คิดให้ออก บอกให้ได้ และไปให้ถึง เป็นแนวคิดที่ผมนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการพัฒนาผู้นำนิสิต และเรื่องราวต่อไปนี้คือปรากฏการณ์หนึ่งที่ผมกับนิสิตได้ร่วมถกคิด แลกเปลี่ยนเรียนรู้กันและกันอย่างมันส์ฮา.. และเข้มข้น
(๑)
สองวันก่อนผมนั่งคุยกับประธานชมรมคณะละครทอสายไทยอย่างยาวนาน ...
อันที่จริงผมกับประธานชมรมดังกล่าว (นายธีรภัทร สินธุเดช) สนิทชิดเชื้อกันมากพอสมควร เพราะผมเคยหอบหิ้วน้องนิสิตท่านนี้ไปโชว์ความสามารถในงานต่าง ๆ อยู่อย่างบ่อยครั้ง
น้องนิสิตท่านนี้เป็นคนมีจิตสำนึกสาธารณะที่พร้อมจะทำประโยชน์เพื่อสังคมอยู่อย่างเต็มล้น รวมถึงเป็นผู้มีความสามารถอันหลากหลายในทางศิลปะแขนงต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น การแต่งเนื้อและร้องกลอนลำ, แต่งผญา, ร้องสรภัญญะ หรือแม้แต่การแสดงละครก็ถือว่าไม่ด้อยไปกว่าคนที่เรียนในด้านนี้โดยตรงเลยก็ว่าได้
และที่สำคัญคือเป็นคอกิจกรรมขนานแท้
ไม่ว่างานไหน ที่ไหน และอย่างไร แกก็จะพาตัวเองเข้าไปมีส่วนร่วมอยู่อย่างต่อเนื่อง
กระทั่งในปีนี้,
เจ้าเล็ก หรือธีรภัทร สินธุเดช ก็ได้จัดตั้งชมรมคณะละครทอสายใยขึ้นในแวดวงกิจกรรมของชาว มมส ซึ่งผมเองก็เชื่อว่านิสิตจำนวนไม่น้อยเพ่งมองถึงจังหวะก้าวขององค์กรนี้อย่างใจจดใจจ่อ .. เป็นการจ้องมองเพราะคาดหวังว่าชมรมนี้จะเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจในวิถีแห่งกิจกรรมนิสิต
(๒)
ล่าสุดเมื่อประมาณสักสองสามวันที่ผ่านมา -
“เจ้าเล็ก” นำโครงการ “ปลูกอีสาน หว่านฮีตคอง ปรองดองไทบ้าน ลูกหลานม่วนซื่น” มาหารือกับผม แต่ที่สุดแล้วก็ต้องกลับไปนอนขบคิดอย่างหนัก เพราะผมอธิบายว่า กิจกรรมที่จะจัดขึ้นยังไม่ชัดเจน ซึ่งผมไม่รู้เลยว่า ทำไมต้องจัดเวทีระดมความคิดในแนวเรื่อง “ปัญหาการอยู่ร่วมกันของนิสิตกับชาวบ้าน” แบบแข็ง ๆ และไร้ชีวิตมากมายถึงเพียงนี้
อันที่จริงผมก็สนใจในประเด็นดังกล่าวเป็นอย่างมาก แต่ในวิถีกิจกรรมก็ทำให้ผมไม่สามารถมองข้าม “มิติกิจกรรม” ที่นิสิตต้องเรียนรู้ไปได้ -
ผมถามเขาว่า กิจกรรมที่มีขึ้นตอบโจทย์ความเป็นองค์กรอย่างไร ? ผลของกิจกรรมจะนำไปใช้ประโยชน์อันใดได้บ้าง ? และกิจกรรมที่จัดขึ้นจะช่วยแก้ไขปัญหาระหว่างนิสิตกับชาวบ้านได้มากน้อยแค่ไหน หรือเป็นแต่เพียงการประจานซ้ำอย่างสะใจเท่านั้น ...
