การรู้ธรรมเห็นธรรมของคนเรานั้นจะเกิดปุบปับรวดเร็วช่วงเวลาสั้นๆเปรียบได้กับ "ช้างกระดิกหู งูแลบลิ้น" (ลองไปสังเกตงูที่สถานเสาวภาดูนะครับ ว่ามันแลบลิ้นเร็วเพียงใด) ปัญญาที่เกิดจะสามารถจะช่วยดับทุกข์ได้ระดับหนึ่ง
หลวงพ่อโพธิ์เป็นพระบ้านนอก อยู่ที่วัดโพธิ์ บ้านโนนทัน จังหวัดขอนแก่นโน่น เป็นพระที่มีความเมตตาสูง มักจะใช้วันเวลาและจังหวะที่เหมาะสมในการกระตุ้นคนให้เกิดปัญญา
ครั้งหนึ่งมีโยมผู้หนึ่งมาต่อว่าท่าน "หลวงพ่อครับ ผมมาหาหลวงพ่อเกือบทุกวัน ทำไมผมไม่รู้ธรรมเห็นธรรม ช่วยให้ดับทุกข์ได้เลย" ท่านตอบว่า "พละ ๕ อินทรีย์ ๕ มันต้องเกิดพร้อมกัน มันเกิดที่ละอย่าง มันรู้ไม่ได้หรอก" แล้วท่านก็นิ่งไม่พูดอะไรอีก
หลายวันต่อมา โยมผู้นั้นก็มาหาท่านอีก พอถึงเวลากลับในตอนเย็น ท่านเดินมาส่งที่รถทั้งๆที่แต่ก่อนมาไม่เคยทำ ก่อนที่จะขึ้นรถท่านถามว่า "โยม พระพุทธเจ้าออกจากพระครรภ์มารดา แล้วเดิน ๗ ก้าว โยมว่าจริงไหม" "คงไม่จริงมั๊งหลวงพ่อ คงอุปมาอุปไมยเอา" โยมตอบ หลวงพ่อกล่าวต่ออีกว่า "ถ้าโยมไม่เชื่อ โยมผิด ถ้าโยมเชื่อ โยมก็ผิด"
โยมได้ฟังก็เกิดการรู้แจ้งในใจขึ้นมาทันที่เลยว่า "อ้อ สิ่งนี้เองที่ทำให้เขามีความทุกข์มาจนตลอดชีวิต"
รู้ไหมครับว่า"สิ่งที่โยมผู้นั้นรู้แจ้ง คืออะไร" เฉลยไม่ได้หรอกครับ มันต้องเกิดขึ้นกับใจของท่านเอง มันจึงจะเป็นปัญญา(ทางธรรม)ของท่านนะครับ
พละ ๕ อินทรีย์ ๕ คืออะไร? ทำไมจึงต้องเกิดพร้อมกันจึงจะรู้ธรรม?
ก่อนอื่นจะขออธิบาย "โพธิปักขิยธรรม ๓๗" ก่อนนะครับ
โพธิปักขิยธรรม คือ ธรรมที่เป็นองค์ตรัสรู้ หมายความว่า การที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ธรรม หรือพระอรหันต์ทั้งหลายได้บรรลุธรรม ได้ใช้โพธิปักขิยธรรมทั้ง ๓๗ ประการประกอบกัน
โพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการประกอบด้วย
สติปัฏฐาน ๔
สัมมัปปธาน ๔
อิทธิบาท ๔
อินทรีย์ ๕
พละ ๕
โพชฌงค์ ๗
มรรค ๘
เห็นหรือยังครับว่า อินทรีย์ ๕ และ พละ ๕ เป็นองค์ประกอบ ๑๐ ใน ๓๗ ประการของธรรมที่เป็นองค์ตรัสรู้เชียวนะครับ
อินทรีย์ และ พละ นี้เป็นพลังทางจิตซึ่งมีอยู่ในตัวเราทุกคน พร้อมที่จะปลุกให้ตื่นหรือเพาะให้งอกงาม และนำมาใช้ประโยชน์ในการทำลายกิเลส
อินทรีย์ แปลว่า ความเป็นใหญ่ หรือการกระทำของผู้เป็นใหญ่ ในที่นี้หมายถึง หน้าที่ของผู้ปกป้องคุ้มครอง ส่วน พละ หมายถึงพลังที่ใช้ในการทำหน้าที่ของผู้ปกป้องคุ้มครอง ทั้งอินทรีย์ และ พละ มีอย่างละ ๕ คือ
๑ ศรัทธา หมายถึงความเชื่อความเลื่อมใส ผู้ปฏิบัติธรรมจะต้องมีพลังของความเชื่อที่เข้มแข็งในการเชื่อและเลื่อมใสในพระธรรม
๒ วิริยะ หมายถึงความเพียร ผู้ปฏิบัติธรรมต้องมีพลังความเพียรที่เข้มแข็งในการทำความเพียร
