มนุษย์มักจะทำร้ายความรู้สึกของกันและกัน ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์อยู่เสมอ ถ้าชายหนุ่มคนนี้เป็นคนบ้า เราทุกคนก็คล้ายคนบ้า...เช่นกัน ใครจะเถียงว่า...ยามที่ถูกกระทบกระแทกด้วยโลกธรรมแปดในชีวิตประจำวัน เรามีอาการประดุจดั่ง...ไม่ต่างจาก คนบ้า
ดอกไม้ ... แด่ ชายหนุ่มนิรนาม...
คนไม่มีราก มีเพื่อนอยู่คนหนึ่ง เขาพำนักอาศัยอยู่ใกล้ ๆ บ้าน เป็นชายหนุ่มหน้าตาดี แต่มักจะแต่งตัวมอซอ มอมแมม ผมยาว ไม่ค่อยอาบน้ำ มีอาชีพหลักคือ ขายของทุกชนิด...ที่ว่าทุกชนิดก็ได้แก่ ตุ๊กตากาโม่ ตุ๊กตาบาร์บี้ ตุ๊กตาผ้าแมว หมา หนู สติ๊กเกอร์ กระบอกฉีดน้ำ การ์ตูนโดเรมอน สินค้าก็เปลี่ยนไปทุกวัน ไม่มีการแยกแยะหมวดหมู่ รวมความว่าเป็นของเก่า ๆ ทั้งหลายประดามีที่จะหามาได้
ครั้งแรกที่รู้จักกันอย่างเป็นทางการนั้น เป็นวันที่คนไม่มีรากกลับบ้าน ราว 3 ทุ่ม ซึ่งไม่ถือว่าดึกนัก เนื่องจากบ้านพี่สาวที่พำนักอยู่ด้วยนั้น อยู่ริมถนนใหญ่ มีตลาดโต้รุ่งขายอาหารจนเกือบสว่างทั้งคืน กำลังก้มหน้าก้มตาเดิน ก็ได้ยินเสียงทักว่า
กลับดึก...อยู่ก็ลึกในซอยเปลี่ยว.... ร้องเป็นเพลงเสียด้วย...
รีบหันกลับไปมอง ใครแซวนี่ อ้อ...ชายหนุ่มคนนี้เอง...เสียงลอยมาต่อว่า
กลับดึก ๆ ต้องระวังนะ...
เลยหันไปยิ้มให้...ต้องผูกมิตรเอาไว้ก่อน...
วันต่อ ๆ มาก็เลยต้องเข้าไปอุดหนุนชายหนุ่มคนนี้เสียหน่อย ถามไถ่กันตามปกติ เขาหน้าเฉย ไม่เคยเห็นยิ้ม ถามอะไรก็ไม่ค่อยตอบ อยากตอบก็ตอบ ไม่อยากตอบเขาก็เงียบเสียอย่างนั้น
ของที่ขายนี่มาจากไหนหรือ ... อยากรู้นี่นา...
ถามทำไม... เสียงคล้าย ๆ ดุด้วย
อยากรู้... คนไม่มีรากตอบเสียงเกรงใจ
ไม่บอก...อยากรู้ก็ดูเองสิ... จะรู้ได้ไงเนี่ย เพราะของที่เขาเอามาขาย ล้วนแต่เก่า ๆ มอมแมม น่าจะเก็บของเก่ามาขาย...ทำนองนั้น
มิตรภาพระหว่างคนไม่มีรากและชายหนุ่มนิรนามยังคงเป็นไปด้วยดี อุดหนุนกันบ้าง เดินผ่านไปเฉย ๆ บ้าง ยิ้มให้บ้าง ทักทายพูดคุยบ้าง ยืนคุยกันนานสองนานบ้าง ตามแต่สถานการณ์และเวลาที่อำนวย เป็นที่แปลกตาแปลกใจปนขัดหูขัดตา คนใกล้ชิดและผู้คนที่ผ่านไปมาอย่างยิ่งยวด
พี่สาวและหลานที่อยู่ด้วยกัน เริ่มเกิดความกังวลใจกับมิตรภาพอันงอกงามของคนไม่มีรากกับชายหนุ่มนิรนาม บ่น ๆ ว่า เอ้อ...กับคนดี ๆ ไม่คุย แต่ชอบไปคุยกับ...คนบ้า... คิดอะไร…ทำอะไรแปลก ๆ
แอบตอบอยู่ในใจ คุยกับคนบ้าสิดี ไม่มีพิษมีภัย ไม่ปรุงแต่ง คิดอย่างไรก็พูดอย่างนั้น ไม่มีผลประโยชน์แอบแฝง ไม่ต้องการให้ใครชื่นชม ไม่สนใจใครจะชอบจะชัง...
