ในระยะ 2 – 3 ปีที่ผ่านมา
เห็นได้ชัดว่า สถิติจำนวนการออกค่ายอาสาพัฒนาของนิสิตมหาวิทยาลัยมหาสารคามมีจำนวนมากขึ้นทุกปี เป็นต้นว่าในช่วงปิดภาคเรียนปลายในเดือนมีนาคม – เมษายนของทุกปีนั้น ก็มักมีค่ายอาสาพัฒนาในรูปแบบต่าง ๆ ปีละไม่น้อยกว่า 20 ค่าย ส่วนช่วงปิดภาคเรียนต้นในเดือนตุลาคมของทุกปี จำนวนค่ายที่จัดขึ้นก็มีสถิติใกล้เคียงกับช่วงปิดภาคเรียนปลายด้วยเช่นกัน
จำนวน หรือสถิติที่กล่าวถึงนั้น เป็นข้อมูลที่เกิดจากการสำรวจอย่างกว้างๆ และส่วนใหญ่ก็เป็นข้อมูลจากองค์กร หรือชมรมที่สังกัดองค์การนิสิต แต่ส่วนหนึ่งอันเป็นข้อมูลในสังกัดคณะ หรือสโมสรนิสิตคณะนั้น ก็พบว่ามีหลายกิจกรรมด้วยกันที่ยังไม่ถูกนำมารวบรวมอย่างเป็นทางการ
ประเด็นการขบคิดที่อยู่เหนือจำนวน หรือสถิติอันเป็นข้อมูลดังกล่าวนั้น คงไม่ใช่การสะท้อนให้เข้าใจว่า ทุก ๆ กิจกรรมที่จัดขึ้นนั้นเป็นการได้รับการสนับสนุนด้านงบประมาณจากมหาวิทยาลัยเสียทั้งหมด หากแต่ในความเป็นจริงนั้น เกือบทั้งหมดกลับล้วนแล้วแต่มาจากหยาดเหงื่อและแรงคิดของนิสิตล้วน ๆ เลยที่เดียว
หนังกลางแปลง : หนังสร้างค่าย
การออกค่ายหรือการจัดกิจกรรมในแต่ละครั้ง มักใช้เวลาอย่างน้อย 2 – 7 วัน และมีผู้เข้าร่วมอยู่ระหว่าง 20 – 60 คนเสมอ แต่นั่นก็ยังพบว่าบางโครงการมีคนทะลักเข้าร่วมกิจกรรมจำนวนมากถึง 100- 140 คนเลยก็มี และไม่ว่ากิจกรรมนั้นจะเป็น “ค่ายสร้าง, ค่ายสอน, หรือค่ายเรียนรู้” ก็ตาม ต่างก็ใช้งบประมาณเป็นหลายหมื่นบาทด้วยกันแทบทั้งสิ้น หรือแม้แต่บางค่ายก็ใช้งบประมาณขับเคลื่อนโครงการมากถึง 100,000 – 150,000 บาทเลยก็มี
คำถามสำคัญก็คือ ค่ายแต่ละค่าย กิจกรรมแต่ละกิจกรรม ได้รับงบประมาณมาจากที่ไหนล่ะ ?