๓ สติ หมายถึงความระลึกรู้ ผู้ปฏิบัติธรรมต้องมีพลังของความระลึกรู้ที่เข้มแข็งในการทำความระลึกรู้
๔ สมาธิ หมายถึงความตั้งใจมั่น ผู้ปฏิบัติธรรมต้องมีพลังของความตั้งใจมั่นที่เข้มแข็งในการทำความตั้งใจมั่น
๕ ปัญญา หมายถึงความรอบรู้ ผู้ปฏิบัติธรรมต้องมีพลังของความรอบรู้ที่เข้มแข็งในการใช้ความรอบรู้
ในการปฏิบัติธรรมเพื่อให้รู้ธรรม ผู้ปฏิบัติจะต้องปรับ"อินทรีย์ ๔ อย่าง" คือ "ศรัทธา กับ ปัญญา" และ "วิริยะ กับ สมาธิ" ให้สม่ำเสมอสมดุลกัน ส่วน "สติ" นั้น มีมากเท่าไรยิ่งดี ท่านเปรียบผู้ปฏิบัติธรรมเสมือน"รถเทียมม้า ๔ ตัว(๒ คู่)" ศรัทธากับปัญญาเป็นม้า ๑ คู่ วิริยะกับสมาธิเป็นม้าอีก ๑ คู่ สำหรับสติเป็นสารถีทำหน้าที่ควบคุมม้า คอยกระตุกเชือกไม่ให้ม้าตัวหนึ่งตัวใดวิ่งล้ำหน้าม้าตัวอื่น และคอยหย่อนเชือกและลงแส้ม้าตัวที่มีฝีเท้าช้ากว่าตัวอื่นให้วิ่งทันม้าตัวอื่น ม้าทุกตัวก็จะวิ่งขนานกันไป สารถีก็จะสามารถนำรถนั้นให้บรรลุถึงเป้าหมายได้
"ศรัทธา กับ ปํญญา ต้องไปพร้อมกัน" เพราะถ้ามีแต่ปัญญาแต่ไม่มีศรัทธาก็อาจใช้ปัญญาในทางที่ผิด หรือถ้ามีแต่ศรัทธาแต่ไม่มีปัญญาธรรมก็จะกลายเป็นไสยาศาสตร์ไป
"วิริยะ กับ สมาธิ ก็ต้องมีเท่ากัน" เพราะถ้ามีแต่ความเพียรก็อาจจะนำความเพียรไปทำอย่างอื่นที่ไม่ใช่สมาธิ หรือถ้ามีแต่สมาธิแต่ไม่มีความเพียรก็จะกลายเป็นสมาธิที่กระท่อนกระแท่นขาดความต่อเนื่อง
ตัวอย่างการปรับอินทรีย์ ๕ และ พละ ๕ ไม่สมดุลกันในสมัยพุทธกาล ก็คือ กรณีของพระอานนท์ที่ถูกคณะสงฆ์กำหนดให้เข้าร่วมประชุมสังคายนาโดยที่ยังไม่สำเร็จอรหันต์ ท่านจึงเร่งทำความเพียรอย่างหนักเพราะในวันรุ่งขึ้นจะเป็นวันประชุมอยู่แล้ว ท่านก็ยังไม่สามารถสำเร็จอรหันต์ เนื่องจากมีวิริยินทรีย์(หน้าที่ของความเพียร)มากเกินไป ต่อเมื่อท่านหยุดพักผ่อนบนเตียงนอน พอเอนกายยกเท้าขึ้นเหนือพื้น แต่ศีรษะยังไม่จรดถึงหมอน ท่านก็สำเร็จอรหันต์ และได้เข้าประชุมสงฆ์ทันเวลาในวันรุ่งขึ้นพอดี
คงจะทำให้เข้าใจ "พละ ๕ อินทรีย์ ๕ มันต้องเกิดพร้อมกัน มันเกิดที่ละอย่าง มันรู้ไม่ได้หรอก" ของหลวงพ่อโพธิ์อย่างแจ่มแจ้งแล้วนะครับ
สวัสดีค่ะอ.ศิริศักดิ์
มีหลายส่วนที่ชอบในบันทึกค่ะอาจารย์ แต่ที่ชอบที่สุดคือที่อาจารย์บอกว่า "เปรียบผู้ปฏิบัติธรรมเสมือน"รถเทียมม้า ๔ ตัว(๒ คู่)" ศรัทธากับปัญญาเป็นม้า ๑ คู่ วิริยะกับสมาธิเป็นม้าอีก ๑ คู่ สำหรับสติเป็นสารถีทำหน้าที่ควบคุมม้า คอยกระตุกเชือกไม่ให้ม้าตัวหนึ่งตัวใดวิ่งล้ำหน้าม้าตัวอื่น" รู้สึกว่าชัดเจนดีค่ะ
อาจารย์เขียนเรื่องนี้เหมือนมาเตือนสติพอดี (อีกแล้ว) กำลังมึนๆ กับปัญหาบางอย่างอยู่ในงานประจำ แต่ตอนนี้ปัญญาเกิดแล้วค่ะ แต่อาจไม่ไวเท่างูแลบลิ้นนะคะ 555
ขอบคุณค่ะอาจารย์ แล้วจะแวะมาเยี่ยมใหม่ค่ะ..
