ผ่านพ้นไปแล้ว สำหรับเวทีสาธารณะครั้งที่ 1 เกี่ยวกับ เรื่อง "สวมหมวกกันน๊อคในมหาวิทยาลัย...พื้นที่บังคับของกฎหมายหรือไม่" คลิกอ่านได้ที่>>http://gotoknow.org/blog/nareejuti/359108
และในวันนี้เป็นการจัดเวทีสาธารณะครั้งที่ 2 เรื่องไขข้อข้องใจ กฎหมายกับสุขภาพ เรื่อง “สิทธิการรักษาพยาบาลของบุคลากรในมหาวิทยาลัยนเรศวร” โดยความร่วมมือระหว่างคณะนิติศาสตร์ กับคณะเภสัชศาสตร์ โดยภายใต้การสนับสนุนของ สสส. ในวันศุกร์ที่ 7 พฤษภาคม 2553 ณ ห้องประชุมนิติสัมพันธ์ คณะนิติศาสตร์
เพื่อให้ความรู้ทำความเข้าใจเกี่ยวกับสวัสดิการการรักษาพยาบาลและทางเลือกอื่นๆในการรักษาพยาบาลอื่นๆ สำหรับบุคลากรในมหาวิทยาลัย รูปแบบการจัดเป็นการเปิดเวทีเพื่อรับฟังและร่วมแสดงความคิดเห็นของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกๆฝ่าย เพื่อให้ได้ข้อสรุปที่เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น โดยได้รับเกียรติจากศ.ดร.ดิเรก ปัทมศิริวัฒน์ จากคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และคุณธนานุช ศรีอรุณ จากสำนักงานประกันสังคม มาร่วมเป็นผู้เสวนาในวันนี้
ลงทะเบียนผู้เข้าร่วมเวทีสาธารณะ
อธิการบดีกล่าวเปิด
เวทีสาธารณะที่จัดขึ้นมีผู้เข้าร่วม 29 คน เป็นพนักงานสายวิชาการ พนักงานสายสนับสนุนวิชาการ พนักงานราชการ และลูกจ้างชั่วคราว รวมทั้งข้าราชการิ ผู้สนใจจากคณะวิชาและหน่วยงานต่างๆ
โดยงานนี้ได้รับเกียรติจาก ศาสตราจารย์ ดร. สุจินต์ จินายน อธิการบดี เป็นประธานในพิธีเปิดและกล่าวในพิธีตอนหนึ่งว่า
“สิ่งที่มหาวิทยาลัยต้องทำ มี 3 ประการ
1. กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เพราะมหาวิทยาลัยเป็นห่วงเมื่อออกไปชราภาพต้องไม่ลำบาก ต้องดูแลตรงนี้ และเข้าใจระบบบำเหน็จ บำนาญ ให้ความมั่นคง ต้องค่อยปรับไปตามความเจริญของมหาวิทยาลัย เริ่มคิดร้อยละ 2 ของเงินเดือนที่จะมีทบกัน เพราะฉะนั้นต้องมีระบบการจัดการ
2. การประกันอุบัติเหตุ ต้องทำเสริมเข้าไปจากประกันสังคมมีอยู่
3. สวัสดิการทางเลือก ต้องวิเคราะห์ให้ลึกต้องครอบคลุมบุคลากรทุกระดับและทุกประเภทเพื่อความเสมอภาคและเป็นธรรม ให้บุคลากรเพื่อให้เกิดความรู้สึกที่มั่นคง บางที การรักษาอาจจะไม่ครอบคลุมถึงพ่อแม่ อาจจะมีทางเลือกค่าใช้จ่ายให้พ่อแม่ หรือให้กับบุตร เลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง ตามความต้องการของแต่ละบุคคล”
จากการประเมินแบบสอบถามเกี่ยวกับความเข้าใจเกี่ยวกับประกันสังคม ผลออกมาปรากฏว่า “บุคลากรมหาวิทยาลัย ส่วนใหญ่จะเป็นอาจารย์ไม่ค่อยเข้าใจสิทธิการรักษาพยาบาล”
และเข้าสู่ประเด็นการให้ความรู้เกี่ยวกับกองทุนประกันสังคม โดยคุณธนานุช ศรีอรุณ จากสำนักงานประกันสังคม
"หากมหาวิทยาลัยคิดที่จะทำกองทุนฯ ต้องเขียนกฎหมายขึ้นมาให้ได้ระดับดีกว่าประกันสังคม แต่ต้องมีครบและต้องดีกว่าที่ประกันสังคมมี ทั้ง 7 กรณี ได้แก่ กรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย กรณีคลอดบุตร กรณีทุพพลภาพ กรณีสงเคราะห์บุตร กรณีชราภาพ กรณีว่างงาน กรณีเสียชีวิต
...ต้องการให้มหาวิทยาลัยเป็นตัวนำร่องในเรื่องของ การบาดเจ็บจากการทำงาน ลูกจ้างชั่วคราวหรือลูกจ้างในส่วนราชการไม่มีสิทธิ์ตัวนี้ เป็นข้อยกเว้นของกฎหมายไม่ใช้บังคับ หลุดออกจากระบบส่วนของกองทุนเงินทดแทน จะมีระเบียบแตกต่างจากเอกชนทำให้ไม่ได้รับการชดเชยเหมือนเอกชน ซึ่งมหาวิทยาลัยควรทำเป็นอันดับแรก อาจจะอยู่ในรูปซื้อประกันภัยของเอกชน"