(๓)
ไม่รู้สิครับ,
ผมไม่มีอคติใด ๆ กับโครงการนี้ ตรงกันข้ามกลับชื่นชอบชื่ออันสวยหรูของโครงการนี้ด้วยซ้ำไป พร้อมกับเชื่อว่าจุดหมายปลายทางของโครงการนี้ จะช่วยให้นิสิตและชาวบ้านเกิดมิติแห่งการอยู่ร่วมกันอย่างน่าชื่นชม
แต่ในวิถีกิจกรรมนั้น,
ผมอยากให้เขาได้ขบคิดถึง “ตัวตนองค์กร” ตนเองให้แจ่มชัดว่าตั้งขึ้นมาเพื่ออะไร และมีอะไรเป็น “เครื่องมือ” แห่งการเรียนรู้ตนเองและสังคม
ดังนั้น จึงบอกกล่าวอย่างสุภาพและให้กำลังใจไปกับเขาว่า “ไปพักสักวันสองวัน แล้วค่อยมาคุยกันใหม่ บางครั้งความคิดดี ๆ ก็จำต้องใช้เวลากับการหยั่งคิดให้มากกว่านี้ก็เป็นได้”
ผมจำเป็นต้องทำเช่นนี้
เพราะอยากให้เขาได้ขบคิดให้ตกผลึกมากกว่าที่เป็นอยู่ ...
และยืนยันว่าการสนทนาระหว่างผมกับเจ้าเล็กนั้นเป็นการสนทนาเพื่อเติมเต็มกันและกัน ไม่มีการสนทนาเพื่อหักล้างความคิด หากแต่เป็นการแลกเปลี่ยนและเรียนรู้ในสิ่งที่เราต่างก็สนใจร่วมกัน
ผมอยากให้เขาได้สำรวจตัวตนของตนเอง - สำรวจความเป็น “องค์กร” ให้ชัดเจนมากกว่านี้
ผมอยากให้เขาค้นให้เจอว่าตัวเขาและองค์กรของเขามีอะไรดี (ขุมทรัพย์ทางปัญญา) ...
และสิ่งที่ว่าดีนั้น พร้อมที่จะแปรสภาพเป็นเครื่องมือในการนำพาไปสู่การแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับชุมชนได้อย่างไรบ้างก็เท่านั้นเอง
(๔)
กระทั่งตอนเช้าของวันนี้
ผมพบเจอเอกสารชุดหนึ่งวางแนบนิ่งอยู่บนโต๊ะทำงานของผม ซึ่งเอกสารที่ว่านั้นก็คือโครงการ “ปลูกอีสาน หว่านฮีตคอง ปรองดองไทบ้าน ลูกหลานม่วนซื่น” แต่ผมก็ยังไม่มีเวลาในการหยิบขึ้นมาดูเป็นพิเศษ เพราะทั้งวันก็วิ่งวุ่นอยู่กับการประชุมอันหลากเวที
(๕)
ภายหลังการเลิกงานของวันนี้ เจ้าเล็กกลับมาหาผมอีกครั้ง –
คราวนี้เจ้าเล็กแววตาสดใสและดูมั่นใจเป็นพิเศษ ซึ่งเจ้าตัวพยายามบอกเล่ากิจกรรมที่ต้องการจัดขึ้นให้กับผมฟัง ภายใต้กรอบวัตถุประสงค์หลักคือ การนำนิสิตไปร่วมเรียนรู้วัฒนธรรมในชุมชนใกล้ ๆ มหาวิทยาลัย และสร้างจิตสำนึกให้นิสิตและคนในชุมชนได้รักในถิ่นฐานบ้านช่องของตนเอง
และกิจกรรมที่เกี่ยวข้องนั้นก็คือ ทำบุญตักบาตรที่วัด, ร้องสรภัญญะและกลอนลำเกี่ยวกับวัฒนธรรมชุมชน, สอนศิลปะการแสดงละครให้นักเรียน, เปิดเวทีแลกเปลี่ยนเรื่องวิถีวัฒนธรรมของชาวบ้านกับหนุ่มสาวชาวมหาวิทยาลัย จากนั้นก็นำข้อมูลอันเกิดจากการ “ลปรร” มาเขียนเป็น “บทละคร” และนำบทละครนั้นมาสื่อสารบนเวที ผ่านมิติของศิลปะการแสดงละครสะท้อนสังคม เพื่อให้ชาวบ้านและชาวมหาวิทยาลัยได้รับรู้และขบคิดร่วมกัน ฯลฯ
นั่นเป็นแต่เพียงส่วนหนึ่งของกิจกรรมต่าง ๆ ที่จะมีขึ้น ซึ่งผมก็เห็นด้วยว่านี่คือ “ตัวตน” ของเขาและองค์กรของอย่างแท้จริง
ก่อนจากลากันในเย็นวันนี้
ผมจึงพูดกับเขาอย่างเอ็นดูว่า นี่แหละคือเหตุของการฝากให้เขาได้กลับไปคิดทบทวนถึง “ตัวตน” อันเป็น “ศักยภาพ” ของตนเอง รวมถึง “จุดยืน” ในเส้นทางกิจกรรมขององค์กรที่เขาควรต้องใส่ใจให้มากเป็นพิเศษ
พร้อมกันนี้
ผมบอกล่าวกับเขาอีกครั้งว่า เหตุที่ไม่ยอมบอกกล่าวอย่างตรงไปตรงมานั้น ไม่ใช่เพราะต้องการแกล้งให้เขาต้องกลับไปนอนคิดจนหัวหมุนอยู่หลายตลบ หากแต่เป็นเพราะต้องการให้เขาได้ทำอะไรด้วยตนเอง ซึ่งหมายถึง “คิดให้ออก บอกให้ได้ และไปให้ถึง..”
