อธิบายภาพ
: ต้นนุ่น การปั่นนุ่น
เพื่อทำหมอนและเครื่องนอน
วาดภาพ : วิรัตน์ คำศรีจันทร์
เสื้อผ้าและเครื่องนุ่งห่ม เป็น ๑ ในปัจจัย ๔ สำหรับการดำรงชีวิตของทุกคน ดังนั้น ภูมิปัญญาชาวบ้านในการผลิตและสร้างสรรค์เกี่ยวกับเครื่องนุ่งห่ม เสื้อผ้า ตลอดจนเครื่องนอนต่างๆ จึงเป็นเสมือนทักษะและวิชาชีวิตที่ชุมชนต่างๆจะต้องเรียนรู้ และพัฒนาความสร้างสรรค์ให้เกิดขึ้นอยู่เสมอ อีกทั้งจัดว่าเป็นสิ่งสะท้อนความเป็นตัวของตัวเอง เป็นองค์ประกอบหนึ่งของสังคมและชุมชนที่มีความเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับวัตถุดิบและทรัพยากรของท้องถิ่น บ่งชี้การพัฒนาวิธีคิดและความสร้างสรรค์ของชุมชน ตลอดจนแสดงถึงการพัฒนาภูมิปัญญาและความผสมผสานของวิทยาการและเทคโนโลยี ที่เหมาะสมและพอเพียง
ในมิติสังคมวัฒนธรรมและกระบวนการเรียนรู้ที่อยู่ในวิถีชีวิตนั้น ชุมชนจะให้คุณค่าและความหมายของการทอผ้า ตลอดจนการทำเครื่องนุ่งห่มและเครื่องนอน สำหรับใช้ในโอกาสต่างๆ เหมือนกับเป็นผลรวมของของการพัฒนาชีวิตหลายด้าน สามารถใช้เป็นของฝากและสิ่งแสดงความเคารพในวาระพิเศษต่างๆ เช่น การเป็นของไหว้พ่อแม่และบุพการีในงานแต่งงาน ซึ่งสื่อแสดงถึงความเป็นคนรู้ทำมาหากินและรู้จักจัดหาปัจจัยเพื่อการดำเนินชีวิตให้มีความเจริญงอกงาม ใช้เป็นของที่ระลึก ทำบุญ และสันถาวะแขกผู้มาเยือน คนหนุ่มคนสาว รวมทั้งครอบครัวพ่อแม่ที่มีลูกหลานที่จะต้องออกเรือนในอนาคต ก็จะเรียนรู้ที่จะต้องทอผ้า ทำหมอนและเครื่องนอนสะสมต่อเนื่องเป็นแรมปีเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในของสำหรับจัดงานแต่งงานและทำบุญ
ด้วยบทบาทและความสำคัญดังกล่าวนี้ ชาวบ้านและชุมชนคนหนองบัว ตลอดจนชุมชนอีกหลายแห่งในถิ่นชนบทของสังคมไทย จึงมีวัฒนธรรมการทอผ้า ทำนุ่น ทำเครื่องนุ่งห่ม เสื้อผ้า และเครื่องนอน เสมือนเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิต ในอดีตนั้น ต้นนุ่น การทำนุ่น และการทำเครื่องนอนเครื่องนุ่งห่ม จึงเป็นสิ่งที่พบเห็นได้ทั่วไปและเป็นพื้นฐานความสร้างสรรค์สิ่งต่างๆก่อนที่จะเปลี่ยนแปลงและมีพัฒนาการสู่เงื่อนไขแวดล้อมใหม่ๆของสังคม
ต้นนุ่น การทำนุ่น หมอน และเครื่องนอน
ลักษณะต้นนุ่น ฝักนุ่น และนุ่น
ต้นนุ่น เป็นไม้ยืนต้นที่มีฝัก ซึ่งในฝักจะมีนุ่นสำหรับนำมาทำหมอนและเครื่องนอนให้อ่อนนุ่ม ลักษณะของต้นนุ่นจะเหยียดตรง ทั้งลำต้นและกิ่งก้านจะมีสีเขียว เริ่มออกดอกและติดลูกในหน้าหนาว ดอกของต้นนุ่นนำมาทำเป็นผักจิ้มน้ำพริกกินเป็นอาหารได้ เมื่อถึงคราออกดอกและฝัก ก็จะทิ้งใบจนเกือบหมดทั้งต้น เหลือเพียงฝักซึ่งจะมีน้ำหนักและโน้มให้กิ่งลู่ ฝักต้นนุ่นเมื่ออ่อนจะมีสีเขียวเช่นเดียวกับเปลือกลำต้น เมื่อเข้าสู่หน้าแล้งฝักนุ่นก็จะแก่ ฝักแก่ของต้นนุ่นมีสีน้ำตาลด้าน หากไม่สอยมาตากให้แห้งและเก็บไว้ใช้ประโยชน์ฝักนุ่นที่แก่คาต้นก็จะแตกออกและเมล็ดสีดำของต้นนุ่นซึ่งจะมีปุยนุ่นติดอยู่ตามขั้วเมล็ดก็จะปลิวลอยล่องไปตามลม ตกลงไปที่ใด เมื่อถึงหน้าฝนก็จะงอกและเติบโตอย่างง่ายดาย ต้นนุ่นจึงแพร่กระจายได้ง่ายมาก