แต่ที่แน่ ๆ ค่ายแต่ละค่าย กิจกรรมแต่ละกิจกรรมล้วนได้รับการสนับสนุนจากเงินรายได้ฯ หมวดเงินอุดหนุน ค่าบำรุงกิจกรรมนิสิตและกีฬาของมหาวิทยาลัยกันน้อยมาก เพราะทั้งหลายทั้งปวงนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นงบประมาณ “จัดหาเอง” แทบทั้งสิ้น โดยเฉพาะการจัดหาเองผ่านวิธีการ หรือกิจกรรมสุดฮิตที่เรียกติดปากกันในรั้ว “มมส” ว่า “หนังกลางแปลง” หรือ “หนังสร้างค่าย”
ปัจจุบันการจัดฉายหนังกลางแปลงเพื่อระดมทุนจัดกิจกรรมค่ายนั้น จะมีขึ้นในทุกวันศุกร์และวันเสาร์อย่างต่อเนื่อง โดยยึดสนามกีฬาลานโล่งแจ้งใกล้ๆ กับอาคารพลศึกษาเป็นสถานที่จัดฉาย และการฉายแต่ละครั้ง จะเก็บค่าตั๋วหนังใบละ 20 บาท มีหนัง 3 เรื่องให้ดูอย่างออกรสออกชาติ ซึ่งแต่ละเรื่องก็เป็นเรื่องที่ได้รับความนิยมอยู่แล้ว และที่สำคัญก็คือการฉายแต่ละครั้งเป็นการฉาย “หนังใหม่” ที่เพิ่งออกจากโรงมาได้ไม่ถึงสัปดาห์ บางเรื่องก็ออกโรงวันพฤหัสบดี พอถึงวันศุกร์ก็ถูกนำมาจัดฉายในมหาวิทยาลัยต่อเนื่องทันทีเลยก็มี
เรื่องการฉายหนังกลางแปลงในมหาวิทยาลัยนั้น จัดว่าไม่ใช่เรื่องใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้นในยุคปัจจุบันนี้
เพราะในสมัยที่ยังคงมีสถานะเป็น “มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มหาสารคาม” (มศว.มหาสารคาม) ก็พบว่ามีการฉายหนังกลางแปลงอยู่บ้างเหมือนกัน แต่เป็นการจัดขององค์กรเพียงไม่กี่องค์กรเท่านั้น เป็นต้นว่า ชมรมอาสาพัฒนา พรรคชาวดิน พรรคพลังสังคม พรรคก้าวใหม่ โดยเฉพาะชมรมอาสาพัฒนานั้นต้องถือว่า “ช่ำชอง” ในเรื่องนี้กว่าใครอื่นเป็นไหน ๆ ซึ่งในสมัยนั้น สถานที่ที่นิยมเปิดวิกล้อมผ้าฉายหนังกลางแปลงมากที่สุดก็หนีไม่พ้นสนามฟุตบอล (ปัจจุบันคือสนามรักบี้ฟุตบอล) และรองลงมาก็คือ “โภชนาคาร” (ปัจจุบันคือโรงเรียนสาธิตฯ ระดับประถม)
คอนเสริ์ต : การระดมทุนที่เกือบเลือนหาย
อย่างไรก็ตามเป็นที่น่าสังเกตว่า ในช่วงปี พ.ศ.2534 – 2537 การจัดหาทุน หรือเรียกกันโดยทั่วไปในแวดวงนักกิจกรรมว่า “ระดมทุน” เพื่อหารายได้ไปจัดกิจกรรมนั้นก็ดูจะมีรูปแบบที่หลากหลายไปกว่ายุคสมัยนี้อยู่มิใช่น้อย เพราะเท่าที่สัมผัสมาก็เห็นได้ชัดว่าบางครั้งก็ระดมทุนด้วยการทำ “สติ๊กเกอร์” ออกมาขายในราคาแผ่นละ 2 – 3 บาท หรือบางครั้งก็ปิดห้องเรียนจัดฉายภาพยนตร์ด้วยม้วนวีดีโอและเก็บค่าตั๋วในราคา 5 – 10 บาทก็มีให้เห็นบ่อยครั้งเหมือนกัน ส่วนการ “ร้องเพลงเปิดหมวก” หรือการ “จำหน่ายเสื้อชมรม” นั้นยังไม่เป็นที่นิยมแพร่หลายนัก แต่ที่ดูจะท้าทายที่สุดในยุคนั้น ก็ดูเหมือนจะหนีไม่พ้นการจัดคอนเสิร์ตแสดงดนตรี หรือไม่ก็เชิญศิลปินชื่อดังมาทอล์คโชว์ ซึ่งทางเลือกหลังนี้ใช้งบลงทุนค่อนข้างมาก และสุ่มเสี่ยงต่อการขาดทุนอยู่มากโข