สาธุ...ครับ
แว๊บเดียวเอง
กราบสวัสดีครับ อ.ศิริศักดิ์
ธรรมะสวัสดีครับ
สวัสดีครับ....
อย่างที่ว่าแหละครับ ปัญหาที่เกิดขึ้นทั้งกับผู้ปฏิบัติธรรมและไม่ปฏิบัติธรรมทั้งหลาย คือความไม่ทำให้เกิดความสมดุลในองค์ประกอบที่จำเป็นสู่ความสำเร็จต่างๆ
ยิ่งการปฏิบัติเพื่อต้องการให้หลุดพ้น ยิ่งยากใหญ่ คนส่วนมากจะเร่งความเพียรมากกว่าอย่างอื่น เพราะทำได้ง่าย มีประสบการณ์ว่า"ขยันทำมากก็จะได้ผลมาก" ก็เลยหลงทางไปบ้าง
แต่สุดท้ายธรรมชาติก็จะเป็นตัว"เบรก"ให้เอง คือ ทำความเพียรมากก็จะเหนื่อยกายมาก ยิ่งตระหนักว่าตัวเองยังไม่สามารถบรรลุธรรม ก็จะเหนื่อยใจด้วย ทำให้การเร่งทำความเพียรถูกชลอลงไปเองโดยอัตโนมัติ เมื่อถึงจุด"สมดุล" ก็จะเห็นความก้าวหน้าของการปฏิบัติ และบรรลุธรรมในที่สุด เช่นเดียวกับพระอานนท์
เพื่อนๆนักปฏิบัติธรรมทั้งหลายอย่าย่อท้อนะครับ ให้ดูจิตตัวเองอยู่เรื่อยๆ ทำใจให้เป็นกลาง จะเห็นเองแหละครับว่า"อะไรขาด อะไรเกิน"
สวัสดีค่ะ อ.ศิริศักดิ์
ชอบที่อาจารย์นำเสนอเรื่องความสมดุลค่ะ เพราะบางทีคนเราจะหลงไปกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งมากได้ง่าย มัก"จับ" หรือโฟกัสอยู่กับเรื่องบางเรื่องเท่านั้น จนลืมเรื่องสำคัญอื่นๆ ไป ทำให้ทำอะไรไม่สำเร็จ หรือมักคิดว่าทำแล้วไม่เห็นได้ดังคาด เป็นทุกข์เป็นร้อนกันต่อไปอีก
ขอบคุณอาจารย์ที่เตือนสติค่ะ ; )
ครูบาอาจารย์ผม (หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ) ท่านก็สอนว่า ไม่ทำก็เป็นการประมาท เร่งรัดเอาผลก็ไม่ได้ แต่ขอให้ทำไปเรื่อยๆ ห้ามลามือ (ห้ามหยุด) อุปมากับการกินข้าว กินไปเรื่อยๆ ไม่ต้องหวังให้อิ่ม ถึงเวลามันก็อิ่มเอง
สวัสดีครับคุณ
หลวงปู่ดู่เป็นอริยสงฆ์ คำสอนของท่านจะเรียบง่าย ฟังแล้วไม่ต้องตีความ จะโดนใจเลย
สวัสดีครับอาจารย์กมลวัลย์
ความสมดุลที่ว่าไม่จำเป็นว่าแต่ละองค์ประกอบจะต้องเท่ากันหรอกนะครับ "สมดุลของแต่ละคนแต่ละกาลเวลา"จะต่างกัน
ยกตัวอย่างเช่น คนที่ไม่มีความรู้เลย ต้องใช้องค์ประกอบความเพียรมากกว่าองค์ประกอบปัญญาก่อนในตอนแรก หลังจากมีปัญญาในตัวมากขึ้นแล้ว ความสมดุลจะมีสัดส่วนความเพียรต่อปัญญาก็จะลดลง
ขอบคุณนะครับที่ชอบอ่าน