ประเด็นคำถาม
- ทำไมจึงกำหนดให้ผู้ประกันตนเลือกสถานพยาบาลได้เพียงแห่งเดียว
เนื่องจากประกันสังคม ต้องจ่ายให้ทุกโรงพยาบาลแบบเหมาจ่าย ประมาณหัวละ 2,000 บาท เพียงแค่มีชื่อประกันตนอยู่ที่ใด ทางประกันสังคมต้องนำเงินไปจ่ายให้กับโรงพยาบาลนั้นๆ ที่เข้าร่วม ซึ่งหากต้องจ่ายให้ทุกโรงพยาบาลที่ผู้ประกันตนเลือกคงอาจจะไม่ไหว
- หากเป็นสามีภรรยา หากภรรยาตั้งครรภ์ สามารถใช้สิทธิ์รวมแล้ว ได้เท่าไหร่
ได้จำนวน 4 ครั้ง แต่มีข้อแม้ว่าสามีและภรรยาต้องจดทะเบียนสมรสอย่างถูกต้องตามกฎหมาย แต่ปัจจุบันไม่ค่อยจดทะเบียนสมรส และพ.ศ.2530 ได้แก้ไขกฎหมาย ถ้าเป็นผู้ชายจะได้เฉพาะค่าคลอดบุตรอย่างเดียว ซึ่งต้องอยู่กินกันโดยเปิดเผยฉันสามีภรรยา
- หากสามีหรือภรรยาเป็นข้าราชการ แต่เราเป็นพนักงานมหาวิทยาลัยหรือลูกจ้างของมหาวิทยาลัย เราสามารถใช้สิทธิ์สามีหรือภรรยาได้หรือไม่
คำตอบคือ ไม่ได้ เนื่องจากระเบียบกระทรวงการคลังล่าสุด ในกรณีที่บุคคลในครอบครัวมีสิทธิ์ได้รับการรักษาตามสิทธิรับเงินค่ารักษาพยาบาลจากหน่วยงานอื่น ซึ่งคำว่าหน่วยงานอื่น ก็หมายถึง กองทุนประกันสังคม ถ้าผู้นั้นมีสิทธิ์ในประกันสังคมผู้นั้นก็ไม่สิทธิ์รับสวัสดิการอื่น เว้นแต่ ถ้าได้รับจากประกันสังคมต่ำกว่า จึงมีสิทธิ์ได้รับในส่วนที่ขาดทุนไป เราต้องใช้สิทธิ์หลักที่มีก่อน แล้วค่อยไปใช้สิทธิ์รองคือของคู่สมรส
- กรณีบำนาญชราภาพ ผู้ประกันตนส่งไม่ครบ 180 เดือน แต่พออายุครบ 55 ปี สถานทำงานจ้างต่อ ส่วนนี้จะนับได้ต่อจนครบ 180 เดือนหรือไม่
เราจะนับตั้งแต่วันที่เริ่มเก็บบำนาญชราภาพในวันที่ 1 ธันวาคม 2542 ถ้าไม่ครบ 180 เดือน ก็จะได้รับแค่บำเหน็จ ถ้าทำครบ 180 เดือนก็จะได้รับเป็นบำนาญชราภาพ"
รายละเอียดอื่นๆ เกี่ยวกับประกันสังคม ผู้เขียนขอให้ผู้อ่าน เข้าไปอ่านรายละเอียดได้ที่ http://www.sso.go.th/wpr/category.jsp?lang=th&cat=81
ศ.ดร.ศ.ดร.ดิเรก ปัทมศิริวัฒน์ จากคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้เสนอแนะแนวทางการพัฒนาสวัสดิการสุขภาพทางเลือก แต่อาจารย์ได้กล่าวว่า "จริงๆ ไม่ต้องคิดถึงสุขภาพอย่างเดียวให้เราคิดถึงอย่างอื่นด้วยก็ได้"
"ขณะนี้บุคลากรในมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ใช้สิทธิประกันสังคม และควรคิดว่าจะมีอะไรเสริม เนื่องจากสิทธิประโยชน์ของประกันสังคมค่อนข้างจะต่ำ เราอยากให้บุคลากร ได้รับเรามาดูสิทธิประโยชน์ตามสมควรให้เท่าเทียมหรือใกล้เคียงกับข้าราชการ คิดสองพื้นฐานคือยึดหลักของประกันสังคมทั้ง 7 กรณี หากพอใจเราก็หยุด แต่หากเราคิดว่ามีทางเลือกที่ดีกว่า ก็ต้องคิดค้นต่อไป โดยเพิ่มสิทธิประโยชน์ เราจะมีประกันสังคมเป็นพื้นฐาน และมีสิทธิเพิ่มเติม หรือต่อไปเราอาจจะซื้อเอกชน ซึ่งเราต้องประเมินว่าอะไรดีกว่ากัน คือสิทธิประโยชน์ที่ได้รับค่าใช้จ่ายในมุมมองทางการเงิน โดยดูข้อดีข้อเสียของการบริหารจัดการ นอกเหนือจากการเงิน ถ้าเราดำเนินการเอง มันมีสิ่งทื่เราจะได้จากการจัดการ เนื่องจากบุคลากรมหาวิทยาลัยมีความรู้ความสามารถที่หลากหลายมาก"
ประเด็นที่ศ.ดร.ดิเรก ปัทมสิริวัฒน์ เสนอให้พิจารณา คือ
ทางเลือกของการตัดสินใจ
ก. การซื้อหลักประกันภาคเอกชน
คำนวณค่าเบี้ยประกันตลอดช่วงเวลาการทำงาน
คำนวณความเสี่ยงการเจ็บป่วยและอุบัติเหตุ ตลอดช่วยเวลาการทำงาน
หาข้อมูลจากตลาดประกันคุณภาพ
ข. การบริหารกองทุนสุขภาพในมน.
