ผมเคยนำเสนอภาพวิกฤติชีวิตของนิสิตในมหาวิทยาลัยต่อที่ประชุมองค์กรมาแล้วครั้งหนึ่ง
ครั้งนั้น, ผมชี้ประเด็นไปยังเรื่องที่คิดว่า “แตะต้องสัมผัสได้” ซึ่งหมายถึง เรื่องที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเรื่องที่เราสามารถนำมาขับเคลื่อนรณรงค์ได้อย่างจริงจังและเป็นรูปธรรม นั่นคือ การรณรงค์ให้นิสิตเกิดจิตสำนึกในการรับผิดชอบต่อตนเองและสถาบันในเรื่องของ “แอลกอฮอล์”
แน่นอนครับผมเชื่อว่าเรื่องแอลกอฮอล์นี้เป็น “วิกฤตปัญญาชน” ไม่แพ้เรื่องอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ ในวัยอันไม่เหมาะสม เรื่องการพนันนานาชนิด หรือแม้แต่เรื่องหอพักที่ไม่เป็นไปตามกฎหมาย เป็นต้น
ผมพยายามอธิบายกับองค์กรว่า เรื่องการดื่มสุราอย่างขาดสติ หรือขาดความรับผิดชอบนั้นเป็นเรื่องที่พบเห็นเคลื่อนตา (เกลื่อนถนน) และเรื่องนี้ก็มักเป็นต้นสายปลายเหตุที่พัดพาให้นิสิตไปสู่ชะตากรรมอื่น ๆ อันไม่พึงประสงค์อย่างมากมายก่ายกอง ทั้งเรื่อง อุบัติเหตุ ทะเลาะวิวาท มั่วเซ็กส์ แต่งกายไม่เหมาะสม ฟุ้งเฟ้อแฟชั่น หรือแม้แต่การตั้งวงส่งเสียงดังก่อความหนวกหูให้เพื่อนบ้านก็มีให้เห็นและอับอายมาแล้วอย่างถ้วนทั่ว
ผมคงไม่มีสิทธิ์ห้ามให้นิสิตได้ยืนหรือนั่งดื่มเครื่องดื่มพรรค์นี้นอกอาณาบริเวณมหาวิทยาลัยได้ รวมถึงไม่มีอำนาจที่จะไปร้องขอ หรือทลายร้านรวงใกล้ ๆ มหาวิทยาลัยที่จำหน่ายสิ่งเหล่านี้ให้แตกดับปิดกิจการไปในพริบตา หรือร้องขอความเมตตาให้พวกเขางดจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แก่นิสิตของผมได้หรอก
แต่สำหรับในพื้นที่อาณาบริเวณของมหาวิทยาลัยนั้น ขอบอกด้วยเสียงอันดังว่า
"เราไม่ยอม!" ...
เมื่อครั้งที่ผมออกตระเวนยามค่ำคืนร่วมกับหน่วยสวัสดิภาพของมหาวิทยาลัย ผมก็พูดเสมออย่างชัดเจนและฉะฉานว่า เรื่องเหล่านี้เป็นสิทธิส่วนบุคคล แต่ขอให้นิสิตได้ตระหนักถึงเกียรติภูมิของความเป็นมนุษย์ของตนเองและสถาบันบ้าง มิใช่ใส่ชุดนิสิตนั่งดื่มราวกับศิลปินไร้สังกัด .... และดื่มแล้วก็ควรต้องมีความรับผิดชอบที่ดีทั้งต่อตนเอง,สถาบัน และสังคมอย่างเต็มเหวี่ยง ไม่ใช่เมาหัวราน้ำ พัดพาลไปสู่เรื่องร้าย ๆ อย่างไม่น่าให้อภัย !
นั่นเป็นเรื่องที่ผมไม่อาจเข้าไปก้าวก่าย หรือละเมิดได้มากนัก เพราะนั่นคือสิทธิส่วนบุคคลที่เกิดขึ้นนอกมหาวิทยาลัย ทำดีที่สุดก็คือการฝากย้ำให้เขาคิดเสมอว่า ความเป็นคนของมหาวิทยาลัยติดตัวเขาอยู่ตลอด 24 ชั่วโมง.... แต่ถ้าเป็นภายในอาณาเขตของมหาวิทยาลัยแล้วล่ะก็ เรื่องนี้ผมยอมไม่ได้ ! ซึ่งผมเอาจริงเอาจังมาแล้วในหลายกิจกรรม ตรวจจับมาด้วยตนเองก็หลายกรณี จนใคร ๆ แอบตั้งฉายาให้ว่าเป็นมาเฟีย หรือมือปราบแอลกอฮอล์ในมหาวิทยาลัยเลยทีเดียว
ล่าสุดในการแข่งขันกีฬาราชพฤกษ์เกมส์ ครั้งที่ 13 (17 – 26 มกราคม) ผมและทีมงานไม่รีรอที่จะประกาศมาตรการบังคับใช้โทษทางวินัยนิสิตขั้นจริงจัง โดยประสานผู้นำนิสิตรณรงค์ให้เป็นกีฬาปลอดแอลกอฮอล์ ใครดื่มเข้ามา หรือพกพามาในรูปแบบต่าง ๆ เราจะตัดคะแนนความประพฤติขั้นต่ำ 30 คะแนน ...