กรณีการจัดคอนเสริ์ตนั้น ถ้าจำไม่ผิดช่วงประมาณปี พ.ศ. 2532 พรรคชาวดินเคยจัดคอนเสิร์ตของศิลปินร็อคชื่อดังท่านหนึ่ง แต่ปรากฏว่าไม่ประสบความสำเร็จในด้านรายได้เท่าที่ควร หรือหากจะเรียกว่าขาดทุนก็คงไม่ผิดนัก โดยผลลัพธ์ในครั้งนั้น ทำเอาหลายคนและหลายองค์กรตัดสินใจที่จะไม่ฝากหวังเรื่องการระดมทุนจัดกิจกรรมผ่านเวทีตคอนเสริ์ตไปตาม ๆ กัน
กระทั่งปี พ.ศ. 2537 พรรคชาวดินก็หวนกลับมาจัดคอนเสิร์ตเพื่อออกค่ายกันอีกครั้ง คราวนี้เป็นคอนเสริ์ตง่าย ๆ เล็ก ๆ เน้นคอนเซ็ป “ปูเสื่อนั่งแบบสบายๆ ไม่ดิ้นไม่เมา” ภายใต้ชื่อโครงการว่า “คอนเสริ์ตหอบสื่อมาเผื่อน้อง” ณ โภชนาคาร ซึ่งขายตั๋วในราคา 49 บาท ส่วนศิลปินที่ถูกเชิญมาแสดงก็คือ “ศุ บุญเลี้ยง”
และเป็นที่น่ายินดีว่าคอนเสริ์ตดังกล่าวดำเนินไปด้วยความเรียบร้อย นิสิตและบุคลากรมาให้กำลังใจต่อทีมงานกันอย่างอบอุ่น ถึงไม่มากมายนัก แต่ก็ถือว่าเกินความคาดหมายอย่างเห็นได้ชัด และที่สำคัญยังเป็นเสมือนการยืนยันว่า ในมหาวิทยาลัยยังคงมีวัฒนธรรมทางดนตรีที่ “สนุกได้โดยไม่จำเป็นต้องเต้นแร้งเต้นกา”
ภายหลังคอนเสริ์ตในครั้งนั้นสิ้นสุดลง ทีมงานและศิลปินได้ตรวจเช็ครายรับรายจ่ายทั้งหมดร่วมกัน อย่างเป็นกันเอง ปรากฏว่ามีกำไรในราวๆ 3 พันกว่าบาท แต่สุดท้ายศิลปินท่านนั้นก็มอบเงินจำนวน 5,000 บาทสมทบทุนออกค่ายแบบชนิดไม่เอา “ค่าตัว” จนกลายมาเป็นต้นกำเนิดของค่าย “สาธารณสุขสู่ชนบท” ในยุคนั้น และเรื่องราวดังกล่าวยังถูกนำไปบันทึกไว้ในหนังสือพ็อคเก็ตบุ๊คชวนอ่านของศุ บุญเลี้ยงที่มีชื่อว่า “ลิ้นชักนักเดินทาง” ด้วยเหมือนกัน
ถึงแม้คอนเสิร์ตในครั้งนั้นจะประสบความสำเร็จไม่ขาดทุนตามที่หลายคนคาดการณ์ไว้ แต่ก็ยังถือว่ากระบวนการดังกล่าวยังไม่สามารถกลายมาเป็น “ทางเลือก” ในการระดมทุนจัดกิจกรรมของนิสิตในยุคนั้นได้ เพราะการฉายหนังกลางแปลงก็ยังคงเป็นทางเลือกแรกที่ใครๆ ก็เลือกที่จะใช้เป็นกระบวนการของการจัดหาทุนทำกิจกรรม แต่ถึงกระนั้นภายหลังการยกฐานะมาเป็นมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ก็เริ่มเห็นได้ชัดว่าเริ่มมีการจัดทำพวงกุญแจ วาดภาพระบายสีบนกระเบื้อง และขายเสื้อองค์กรกันอย่างจริงจังขึ้นเรื่อยๆ และถัดจากนั้นพรรคชาวดินก็แหวกขนบการระดมทุนกิจกรรมอีกรอบด้วยการเปิดคอนเสิร์ตขึ้นเองในชื่อว่า “เสียบปลั๊กยักไหล่ใส่แร็กเก้”
คอนเสริ์ตครั้งนั้นเป็นการเข็นเอาคุณประจวบ จันทร์หมื่น (ปัจจุบันเป็นศิลปินวงอีเกิ้ง สังกัดค่ายอาร์สยาม) ขึ้นแสดงดนตรีด้วยตัวเอง โดยขณะนั้นเจ้าตัวก็ถือว่าเป็นแกนหลักของพรรคชาวดินและยังเป็นนักร้องนำวงสตริงของนิสิตในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อว่า “เดอะทม” (ผู้ก่อตั้งวงดนตรี ปัจจุบันคืออาจารย์ทม เกตวงศา) และครั้งนั้นก็เก็บตั๋วเข้าชมเพียง 20 บาทเท่านั้น
ถึงแม้การแสดงดนตรีครั้งนั้นจะไม่ประสบความสำเร็จ แต่ก็ไม่ถึงกับขาดทุนจนต้องเจ็บตัวไปตาม ๆ กัน แต่ก็ถือได้ว่าเวทีครั้งนั้นได้กลายมาเป็นการจุดประกายให้นิสิตได้กล้าแสดงศักยภาพของตนเองบนเวทีอันสร้างสรรค์ในมหาวิทยาลัย ซึ่งจากนั้นไม่นานนักทั้งคุณประจวบ จันทร์หมื่นและนิสิตบางท่านก็หันมาทำเทปตนเองวางขายในมหาวิทยาลัยไปโดยปริยาย
ปี 2540 พรรคชาวดินเข็นเอาคอนเสริ์ต “หอบเสื่อมาเผื่อน้อง โครงการ 2” กลับมาอีกครั้ง
คราวนี้ ไม่เพียงเป็นการแสดงดนตรีในอัลบั้ม “เด็กหลังห้อง” ของคุณแท่ง (ศักดิ์สิทธิ์ แท่งทอง) เท่านั้น แต่ยังหมายถึงการมาของคุณ “โน้ตอุดม แต้พานิช” ด้วยเช่นกัน ซึ่งรายหลังนั้นมาทอล์คโชว์ในชุด “โชว์ห่วย”
ครั้งนั้น คอนเสริ์ตดังกล่าวจัดขึ้นเมื่อวันที่ 9 มกราคม 2540 เก็บค่าเข้าชมคนละ 200 บาท แต่เมื่อหักลบต้นทุนแล้วมีเงินเหลือเป็นทุนรอนทำกิจกรรมในราว ๆ ประมาณ 120,000 บาท รายได้ส่วนหนึ่งของเงินก้อนนี้ก็ถูกนำไปจัดกิจกรรม “ผ้าป่าอาหารสัตว์” ที่จังหวัดชัยภูมิ และโครงการค่ายสาธารณสุขอีกครั้งที่โรงเรียนบ้านผาน้อย อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย
กิจกรรมในทำนองเดียวกันนี้ ในยุคไล่หลังกันมานั้นพบว่าพรรคพลังสังคมเองก็เคยจัดคอนเสิร์ตวงสตรีวัยรุ่นชื่อดังบ้างเหมือนกัน แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ ตรงกันข้ามกลับต้องควักเนื้อตัวเองกันพอสมควร เช่นเดียวกับสโมสรนิสิตคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ก็เคยจัดกิจกรรมระดมทุนเช่นนี้เหมือนกัน แต่สุดท้ายก็ไปไม่รอด แต่ก็ยังถือว่าโชคดีเพราะได้ทางคณะเข้ามาดูแลและเป็นส่วนหนึ่ง พร้อม ๆ กับการสนับสนุนงบประมาณจำนวนหนึ่งจึงทำให้พอเอาตัวรอดไปได้บ้าง
หนังกลางแปลง : ทางเลือกที่ยังนิยมเลือก
ปัจจุบันการระดมทุนหารายได้ทำกิจกรรมของนิสิตผ่านรูปแบบการจัดคอนเสริ์ตโดยมีศิลปินชื่อดังเป็น “จุดขาย” แทบไม่ปรากฏให้พบเห็นอีกแล้ว ขณะที่กระบวนการหรือรูปแบบอื่น ๆ อาทิเช่น ขายเสื้อ ขายสมุด หรือแม้แต่การขอรับบริจาคทั้งจากภายในและภายนอกมหาวิทยาลัยจะดูหลากหลายขึ้นก็จริง แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าวิธีการเหล่านี้ยังไม่สามารถสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำเพียงพอให้ออกค่ายในแต่ละครั้งได้ เว้นเสียแต่การเสนอโครงการขอรับการสนับสนุนจากองค์กร หรือมูลนิธิภายนอกเท่านั้น ที่ดูจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า แต่ถึงกระนั้นก็เถอะ นิสิตส่วนใหญ่ก็ยังคงไม่ค่อยให้ความสนใจกับการนำเสนอโครงการเพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากองค์กรหรือมูลนิธิอย่างที่ควรจะเป็นเท่าใดนัก จะมีก็แต่ “หนังกลางแปลง” เท่านั้นที่ดูเหมือนว่ายังคงเป็น “ทางเลือก” ที่องค์กรนิสิต หรือชมรมต่าง ๆ ให้ความสำคัญ และมุ่งมั่นที่จะขับเคลื่อนการระดมทุนฯ ด้วยวิธีนี้อย่างไม่รู้เบื่อ
จากข้อมูลที่ประจักษ์ชัดที่สุดเมื่อสักประมาณ 3 – 4 ปีที่แล้ว พบว่ากลุ่มนิสิตพรรคพลังสังคมเคยฉายหนังกลางแปลงเพื่อนำเงินไปออกค่าย โดยนำเรื่อง “เพื่อนสนิท” มาเป็นหนังชูโรง ซึ่งหลังจากหักต้นทุนอันเป็นค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในราว ๆ 12,000 – 15,000 บาทคงเหลือเป็นกำไรมากถึง 60,000 บาทเลยทีเดียว
ปัจจุบันองค์กรนิสิตหลายองค์กรยังคงยึดมั่นในแนวทางการระดมทุนออกค่าย หรือจัดกิจกรรมต่าง ๆ ด้วยการฉายหนังกลางแปลงกันอย่างคึกคักต่อเนื่อง จนดูเหมือนว่านี่คือ “ทางเลือก” ที่ทุกองค์กรพร้อมใจที่จะเลือก เพราะการบริหารจัดการไม่ซับซ้อนอะไรนักและที่สำคัญก็คือ ทุนน้อยแต่ได้ผลตอบแทนค่อนข้างสูง
หนังกลางแปลงไม่เพียงเป็นภาพสะท้อนด้านมุมมองการระดมทุนของเหล่าบรรดาองค์กรนิสิตที่พยายามยืนหยัดด้วยตนเอง โดยไม่ฝากหวังไว้แต่เฉพาะการขอรับการช่วยเหลือจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนเสียทั้งหมด ซึ่งก็ถือได้ว่าเป็นการยืนหยัดอย่างมีพลัง มีเหตุผล และถือเป็นการเลือกที่จะเรียนรู้ด้วยวิธีของตนเองที่น่าสนใจมิใช่น้อย