คำนวณรายจ่ายเพิ่ม (ความครอบคลุมความเสี่ยงสุขภาพที่ระบบประกันสังคมไม่ให้)
หมายถึง ผลประโยชน์ส่วนเพิ่ม ของสมาชิกกองทุนสุขภาพ มน.
คำนวณรายจ่ายการบริหาร
คำนวณอัตราการสมทบเข้าระบบ
คำนวณขนาดกองทุนขึ้นต่ำ
วิเคราะห์ การสะสมเงินทกองทุนเกินกว่าระดับพื้นฐาน
วิเคราะห์ พิสัยของเงินกองทุน ขั้นต่ำเท่าใด ขั้นสูงเท่าใด
ขนาดของเงินกองทุน ไม่ใช่สิ่งที่กำหนดอย่างตายตัว ควรจะต้องปรับเพิ่มได้ หมายถึง แปรผัน ตามจำนวนสมาชิก และปรับเพิ่มขึ้นตามค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพต่อหัว หมายถึงการใช้กรอบการวิเคราะห์เชิง “วิวัฒนาการ”
รวบรวมข้อมูลเพื่อการวิเคราะห์
เงินเดือนเฉลี่ยของบุคลากรมหาวิทยาลัยนเรศวร วิเคราะห์ตามกลุ่มอายุ
ทดสอบตัวเลขพื้นฐาน เช่น ร้อยละ 1-2 ของรายได้
การคืนกำไรให้สมาชิก ถ้าหากรายจ่ายสุขภาพจริง ต่ำกว่าค่าประมาณการ
ความเห็นหรือข้อสังเกต
ทางเลือก ข.น่าสนใจ และน่าประหยัดรายจ่ายของบุคลากร
ทางเลือก ข. เป็นประเด็นที่ท้าทายความสามารถการจัดการของมน.
และศ.ดร.ดิเรก ปัทมศิริวัฒน์ เสนอแนะว่า เริ่มแรกมหาวิทยาลัยอาจจะต้องเริ่มต้นในเรื่องกองทุนสุขภาพและด้านบำนาญให้กับบุคลากรเป็นอันดับแรก
ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับสวัสดิการที่ควรมีในมหาวิทยาลัยจากผู้เข้าร่วม
- การตรวจสุขภาพประจำปี
- กองทุนเงินทดแทน อาจจะตั้งกองทุนเอง
- สามารถนำมาหักภาษีเงินได้เพื่อลดหย่อนภาษี
- ค่าเล่าเรียนบุตร
- ค่าเบิกจ่ายค่ารักษาทั้งครอบครัว
- มีการเบิกส่วนต่างในรอบๆ ปี ให้ครอบคลุมถึงลูกจ้างชั่วคราว
- ควรมีค่าเช่าสำหรับบุคลากรที่ยังไม่มีหอพัก
- กลุ่มเสี่ยงทางด้านสารเคมี ควรให้ตรวจสุขภาพทุก 6 เดือน
- กองทุนตัวยา ให้จัดยาให้เหมือนกับข้าราชการ ต้องนึกถึงจุดคุ้มทุนด้วย
- เรื่องการเสี่ยงต่อการปฏิบัติงานต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอง อยากให้มีกองทุนนี้ขึ้นมาเพื่อรองรับ
- ถ้าอายุ 60 ปี เรื่องของการชราภาพ เกษียณอายุ เกี่ยวกับมี บำเหน็จ บำนาญให้
- การจัดยาให้กับผู้ป่วย อยากให้จัดแบบโดยมีคุณภาพยาที่เท่าเทียมกัน
ขอบคุณผู้มีส่วนเกี่ยวข้องและผู้เข้าร่วมการจัดเวทีสาธารณะในครั้งนี้เป็นอย่างมาก ข้อคิดเห็นต่างๆ เหล่านี้ ถือเป็นประเด็นสำคัญเพื่อเป็นแนวทางในการพิจารณาและเสนอต่อมหาวิทยาลัยต่อไปได้ไม่มากก็น้อย
ไม่มีความเห็น