สวัสดีครับทุกท่าน
วันนี้มาเข้าสู่เรื่องเกี่ยวกับการศึกษาอีกนะครับ จากหัวเรื่องที่ว่า
มีลูกอยากให้เรียนกับครูเก่งๆ พอลูกเรียนเก่งๆ แต่กลับให้เรียนอย่างอื่น แล้วจะหาครูเก่งๆ ที่ไหนครับ
ประโยคนี้ จริงๆ ไม่ได้จะหมายความว่า การเป็นครูที่เก่งจะต้องเรียนเก่งนะครับ คุณครูเก่งคือ ต้องคิดเก่ง แนะเก่ง นำเก่ง ถ่ายทอดเก่ง โดยเฉพาะเรื่องของการถ่ายทอด เป็นสิ่งสำคัญมากๆ ครับ
ผมเคยถกเรื่องเหล่านี้ มานานและต่อเนื่องกับเพื่อนๆ อาจารย์ และหลายๆ ท่านจากอาชีพต่างๆ เรื่องที่มาของครู คุณครูในเมืองไทย มาจากไหน ใครอยากจะเป็นครู การอยู่รอดของคุณครู ทำไมคนเหล่านั้นต้องมาเป็นครู หากมีสาขาอื่นหรือมีทางเลือกอื่น จะมีคนอยากมาเป็นครูไหม ก่อนที่เราจะไปเลือกอาชีพที่ดี เราก็อยากจะเรียนกับคุณครูที่เก่งๆ หรือพ่อแม่ก็อยากจะให้เข้าสถาบันการศึกษาที่เลิศ อันดับหนึ่ง ชั้นนำในพื้นที่ ประจำ อำเภอ จังหวัด ภาค ประเทศ สาขา ทวีป โลก กาแลกซี่ (อิๆ ยิ้มๆ)
คุณมองประเด็นนี้อย่างไรครับ เรื่องการพัฒนาชาติ ต้องพัฒนาสมองของชาติ จะพัฒนาสมองของชาติ ก็ต้องพัฒนาครู
โอกาสในการกระจายการศึกษา ทั้งผู้ให้การศึกษาและผู้มารับการศึกษา หรือผู้ปฏิบัติการศึกษาแบบสามัญชน ในชุมชน เป็นอย่างไรบ้างครับ ในเมืองไทย
เชิญร่วมแสดงความเห็นกันไว้นะครับ
ขอบคุณมากๆ เลยครับ
เม้ง สมพร ช่วยอารีย์
ผมว่าจะไปเตะบอลซะหน่อยแต่คุณตั้งประเด็นได้ซะไม่อยากปิดคอม. ตรงเป๊ะกับความคิดผม หรือว่านี่คือการนั่งจิบชาคุยกันข้ามประเทศหรือนี่
ผมคิดทฤษฎีได้อันนึง เล่น ๆ นะ
ทฤษฎีเด็กหลังห้อง
* ตั้งแต่เล็กจนโตถ้าเราเปรียบสังคมเราเป็นห้องเรียน
* คุณว่าผู้คนที่คุณรู้จักเขาโตขึ้นเป็นไรกันบ้าง
* อาจเทียบเคียงไม่ได้ทุกกรณีนะแต่ว่าที่ผมคิด มันมีส่วนถูกไหม
1.เด็กหน้าห้องเรียนเก่งก็มักเป็นแพทย์ เป็นนักวิชาการใหญ่ ๆ
2. เด็กกลางห้อง มักเรียนทางสังคมทางปกครอง หรือศิลปะ การสร้างสรรค์ต่าง ๆ
3. เด็กหลังห้องเรียนมั่งไม่เรียนมั่ง เป็นเจ้าของกิจการใหญ่เพราะพวกนี้มักร่ำรวย แต่พวกไม่รวยเกเรด้วย พวกนี้หลายคนเป็นตำรวจนักเรียนพลแฮะ
4. พวกนักเลง ใช้อิทธิพล ก็มักได้เป็นผู้นำทางการเมือง เพราะเครือญาติครอบครัวเขามีพื้นฐานดี
พูดแบบทีเล่นทีจริงไปก็แล้วกันไม่มีอะไรยืนยันได้ เอาหนุก ๆ นะคุณ
แต่มันก็ตอบว่าทำไมคนเรียนเก่ง ๆ ไม่เห็นอยากเป็นครูเลยซักนิด ส่วนใหญ่สอบอะไรไม่ได้ถึงไปเรียนวิทยาลัยครูนะ สังคมตอนสิบกว่าปีที่แล้ว ก็คงไม่มีอะไรที่มากไปกว่าแรงจูงใจทางการเงิน และหน้าตาทางสังคมที่สะท้อนค่านิยมผู้คนแต่ละยุค แต่เชื่อเหอะไม่พ้นเรื่องเงินตรา และหน้าตา
ตอนนั้นผมอยากเป็นนักเรียนนายร้อยชิบเป๋งแต่พอพฤษภาทมิฬ ผม ไม่อยากเลย ผมอยากเป็นนักวิชาการเกษตรที่อยู่ในทุ่งในไร่กว้าง ๆ และคิดอยากพัฒนาการเกษตร แต่ถึงไงก็เหอะผมก็มีค่านิยมอยากทำงานราชการแบบที่พ่อผมปลูกความคิดมาแต่เกิดอยู่ดี แต่ตอนนี้ปัจจุบันผมจะเป็นอะไรก็ได้ที่ช่วยสังคมบ้าง ดูแลตัวเองได้ และผมจะกลับไปเป็นเกษตรกรตามอย่าง จิตวิญญาณของผมที่เคยอาศัยเกิดและโตกลางทุ่งนาและกลิ่นรวงข้าว
สวัสดีครับผม
สวัสดีครับ
ดี น้องบ่าวเม้ง
เด็กที่ดีในวันนี้ คือผู้ใหญ่ที่ดีในวันหน้า ถ้าเด็กผีๆบ้าๆ ก็จะเปง....มา ในวันต่อไป เอ้ยย เกี่ยวกันมั้ยนี่
ประชากรของประเทศเปรียบเสมือนฟันเฟืองที่คอยขับเคลื่อนประเทศให้ไปสู่ความเป็นเลิศ หากฟันเฟืองไม่สมบูรณ์ ไม่แข็งแรง ปล่อยให้สนิมมาเกาะกิน แถมยังไม่สามัคคีกันทำงาน หมุนกันไปคนละทาง แล้วประเทศจะเป็นอย่างไร ครูน่าจะเป็นส่วนหนึ่งของการรักษาและฟื้นฟูสภาพของฟันเฟืองเหล่านั้น คอยหยอดน้ำมัน คอยดูแลรักษาฟันเฟืองเหล่านั้นทำงานได้ดี
เพราะฉะนั้นการที่ใครจะทำอะไรกับสิ่งๆนั้นจะต้องมีความรู้เกี่ยวกับสิ่งนั้นอย่างดี มีเจตนาที่ดีในการกระทำ มีความหวังกับความสำเร็จของสิ่งที่กระทำ นั่นไม่ใช่รางวัลหรือสิ่งตอบแทน แต่เป็นความภาคภูมิใจจากผลของการกระทำ
ครูก็เช่นกันครับจะสอนใครต้องรู้ดีกว่าผู้เรียน ตอบปัญหาให้เขาได้ มีความหวังกับความสำเร็จของเขา สำคัญสุดคือมีจิตสำนึกที่ดีในการให้อย่างไม่หวังสิ่งใดตอบแทน
ครับเข้าเรื่อง
สวัสดีครับพี่บ่าว
สวัสดีค่ะ
มีคนอยากเป็นครูเยอะค่ะ แต่ปัญหาคือ ถ่ายทอดไม่เป็น ตอนที่พี่ เรียนอยู่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ม. 4 นะคะ ไม่ได้นินทาครูนะ มีอยู่คน พูดอมพะนำ วิชาพีชคณิต พูดอะไรก็ไม่รู้ตลอด นักเรียนไม่ค่อยเข้าใจ แต่ไปขวนขวาย ทำความเข้าใจเอง เอาเอง เอาตัวรอดกันไปได้
พอขึ้นม.5 อาจารย์คณิตศาสตร์ คนใหม่ สุดยอด เข้าใจหมดเลย การสอนต้องสอนเป็นด้วยนะ บางคน รู้มาก แต่สอนไม่เก่ง แล้วคณิตศาสตร์อยู่ที่ความเข้าใจนะ
อาจารย์คณิตศาสตร์เตรียมอุดม ไม่ให้ลูกพี่ท่องหนังสือก่อนสอบ 1 วัน ให้ดุหนังการ์ตูน หรือเล่นอะไรสนุกๆ วันสอบ หัวโล่ง จะทำได้เอง เพราะอาจารย์สอนไปหมดแล้ว ต้องทำได้ แต่อย่าหมกมุ่น ดูหนังสือเกินไป ลูกพี่เขาชอบคณิตศาสตร์มากเลย ได้ครูดี
สวัสดีค่ะคุณเม้ง...
จริงๆ ไม่ได้จะหมายความว่า การเป็นครูที่เก่งจะต้องเรียนเก่งนะครับ คุณครูเก่งคือ ต้องคิดเก่ง แนะเก่ง นำเก่ง ถ่ายทอดเก่ง โดยเฉพาะเรื่องของการถ่ายทอด เป็นสิ่งสำคัญมากๆ ครับ
ใช่ค่ะ ครูเก่งไม่จำเป็นต้องเคยเป็นคนเรียนเก่งมาก่อน เก่งปานกลาง...พอ...อาศัยว่าต้องเป็นคนใฝ่รู้ใฝ่เรียน โดยเฉพาะเทคนิคในการถ่ายทอดความรู้
เราเคยพบว่ามีครูที่เก่งมากในเรื่องหลักความรู้ แต่สอนไม่เป็นผลสำเร็จเพราะถ่ายทอดไม่เป็น อธิบายไม่รู้เรื่อง จัดกิจกรรมการเรียนรู้ไม่เป็น หนักไปกว่านั้นคือไม่เข้าใจและไม่เข้าถึงนักเรียนของเขาเอง
อาชีพครูเป็นอาชีพที่มีโอกาสสร้างบุญกุศลได้อย่างสูง เพราะอบรมสั่งสอนคนไม่รู้...ให้รู้...ด้อยปัญญา...ให้มีปัญญา แต่ก็เป็นอาชีพที่สร้างบาปได้หนักหนาสาหัสสากรรจ์เช่นเดียวกัน หากครูไม่ใส่ใจ ไม่จริงใจในอาชีพครู
มีคนบอกว่าทุกวันนี้ระบบทำให้คนเบื่อ ครูดี ๆ เขาเออรี่กันไปเยอะแล้ว และยังมีครูอีกส่วนหนึ่ง (ไม่อยากบอกว่าเยอะ เพราะไม่มีตัวเลขยืนยันได้แน่ชัด) อยากจะเลิกสอนไปก็มี แต่อาจป็นเพราะอายุยังไม่ถึงเกณฑ์เออรี่รีไทล์ หรือบางคนเกณฑ์อายุได้แล้ว แต่นึกว่าถ้าลาออกไป ลูกเต้ายังอยู่ในวัยเรียนยังต้องใช้เงิน ก็ทน ๆ อยู่ไปก่อน ออกไปก็ไม่รู้จะไปทำอะไรกิน กลุ่มนี้ก็จะสอนไปวัน ๆ ดันให้พัฒนากันอย่างไร...ก็ไม่แล้ว
หลายปัจจัยที่ทำให้คุณภาพการศึกษาตกต่ำ ครูเป็นปัจจัยสำคัญปัจจัยหนึ่งค่ะ ครูดี ๆ น้อยลง ก็ทำให้การสอนดี ๆ น้อยลง ส่งผลให้เด็กดี ๆ น้อยลงไปด้วยค่ะ
สวัสดีมากๆท่านเม้ง
ดีน้องบ่าว
เท่น้องว่ามาโถกต้องเลยพี่น้อง ไอเดียบรรเจิดจริงน้องบ่าวเรา
สวัสดีครับคุณ sasinanda
อีกหิด น้องบ่าว
น้องโร้จัก หนูนุ้ยคุ้ยข่าว หรือเปล่า
คนนี้การศึกษาไม่มากหรอกครับ แต่ทักษะเทคนิค วิธีการถ่ายทอดสุดยอด แม้หน่วยงานระดับจังหวัดยังเชิญไปเป็ยวิทยากรเกี่ยวกับทักษะในการถ่ายทอดอยู่เสมอๆครับ
น่าเสียดายคนที่มีความรู้ดี เยอะ ทั้งประสบการณ์ก็สูงแต่ถ่ายทอดไม่ได้เหมือนไม่มีสัญญาณดาวเทียม มันช่างน่าท้อใจแทนเขาเหล่านั้นจริงๆ
ขออภัยนะครับผมได้ไม่ได้นำครูบาอาจารย์มานินทาว่าร้าย เพียงอยากบอกว่าบางท่านสอนโดยให้ดูตามเอกสารแล้วบรรยายตามนั้น มุกก็ไม่มี เปรียบเทียบก็ไม่เป็น เพราะฉะนั้นท่านเหล่านั้นน่าจะผันตัวเองไปให้ตรงทางของตัวเองจึงน่าจะสร้างประโยชน์จากความสามารถของท่านให้เกิดประโยชน์สูงสุดนะครับ
ด้วยความเคารพ
แสงตะวัน
สวัสดีครับคุณปวีณา
สวัสดีครับคุณสิทธิรักษ์
สวัสดีครับพี่
สวัสดีครับพี่ปวีณา
สวัสดีครับคุณเม้ง เยอรมัน
สวัสดีครับคุณแท็ฟส์
สวัสดีครับน้องบ่าววีร์
สวัสดีครับคุณสะมะนึกะ
สวัสดีครับพี่เม้ง
สบายดีนะครับพี่
ผมคิดว่าครูอาจารย์นั้นไม่จำเป็นต้องเรียนเก่งครับ คนเราเรียนเก่ง ไม่ได้แปลว่าสอนเก่ง
คนที่สอนเก่งคือคนที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย แล้วไปหาคำตอบที่ถูกต้องพร้อมกับวิธีมาได้ครับ ผมคิดว่าคนพวกนี้น่าจะถ่ายทอดเก่งกว่าครับ ก็เพราะความไม่รู้เรื่องอะไรเลยนี่แหละครับ ที่ทำให้เขารู้ว่า แล้วนักเรียนจะไม่รู้เรื่องตรงไหน ในเมื่อตัวเองก็เคยไม่รู้เรื่องมาแล้ว
ผมเคยสอนเลขให้น้อง สอนให้ตายยังไง น้องผมก็ไม่เข้าใจ ในขณะที่ผมมองว่ามันง่ายนิดเดียว แต่ในขณะเดียวกัน ผมก็ไม่เคยมองมุมกลับครับว่า แล้วมันยากตรงไหนที่ทำให้น้องผมไม่เข้าใจ
ผมกำลังคิดต่อไปว่า เรื่องเงินและผลตอบแทนมีผลต่อการเป็นครูจริงๆหรือเปล่า
ปัญหานี้ไม่ได้เกิดเฉพาะที่เมืองไทยนะครับ หลายๆประเทศก็เกิด เรากำลังจะบอกว่าที่ญี่ปุ่น สิงคโปร์ เวียดนาม นั้นเงินเดือนครูนั้นมากเป็นระดับแนวหน้า ผมกำลังสงสัยว่าแล้วจริงๆ เงินและผลตอบแทนนั้นทำให้คนอยากเป็นครูกันจริงๆหรือเปล่า
แล้วถ้าเป็นเช่นนั้นจริง จิตวิญญาณของความเป็นครูนั้น จะไปอยู่ตรงไหนครับ อ้อ แล้วก็จิตวิญญาณความเป็นครูนั้นคืออะไรด้วยครับ
เรื่องครูกับการทำงานพิเศษที่ไม่ใช่การสอนและไม่ใช่การวิจัย ผมคิดว่าเราผูกคำพูดและความคิดนี้ไว้กับเงินเดือนและผลตอบแทนมากเกินไปครับ เราคิดว่า เพราะเงินเดือนน้อย ทำให้ครูต้องไปทำงานพิเศษและไม่มีเวลาเตรียมการสอน และอื่นๆ ทำให้คุณภาพของนักเรียนตกลง มันก็อาจจะจริงนะครับ แต่เราคิดว่าการขึ้นเงินเดือนครูแล้วจะทำให้ตรงนี้ลดไปหรือเปล่า ผมว่าตรงนี้มากกว่าที่น่าสนใจนะครับ ถ้าเงินเดือนเพิ่มขึ้น เราจะได้ครูที่มีคุณภาพจริงหรือเปล่า
สำหรับผมครูอาจารย์คืออาชีพที่น่ายกย่องเสมอครับ ผมคิดว่าครูคือคนที่สามารถสอนอะไรให้ได้มากกว่าในตำรา ผมว่าครูที่เก่งคือคนที่สามารถเชื่อมโยงความเป็นไปในโลกให้เข้ากับบทเรียนได้อย่างไม่น่าเบื่อ
คนที่เรียนเลขทุกคน คงไม่ได้จะมานั่งเขียนโปรแกรม เป็นวิศวกร
คนที่เรียนชีวะทุกคน ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นหมอ หรือเภสัชกร
คนที่เรียนฟิสิกส์ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไปทำงานด้านฟิสิกส์ เดี๋ยวนี้คนจบปริญญาเอกฟิสิกส์หรือคณิตศาสตร์ไปทำงานเป็น Quant (พวกนักวิเคราะห์การเงินก็เยอะแยะ)
ผมไม่ทราบจริงๆครับว่าความล้มเหลวนั้นมาจากไหน แต่ผมคิดว่าส่วนหนึ่งนั้นมาจากการที่เราสร้างหลักสูตรที่ไม่ได้เรื่องครับ เราไม่ได้สร้างหลักสูตรที่จูงใจ ให้เด็กไขว่คว้าไปหาคำตอบ
ผมไม่ทราบว่าพี่เคยอ่านหนังสือพวก management บ้างไหมครับ ที่จะมี teaser หรือพูดถึงเคสบางเคสที่สัมพันธ์กับบทเรียน แต่หนังสือเมืองไทยนั้นไม่มี
ทำไมเราต้องเรียนกฏของนิวตัน ทำไมเราต้องรู้เรื่องคลื่น แสง ทำไมเราต้องเรียนควอนตัม ในฟิสิกส์
ทำไมเราต้องเรียนจำนวนเฉพาะ หรม ครน ตรีโกณ ความน่าจะเป็น สถิติ เวคเตอร์ จำนวนเชิงซ้อน หรือแม้กระทั่งแคลคูลลัส ในคณิตศาสตร์
ถ้าผมไม่อยากเป็นวิศวกร ถ้าผมแค่อยากเป็นนักเศรษฐศาสตร์ นักธุรกิจ หรือ ผมแค่อยากเป็นเหมือนพ่อผม ทำไมผมต้องเรียนวิชาพวกนี้
ถ้าเราหาคำตอบพวกนี้ให้เด็กได้ ผมว่าเราก็สามารถที่จะสร้างหลักสูตรการเรียนการสอน ครูที่มีคุณภาพ ให้กับเด็กขึ้นมาได้ครับ สิ่งสำคัญที่สุด คือความอยากรู้ครับ ทำยังไง ให้เราสร้างหลักสูตรที่สอดคล้องกับความอยากรู้ของเด็กได้ หรือถ้าไม่ได้ ทำอย่างไรให้เรากระตุ้นให้เด็กอยากรู้ได้
อาชญากรรมที่เลวร้ายที่สุดในโลกคือการฆาตกรรมความอยากรู้อยากเห็นของเด็กครับ
หวัดดีครับทุกท่าน แล้วก็น้องบ่าว
ขอแจมด้วยหิดนึง-ขอบ่นด้วยคน
พอดีว่า อยู่คณะเกษตรฯ อยู่ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ตอนนี้อยู่มา 13 ปีแล้วครับ
มีอาจารย์บางท่านตอนที่ผมเข้ามา จบแค่ ป.ตรี หรือ ป.โท จากนั้นหลวงก็หาทุนให้ไปเรียนต่อ ส่วนใหญ่จะจบ เอก กันหมดแล้ว และเกินครึ่งหนึ่ง ไปจบมาจากนอกประเทศ ที่เรียนดังๆ ทังเพ เหมือนกับครูบ่าว ตอนนี้น่ะแหละ
แต่ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ 13 ปีล่วงมาแล้ว ไม่เคยเห็นว่า ลูกของอาจารย์เหล่านั้น จะให้ลูกมาเรียนในคณะฯที่พ่อ-แม่ เขาสอน เขาเป็น คณบดี (คณะ-บ่-ดี ตามภาษาอีสานก็คือคณะไม่ดี แหงะๆๆ) หรือเป็นผู้บริหารสายงานอื่นๆ เลย (หรือลูกไม่อยากมาเรียนก็ไม่ทราบได้)
จากนั้นพวกคณ(บ่ดี) หรือ ผู้บ่-ริหาร เหล่านั้นก็เที่ยวมาประกาศ ขอความร่วมมือให้หาเด็กมาเรียนกับมหาวิทยาลัยเราให้เย่อะๆ (555 ไม่รู้ไปขอความร่วมมือกับลูกตัวเองบ้างหรือปล่าว)
ในที่นี้ก็เห็นใจ และเข้าใจครูหลายๆท่านที่คิดดี ทำดีอยู่ครับ แต่ถ้าให้เข้มข้นมากกว่านั้น ก็ต้องกล้าที่จะพิสูจน์ให้คนอื้นเขาเห็นว่าตัวเองดีจริง จนกล้าที่จะเอาลูกตัวเองมาเรียนในสถานศึกษาที่ตัวเองอยู่ (พอดีว่า มหาวิทาลัยที่ผมอยู่ เป็นมหาวิทยาลัยบ้านนอกนะครับ ถ้าเป็น ม.ใหญ่ๆ ในเมืองหลวงอาจจะไม่เป็นแบบที่ผมว่าก็ได้ )
หรือว่าคนอื่นคิดว่าปรือครับ น้องบ่าวเม้งล่ะ ถ้ามีลูกจะใด้ลูกจะให้เรียนที่ไหนครับ
ครูดี ๆ หาอยากค่ะ หนูว่าจะตั้งชื่อครูใหม่ เป็นคนหาอยากค่ะ ส่วนมากจะเป็นพวกรับจ้างสอนมากกว่า เอาความคิดของตัวเองเป็นที่ตั้งคิดว่าตัวเองได้ตำแหน่งครูแล้วตัวเองเก่งทุกอย่าง ครูโง่เด็กก็โง่ทั้งชาติมาเป็นใหญ่เป็นโตก็ทำให้ประเทศชาติโง่ แต่ลองมามองครูที่เป็นครูจากการกระทำ การสอน การทำ หนูเจอได้เห็นได้ หนูอยู่กับครูหลายระดับค่ะ ตั้งแต่พ่อครู พี่ครู ลูกครู น้องครู น้องกิ่งค่ะ
ประเทศที่คนในชาติขาดมิตทางสังคม ก็จะคิดแบบผิวเผินอย่างนี้แหละ ตัดสินใจโดยเอาความคิดที่นึกว่าตนเองจะได้ประโยชน์ คนวางนโยบายก็ใจบอด มองไม่เห็นแนวทางสร้างชาติที่แท้จริง
สวัสดีครับน้องต้น
สวัสดีครับพี่แท็ฟส์
สวัสดีครับพี่แดง
พัทยา เพียพยัคฆ์ |
สวัสดีครับน้องกิ่ง
กราบสวัสดีท่านครู
สวัสดีครับพี่แท็ฟส์
สวัสดีค่ะคุณเม้ง
ครูที่เก่งในความเห็นของเบิร์ดคือต้อง " รู้..ทำ ( และ ธรรม )..นำ..แนะ " ได้ค่ะ..
.." ครู " เป็นอาชีพที่มีเกียรติ เป็นอาชีพที่คนยกมือไหว้..การดำรงสถานะของครูจึงต้องสมเกียรติ สมศักดิ์ศรี ซึ่งต้องกอรปไปด้วยภูมิรู้ ภูมิธรรม และภูมิฐาน ( มีหลักการ เชื่อถือได้ ) ....แต่เกียรติภูมิของครูปัจจุบันเริ่มเลือนหายไป ..การเลือนหายของสิ่งใดก็ตามมักเกิดจาก " ตัวของสิ่งนั้น " และ " สิ่งแวดล้อม ...การรู้จักตนเองตามความเป็นจริง พอเหมาะ พอประมาณน่าจะเป็นเกราะที่ดีที่สุดในการดำรงชีวิตอยู่ในปัจจุบัน..และ..การเชิดชูเกียรติครูในสังคมไทยก็เป็นสิ่งที่ควรกระทำ
การผลิตครู..ก็ต่างไปจากอดีต สมัยที่แม่เบิร์ดเป็นครูมี 2 แบบคือเป็นนักเรียนทุน ( ต้องเก่ง ) และไปสมัครสอบโรงเรียนฝึกหัดครู ..ซึ่งเป็นความหมายตรงตามตัวคือออกมาเป็น " ครู " จริงๆ ..เป็นการคัดคนที่ " ตั้งใจเป็นครู " มาตั้งแต่แรก..ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นสถาบันราชภัฏที่เบิร์ดมองไม่ออกว่าจะผลิต " ครู " แบบเดิมได้อย่างไร
คุณภาพคน..ก็ต่าง สมัยก่อนจบ ม.8 ( ม.6 ปัจจุบัน ) ก็เป็นครูสอนคนให้ได้ดีได้แล้ว เพราะเก่งวิชา มีคุณธรรมและเก่งการถ่ายทอด..ปัจจุบันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเหมือนกันค่ะ..
นโยบายก็ต่าง..เปลี่ยนไปมา..คนที่กำหนดนโยบายก็ไม่รู้จักการศึกษา..คนที่รู้จักการศึกษาก็ไม่กล้าคัดค้านนโยบาย..การเมืองในกระทรวงก็มากมาย ผู้บริหารเองก็หนีไม่พ้นวังวนของ " อำนาจ "..ก่อนเป็นกับหลังเป็นต่างกันเยอะเลยนะคะ..การเปลี่ยนแปลงโดยดึงการศึกษาออกมาเป็นอิสระน่าจะลองดูเหมือนกันค่ะ เพราะน่าจะง่ายกว่าการทำให้นักการเมืองรู้จักการศึกษา..แถมกระทรวงศึกษา ฯ ก็เป็นกระทรวงที่ไม่ค่อยมีใครอยากได้อยู่แล้ว อิ อิ ^ ^
ค่าตอบแทน..ควรให้ " อยู่ได้ "..ซึ่งข้อนี้มีหลายฝ่ายขยับกันอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น ( มีค่าตอบแทนครูและเปลี่ยนแท่งเงินเดือน ) คราวนี้คงขึ้นอยู่กับ " ครู " แล้วล่ะค่ะว่าจะอยู่อย่างไร ?
ระบบการศึกษา..โรงเรียน..เรามองข้ามกระบวนการเรียนรู้..เพราะเราสนใจสิ่งที่เด็กจะต้องเรียนมากกว่าสนใจว่าเด็กเรียนอย่างไร เค้ามีความสุขมั้ย..มันก็เลยมีสิ่งที่ต้องเรียนเต็มไปหมด มากซะจนเด็กไม่อยากเรียน เพราะฉะนั้นไม่ใช่ว่าเด็กไม่ต้องการความรู้ แต่ความสัมพันธ์ระหว่างครูกับนักเรียนมีปัญหา ! ...ปัญหาในโรงเรียนทุกวันนี้ไม่ใช่อยู่ที่ความรู้แต่เป็นการอยู่ร่วมกันที่เป็นโทษระหว่างครูกับนักเรียน..ครูก็ถูกกดดันด้วยนโยบายต่างๆ เด็กก็ถูกกดดันด้วยศักดิ์ศรีของโรงเรียน..โรงเรียนจึงเป็นที่ที่กดดันให้ผู้ที่อยู่ไม่มีความสุข
เกรด..เป็นตัวตัดสินชีวิต ?..การเรียนที่มุ่งความสำเร็จไปที่ตัวเลขเป็นการเรียนที่ดีที่สุดแล้วอย่างนั้นเหรอคะ ? ชีวิตประสบความสำเร็จได้ด้วยวิธีอื่นหรือไม่....มาดูตัวอย่างกันค่ะสมัยที่เราสอบเอ็นสะท้าน..พวกเก่งๆ เกรดสูงๆเป็นหมอ วิศวะ..พวกที่เรียนกลางๆไปรัฐศาสตร์ พอจบมา..หมอเป็นนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด คนที่เรียนกลางๆเป็นผู้ว่าราชการจังหวัด เวลายืนคนที่เรียนเก่งต้องอยู่หลังผู้ว่า ฯ นะเจ้าคะ..และคนที่เค้าไม่ได้เรียนแต่ทำธุรกิจประสบความสำเร็จในชีวิตก็มี เป็นนักการเมืองที่พวกเรียนเก่งๆต้องก้มหัวให้ก็มาก..เกรดสำคัญอย่างที่คิดจริงหรือ ?..เพราะฉะนั้นสอนที่กระบวนการได้มาซึ่งความรู้และจิตใจร่วมด้วยจะดีกว่าการสอนความรู้เพียงอย่างเดียวมั้ยคะ ? ( เหมือน ร.ร.สัตยาไสยของท่านไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม ที่คุณเม้งทำลิ้งค์มาให้เข้าไปอ่าน..ตอนนี้เห็นมีโรงเรียนวิถีพุทธอยู่นะคะ คงต้องรอผู้รู้เข้ามาแลกเปลี่ยนกันต่อไป )..กระบวนการศึกษาไทยน่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอีกเยอะค่ะ..
อาจดูว่าทุกอย่างคือปัญหา..แต่ปัญหาก็มีไว้เพื่อแก้ไขถ้าเราไม่กระเทาะปัญหาและเริ่มแก้ไขที่ตัวเรา..ที่กลุ่มเรา..ที่สังคมเรา แล้วเมื่อไหร่ปัญหาเหล่านี้จะเบาบางลง..
งานนี้ปูพรมเต็มพื้นที่เลยค่ะ.. ( มีเป้าหมาย อิ อิ ^ ^ )
สวัสดีครับคุณเบิร์ด
สวัสดีครับพี่แท็ฟส์
"ขอให้ถือประโยชน์ส่วนตัว เป็นที่สอง
ประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์ เป็นกิจที่หนึ่ง
ลาภ ทรัพย์ และเกียรติยศ จะตกแก่ท่านเอง
ถ้าท่านทรงธรรมะแห่งอาชีพไว้ ให้บริสุทธิ์"
...มหิดล...
สวัสดีครับ
สวัสดีค่ะ น้องเม้ง
พี่แอมป์ตามอ่านบันทึกเรื่องครูกับเรื่องการศึกษาทั้งสองบันทึกของน้องเม้ง มาสองวันแล้ว โอ้ชอบมาก ทุกท่านให้ความเห็นดีมากๆเลยค่ะ ประทับใจมาก ขออนุญาตร่วมนำเสนอดูตามที่เคยอ่านๆฟังๆมานะคะ ผิดถูกอย่างไรได้โปรดชี้แนะ เพื่อโปรดพิจารณาดำเนินการร่วมกันต่อไป
1. ความคาดหวังในตัวครู
ในที่นี้ขอมอง ครู เป็นสองภาพนะคะ คือภาพแบบที่คาดหวัง กับภาพแบบที่เป็นจริง (ที่ใช้คำว่า ภาพ เพราะ คือ สิ่ง ที่เรา มอง)
จากสภาพจริงของโรงเรียน (ตามมุมมองส่วนตัว) พี่แอมป์คิดว่าในโรงเรียนมีคุณครูหลายแบบ ทั้งแบบครูในอุดมคติสมบูรณ์แบบ ไล่ระดับมาจนถึงขาดความเป็นครูในอุดมคติ ประมาณนี้นะคะ
ครูในอุดมคติในที่นี้ หลักๆคือ คิดเก่ง แนะเก่ง นำเก่ง ถ่ายทอดเก่ง (และก็คงมีมิติอื่นตามภาวะที่เหมาะสมในความเป็นครูด้วยนะคะ)
ทีนี้เมื่อครูเก่งๆมีไม่พอ มีไม่ครบ เราจะไปหาครูเก่งๆมาจากที่ไหน คือสมมุติว่าตอนนี้ยังหาไม่ได้
จึงขอพูดเฉพาะมุมมองผู้เรียนนะคะ และนี่คือผู้เรียนในอุดมคติ :)
ผู้เรียนในอุดมคติ เข้าใจว่ามนุษย์ที่เป็นครู ไม่ใช่มนุษย์สมบูรณ์แบบเสมอไป แต่เป็นมนุษย์ชุดที่ช่วยให้เราได้เรียนรู้ และจะสามารถเรียนรู้จากครูเท่าที่มีอยู่ได้
สมมุติว่า เลือกไม่ได้แล้วจริงๆ ผู้เรียนในอุดมคติ ก็จะได้เรียนรู้ ปรับตัว ปรับใจ และเข้าใจ ที่จะเรียนรู้จากผู้สอนอย่างเต็มที่ เท่าที่เขาจะ "แนะให้"หรือ "สอนให้"เราได้ และฝึกตนเองให้”เรียนรู้”จากครูได้ทุกรูปแบบ
เปลี่ยนเขาไม่ได้ แต่ปรับที่ตัวเองได้
มิได้แปลว่ายอมจำนนกับคุณภาพที่ไม่ถึงมาตรฐานนะคะ แต่แปลว่าในภาวะนี้ ยังพอมีวิธีปรับใจและแก้ไขเฉพาะหน้าได้ หากผู้เรียนพัฒนาไปถึงขั้น กล้าหาความรู้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องรอคำตอบของครู และกล้าที่จะนำความรู้ มาคุยกับครูในห้องเรียนได้(อย่างฉลาดและรู้เท่าทันวัฒนธรรมครูไทย)
จะได้ลดวัฒนธรรมพึ่งครู และเพิ่มวัฒนธรรมพึ่งตนเองได้ด้วย
2.ผลกระทบจากระบบ ทำให้เกิดวิกฤติศรัทธาในตัวครู
มาถึงระบบการศึกษาไทย ซึ่งมีหลายองค์ประกอบในปัจจุบัน เมื่อรวมกันเข้าแล้วก็กลายเป็นสึนามิทางการศึกษา
สามารถทำให้ถึงแก่วิกฤติภัยลึกซึ้งถึงระดับฐานรากได้อย่างน่าหวาดหวั่นมาก และทำให้ความเป็นครูในอุดมคติ มีความเสี่ยงสูงต่อการแตกสลายพ่ายพินาศไปมากขึ้น
องค์ประกอบเหล่านี้ มีเรื่องใหญ่ที่ทราบกันดีอยู่แล้วมากมาย แต่เรื่องที่ทำลายขวัญและกำลังใจของครูในปัจจุบันได้ดีที่สุด คือการให้คุณให้โทษครูโดยผลงานที่นับได้ ทั้งที่การวัด การประเมินการเรียนการสอน ซึ่งมีมิติและองค์ประกอบเชิงคุณภาพที่นับไม่ได้อยู่มาก ถ้าไม่มองให้รอบ ไม่มองให้ครบ ก็จะประเมินไปตามสภาพที่ไม่จริง คืออันนี้น่าเศร้ามาก
ขณะเดียวกันก็มีวิถีวัฒนธรรม หรือค่านิยม (ขอประทานโทษนะคะ) ที่ทุบทำลายได้ยากและสร้างให้เกิดความแตกต่าง อันเป็นช่องว่างและอุปสรรคอันยิ่งใหญ่ในการ
หนึ่ง สร้างครูให้เก่ง สอง เปิดโอกาสให้ครูเก่งๆได้ทำงานเต็มศักยภาพ และสาม เป็นปัจจัยสำคัญในการทำลายครูเก่งในอุดมคติ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หากพอมีเวลา อยากเรียนเชิญแวะไปที่วิชาการด็อตคอม ที่กระทู้ จริงหรือ ที่เด็กป.6 อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ และกระทู้ ประเมินอาจารย์ 3 เชิงประจักษ์ อาจจะได้ประเด็นเพิ่มขึ้น อ่านแล้วได้เข้าใจเพื่อนครูมากขึ้นอีกในหลายๆเรื่อง
และได้ข้อคิดว่า เพื่อเห็นแก่สวรรค์ในอกของเรา หากวันนี้เรายังเปลี่ยนแปลงสิ่งอื่นไม่ได้ ก็ต้องรีบปรับที่ใจเราก่อน ทำได้มั่งไม่ได้มั่งก็ว่ากันไป
แต่เหนือสิ่งอื่นใด... หน้าที่ของเรา เราต้องทำเต็มความสามารถเสมอ
3. ความคาดหวังในกระบวนการสร้างครู (ครูอนุบาล ครูประถม ครูมัธยม)
ประมวลจากที่อ่าน ฟัง ดู และรวมถึงคลุกวงใน(อยู่ในพื้นที่ผลิตครู แต่ยังไม่ได้ย้ายไปอยู่คณะครุฯ) คิดว่าครูต้องผ่านอย่างน้อยสองกระบวนการนะคะ คือ 3.1 กระบวนการสร้างคน (=การศึกษา) คือ ทำคนให้เป็นคน (ตามทฤษฎีที่ว่า คนเหมือนกัน แต่คนไม่เหมือนกัน)
และพัฒนาคนให้เป็นมนุษย์ และตามรูปศัพท์ที่แปลได้ว่า มนุษย์ คือผู้มีใจสูง
3.2 กระบวนการสร้างครู (=การผลิตครู) คือ ผ่านการทำคนให้เป็นคน พัฒนาคนให้เป็นมนุษย์ แล้วก็ทำมนุษย์คนนั้นให้เป็นครู โดยเป็นที่เชื่อมือกันเป็นกระบวนการอันประณีต
สถาบันอุดมศึกษาที่ผลิตครูทุกสถาบัน (เชื่อว่า)ย่อมเพียรพยายามสร้างคนให้เป็นครูอย่างประณีต
และผลผลิตเหล่านี้จำนวนหนึ่งก็เข้าระบบการสอบคัดเลือกเป็นครูในระบบราชการ จำนวนมากก็เป็นครูเอกชนต่างๆ และอีกจำนวนมากก็เป็นครูอัตราจ้าง
คือเป็นคุณครูที่ได้บรรจุ กับคุณครูที่อยู่ตามสัญญาที่มีกำหนดหมดอายุ
ในขณะเดียวกัน ช่วงหนึ่ง ก็เอื้อให้รับผู้ที่ไม่มีวุฒิครู เข้าเป็นครูในระบบได้หากสอบผ่าน (พี่แอมป์ก็ผ่านเข้าระบบมาได้อย่างหวุดหวิดโดยวิธีนี้)
ต่อไปนี้เป็นคำถาม ซึ่งติดอยู่ในใจพี่แอมป์มาเนิ่นนาน และเป็นแรงผลักดันให้ฝึกเด็กเรื่องการรู้เท่าทันการสื่อสาร (เพราะตอนนี้ยังไม่มีปัญญาทำอย่างอื่น :) )
1. การศึกษาระดับอนุบาล โดยเฉพาะระบบการเรียนการสอน เราต้องช่วยกันเพิ่มหรือปรับอะไรบ้าง
2. ผู้สอนในระดับอนุบาล ที่จบการศึกษาปริญญาตรีแล้ว ผู้เกี่ยวข้องควรช่วยสนับสนุนการปรับสมรรถนะให้คุณครู อย่างไรบ้าง (คุณครูเหล่านี้กำลังช่วยทำหน้าที่แทนเราทุกคน ดูแลอนาคตของชาติ)
3. การปรับวิธีคิดในกระบวนการเรียนการสอนในโรงเรียนอนุบาล ควรสนับสนุนให้มีครูระดับปริญญาเอกในโรงเรียนอนุบาล ประถม และมัธยม มากขึ้นหรือไม่ อันนี้พูดในภาพรวมนะคะ เพราะโรงเรียนที่มีแนวคิดเฉพาะ มีปริบทเอื้อให้ ก็คงทำไปแล้ว
