ แล้วเราจะได้ทำอะไรมากมาย เพราะหากเราช่วยกันละเล็กละน้อยทีมเล็กๆ เป็นทีม และต่อเนื่องแล้ว รับรองว่าสิ่งดีๆก็จะเกิดครับ พลังก็จะเกิดครับ

เหมือนเราสอนเด็ก ป หนึ่ง แล้วเราถามว่า จำนวนที่มากที่สุดคืออะไร พอเด็กขึ้น ป สอง เราถามคำถามเดิมอีก แล้วถามไปเรื่อยๆ เราจะพบกว่าสิ่งที่เด็กตอบ จะได้ค่ามากกว่าหรือเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มันเหมือนกับว่าสิ่งนั้นๆ เราจะค้นและเจอมากขึ้นใหญ่ขึ้น หากเราไม่รู้ว่า อะไรแค่ไหนคืออะไร บางที่ก็เกิดปัญหาเช่นกัน

ผมชอบคำพระที่ท่านพูดว่า หลับเดียว อิ่มเดียว

ขอบคุณมากครับ มีอะไรเพิ่มเติมเขียนไว้นะครับ

สมพร

    เห็น "น้องบ่าว" และ "น้องสาว" เข้ามาแจมและต่อยอดความคิด อดไม่ได้ ขอเพิ่มอีกนิดว่า เรื่องจะช่วยทำอะไร เมื่อไหร่นั้น  อยากยกตัวอย่างว่าพระที่สอนธรรมะ ต้องบรรลุนิพพานก่อนหรือจึงจะสั่งสอนคนอื่นได้ ก็เปล่าเลย  ดังนั้นขณะที่ทุกคนกำลังเดินไปข้างหน้า และหันหน้าไปทางเดียวกันแล้ว การช่วยเหลือเกื้อกูลก็มีให้กันได้ โดยไม่ต้องรอถามว่าใครถึงไหนแล้วมิใช่หรือ

         ชื่นชมในน้ำใจของโทมัส ที่มีต่อผู้ด้อยโอกาสและเห็นด้วยกับคุณโอ๋-อโณ รู้สึกว่าเราจะมีพันธมิตรที่เป็นชาวต่างชาติในเรื่องแบบนี้ไม่ใช่น้อยนะคะ เท่าที่เคยพบทุกคนทุ่มเทมากกว่าเราๆคนไทยด้วยกันจริงๆ  แต่ต่อไปคงได้เห็นการแบ่งปันความสุขให้กันและกันมากขึ้น เห็นได้จากการช่วยเหลือเกื้อกูลระหว่าง ชาวGotoknow กำลังทำอยู่และจะค่อยๆขยายวงกว้างออกไปเรื่อย

               เหมือนกันกับที่นักเรียนบ้านเม็กดำได้รับความกรุณาจากท่านอ.ขจิต  ฝอยทอง ช่วยมาจัดค่ายภาษาอังกฤษให้ เมื่อ วันที่16-18 ก.พ 50 โดยไม่รับเงินแม้แต่สตางค์เดียว นอกจากนั้นยังได้รับความกรุณาจาก

  • ท่าน JJ  และคณะ
  •  ครูบาสุทธินันท์ และคณะ
  • คุณแผ่นดินและคณะ

  ขอบคุณมากค่ะ

กราบขอบพระคุณทุกท่านนะครับ

      ใช่ครับ ตอนนี้มี ท่านผู้บริหารโรงเรียนแห่งหนึ่งในเยอรมัน ท่านมีภรรยาเป็นคนไทยแล้วกะว่า อีกสามสี่ปีข้างหน้า ท่านอยากจะไปอยู่ที่บุรีรัมย์ หลังจากเกษียณอายุราชการที่เยอรมัน ท่านเคยบริหารโรงเรียนแห่งนี้จนได้รับรางวัลที่ในปี 2004 ท่านโทรศัพท์มาหาผม และบอกว่า ท่านอยากจะช่วยสอนหนังสือ วิชาคณิตศาสตร์และฟิสิกส์ ในโรงเรียน ตั้งแต่ ป.5 ถึง ม.3 ในบุรีรัมย์ คือต้องการจะทำอะไรหลังเกษียณโดยท่านคงมีอายุประมาณ 65 ปี แต่ยังแข็งแรงและมีศักยภาพสูงมากๆ

   หากมีท่านผู้ใดคิดว่ามีความเป็นไปได้ก็คงดีครับ เช่นอาจจะมีโรงเรียนเปิดคอร์สพิเศษให้ท่านอาจารย์ผู้นี้ครับ ผมเองก็ไม่เคยไปที่อีสานหรือบุรีรัมย์เลยแม้ว่าจะสนับสนุนน้องๆในแถบอีสานก็จริงให้เรียน ม ต้นกัน แต่คิดว่าวันหนึ่งคงได้ไปดูและเยี่ยมดินแดนอีสานบ้างครับ

 ขอบคุณมากครับ

สมพร

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท