ชื่อของอาจารย์ประมวล เพ็งจันทร์ ผ่านหูผ่านตาฉันมาก็หลายครั้ง หากแต่ฉันไม่เคยรู้จักเขามากไปกว่านี้ และแน่นอนที่ฉันจะไม่เคยได้เปิดอ่านหนังสือของเขา จนกระทั่งเจ้คนสวย(ลูกสาวเจ้านาย)ได้ซื้อหนังสือใหม่ๆ จำนวนสิบสองเล่มมาให้ฉันตุนไว้อ่านในช่วงวันหยุดสงกรานต์ หนังสือเล่มนี้จึงได้มาอยู่ในมือฉันในที่สุด....
"เดินสู่..อิสรภาพ"..หนังสือที่มีความหนากว่าห้าร้อยหน้า ได้พาฉันร่วมเดินทางไปกับอดีตอาจารย์ประจำภาควิชาปรัชญาและศาสนา คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จากเหนือสู่ใต้ จากเชียงใหม่ไปสมุย ด้วยการเดินเท้าเพื่อค้นหาสิ่งล้ำค่าที่ถูกกลืนหายไปในกระแสสังคม
ฉันเริ่มต้นอ่านไปทีละหน้าด้วยความรู้สึกที่ไม่ค่อยจะเข้าใจและสงสัยว่าอะไรทำให้ชายผู้นี้ถึงกับต้องลาออกจากราชการ เพื่อที่จะเดินทางกลับบ้านด้วยการเดินเท้า และในหน้าที่ 23 นั้นเอง เขาได้บอกไว้ว่า.."ได้เคยบอกเล่าให้ภรรยาสุดที่รักของผมฟังเสมอว่า วิญญานของโจนาธาน ลิฟวิ่งสตัน นกนางนวลที่ริชาร์ด บาร์ก เนรมิตไว้ในหนังสือของเขานั้น ได้สิงสถิตอยู่ในร่างของผมนับตั้งแต่วันที่ผมได้อ่านหนังสือเล่มนี้ โดยสำนวนแปลของอาจารย์ชาญวิทย์ เกษตรศิริ เมื่อปี พ.ศ.2518 แม้จะผ่านมานานถึงสามสิบปีแล้ว แต่วิญญานโจนาธาน นกนางนวลที่เชื่อมั่นว่าการบินคือชีวิตก็ยังไม่ได้ออกจากร่างผมไป...."
[[พออาจารย์ประมวลพูดถึง"โจนาธาน" ฉันก็นึกไปถึงพี่สาวคนหนึ่ง ก็ท่านพี่naree suwan
จนถึงกับเอื้อมมือไปหยิบมือถือเพื่อที่จะกดหมายเลขที่ใช้ติดต่อหากันได้ออกไป แต่เอ..บางทีความคิดถึงอาจจะอยากเดินทางไปหาใครคนหนึ่งอย่างเงียบๆ ก็เป็นได้ ฉันจึงแค่อมยิ้มแล้ววางมือถือไปในที่สุด ก่อนจะพลิกหนังสืออ่านในหน้าต่อไป....]]
เรื่องราวตลอดระยะเวลา 66 วัน ของการเดินทาง ทำให้ฉันได้รู้ว่าคุณค่าของการเดินทางไม่ได้อยู่ที่ความหรูหราสบาย หากแต่เป็นการเดินเท้าที่มีจังหวะของการเดินทางที่ช้าลง ทำให้ได้มองเห็นรายละเอียดของทุกสิ่งทุกอย่างรอบๆ ตัวได้ชัดเจนยิ่งขึ้น การเดินทางครั้งนี้ของเขาไม่มีกำหนดเรื่องเวลาและจุดหมายปลายทาง เพราะอาจารย์ประมวลไม่ต้องการให้เกิดความคิดว่าจะต้องเดินไปให้ถึงเป้าหมายปลายทางเมื่อไหร่หรือจะเดินผ่านไป ณ จุดใดบ้าง และหลายๆ ประเด็นที่ถูกกำหนดให้เป็นเงื่อนไขในการก้าวเดิน ตัวอย่างเช่น..
- ทำไมจึงไม่ใช้เงินระหว่างเดินทาง
เพื่อก้าวให้พ้นพลังอำนาจแห่งเงินตราที่ถูกสถาปนาขึ้นในสังคมซื้อ-ขาย ดังเช่นปัจจุบัน การไม่พกเงินติดตัวไปก็เพื่อฝึกฝนตนเองให้มีความเข้มแข็งเพียงพอที่จะปลดปล่อยตนเองให้รอดพ้นจากอำนาจเงินตรา อาจารย์ท่านนี้มีความปรารถนาอยากจะข้ามให้พ้นกระแสธารแห่งเงินตรา แต่ปรารถนาจะไปแหวกว่ายอยู่ในสายธารแห่งทานและจาคะ ที่มีแต่ผู้ให้และผู้รับ อันจะเห็นได้จากเรื่องราวในหนังสือที่เขาได้บอกว่า..หากเราถือเงินเดินเข้าไปซื้อข้าวจานละยี่สิบบาท ทานแล้วก็รู้สึกอิ่มท้อง หากแต่ไม่ได้มีความประทับใจใดๆ เลย กับการที่ต้องเดินทางในระยะไกล ทั้งหิว ทั้งเหนื่อย เมื่อมีความเมตตาของใครสักคนเรียกให้ทานข้าวสักจานหรือก๋วยเตี๋ยวสักชาม เราจะรู้สึกว่าอาหารธรรมดามื้อนี้อร่อยล้ำ แม้เวลาผ่านไปเนิ่นนาน..รสชาติของอาหารมื้อนี้ก็จะยังติดอยู่ในความรู้สึกและในใจของเรา
- ทำไมจึงไม่เดินไปแวะพักพาอาศัยกับคนรู้จัก
เขาบอกว่าคนรู้จักก็คือสายใยแห่งรักที่ถูกถักทอไว้แล้วและเรามักจะรู้สึกอบอุ่นเมื่ออยู่ภายใต้ผืนใยแห่งรักที่ห่มคลุมเราอยู่ และความรู้สึกอบอุ่นนี้จะทำให้เรารู้สึกหวาดกลัวความหนาวเหน็บที่แผ่กระจายอยู่ภายนอก ความหวาดกลัวนี้ทำให้เรายิ่งขดตัวซุกอยู่ภายใต้ผืนใยแห่งรักผืนเล็กๆ ทำให้เราไม่เข้มแข็งพอที่จะสลัดผ้าที่คลุมออกไปเพราะกลัวที่จะต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนที่ไม่พึงประสงค์ อาจารย์ประมวลจึงก้าวเดินไปเพื่อถักทอสายใยแห่งรักนี้ให้ผืนใหญ่ขึ้น การเดินทางไปพบคนที่ไม่รู้จักมาก่อน เปรียบเหมือนการดึงผืนผ้าเล็กๆ ออกมาทอให้กว้างใหญ่กว่าเดิม ความหวาดหวั่นนั่นก็คืออุปกรณ์ที่ทำให้เราสามารถถักทอสายใยแห่งรักให้มีขนาดใหญ่ขึ้น กว้างขึ้น
- ทำไมจึงไม่วางแผนการเดินทางให้ชัดเจนแน่นอนว่าจะเดินทางถึงที่ไหน? เมื่อไหร่?
การเดินทางของเขานั้น เขาว่าเป็นการก้าวไปเพื่อเผชิญกับความไม่แน่นอน ความไม่มั่นคง และความไม่ปลอดภัยในสถานการณ์อันเป็นโลกภายนอก ทั้งนี้เพราะมีความเชื่อว่า ความรู้สึกไม่แน่นอน ไม่มั่นคง ไม่ปลอดภัย มีศูนย์กลางอยู่ที่จิตใจของเราเอง โลกภายนอกนั้นก็มีความเปลี่ยนแปลงอยู่เป็นนิตย์ ดังที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสแสดงไว้ เขาจึงเดินทางไปเพื่อเผชิญกับความหวาดกลัว แล้วเรียนรู้ที่จะไม่กลัว ไม่กลัวแม้จะต้องจบชีวิตลงเพราะไม่มีอาหารกิน ไม่กลัวแม้จะต้องประสบภัยอันตรายถึงแก่ชีวิต ความไม่แน่นอนของการเดินทางคือบทเรียนอันประเสริฐที่เขาปรารถนาจะเรียนรู้
- ทำไมจึงไม่บวชเป็นพระภิกษุ แล้วเดินไปในฐานะพระธุดงค์
การเดินทางไปในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง ความเป็นมนุษย์ที่ไม่มีเสื้อผ้าอาภรณ์ทางสังคมทำให้อาจารย์ประมวลได้มีโอกาสสัมผัสกับความเป็นมนุษย์ที่ซุกซ่อนอยู่ภายในเปลือกทางสังคม ซึ่งหากบวชเป็นพระภิกษุก็คงได้พบแต่อุบาสก-อุบาสิกา และพระภิกษุผู้เป็นสหธรรมิกเท่านั้น คงไม่มีโอกาสได้พบกับเพื่อนมนุษย์ผู้งดงาม
ฉันอ่านหนังสือเล่มนี้จบลงภายในระยะเวลาไม่กี่ชั่วโมง และฉันรู้สึกถึงวิญญานของโจนาธานที่สิงสถิตอยู่ในตัวฉันเองค่อยๆ ขยับปีก หากใครอยากหามุมมองดีๆ ในชีวิต ฉันขอแนะนำหนังสือเล่มนี้ค่ะ แล้วคุณจะได้สัมผัสกับอีกด้านหนึ่งของชีวิตที่งดงามด้วยจิตวิญญาน และแล้วฉันก็ปิดหนังสือเล่มนี้ลงด้วยทั้งรอยยิ้มและร่องรอยของน้ำตาในเวลาพลบค่ำของวันสงกรานต์แสนเหงา หากแต่ฉันกลับรู้สึกเต็มตื้นในหัวใจดวงนี้