(๑) :
ผมคงไม่วกกลับไปพูดเรื่องประกวดดาวเดือนในเชิงรายละเอียดกันอีกแล้ว. เพราะเอาไว้ให้บล็อกเกอร์ในกองกิจการนิสิตท่านอื่น ๆ ได้บอกเล่ากันจะดีกว่า จะได้เห็นมุมมองที่หลายหลายขึ้น หากแต่จะถือโอกาสบอกเล่าบรรยากาศอีกอย่างหนึ่งที่ผมสุดแสนจะประทับใจเป็นที่สุด นั่นก็คือ กิจกรรมทางด้านศิลปวัฒนธรรมในแบบ “อีสาน ๆ” นั่นเอง
ในค่ำคืนของวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๓๑
ทีมงานขององค์การนิสิต ได้ฉายให้เห็นว่า ถึงแม้การประกวดดาวเดือนจะดูเป็นแฟชั่นนิยมในยุคปัจจุบันอยู่มาก แต่ก็ไม่ลืมที่จะสะท้อนภาพหลักของความเป็น “ศิลปะพื้นถิ่น” ออกมาอย่างเต็มกำลัง อย่างน้อยก็เป็นการแสดงจุดยืนว่า มหาวิทยาลัยแห่งนี้ เป็นมหาวิทยาลัยที่ตั้งอยู่ในภูมิภาค ก็ควรต้องรับบทหนักในการสื่อสารความเป็นวัฒนธรรมภูมิภาคต่อผู้มาใหม่อย่างเข้มข้น
ซึ่งนั่นก็เป็นได้ทั้งการสร้างความตระหนักให้รู้ว่า “ที่นี่มีอัตลักษณ์” เช่นใด ?
รวมถึงการส่งสัญญาณให้รู้ในทำนองว่า -
จากวันนี้ไปจนถึงการสำเร็จการศึกษา พวกเขาทั้งหลายก็ควรที่จะเรียนรู้และสัมผัสกับสิ่งเหล่านี้บ้าง
ขณะเดียวกัน ก็เป็นเสมือนการบอกกล่าวให้รู้ว่า -
จากนี้ไปพวกเขาจะได้พบเจอกับบรรยากาศเช่นนี้อย่างถี่ครั้ง.
จะสุข หรือทุกข์ พวกเขาก็จะต้องได้พบเจออยู่เป็นระยะ ๆ ทั้งอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการ ขึ้นอยู่กับว่า ผู้มาใหม่อย่างพวกเขาทั้งหลาย จะปรารถนาที่จะเรียนรู้ในความเป็นศิลปะพื้นถิ่นกี่มากน้อย แค่ไหนเท่านั้นเอง
(๒) :
ด้วยเหตุดังกล่าวนี้ ภาพรวมของกิจกรรมการประกวดดาวเดือนในค่ำคืนนั้น จึงถูกรังสรรค์ขึ้นด้วยบรรยากาศของความเป็นพื้นถิ่นอย่างชัดเจน เริ่มจากฉากเวทีก็ถูกนำเสนอด้วยภาพของกระท่อมที่ตั้งอยู่ใกล้กับบึงน้ำที่รายล้อมไปด้วยพืชไม้ที่คนในชนบทคุ้นชิน ขณะเดียวกันก็นำล้อเกวียนมาประดับแต่งบนเวทีเพื่อตอกย้ำให้เห็นสายธารทางวัฒนธรรมของคนพื้นถิ่นอย่างอีสาน พร้อม ๆ กับนำเอาต้น “ผือ” ที่ยังสดเขียวมาจัดเรียงตามขอบเวทีอย่างกลมกลืน ช่วยให้เวทีดูสดชื่นและเพลินตา มีชีวิตชีวา และไม่แห้งกระด้าง !
สิ่งเหล่านี้ นิสิตไม่เพียงสื่อสารให้เห็นความเป็นกลิ่นอายของพื้นถิ่นอีสานเสียทั้งหมด แต่นั่นน่าจะหมายถึงการสะท้อนให้เห็นความเป็นธรรมชาติที่คนเราต้องใส่ใจ. ดูแลและฉลาดพอที่จะใช้ประโยชน์อย่างไม่เห็นแก่ตัว อันเป็นส่วนหนึ่งของการสะท้อนเรื่องราววิกฤตที่โลกกำลังร้อน (..และร้อนขึ้นทุกวัน) รวมถึงการสอดแทรกเรื่องแนวคิดความเป็นอยู่ที่เราควรหันหวนกลับไปคิดคำนึงถึง นั่นก็คือ ความพอเพียง นั่นเอง
ถึงอย่างไรก็ตาม ในฐานะของคนที่ต้องเคี่ยวกรำให้นิสิตได้เกิดกระบวนการเรียนรู้อย่างเต็มกำลังเท่าที่เขาพึงกระทำได้ ผมก็ไม่ลืมเข้าไปกระซิบแซวทีมงานอย่างเป็นกันเองในทำนองว่า ฉากทั้งฉากนั้น มีอะไรสื่อสารความเป็น “อีสาน” บ้าง ?
ซึ่งเขาก็อธิบายให้ฟังว่า ภาพวาดที่เป็นฉากที่ประกอบด้วย กระท่อม ห้วยหนองคลองบึงนั่นแหละ
แต่ผมก็ไม่ยอมวางมือลงเสียทีเดียว จึงรุกคืบหยิกไปอีกรอบว่า ไม่เห็นเป็นอีสานตรงไหน นั่นมันภาพชนบททั่ว ๆ ไป ภาคไหน ๆ ..ก็มีให้เห็นอย่างละลานตากันทั้งนั้นแหละ
ดูเหมือนนิสิตจะนิ่งและส่ออาการคล้อยตามที่ผมหยิกแซวอยู่มาก. ผมจึงรีบตัดบท พร้อม ๆ กับตบไหล่และพูดขึ้นอีกรอบในทำนองว่า “ดีแล้ว. นี่ก็ดีแล้ว ผมชอบ. ผมล้อเล่นเฉย ๆ”
ผมรู้ดีว่าเขาคงไม่คิดว่าผมล้อเล่นเฉย ๆ เป็นแน่ เพราะใคร ๆ ก็รู้ดีว่าผมมีสไตล์เช่นนี้ และเรื่องที่ผมชวนสนทนานั้น ก็ย่อมมีนัยสำคัญให้กลับไปคิดเป็นแน่แท้ -
(๓) :
ถัดจากเรื่องฉาก สิ่งที่ผมอยากเล่าโดยสังเขปต่อมาก็คือ การนำเสนอภาพพื้นถิ่นอีสานผ่านมิติของดนตรีและนาฏศิลป์พื้นบ้านนั่นเอง โดยในปีนี้ชาววงแคนได้พร้อมใจนำการแสดงวงโปงลางขึ้นเวทีอยู่หลายชุด และหลายชุดการแสดงที่ว่านั้น ก็มีนิสิตปี ๑ ขึ้นกรีดกรายทั้งในฐานะนางรำและนักดนตรีกันอย่างหลากหลาย ซึ่งส่วนใหญ่ก็เน้นการนำเสนอในรูปแบบการร่ายรำในท่าต่าง ๆ ไม่เน้นการร้องแสดงลูกทุ่งหมอลำ แต่ถึงแม้ไม่มีก็ยังไม่วายถูกขอให้ร้องให้ฟังอยู่อย่างบ่อยครั้ง
ภายหลังการแสดงของวงแคนได้สิ้นสุดลง วงสืบอีสาน จากสโมสรนิสิตคณะวิทยาศาสตร์ก็ถือโอกาสหอบวงโปงลางอีกวงขึ้นไปสร้างความชื่นมื่นให้กับทุกคนได้ดูได้ชมกันอย่างจุใจ
(๔) :
ในขณะที่ดนตรีแต่ละชุดได้แสดงบนเวที ผมมักจะปลีกตัวออกมาสังเกตการณ์บรรยากาศอยู่ห่าง ๆ สลับกับการสะพายกล้องเข้าไปบันทึกภาพอยู่เป็นระยะ ๆ ซึ่งน้องในทีมงานบางคนก็บอกอย่างเกรงใจว่า ผมไม่จำเป็นต้องลงไปบันทึกภาพเองก็ได้ เรามีกล้องหลายตัว แต่ละคนสามารถจัดการกับเรื่องเหล่านี้ได้
ถึงกระนั้น. ผมก็ดื้อที่จะทำหน้าที่เหล่านี้ด้วยตนเอง พร้อม ๆ กับตอบแบบติดตลกไปว่า “ได้ไง. ตอนนี้ไม่ใช่หัวหน้าคนแล้วนะ ผมต้องทำอะไรต่อมิอะไรเหมือนกันนั่นแหละ จะมาถือศักดินา ชี้นิ้วสั่งคนอื่นไปเสียทุกเรื่องก็อายที่จะทำ !”
ผมยืนยันว่าคำกล่าวของผมมีทั้งจริงและเท็จ แต่ก็เชื่อว่าคนที่ฟังจะเข้าใจในสิ่งที่ผมสื่อสาร และเหนือสิ่งอื่นใด เขาก็คงรับรู้ได้กระมังว่า อะไรที่พอจะแบกรับแทนลูกน้องได้บ้าง ผมก็พร้อมและยินดีเสมอ แต่จะมาจำกัดให้ผมนั่งเป็นเกียรติเฉย ๆ ผมทำไม่ได้หรอก (ผมมันสไตล์ “ขาลุย”..)
(๕) :
ถัดจากการแสดงวงโปงลางของทั้งสองวงแล้ว ก็ถึงคราวการร่วมแจมของคณะศิลปกรรมศาสตร์ ซึ่งคราวนี้ไม่ได้มาในรูปลักษณ์ของดนตรีพื้นเมือง แต่เป็นการแสดงศิลปะร่วมสมัยด้วยชื่อชุด “ต้นสายปลายชี” ซึ่งสื่อสะท้อนถึงภาพชีวิตของผู้คนที่ใช้ชีวิตอยู่ตามลุ่มแม่น้ำชี อันเป็นแม่น้ำที่ยาวที่สุดในภาคอีสาน มีต้นกำเนิดจากจังหวัดชัยภูมิ และจังหวัดมหาสารคามก็เป็นอีกจังหวัดหนึ่งที่ถูกหล่อเลี้ยงด้วยแม่น้ำชี
ผมไม่รู้หรอกว่า แท้ที่จริงการแสดงชุดนี้สื่อสารด้วยเรื่องราวอันใดบ้าง เพราะดูจะลึกล้ำเกินศักยภาพที่ผมจะตีความได้ ซึ่งนั่นคงต้องใช้ศาสตร์และประสบการณ์ของการชมการแสดงมากกว่านี้ ผมมันคนประเภทชอบไม่ชอบ ดีไม่ดีก็เอาความรู้สึกล้วน ๆ เข้าไปสัมผัส และจากการได้ชมชุดการแสดงดังกล่าวแล้ว ก็ยืนยันได้ว่า ชื่นชอบให้ความงดงามของการเคลื่อนไหวมาก
และถือได้ว่าชุดการแสดงนี้ ได้สร้างสีสันให้กับงานนี้อย่างน่าตื่นตา อย่างน้อยก็เป็นการนำเสนอภาพของความเป็นพื้นถิ่นอีสานในรูปแบบของศิลปะร่วมสมัยที่ฉีกออกมาจากดนตรีและนาฏศิลป์พื้นบ้านที่เราเคยได้ดูได้ชมกันอย่างบ่อยครั้ง
(๖) :
ผมไม่รู้จะเขียนอะไรดี แต่ก็เขียนมาเรื่อย ๆ อย่างยาวเหยียด และถึงตรงนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่า มีบล็อกเกอร์กองกิจ ฯ ท่านใดได้รายงานเรื่องกิจกรรมเหล่านี้บ้างหรือยัง ... สำหรับผมแล้ว บอกได้อย่างเดียวคือ ออนซอนวัฒนธรรมอย่างมหาศาล.. และเลือดอีสานก็ฉีดพล่านในจิตวิญญาณของผมอย่างเข้มข้น
ผมเชื่อเหลือเกินว่า บรรยากาศแห่งค่ำคืนนั้น จะสร้างความประทับใจให้กับน้องใหม่ได้เป็นอย่างยิ่ง ถ้าไม่นับเรื่องการประกวดดาวเดือนเพียงอย่างเดียว ผมก็กล้าฟันธงได้เลยว่า การแสดงดนตรีนาฏศิลป์พื้นบ้านอีสาน หรือแม้แต่ศิลปะร่วมสมัยของคณะศิลปกรรมนั้นได้สร้างสีสัน หรือแม้แต่การแสดงพลังให้คนรุ่นใหม่ ทั้งที่เป็นลูกหลานอีสานและที่มาจากพื้นถิ่นอื่น ๆ ได้รับรู้ว่า “อีสานแล้ง..แต่ไม่แล้งไร้ซึ่งเสียงพิณ เสียงแคน”
ผมในฐานะลูกอีสานฟังดนตรีและชมการแสดงของน้องนิสิตแล้วยังรู้สึกมีพลังอย่างบอกไม่ถูก
แต่ก็อดที่จะคิดอย่างเงียบ ๆ ไม่ได้ว่า ท่ามกลางการแสดงออกอย่างสนุกสนานของนิสิตใหม่นั้น จะมีสักกี่คนกันเล่าที่รู้สึกซาบซึ้งในเรื่องเหล่านี้อย่างแท้จริง หรือเป็นเพียงความสนุกสนาน..ชื่นบานตามประสาคน “มักฟ้อน” เพียงชั่วครู่ ชั่วคราวเท่านั้น
แต่ก็ช่างเถอะ...