วันหนึ่งกำลังยืนคุยกับชายหนุ่มนิรนามอย่างออกรสออกชาติ เพราะวิพากษ์กันถึงหน่วยเลือกตั้งที่กำลังนับคะแนนกันอย่างโกลาหล มีคุณป้าคนข้างบ้านที่รู้จักกันดี เดินผ่านมา เห็นคนไม่มีรากยืนคุยกับเขาเป็นนานสองนาน หันมายิ้มๆ แล้วบอกว่า
อย่าไปคุยกับมัน ไอ้นี่มันบ้า... การพูดคุยสะดุดลงด้วยความรู้สึกที่กร่อยไปอย่างช่วยไม่ได้ เกิดความเงียบขึ้นอย่างน่าอึดอัด ชายหนุ่มนิรนามหน้าเฉยมากขึ้นไปอีก...ราวกับควักเอาหน้ากากอีกอันหนึ่งมาใส่เสียทันทีทันใดนั้น
วันต่อมา เมื่อผ่านไป คนไม่มีรากก็พยายามยิ้มให้ ทักทาย แต่เขาไม่ตอบเลย ครั้นถามราคาของก็ไม่ตอบ ไม่คุยอีกเลย โกรธอะไรใครมาล่ะนี่
วันนี้อากาศเป็นไงบ้าง... เงียบ...ไม่มีเสียงตอบ
ขายดีไหม... เงียบเหมือนเดิม วันนี้เขาคงไม่อยากพูดคุยกับใคร ก็เหมือนเราบางวันนั่นแหละที่ไม่อยากพูดจากับใคร...
ตอนเย็นกลับบ้าน แวะคุยเสียอีกทีหนึ่ง เผื่อชายหนุ่มอารมณ์ศิลปินจะดีขึ้นบ้างแล้ว
วันนี้เป็นไงบ้าง... เสียงถามเอาอกเอาใจ
อารมณ์ไม่ดีหรือ...เดี๋ยวนี้ไม่คุยกันเลย...หรือขายของไม่ดี...
.....เงียบ..... เฮ้อ...คงยังไม่อยากคุย ไม่เป็นไร พรุ่งนี้มาคุยใหม่ก็ได้ พอเดินคล้อยหลัง ได้ยินเสียงลอยมาว่า
...อย่าคุยกับคนบ้า...
แอบยิ้มนิด ๆ ในใจ...เขาไม่บ้าหรอก เพราะยังรู้สึกรู้สา รู้ร้อนรู้หนาวต่อคำพูดและการกระทำอันขาดความละเอียดอ่อน ไม่ระมัดระวังต่อความรู้สึกของคุณป้าข้างบ้านคนนั้น
มนุษย์มักจะทำร้ายความรู้สึกของกันและกัน ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์อยู่เสมอ ถ้าชายหนุ่มคนนี้เป็นคนบ้า เราทุกคนก็คล้ายคนบ้า...เช่นกัน ใครจะเถียงว่า...ยามที่ถูกกระทบกระแทกด้วยโลกธรรมแปดในชีวิตประจำวัน เรามีอาการประดุจดั่ง...ไม่ต่างจาก คนบ้า
เลยมานั่งคิดเล่น ๆ ...ตกลงว่า “เขาบ้า” หรือ“เรากันแน่ที่...บ้า”