(๖)
วันนี้ เป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันระหว่างผมกับนิสิต จากนี้ไปก็ถึงคิวการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างนิสิตกับชาวบ้าน ผ่านเวทีทางวัฒนธรรมที่ผมมั่นใจว่าพวกเขาจะสามารถสร้างกระบวนการที่เป็นรูปธรรมขึ้นมาได้อย่างไม่ยากเย็น
แล้วค่อยติดตามตอนต่อไป ... นะครับ
...
๒๔ ตุลาคม
ทุ่มเศษ ๆ ในห้องทำงาน
สวัสดีครับ
บางครั้งการทอดเวลา ก็ช่วยให้เกิดการตกผลึกทางความคิดได้ดี
บ่อยครั้งที่สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า เวลาช่วยให้อะไรต่อมิอะไรดีขึ้นอย่างมหาศาล
สวัสดีครับ
อีกไม่กี่วันก็คงได้รู้ว่ากิจกรรมที่นิสิตคิดนั้นจะก่อเกิดผลสัมฤทธิ์ทั้งต่อนิสิตและชาวบ้านสักแค่ไหน และอย่างๆ ไรบ้าง
แต่เหนือสิ่งอื่นใดที่ผมฝากให้นิสิตได้ขบคิดให้มากขึ้นก็คือ การทำกิจกรรมต่อเนื่อง หรือแม้แต่กระบวนการที่จะช่วยกระตุ้นให้ชุมชนได้เห็นความสำคัญกับการดูแลและพัฒนาตนเอง ซึ่งสิ่งเหล่านี้สำคัญพอ กับการที่นิสิตกำลังเรียนรู้และพัฒนาตัวเองเหมือนกัน
ขอบคุณครับ
สวัสดีครับ
ขอบคุณครับ .. พี่เองก็คิดถึงเช่นกัน แต่ก็ดังที่ทรบช่วงนี้งานการเยอะแยะมาก จนแทบไม่มีเวลาได้ท่องแวะไปเยี่ยมใคร ๆ มากนัก
เมล์พี่มีปัญหาอะไรสักอย่างนี่แหละ ... ยังไม่ได้แก้ไขเลย
คงรออีกพักใหญ่ครับ
ขอบคุณครับ
สวัสดีค่ะ
มาอ่านบันทึกคุณพนัสแต่เช้าเลย
ภูมิใจในนิสิตของคุณพนัสไปด้วย ค่ะ
การนำนิสิตไปร่วมเรียนรู้วัฒนธรรมในชุมชนใกล้ ๆ มหาวิทยาลัย และสร้างจิตสำนึกให้นิสิตและคนในชุมชนได้รักในถิ่นฐานบ้านช่องของตนเอง
สวัสดีครับ พี่ศศินันท์
เป็นเวลาร่วม 5 - 6 เป็นเวลาร่วม 7 - 8 เดือนที่ผมลองผิดลองถูกเรื่องความคิดของตนเองที่มีต่อการให้นิสิตเกิดการตระหนักในพันธกิจทางชุมชน โดยเริ่มต้นจากชุมชนรายรอบมหาวิทยาลัย ..
ดังนั้น สิ่งต่าง ๆ จึงเป็นเสมือนการโยนหินถามทาง หรือแม้แต่โยนหินลงแม่น้ำเพื่อสร้างทางเดินให้คนก้ามข้าม,
เป็นการทดลองเพื่อค้นหาแนวทาง... พร้อม ๆ กับการวางรูปร่างของวิถีทางบางอย่างที่น่าจะเป็นรูปธรรมมากขึ้นกว่ายุคสมัยที่ผ่านล่วงมา
มีความสุขมากครับ....
และคิดว่าไม่นานนี้ก็คงวางมือ และถอยออกมาให้น้อง ๆ ได้ขึ้นมาเป็นผู้นำอย่างเต็มตัว..
ผมเองมีความสุขกับการทำงาน แต่ก็มีบ้างที่อึดอัดกับระบบของหัวโขนอยู่เหมือนกัน