การได้สัมผัสกิจกรรมที่มีกลิ่นอายอันเป็นอัตลักษณ์ของมหาวิทยาลัยเช่นนี้ ก็น่าจะบอกเตือนผู้มาใหม่ได้บ้างกระมังว่า ที่ตรงนี้อุดมด้วยศิลปะการแสดงของท้องถิ่นอย่างเข้มข้น และถึงแม้ต้องสัญจรไปอยู่ที่ใดที่หนึ่ง ก็หวังแต่เพียงว่า เขาจะไม่ละเลยที่จะสัมผัสกับกลิ่นอายวัฒนธรรมของท้องถิ่นนั้น ๆ บ้าง
.....
๒๑ มิถุนา ๕๑
วันที่อีสานไม่สิ้นมนต์
ขอบคุณครับ
สวัสดีครับ อ.ขจิต
สวัสดีครับ พี่สมนึก สะ-มะ-นึก
สวัสดีครับ พี่แผ่นดิน
สวัสดีครับ ครูโย่ง
ภาพเหล่านี้ผมถ่ายเองทุกภาพ แต่ความจริงน้อง ๆ ผมอีก 2 - 3 คนล้วนมีทักษะและมุมมองในการถ่ายภาพได้ดีกว่านี้ เดี๋ยวคงได้ชมผ่านบันทึกของพวกเขาบ้างกระมังครับ
นี่ก็เป็นอีกงานที่แย่งงานลูกน้องมาทำ.. หรือจะเรียกให้ดูดีหน่อยก็คือการแบ่งเบาภาระของรุ่นน้องนั่นเอง
ขอบคุณครับ
สวัสดีครับ ท่าน อ.ลำดวน
ในภาพอันดีงามนั้น มีบางส่วนที่ยังต้องขบคิดและแก้ปัญหาอยู่มาก อย่างน้อยก็ปีหน้าคงได้ปรับแต่งกันใหม่ รวมถึงขณะนี้ก็กำลังเฝ้าระวังเรื่องการลักลอบรับน้อง ซึ่งที่นี่ไม่มีมาหลายปี แต่กำลังรู้สึกว่าปีนี้ น่าจะมีหลุดมาให้แก้ปัยหาบ้าง
ตอนท้าย, ให้วงดนตรีสากลของนิสิตขึ้นเล่น เพราะนิสิตอาสามาเล่นโดยไม่รับค่าตอบแทน ซึ่งน้องใหม่ก็เต้นกันสุดเหวี่ยง เล่นประมาณสัก 30 - 40 นี้ก็ยุติลง
โชคดี ไม่มีเรื่องร้าย ๆ ในค่ำคืนนั้น
....
ขอบคุณครับ. และยังอยากเจอหลานสาวอยู่นะครับ แล้วผมจะเข้าดูระบบอีกครั้ง เผื่อให้รู้จักและดูแลกันบ้างตามประสาญาติมิตร
สวัสดีค่ะพี่แผ่นดิน
รูปสวยเห็นภาพเลยค่ะ
มนต์เสน่ห์ที่ไม่สิ้นในวันนี้
สวัสดีครับ น้อง ออต
ยืนยันได้ว่า อีสานบ่สิ้นมนต์..
เสียงพิณแคนก้อง
ร้องรำมวนซื่น..
....
สวัสดีครับ ท่าน อ.ลำดวน
ขอบคุณในเรื่องข้อมูลเกี่ยวกับหลานอาจารย์นะครับ.
แล้วยังไง ผมจะชวนมาคุยกันสักวัน.
ขอบคุณครับ
สวัสดีครับ คุณ จอย "ทีมสกัดความรู้ GotoKnow.org"
ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมนะครับ...
ทุกครั้งที่เหงา ๆ เศร้า ๆ ขาดกำลังใจ แต่พอได้ยินเสียงพิณ เสียงแคน หรือแม้แต่หมอลำ มันทำให้ผมรู้สึกมีพลังอย่างบอกไม่ถูก
และผมเองก้ไม่เคยเขินอายที่จะแสดงความเป็นลูกหลานอีสานต่อสาธารณะ ...
....
ขอบคุณครับ
สวัสดีค่ะคุณแผ่นดิน
เป็นภาพที่สวยงามมากค่ะ ไม่ได้เห็นภาพแบบนี้มานานแล้ว เยี่ยมจริงๆค่ะ ทำให้อิ่มอกอิ่มใจไปนาน และเป็นตัวขับเคลื่อนให้มีพลังมากขึ้น ขอบคุณค่ะ