ผลพวงของการระดมทุนด้วยการฉายหนังกลางแปลง คงปฏิเสธไม่ได้ว่า นอกเหนือจากผลกำไรในตัวเงินที่สามารถนำไปออกค่ายและจัดกิจกรรมอื่น ๆ แล้วยังสามารถสะท้อนให้เห็นถึงเรื่องราวอื่น ๆ อยู่บ้างเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นความบันเทิงในมหาวิทยาลัยที่ย่นระยะทางจากตัวเมืองมาสู่สถานศึกษา หรือภาพสะท้อนด้านความสัมพันธ์อันเป็นกันเองของชุมชนกับมหาวิทยาลัย ดังจะเห็นได้จากการฉายหนังในแต่ละครั้ง ทั้งผู้ใหญ่ เด็กและเยาวชนจากหมู่บ้านต่าง ๆ ก็ถาโถมเข้ามาร่วมกิจกรรมนี้อย่างมากโข หรือแม้แต่การสานต่อวัฒนธรรมการฉายหนังกลางแปลงให้คงอยู่กับมุมเล็ก ๆ ในสังคมไทยให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้
จากวันนั้นถึงวันนี้ ถึงแม้ผมจะไม่ค่อยมีโอกาสย่างกรายเข้าไปนั่งดูหนังกลางแปลงในมหาวิทยาลัยมากนัก แต่ก้เคยแวะเวียนพบปะและให้กำลังใจกับองค์กรนิสิตอยู่บ้าง รวมถึงการช่วยสมทบทุนซื้อตั๋วหนังกับนิสิตเสร็จแล้วก็แจกจ่ายให้นิสิตและบุคลากรไปดูบ้างตามโอกาสอันอำนวย และเท่าที่พบเจอนั้นก็ถือได้ว่าบรรยากาศค่อนข้างดี ถึงแม้จะแตกต่างบ้างกับบรรยากาศที่เคยนั่งดูในหมู่บ้านของตนเอง แต่เรื่องราว หรือภาพชีวิตที่เกิดขึ้นของที่นี่ก็ได้บอกย้ำกับความทรงจำเก่าก่อนอย่างมีพลัง
การฉายหนังกลางแปลงในมหาวิทยาลัยยังคงมีกลิ่นอายของหนังกลางแปลงในหมู่บ้านอย่างชัดเจน มีการหอบเสื่อมาปูนั่ง มีการขายหนังสือพิมพ์แผ่นละบาทเพื่อรองนั่ง มีการขายลูกชิ้นของชมรม และสิ่งของอื่น ๆ ตามแต่จะนึกสนุกเอามาขาย ขณะที่รถเข็นของชาวบ้านก็มีโอกาสได้ตั้งแผงขายขนม ผลไม้ เครื่องดื่ม หรือแม้แต่ปลาหมึกปิ้งกันอย่างคึกคัก ส่วนนิสิตอีกกลุ่มหนึ่งก็รับผิดชอบบริหารจัดการรับฝากรถกันอย่างน่ารักน่าเอ็นดู พอหนังฉายเสร็จ แต่ละคนก็ช่วยกันเก็บขยะและไม้เสียบลูกชิ้นกันอย่างครึกครื้น -
และในที่สุดแล้ว อาจเรียกได้ว่า การฉายหนังกลางแปลงในมหาวิทยาลัยกำลังถูกยอมรับและยกฐานะให้เป็นอีกตำนานหนึ่งในแวดวงกิจกรรมของชาว มมส
ท่าทางสนุกดีน่ะครับ กิจกรรมนักศึกษา ของ มมส. เห็นวิวัฒนาการเด่นชัด ส่วนทางใต้ เห็นว่าเงียบ ๆ ครับ แต่กิจกรรมด้านอาสาพัฒนาของ ม.วลัยลักษณ์ มีค่าย ๆ ปี ละ 2-3ครั้ง
หนังกลางแปลง ยังมีเสน่ห์นะคะ
เมื่ออาทิตย์ก่อน นั่งรถข้ามเขา
เห็นเค้า กำลังฉายหนังกลางแปลง บนเขาสูง
ได้บรรยากาศอีกแบบค่ะ
คุณแผ่นดิน รักษาสุขภาพนะคะ
สวัสดีครับ อาจารย์ขจิต ฝอยทองที่ปรึกษา~natadee,~natachoei(หน้าตาเฉย),~ natamaidee - - But narak...