การเก็บและสอยฝักนุ่น
เมื่อเข้าสู่หน้าแล้งหลังเกี่ยวและนวดข้าวซึ่งฝักนุ่นก็จะแก่พอดี ก็จะเป็นช่วงเวลาที่ชาวบ้านวางมือจากการทำนาหันไปทำงานสร้างสรรค์สิ่งต่างๆทั้งของชุมชน วัด สิ่งสาธารณะ และของตนเอง การทำนุ่น ทอผ้า และทำเครื่องนอนหมอนมุ้ง ก็จะเป็นงานหัตถกรรมสำหรับเด็ก สตรี และกลุ่มแม่บ้านแม่เรือน โดยจะเริ่มจากการช่วยกันไปใช้ส้าวสอยฝักนุ่นและเขย่าที่กิ่งให้ฝักแก่หลุดจากขั้ว
แกะนุ่นและตะกร้าใส่นุ่น
จากนั้น ก็จะนำไปตากกลางลานจนแห้งสนิท เมื่อต้องการทำนุ่นก็เพียงเคาะฝักนุ่นกับท่อนไม้ ฝักนุ่นก็จะแตกออก ชาวบ้านจะแกะปุยนุ่นใส่ในเครื่องสานซึ่งสานด้วยไม้ไผ่ให้มีตาห่างๆ เนื่องจากในรอบแรกนี้ ปุยนุ่นจะมีเมล็ดนุ่นติดอยู่ด้วยจึงต้องใส่ในตะกร้าขนาดใหญ่เพื่อปั่นให้ปุยนุ่นฟูและเมล็ดหลุดออกไปจนหมด
ไม้กากบาทสำหรับปั่นและตีปุยนุ่น
เมื่อแกะปุยนุ่นติดเมล็ด ใส่ในตะกร้าสานขนาดใหญ่เต็มแล้ว ชาวบ้านก็จะปั่นนุ่นให้ฟูพร้อมกับแยกเมล็ดออกจากปุยนุ่น ไม้ที่ใช้ปั่นนั้น เป็นเทคโนโลยีและงานหัตถกรรมอย่างง่ายๆแต่มีประสิทธิภาพมาก โดยจะเหลาไม้ไผ่เป็นท่อนยาวขนาดพอเหมาะ ที่ปลายข้างหนึ่งทำไม้ไขว้กันเป็นกากบาทขนาดประมาณ ๑ คืบเพื่อปั่นและตีปุยนุ่น และบางครั้งก็อาจจะทำเป็นสองจังหวะโดยทำตรงกลางท่อนไม้อีกที่หนึ่ง
การปั่นแยกเมล็ดนุ่นและตีนุ่นให้เป็นปุยนุ่ม
ชาวบ้านจะใช้ไม้ปั่นและตีปุ่ยนุ่นด้านที่มีกากบาทดังกล่าว แหย่เข้าไปในปุยนุ่นในตะกร้านั้น พร้อมกับใช้มือทั้งสองข้างประกบที่ด้ามแล้วปั่นให้กากบาทหมุนกลับไปมาอย่างต่อเนื่อง ก้อนปุยนุ่นเมื่อถูกไม้กากบาทตีก็จะแตกออก เมล็ดนุ่นสีดำสนิทขนาดประมาณ ๒ เท่าของเมล็ดพริกไทยก็จะหลุดลอดออกจากตาห่างๆของตะกร้า ชาวบ้านจะค่อยๆปั่นและตีจนปุยนุ่นฟู อ่อนนุ่ม เสร็จแล้วก็จะเก็บไว้ในกระสอบและนำนุ่นที่ยังไม่ได้ปั่นมาใส่ตะกร้าชุดใหม่แล้วก็ปั่นต่อไปอีกเรื่อยๆจนได้ปริมาณที่ต้องการ
การยัดนุ่นใส่หมอนและเครื่องนอน
จากนั้น จึงจะนำเอาหมอนและเครื่องนอนต่างๆที่เย็บผ้าเตรียมไว้ออกมายัดนุ่น ทำทีละชิ้นและอย่างเป็นงานศิลปหัตถกรรม อดทน มีสมาธิ หากรีบเร่งและใจร้อนหรือขาดการเรียนรู้ นุ่นที่ยัดใส่หมอนและเครื่องนอนก็จะแข็งและเป็นก้อนตะปุ่มตะป่ำ หากใส่น้อยไปและคำนวณไม่ได้ที่ ก็จะเหลวและอ่อนเกินไป
จะเห็นได้ว่า กว่าที่จะออกมาเป็นหมอนและเครื่องนอนที่สวยงามและอ่อนนุ่มน่านอนนั้น มีกิจกรรมที่ออกมาจากชีวิตจิตใจของผู้คนและกระบวนการที่เกี่ยวข้องอยู่เบื้องหลังอีกมากมาย การทำนุ่นและเครื่องนอนจึงบ่งบอกความเป็นผู้สังเกต เรียนรู้ มีภูมิปัญญาปฏิบัติ ความเป็นคนเอาธุระ และความเป็นคนทำการทำงาน เป็นแม่บ้านแม่เรือน เรียกอย่างชาวบ้านได้ว่า 'เป็นคนเอาถ่าน'
การจัดการการศึกษาอย่างมีส่วนร่วม
และการพัฒนาเครือข่ายการเรียนรู้อย่างบูรณาการ
การทำนุ่น หมอน และเครื่องนอนต่างๆ นอกจากเป็นกระบวนการเรียนรู้และสั่งสมภูมิปัญญาชาวบ้านไว้ในชุมชนและครัวเรือนแล้ว เราสามารถพัฒนาเป็นองค์ความรู้ชุมชนและพัฒนาเป็นทรัพยากรการจัดการศึกษาเรียนรู้อย่างบูรณาการ เพื่อบรรลุจุดหมายการพัฒนาการศึกษาเรียนรู้อย่างเป็นองค์รวม
ด้านวิทยาศาสตร์ชาวบ้านและวิทยาศาสตร์ชุมชนก็สามารถพัฒนากระบวนการเรียนรู้เกี่ยวกับการพัฒนาอย่างเป็นระบบให้ได้สีสันจากวัตถุดิบในธรรมชาติที่สวยงามและไม่เป็นมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม เทคนิคการย้อมที่คงทนและได้ความสม่ำเสมอ ลักษณะการวางเพื่อตากแดดให้ฝักแก่ของนุ่นแห้งสนิทอย่างมีประสิทธิภาพที่สุด ในด้านการคิดก็สามารถเรียนรู้วิธีออกแบบสร้างสรรค์ลวดลายต่างๆ
ด้านศิลปหัตถกรรมก็สามารถเรียนรู้การทำนุ่นและเครื่องนอนด้วยการพึ่งฝีมือและความสร้างสรรค์ของตนเอง ด้านการวางแผนและบริหารจัดการเชิงเศรษฐกิจก็สามารถพัฒนาการเรียนรู้ด้านการกระจายผลผลิตของชุมชนให้มีประสิทธิภาพที่สุด การตั้งราคา การนำไปขายจ่ายแจก และการจัดการด้านรายได้ ด้านภาษาอังกฤษก็สามารถพัฒนาคำศัพท์พื้นฐานและการใช้ในสถานการณ์ต่างๆจากสิ่งที่เกี่ยวข้อง ทำให้ได้ความสามารถด้านภาษาต่างประเทศที่ออกมาจากการมีความลึกซึ้งเกี่ยวกับตนเอง
ด้านการเรียนรู้ทางสังคมและพัฒนาความเป็นพลเมือง ก็สามารถพัฒนาความสำนึกต่อสังคม การเรียนรู้เกี่ยวกับชุมชนและรากเหง้าของตนเอง ด้านสุขภาพและสุขภาวะชุมชนก็สามารถพัฒนาการเรียนรู้ความเป็นปัจจัยสังคมและสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการมีสุขภาพดี เหล่านี้เป็นต้น
กระบวนการเรียนรู้และการจัดการศึกษาเรียนรู้อย่างมีส่วนร่วมของชุมชนในลักษณะดังกล่าว นอกจากจะเป็นการพัฒนาการศึกษาเรียนรู้แก่เด็กอย่างเป็นองค์รวมแล้ว ก็จะก่อให้เกิดปฏิสัมพันธ์และมีความเชื่อมโยงกันอย่างใกล้ชิดของโรงเรียนกับชุมชน ชุมชนก็จะมีโรงเรียนเสริมกำลังเป็นหน่วยจัดการทางวิชาการ ส่วนโรงเรียนก็จะมีกำลังสนับสนุนจากเครือข่ายชุมชน ทำให้โรงเรียนในชุมชนหนองบัวและในแหล่งชนบทมีโอกาสพัฒนาการศึกษาด้วยตนเองได้มากยิ่งๆขึ้น.
สงสัยผมเป็นคนโบราณ แหงๆๆเลยครับอาจารย์ เมื่อหลายอาทิตย์ก่อน สอยนุ่นหน้าบ้านไร่ ถ้าสอยไม่ดี นุ่นที่แก่จัดจะแตกกระจายเลยครับ แม่เอาไปทำหมอน ปัญหาสำคัญตอนปั่นนุ่นคือ เมล็ดนุ่นครับ มันชอบติดไป แต่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยเห็นใครทำแล้ว หรือว่าผมเป็นคนโบราณอยู่บ้านเดียว...ถ้าเอาประยุกต์ใช้ในการสอนคงดี แต่คงต้องปรับบริบทให้เข้ากับนักเรียน ลืมถามไปว่า ต้นนุ่นบ้านอาจารย์เอาไปทำอะไร บ้านผมเอาไปทำเรือเล็กๆๆให้เด็กๆๆ อีกอย่างคือทำ ตาหลุมเพชร (ศิวลึงส์) วางไว้ตามสี่แยกเพื่อขอฝน ฮ่าๆๆ ตอนนี้ที่บ้านเหลือนุ่นต้นเดียว แต่ดกมากๆๆ จะพยายามปลูกเพิ่มนะครับ...
ผมเพิ่งคุยถึงอาจารย์กับน้องๆว่าผมประทับใจและแปลกใจจริงๆว่าทำไมครอบครัวของอาจารย์และอาจารย์มีประสบการณ์ชีวิตหลายอย่างอย่างคนบ้านนอกเหมือนผมและชุมชนในชนบทหลายแห่งมาก บางเรื่องที่อาจารย์คุยและนำมาแบ่งปันนั้น ก็รู้เลยว่าเป็นการคุยออกมาจากสิ่งที่อยู่ในการดำเนินชีวิตจริงๆ
อย่างเรื่องต้นนุ่นและการทำนุ่นนี้ก็เช่นกัน ผมแปลกใจมากจริงๆว่าทำไมอาจารย์รู้ในรายละเอียดถึงวิธีใช้ประโยชน์จากต้นนุ่น หากเป็นคนแก่ๆอย่างผมหน่อยก็จะไม่แปลกใจ แต่ในกรณีของอาจารย์นี่ผมแปลกใจสองชั้นเลย คือ ชั้นแรกเลยก็แปลกใจว่าแถวเมืองกาญจนบุรีบ้านอาจารย์นั้น คนรุ่นอาจารย์ที่ยังสามารถได้ทันเห็นการทำนุ่นนั้นต้องนับว่าน่าประทับใจมากละครับ
แปลกใจชั้นที่สองก็คือ จากการบอกเล่าของอาจารย์นี่ สื่อให้เห็นได้ว่าไม่เพียงเป็นการทันได้เห็นผ่านตาเฉยๆละครับ แต่มาจากการมีประสบการณ์และการได้สัมผัสธรรมชาติของนุ่นและต้นนุ่นจริงๆเลยทีเดียว มันชอบฝักแตกในขณะที่สอยและทำให้มีปุยนุ่นปลิวมาติดจมูก ยิ่งอากาศร้อนและเหงื่อออกก็จะติดตามเนื้อตัว
เด็กๆผมก็ชอบต้นนุ่นครับ หน้าน้ำหลากก็นำมามาทำเรือ หน้าแล้งก็เอามาทำล้อรถลาก ลากไปโรงเรียนและลากไปตามหมู่บ้าน ต้นนุ่นเนื้ออ่อนและงอกใหม่อย่างง่ายดาย ก็เลยเหมาะสำหรับเป็นวัตถุดิบให้เด็กๆหัดเรียนรู้การทำงานฝีมือ
ทันทีที่ที่ได้กลับบ้านจะเอาบันทึกนี้ไปอ่านให้แม่ฟังนะครับ แม่ต้องดีใจมากๆๆที่ยังมีคนใช้ประโยชน์จากนุ่น ถ้าเป็นไปได้ ผมจะหาภาพการสอยนุ่นที่บ้านมาประกอบบันทึกนี้นะครับ เดี๋ยวนี้ผมพัฒนาแล้ว ผมใช้มีดเล่มเล็กๆๆคมๆๆผูกติดปลายไม้ ตอนสอยเลยเป็นเหมือนการตัดแทน นุ่นไม่กระจายครับ แต่ต้องผูกมีดแน่นๆๆ ไม่อยากนั้น อาจเจอมีดลี้กิมฮวงของตนเองได้ครับ ฮ่าๆๆๆๆ
การทำเครื่องนอนและหมอนเป็นงานสำคัญของงานออกเรือนฝ่ายหญิงของคนหนองบัว-หนองกลับเมื่อจะแต่งงานมีคู่ครอง
เป็นภาระงานใหญ่ของกลุ่มญาติที่ลูกหลานจะแต่งงานและภาระการจัดหาเฟอร์นิเจอนี้ก็ไปตกอยู่กับบ้านฝ่ายหญิง เป็นงานที่จะต้องใช้ความร่วมมือร่วมใจเป็นการเอาแรงกันหรือขึ้นแรงกันไว้ก่อนแล้วค่อยใช้แรงคืนเมื่อลูกของผู้ที่ขึ้นแรงตนไว้นั้นออกเรือน
เมื่อถึงวันแต่งงานเรือนหอหลังใหม่จะต้องมีที่นอนและหมอนใส่ตู้(ชั้ว)นำมาโชว์คู่บ้านหลังใหม่(เฟอร์นิเจอร์) โดยเฉพาะหมอนนั้นมีมากมายเป็นจำนวนร้อยๆใบ มากขนาดมีงานบวชหรืองานทำบุญอื่นๆ สามารถใช้หมอนมุ้งจากเรือนหอหลังเดียวนี้รองรับญาติพี่น้องที่มานอนช่วยงาน(แม่ครัว)และผู้เฒ่าผู้แก่หลายสิบคนโดยไม่ต้องหยิบยืมจากเพื่อนบ้านเลย นอกจากที่นอนหมอนมุ้งแล้วก็ยังมีเครื่องใช้ประจำบ้านอีกหลายอย่าง
ตอนที่นุ่นยังไม่แก่ เด็กๆมักจะไปสอยฝักนุ่นอ่อนๆมาแกะเมล็ดอ่อนกินกัน และที่ชอบมากๆก็เป็นอย่างที่อาจารย์กล่าวคือต้นนุ่นนำมาทำล้อรถลากเล่นกันอย่างสนุกสนาน
เรียนท่านอ.วิรัตน์ คำศรีจันทร์
ดีใจจังเลยที่ได้เจอบันทึกนี้
ไม่เคยทำอย่างน้องอ.ขจิตค่ะ
แต่จำได้ว่าเคยช่วยแม่ทำเมาะค่ะ แม่จะซื้อนุ่นเป็นถุงๆจากตลาด เอานุ่นมายัดใส่ถุงผ้าขนาดใหญ่ ใส่ไม่เต็มใบ พอตบๆให้เป็นแอ่งสำหรับนอนได้ ก็เย็บปิดปากถุงกันนุ่นออก
ขณะยัดนุ่นใส่เมาะ จะมีเศษนุ่นติดตามเนื้อผ้า ตามมือก็เอามือชุบน้ำให้เปียกก่อนแล้วมาลูบเอานุ่นที่ติดเมาะออก ซึ่งจะออกง่าย แล้วตบเบาๆ หลังจากนั้นนำไปผึ่งแดด ก่อนนำไปใช้ เสียดายจังเลย ไม่มีรูปเมาะในสมัยนั้นให้ชม
แล้วถ้าเมาะเกิดเปียกเพราะน้องนอนแล้วปล่อยให้เมาะเปียก ก็จะนำเมาะไปซัก โดยปัดให้นุ่นไปรวมกันตรงที่ไม่เปียก แล้วก็ซักบริเวณผ้าที่เปียก ส่วนผ้าที่นำมาเย็บเมาะก็นิยมใช้ผ้าริมเขียว บางครั้งก็ใช้ผ้าลายดอกค่ะ
กราบนมัสการพระคุณเจ้า พระอาจารย์มหาแลครับ
สวัสดีครับคุณครูkrutoitingครับ เมาะนี่รู้จักครับ แถวบ้านก็ใช้สำหรับเป็นที่นอนของเด็กเล็กครับ เด็กนอนเมาะนี่ หากเป็นแถวบ้านก็จะเป็นเด็กที่โตกว่าเด็กนอนอู่และต้องไกวเปล แต่ก็ยังเล็กแบเบาะมากกว่าเด็กที่นอนอย่างทั่วไปได้แล้วน่ะครับ
ดีใจมากที่มาเจอกระทู้นี้ ผมรักนุ่น รักชีวิตแบบเดิมๆ ทุกวันนี้ก็ยังสนับสนุนให้ทุกคนที่รู้จักใช้นุ่น โดยเฉพาะเบาะหรือเมาะที่ตัดด้วยนุ่น
เคยทำแจกคนยากคนจนที่ละหลายใบที่เดียว เดี๋ยวนี้ก็ยังแจกถามีคนมาขอครับ
สวัสดีครับอาจารย์ ผมใช้ชีวิตอยู่ที่ประเทศอังกฤษ 20 ปี คนในประเทศที่พัฒนาแล้วอย่าง U.K. จะพยายามหาวัสดุที่มาจากธรรมชาติมาใช้ในชีวิตประจำวัน แทน artificial material อย่างใยสังเคราะห์ แต่บ้านเรามีสิ่งของธรรมชาติอย่างนุ่นที่เป็นของที่น่ารักษาใว้ แต่ไม่มีใครสนใจใยดี แต่นิยมวัสดุที่ต้องทำ ต้องผลิตจากสารเคมีต่างๆ และเป็นต้นเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาผมรณรงค์ให้คนใกล้ตัวผมหันมาใช้วัสดุธรรมชาติในการดำรงค์ชีวิต และผมได้ทำเบาะ หรือเมาะที่ใช้นุ่นแจกให้ลูกน้องที่ที่ทำงานเอาไปใช้แล้วไม่น้อยกว่า 30-40 ใบ ทุกวันนี้ถ้ามีใครมาขอ ผมก็ยังยินดีที่จะสั่งทำ และให้เขาเอาไปใช้โดยไม่คิดเงิน ชอบเรื่องที่อาจารย์ Toiting เขียนมากครับ นึกถึงภาพสมัยเด็กๆชัดเจนมาก ถ้าอาจารย์มีเรืองดีๆอย่างนี้อีก อยากอ่านครับ
สวัสดีครับคุณเสนอ รัตนาวลี
อ่านข้อเขียนของอาจารย์ พี่๕ณต้อยและคุณเสนอแล้วประทับใจครับ ในภาพเป็นที่ไร่ที่พนมทวนไม่ไกลจากที่อาจารย์ศิวกานต์อยู่ครับ...
เรียนอาจารย์วิรัตน์
เมื่อวานลางานไปตีกอล์ฟที่นครชัยศรี ผ่าน ม.มหิดล ยังนึกถึงอาจารย์อยู่เลยครับ ผมมีเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับที่ผมรณรงค์ที่จะให้คนไทยเราหันมาใช้ของที่ผลิตจากธรรมชาติ บ้างคนก็แซว บางคนก็พูดว่า"คุณเสนอไปอยู่ต่างประเทศมาตั่งนานทำไมยังเชยและก็บ้านนอกอยู่" เหตุเกิดตอนที่ผมพยายามอธิบายว่าทำไมเราถึงควรหันกลับมาใช้วัสดุธรรมชาติในการดำรงชีวิต เพราะ ช่วงก่อนที่ผมจะกลับมาอยู่เมืองไทย ได้มีเหตุการณ์ที่เรียกว่า Baby Sudden Death Syndrome หรือ"หลับตายโดยไม่รู้สาเหตุ" ผมได้หาข้อมูลจากการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ว่า สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการที่เด็กนอนคว่ำในเปลหรือเตียงนอนที่ใช้เบาะหรือที่นอนที่ทำมาจากฟองน้ำ และได้หายใจเอาสารระเหยจากสารเคมีที่ใช้ผลิตฟองนำเข้าไป ทำให้ระบบหายใจหยุดทำงาน ผมส่งข้อมูลและเอกสารดังกล่าวมาให้นิตยสาร"สกุลไทย" ซึ้งก็ได้รับการตอบรับและตีพิมพ์ในหนังสือ ผมยังได้ส่งข้อมูลที่กล่าวมาแล้วข้างต้นไปที่หน่วยงานของรัฐฯอีกหลายแห่ง แต่ไม่ได้รับการตอบรับ แถมยังมีคนออกมาพูดว่าการวิจัยดังกล่าวไม่ conclusive จนกระทั่งทุกวันนี้ก็ยังหาสาเหตุที่ชัดเจนไม่ได้ นอกเหนือจากที่นักวิทยาศาสตร์ได้วิจัยออกมาแล้วข้างต้น เขียนมาเล่าให้ฟังครับ ว่าทำไม วิธีการคิดแก้ไขปัญหาต่างๆในประเทศที่ยังได้ชื่อว่า under developed country ถ้ามีผลประโยชน์ของพ่อค้า หรือนักการเมืองเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องการแก้ปัญหานั้นๆก็จะไม่เป็นไปตามเหตุ ตามผลที่มันควรจะเป็น (ถ้าออกมาบอกว่าเบาะเด็กอ่อนที่ทำมาจากฟองนำอาจเป็นอันตรายต่อเด็กถึงตายได้ อาจจะมีโรงงานผลิตที่นอนฟองน้ำเด็กอ่อนถึงกับเจ็งได้งัยครับ) นี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผมออกมารณรงค์ให้คนไทยเลิกใช้ฟองน้ำในผลิตภัณฑ์ที่เด็กอ่อนใช้ เช่นเบาะฟองน้ำเป็นต้น และหันกลับมาใช้ของธรรมชาติที่บริสุทธ์ และปลอดภัยอย่าง นุ่นเป็นต้น เขียนมาเล่าสู่กันฟังครับ
สวัสดีครับคุณเสนอ รัตนวลี
แวะมาอ่านข้อคิดจากท่านอ. คุณเสนอ น้องอ.ขจิต ด้วยความสุขใจ
ก่อนจะขอลาไปพักผ่อน
ขอบพระคุณค่ะ
สวัสดีครับคุณครูkrutoitingครับ
สวัสดีค่ะ
แวะเอาเมาะมาฝากค่ะ
ครูต้อยได้รับเมาะวันนี้จากคุณเสนอ
ซึ่งได้รู้จักกันจากบันทึกของอ.นี่เอง
แต่ยังไม่เห็นตัวเป็นๆทั้งท่านอ.และคุณเสนอ
เด็กน้อยตื่นเต้นกันมาก ขอกอดกัน บอกว่า
ทำไมหมอนใหญ่ใบนี้นุ่มและอบอุ่น
จึงอธิบายคร่าวๆ และแนะนำให้มาอ่านบันทึกนี้ค่ะ
ขอบคุณค่ะ
สวัสดีครับkrutoitingครับ
เรียนท่านอ.วิรัตน์
เด็กๆมาเรียนรู้เต็มโต๊ะคอมของครูต้อยแล้ว
จึงคลิ๊กลิงค์มาที่นี่ค่ะ
นี่กำลังตื่นเต้นมากๆ
บอกว่าอ.คนนี้หนูเคยเข้ามาcopyภาพลายเส้น
ไปส่งม่ามี๊(อิอิ.ต้องแอบยิ้มคะ
เพราะเด็กน้อยยังไม่เข้าในเรื่องการเรียนรู้แบบออนไลน์
พอให้อ่านร้องโอโห..เยอะจังเลย
นุ่นนี่วิเศามาก
แล้วครูต้อยก็ต้องหาลิงค์ให้ดูภาพ
และคิดว่าจะพยายามหาต้นนุ่นมาปลูกสักต้น
ให้เป็ฯต้นไม้แห่งการเรียนรู้ของโรงเรียนค่ะ
เอาบันทึกนี้มาฝากด้วยนะคะ
โอกาสหน้าจะนำภาพวาดลายเส้นของเด็กๆ
ที่เข้ามาเรียนรู้มาฝากค่ะ
ขอบพระคุณค่ะ
มาอีกรอบลืมฝากลิงค์ค่ะ
http://gotoknow.org/blog/patipan/369067
ขอบคุณค่ะ
อยากเรียนว่าครูต้อยถ่ายเอง
เพิ่งได้กล้องมาใหม่กำลังเรียนรู้และฝึกหัดค่ะ
ทุกวันนี้ใช้หหมอนแบบในภาพหนุนนอนค่ะ ใบเดียวจบ
ไม่ปวดต้นคอด้วย หมอนแบบนี้เคยเรียนในชั่วโมงการฝีมือ
สมัยเด็กๆคุณครูสอนให้ทำแล้วก็ปักชื่อแสดงความเป็นเจ้าของแบบในภาพนี้เลยค่ะ
คุณครูได้ประเมินฝีมือการปักตัวอักษรไปพร้อมๆกับการเย็บ และการยัดนุ่น
ตลออดจนการทำความสะอาดฝุ่นนุ่นหลังจากงานเสร็จแล้ว
การเรียนวิชาการฝีมือจบแต่ละปีจะมีผลงานที่นำมาใช้ประโยชน์ที่บ้านได้ค่ะ
และเป็นการการันตีว่าเรียนมาแล้วผ่านแล้วผลงานเชิงประจักษ์
ต่างจากการวัดผลการเรียนรู้สมัยนี้มาก
ส่วนผลงานนร.สมัยก่อนจะอยู่ในห้องรับแขกที่บ้านของนักเรียน
หรือไม่ก็นำไปใช้ต่างจากสมัยนี้
ครูต้อยเป็นครูร่วมสมัยค่ะและเรียนรู้เทคโนโลยีด้วยตนเอง
โดยอาศัยคอมเป็นอุปกรณ์นำพาตัวเองไปสู่โลกกว้าง
สื่อITนี่ก็งูๆปลาๆแบบครูพักรักจำแล้วอาศัยมิตรในg2k
และกูรูอย่างท่านเป็นตำรา เป็นห้องสมุดที่มีชีวิต
โอกาสนี้ขอขอบพระคุณที่แบ่งปันพวกเราค่ะ
สัวสดีครับkrutoitingครับ
ร่วมขอบคุณคุณวิญญูกับผู้อ่านและผู้ที่เข้ามาชมด้วยนะครับ ที่ลิงก์เรื่องราวเกี่ยวกับต้นนุ่นที่สวนจิตรลดาและที่บ้านห้วยมงคล หัวหิน มาช่วยทำให้ได้เรื่องราวสำหรับการเรียนรู้และได้ความงดงามในใจอย่างกว้างขวางมากยิ่งๆขึ้น
เรียนอาจารย์
ต้นนุ่นทั้งประเทศไทยถูกตัดไปเกือบหมดแล้วเพื่อปลูกสัปรด , อ้อย และนำไปทำเยื่อกระดาษ
ผมได้วิจัยและค้นคว้าเรื่องนุ่นใหม่ทั้งหมดอีกครั้ง เรื่องและรูปของอาจารย์ดีมากครับ
http://varunyou.blogspot.com/2009/02/blog-post_05.html
http://www.greennetworkthailand.com/green_article/green_resource_06.pdf
สวัสดีครับคุณวิญญููครับ
สันถวะและสนทนากับพี่วิญญู วรัญญู
สมาชิกครอบครัวเจ้าของกิจการ 'ที่นอนจารุภัณฑ์' อำเภอโพธาราม ราชบุรี
ขุมความรู้เรื่องนุ่นและการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากนุ่นเจ้าหนึ่งของสังคมไทย
เมื่อวันศุกร์ที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๕๓ ที่ผ่านมา ผมได้ต้อนรับพี่วิญญู วรัญญู สมาชิกของครอบครัวรัญญูซึ่งทำกิจการที่นอนจารุภัณฑ์ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์เครื่องนอนที่มีชื่อเสียงเจ้าหนึ่งของไทย พี่วิญญูได้เข้ามาอ่านเรื่องนุ่นในเวทีของคนหนองบัวแล้วท่านประทับใจ ประจวบกับที่ท่านมีลูกสาวกำลังเรียนอยู่ปี ๓ ที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ ของมหาวิทยาลัยมหิดล ท่านมาส่งลูกสาว เลยก็แวะมานั่งคุยกับผมด้วย
มาก็ไม่ได้มาเปล่าๆ ครับ หอบหมอนที่ทำด้วยนุ่นมาฝากผมด้วย ๒ ใบ ท่าทางเหมือนนักศึกษาต่างประเทศรุ่นใหญ่กำลังหอบเครื่องนอนพะรุงพะรังเข้าหอพักมหาวิทยาลัย แล้วเราก็นั่งคุยกัน ผมได้ความรู้มากมายที่ไม่เคยรู้มาก่อนเลยเกี่ยวกับนุ่น เป็นต้นว่า
พี่วิญญูไปได้ฝักนุ่นจากในวังสวนจิตรมาฝักหนึ่ง ก็เลยเพียรนำเอาเมล็ดมาเพาะเป็นกล้าต้นนุ่นได้หลายต้น เมื่อโตขึ้นก็แผ่กิ่งก้านรูปร่างเหมือนฉัตร และตอนนี้พี่เขามีความตั้งใจที่จะฟื้นฟูกิจการของครอบครัวขึ้นมาอีกครั้งโดยจะเป็นคนปรับปรุงเทคโนโลยีต่างๆเอง ผมได้นั่งคุยและขอเรียนรู้เรื่องราวต่างๆเพื่อนำมารวบรวมไว้ในนี้ด้วย ด้วยความประทับใจ
เรื่องต้นนุ่นและเครื่องนอนที่ทำจากนุ่นนี้ให้การเรียนรู้ที่เชื่อมโยงได้อย่างกว้างขวางถึงกันไปหมด ที่มาของการเขียนและวาดรูปหัวข้อนี้ไว้ก็สืบเนื่องมากจากการที่ท่านพระมหาและและคุณเสวกท่านได้คุยบันทึกข้อมูลชุมชนไว้เรื่องการทำหมอนและที่นอนเตรียมขึ้นบ้านใหม่และจัดงานแต่งงานของคนหนองบัว รวมทั้งการทอผ้าและทำเครื่องนอนอยู่ในวิถีชีวิตของชาวบ้าน แต่ในที่สุดก็สามารถเชื่อมโยงให้เห็นการประกอบการในสังคมไทย
พี่วิญญูรอบรู้เรื่องนุ่นทั่วประเทศไทย ท่านบอกว่าที่หนองบัว อุทัยธานี สุโขทัย รวมไปจนถึงขอนแก่นและภาคอีสาน สามารถปลูกนุ่นและเคยผลิตปุยนุ่นให้กับที่นอนจารุภัณฑ์ด้วย ที่อุทัยธานีนั้นมีประสบการณ์ในการปลูกนุ่นเป็นพืชไร่
เมื่อวันศุกร์ที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๕๓ ที่ผ่านมา ผมได้ไปเป็นวิทยากรให้แก่เครือข่ายทำงานสุขภาพภาคประชาชน ของศูนย์ฝึกอบรมและพัฒนาสุขภาพภาคประชาชน ภาคกลาง จังหวัดชลบุรี ที่ชมเดือนรีสอร์ต จังหวัดสมุทรสงคราม เพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้และถอดบทเรียน เรื่อง ตำบลจัดการสุขภาพ สู่นวัตกรรมสุขภาพชุมชน ๗๓. การพัฒนานวัตกรรมสร้างสุขภาวะชุมชน : วิธีคิด การถอดบทเรียน การนำเสนอและสื่อสารเผยแพร่ [คลิ๊กเข้าไปอ่านที่นี่]
ในเวทีดังกล่าว ผมได้นำเอาเวทีคนหนองบัวไปยกตัวอย่าง ทั้งในแง่ของกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และร่วมกันสร้างความรู้ของชาวบ้านและคนจากชุมชนท้องถิ่น รวมทั้งในแง่ความเป็นนวัตกรรมที่ร่วมกันคิดและสร้างขึ้นจนสามารถผสมผสานวิทยาการและเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ากับวิถีความรู้ของชาวบ้าน สะสมความรู้และเป็นระบบปฏิบัติการสร้างความรู้ พร้อมกับจัดการความรู้ สื่อสารกับสังคมเรียนรู้สาธารณะอย่างกว้างขวางทั้งในระดับประเทศและจากทั่วโลก และผมได้ยกตัวอย่างจากเรื่องต้นนุ่นกับการทำเครื่องนอน
หลังจากทำงานกันในเวทีเสร็จ ก็มีสุภาพสตรีท่านหนึ่ง ท่านเป็น อสม.ดีเด่นระดับชาติและเป็นผู้สูงวัย ได้เดินเข้ามาทักทายและขอแนะนำตัวว่าท่านได้เห็นเรื่องราวในเวทีคนหนองบัวและเรื่องต้นนุ่นกับกิจการทำที่นอนจารุภัณฑ์ของครอบครัววรัญญูที่ราชบุรีแล้วมีความสุขมาก เพราะท่านบอกว่าในอดีตเมื่อกว่า ๓๐ ปีก่อนโน้นท่านเป็นคนเย็บที่นอนของที่นอนจารุภัณฑ์
ผมเองนั้นก็ประทับใจมากอย่างยิ่งที่เรื่องจากพื้นถิ่นคนหนองบัว สามารถถักทอและเชื่อมโยงความเป็นส่วนหนึ่งของกันและกันของสังคมไทยและโลกกว้างด้วยแง่มุมที่เห็นความงดงามของชีวิตผู้คนหลากหลายมิติ เห็นความเป็นญาติพี่น้องผ่านความเป็นปัจจัยแห่งการดำรงอยู่ด้วยกันในสังคมที่สัมผัสได้ เป็นความรู้ที่สร้างขึ้นจากวิถีชีวิตซึ่งให้ทั้งความซาบซึ้ง ควรค่าแก่การน้อมรำลึก และเกิดความเคารพต่อพลังแห่งความสร้างสรรค์ของผู้คนที่อยู่ร่วมกันในสังคม มากยิ่งๆขึ้น.
นางหนู วรัญญู
เป็นคนโพธาราม อาชีพเดิมพายเรือรับจ้างพาคนข้ามแม่น้ำแม่กลองที่อำเภอโพธาราม ต่อมาได้ฝึกหัดการเย็บเปลือกที่นอน(เย็บด้วยมือไม่ได้ใช้จักร)ขายเพื่อให้คนซื้อนำไปยัดนุ่น ด้วยเป็นคนมีฝีมือสามารถเย็บเปลือกที่นอนได้สวยต่อมาจึงสอนคนงานให้เย็บเปลือกที่นอนจำนวนมาก นำไปขายยังอำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ต่อมาจึงมีคนแนะนำให้ยัดนุ่นเป็นที่นอนสำเร็จขาย เลยเกิดกิจการทำที่นอนที่ อ.โพธาราม ลูกๆ นางหนู ทำโรงานที่นอนนุ่น 3 โรงงานด้วยกัน คือ ที่นอนกิมเจียง , ที่นอนจันทนา และที่นอนจารุภัณฑ์
ต่อมามีญาตินางหนู มาเรียนทำที่นอนนุ่นไปเปิดกิจการที่จังหวัดสุพรรณบุรี
รวมทั้งพี่สาวนางวัจนี วรัญญู (ภรรยานายทนง วรัญญู) ได้เปิดร้านที่นอนนิทราทิพย์ ที่ ต.อ่างศิลา อ.เมือง จังหวัดชลบุรี
ปัจจุบันเจ้าของร้านที่นอนได้เสียชีวิตไปหมดแล้ว คงเหลือนางวัจนี วรัญญู ภรรรยานายทนง วรัญญู เพียงคนเดียว
และยังคงมีช่างเย็บที่นอนด้วยมือ เหลืออยู่ 2 คน อายุ 80 ปี ยังแข็งแรง ปัจจุบันทำงานเป็นช่างทำตุ๊กตา
ผมขอขอบคุณอาจารย์วิรัตน์ เป็นอย่างมากที่บันทึกเรื่องราวนี้
ขอบคุณค่ะ..ตามมาดูการทำหัตถกรรมจากนุ่น สะท้อน " การถักทอและเชื่อมโยงความเป็นส่วนหนึ่งของกันและกันของสังคมไทยและโลกกว้างด้วยแง่มุมที่เห็นความงดงามของชีวิตผู้คนหลากหลายมิติ เห็นความเป็นญาติพี่น้องผ่านความเป็นปัจจัยแห่งการดำรงอยู่ด้วยกันในสังคมที่สัมผัสได้ เป็นความรู้ที่สร้างขึ้นจากวิถีชีวิตซึ่งให้ทั้งความซาบซึ้ง ควรค่าแก่การน้อมรำลึก และเกิดความเคารพต่อพลังแห่งความสร้างสรรค์ของผู้คนที่อยู่ร่วมกันในสังคม มากยิ่งๆขึ้น."
เป็นหัวข้อที่รวบรวมข้อมูลได้มากขึ้นเรื่อยๆเลยนะครับ
เชื่อมโยงไปได้ไกลถึงระดับนานาชาติเลยทีเดียว