ที่กล่าวดังนี้ มิได้เน้นไปที่ความรู้หรือวิชานะคะ แต่เน้นที่การสร้างวิธีคิด และการ "กล้าปรับวิธีคิด"ในการเรียนการสอน คือด้วยว่าค่านิยมของสังคมไทยเป็นเข่นนี้ ทำให้ต้องหาวิธีสร้างพลังการต่อรองและพลังความกล้าที่จะเปลี่ยนแปลง
<ทั้งนี้ต้องระวังผลข้างเคียง คืออัตตา อันเป็นธรรมชาติของการรู้สึกว่ามีความรู้เหนือผู้อื่นนะคะ
แต่ถ้าเรา(คือผู้มีความรู้)เข้าใจและรู้เท่าทันความรู้เสียแล้ว ก็จะเห็นความรู้เป็นเรื่องปกติ คือรู้ว่าเมื่อไปเรียนเข้าก็ย่อมรู้ เราก็จะสบายใจดี ดังนี้เป็นต้น >
สภาพการศึกษาไทยนั้น เมื่อมองจากมุมหนึ่ง อาจกล่าวได้ว่าว่าปริญญาตรีเน้นที่ความรู้เป็นแท่งๆ
จากนั้นปริญญาโทให้ต่อยอดแท่งความรู้ พอถึงปริญญาเอกก็สร้างแท่งใหม่มาได้อีกแท่ง แบบที่ลงมาคุยกันข้างล่างได้ยาก :) ส่วนปริญญาเอกอีกชุดหนึ่งก็บอกรู้ว่าอันความรู้เป็นแท่งๆนั้นทำให้คนแยกส่วน จงมาเรียนรู้แบบองค์รวมเทอญ พอกลับโรงเรียน(คือมหาวิทยาลัย) ก็เลยจัดเข้าพวกตามวิธีคิดเดิมไม่ได้ ต้องไปตั้งแท่งใหม่เอ๊ยพวกใหม่อีกพวกหนึ่ง อะไรอย่างนี้เป็นต้น :)
ขออภัยด้วยเถิดนะคะ อันนี้ก็ว่าไปตามประสาเท่าที่รู้มาแคบเห็นมาน้อย และจะดีใจเป็นอย่างยิ่งหากความจริงมิได้เป็นเช่นที่ว่ามานี้
ทีนี้ พอไปสอนเด็กๆ เราสอนเด็กระดับใด ความรู้แท่งๆของเราก็จะเหลือเท่าเด็กระดับนั้น
ขณะเดียวกัน อะไรบางอย่างจะค่อยๆกลืนเราเข้าไป ไฟอุดมการณ์อันเคยลุกโชติข่วงชัชวาล ก็ค่อยๆมอดลงๆ........ ไม่ทราบว่าเพื่อนๆครูจะเคยรู้สึกเช่นนี้ด้วยหรือไม่นะคะ ความรู้สึกอย่างนี้ ทำให้คิดต่อและตั้งคำถามไล่ลำดับกลับไปว่า
1. ถ้าทำได้ เราจะปรับกระบวนการเรียนการสอนเพื่อสร้างระบบคิด ทั้งสี่ระดับ ให้สอดคล้องประสานเป็นทองแผ่นเดียวกัน ได้อย่างไรบ้าง แบบส่งไม้ต่อมือกันได้ฉับไว ไม่หลุดมือไปให้ใจเสียและเสียใจกันเป็นช่วงๆ เหมือนที่เป็นอยู่ตอนนี้
2. ขณะนี้ ระดับอนุบาล ระดับประถม ระดับมัธยม มีการเรียนการสอนอย่างไรบ้าง คุณครูต้องการอะไรบ้าง ที่จะสนับสนุนให้การสร้างลูกหลานของไทย มีคุณภาพอย่างแท้จริง
3. ขณะนี้ การสร้างคุณภาพครู ระดับอนุบาล ระดับประถม ระดับมัธยม ติดตันอยู่ตรงไหน ตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง เราจะช่วยกันได้อย่างไรบ้าง
4.ขณะนี้ระดับอุดมศึกษา (เริ่มเข้าตัว :) ) ได้(กล้า)สร้างระบบ "เชื่อม" กับระดับพื้นฐาน เพื่อส่งไม้ต่อมืออย่างไรบ้าง ที่จะสอดคล้องกับการช่วยแก้ปัญหาการศึกษาของชาติทั้งระบบ ณ ปัจจุบัน อย่างแท้จริง
5.ขณะนี้ ระบบคัดคนเข้าเรียนมหาวิทยาลัย เป็นที่ยอมรับได้หรือยัง ถ้าระบบยังถูกตั้งคำถาม จะช่วยกันสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ทางจิตใจลูกหลานของเราได้อย่างไรบ้าง
คิดเข้าประเด็นอีกรึปล่าวก็ไม่รู้เนี่ย บ่นซะยาวเป็นไมล์ คือว่ารอน้องเบิร์ดมาข่วยเชื่อมให้ดีกว่าอะค่ะ...
ปล. ที่สุดของสุดท้ายนี้ น้องเม้งคะ นึกถึงที่เคยดูหนังจีนทีวีอะค่ะ คือหลังจากประลองวิทยายุทธกันเรียบร้อยแล้ว ตานี้เราก็มาคารวะสองจอกเป็นพี่น้องกัน อิอิ :) มีชามะนาวด้วยป่าวคะ ?
สวัสดีครับพี่แอมป์
สวัสดีครับคุณ
เม้ง สมพร ช่วยอารีย์ ---------> http://www.somporn.net ---------> http://www.schuai.net
สวัสดีครับท่านอาจารย์