หลายคนร้องออกมาด้วยเสียงอันดังว่า “โหดไป !” แต่ผมก็พยายามชักแม่น้ำชีใกล้ ๆ มหาวิทยาลัยมาอธิบายและโน้มน้าวให้เห็นคล้อยว่า บัดนี้ได้เวลาใช้มาตรการเสียที เราสูญเสียงบประมาณเกี่ยวกับการรณรงค์สร้างความรู้และการป้องกันมาอย่างมหึมามาหลายแรมปีแล้ว
แต่ภาพชีวิตที่พบเห็นเกลื่อนตานั้นกลับสวนทางกันอย่างเจ็บช้ำ !
ดังนั้น, แนวคิดอันเด็ดเดี่ยวของทีมงานของเราก็ถูกขยายผลไปในแวดวงกิจกรรม ทุกองค์กรรณรงค์เรื่องนี้อย่างจริงจัง ในขบวนแห่พิธีเปิดไม่มี “หน้าไหน” บังอาจหาญกล้าสำแดงฤทธิ์แอลกอฮอล์ออกมาให้เห็น และชาวบ้านต่างก็ชื่นชมเป็นเสียงเดียวกันว่า ขบวนแห่คราวนี้ไม่มีภาพ “เมาแอละแน” เหมือนกิจกรรมก่อน ๆ ....
จะว่าไปแล้ว สื่อที่สร้างมารณรงค์ในขบวนพาเหรดดูอาจไม่เริดหรูนัก เพราะเน้นการประหยัดด้านงบประมาณเป็นที่ตั้ง แต่การประกาศตนเช่นนั้น ก็ช่วยให้ขบวนพาเหรดปลอดแอลกอฮอล์ไปโดยปริยาย และเป็นการตีเกราะเคาะกะลา บอกข่าวเล่าความไปในตัวของมันเองในทำนองว่า “เราเอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้ และขอความร่วมมือให้ทุกคนได้มีสำนึกที่ดีกันเสียที “
ขณะที่ห้วงของการแข่งขันในช่วงเย็น ๆ ของแต่ละวันก็เห็นได้ชัดว่า “คอสุรา” หรือนิสิตสุราทั้งหลายหายเงียบไปจากวงการ ทุกสนามแข่งขันเต็มไปด้วยป้ายรณรงค์อย่างคึกคัก หรือจะเรียกได้ว่าเป็นป้าย “ประจาน” ก็ไม่ผิด เพราะเราต้องการสื่อความนัยให้เห็นเจตนารมณ์ของเราอย่างชัดเจน
ผมไม่ปฏิเสธหรอกว่าเรื่องราวกีฬาของสังคมไทยผูกรัดกับค่านิยมในเชิงวัฒนธรรมบางประการมาอย่างยาวนานและสนิทแน่น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการพนันขัยแข่ง และหนึ่งในนั้นก็มักมีเรื่องแอลกอฮอล์เข้าไปชูโรงอยู่ด้วยอย่างสง่าผ่าเผย แต่จะให้ผมนั่งทำตาปริบ ๆ มองดูลูกศิษย์ทยอยเดินเข้าไปสู่วังวนนั้นโดยไม่ทำอะไรก็เป็นไปไม่ได้เช่นกัน
ผมคิดว่าผมเดินทางมาถูกทางแล้ว ... ถึงแม้ก่อนนั้นหลายคนไม่แน่ใจ หรือหวาดหวั่นกับกระแสการต่อต้านอยู่มาก แต่ผมก็บอกแล้วว่า ผมกล้าพอที่จะแอ่นอกและควักหัวใจมารับผิดชอบทุกกระบวนท่า ... และไม่กลัวที่จะอธิบายเหตุผลต่อมวลนิสิต เพราะผมเชื่อว่า นิสิตรู้และเข้าใจ และเชื่อใจว่าที่ผมฟันธงไปนั้น เป็นความปรารถนาดีต่อพวกเขา ..ต่อสถาบัน... และต่อสังคม ..
ล่าสุด หลายคนฉีกยิ้มกับภาพชีวิตที่ประสบความสำเร็จ กีฬาประเพณีระหว่างคณะ (ราชพฤกษ์เกมส์ ครั้งที่ 13) แทบไม่พบเจอปัญหาซ้ำซากนี้อีกแล้ว ...
มาบัดนี้ .. ผมและทีมงานได้รับไฟเขียวในเรื่องนี้ ขณะที่ผมก็มีต้นแบบมากรีดกรายรณรงค์อย่างเป็นตัวเป็นตน ผมมีวาทกรรมที่คิดด้วยตนเองอย่างเป็นรูปธรรม ผมมีสื่อต่าง ๆ เกลื่อนถนน และสื่อรณรงค์เหล่านั้นก็ยืนยันถึงเจตนาดีอย่างมีพลัง...
และที่สำคัญ ผมมีนิสิตดี ๆ อีกหลายคนที่ลุกขึ้นมาขับเคลื่อนเรื่องนี้ร่วมกับผม ซึ่งมันช่วยให้ผมและทีมงานมั่นใจและไม่เดียวดายต่อทิศทางที่ได้ลงมือทำ !
รายการนี้เข้า ท่ามาก ไม่ยังงั้นจะพากันเข้าใจผิดๆ
สุรา สุรา เป็นยาวิเศษ
โห...ชอบความคิดเห็นของ คุณยอดดอย มากเลยค่ะ
โดยเฉพาะ การไปเป็นอาสาสมัครดูแลผู้ป่วยตับแข็งหรือผู้ติดยาเสพติดชนิดต่างๆ
เขาจะได้เห็นว่า ปลายทางของพฤติกรรมนี้เป็นเช่นไร ใช่ไหมคะ
ขอบพระคุณค่ะ