สวัสดีค่ะ เมื่อปี พ.ศ. 2525 พี่บรรจุรับราชการครู กศน.ค่ะ ก็ไม่การฉายหนังในหมู่บ้านพร้อมกับประชาสัมพันธ์งาน กศน. เช่น การเรียนระดับประถม (ระดับ 3) มัธยาศึกษา (ระดับ 4) และระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (ระดับ 5) และการเรียนการสอนวิชาชีพหลักสูตรระยะสั้น ๆ เช่น การตัดผมชาย ตัดเย็บเสื้อผ้า ดัดผมเสริมสวย อาหาร - ขนม และกิจกรรมอื่น ๆ อีกมากมาย
สวัสดีครับพี่แผ่นดิน
บันทึกนี้ดูเป็นประวัติศาสตร์ได้เลยครับ เรียบเรียงได้เยี่ยม ผมชอบเรื่องราวของหนังอยู่แล้ว แล้วหนังกลางแปลงก็เป็นอะไรที่ชอบมาก บรรยากาศการดูหนังกลางแจ้ง มันโรแมนติกอยู่แล้ว
ดูกะสาว ๆ หนาว ๆ น้ำค้างโปรย
เป็นวัฒนธรรมที่ดีครับ เป็นการกระจายศิลปะแขนงนี้ไปสู่ชุมชน ในราคาไม่แพง สร้างโอกาส
ผมเห็นด้วยกับการที่นักศึกษาทำกิจกรรมนี้นะครับ
แต่ถ้าจัดกันทุกกลุ่ม บ่อย ๆ ผมก็ว่ามันคงจืด ๆ ไปเหมือนกัน
เคยทำสมัยเรียนที่วิทยาลัย เพื่อนฉายวีดีโอ เก็บตังค์ระดมทุน จัดบ่อยเข้า คนก็ไม่ค่อยสนใจ
แต่ก็เป็นรูปแบบการเรียนรู้ครับ
บันทึกอ่านสนุกครับ
อ่านแล้วนึกถึงสมัยเรียนครับ ไม่ใช่หนังกลางแปลง แต่เป็นหนังในหอประชุม สมาชิกชมรมช่วยกันขายบัตร บัตรก็ไม่แพง
สวัสดีครับ..คุณเอกราช แก้วเขียว
ผมเขียนบันทึกนี้ เพราะหลายครั้ง มีคนถามในเวทีต่าง ๆ ว่าทำไมนิสิตถึงออกค่ายกันเยอะมาก ปีละไม่ต่ำกว่า 50 ค่ายเลยก็ว่าได้ ซึ่งทั้ง ๆ ที่มหาวิทยาลัยก็ไม่ได้สนับสนุนงบประมาณมากมายนัก งบส่วนใหญ่ถูกขับเคลื่อนสู่กิจกรรมประเพณีในสถาบันเป็นที่ตั้ง
และนี่คือคำตอบของคำถามเหล่านั้น ...ครับ
มาดูและเชียรืหนังกลางแปลง
เหมือนสมัยก่อน
มอขอ ขายบัตรฉายหนังในโรงภาพยนต์
คิดถึงตอนวันรุ่น ไปดูหนังกลางแปลง
ขอให้ระดมทุนได้มาก ๆ นะคะ
สวัสดีครับพี่แผ่นดิน
หวังว่าตอนนี้พี่ยังทำงานเกี่ยวกับกิจกรรมนิสิตที่มหาวิทยาลัยอยู่และคงสบายดีนะครับ อดคิดถึงเพื่อนๆ ชาวค่าย มมส.ไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นค่ายในสังกัดองค์การนิสิต หรือสังก้ดคณะ ต่างๆ เมื่อผมได้อ่านบทความที่พี่เขียนถึงกิจกรรมของชาว มมส. ที่มีวัฒนธรรมค่ายอันเป็นสายใยเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของนิสิตกับชุมชนอย่างมีเอกลักษณ์
คิดถึงสมัยที่ได้ทำกิจกรรมออกค่าย มีอาจารย์ พี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ร่วมร้องบทเพลงในค่ำคืนเดือนหงายกลางสนาม มันเป็นความทรงจำที่น่าประทับใจมากที่สุดอีกมุมหนึ่งของชีวิตการเป็นนิสิต ครั้งนั้นผมเป็นนิสิต มมส. รุ่นภูมริน 8 ปี 2547 กิจกรรมในรั้วมหาลัยที่ผมได้สัมผัสเมื่อแรกเริ่มนั้นก็คือ กิจกรรมรับน้อง ที่จัดขึ้นทั้งในส่วนกลาง และคณะ ต่อมาก็คือ กิจกรรมรอดซุ้ม ซึ่งถือได้ว่าเป็นการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนและพี่ได้เป็นอย่างดี ทำให้ผมได้รู้จักเพื่อนทั้งในคณะและต่างคณะอย่างมากมาย กิจกรรมเหล่านี้เป็นสิ่งที่จุดชนวนความคิดให้ผมสนใจที่จะเลืกทางเดินในการเรียนและการทำกิจกรรม
สิ่งที่เด่นชัดมากที่ทำให้ผมรู้จักคำว่า จิตสาธารณะ ก็คือ การออกค่ายครั้งแรกกับชมรมครูอาสาและครั้งนั้นผมก็ได้เป็นอนุกรรมการของชมรมด้วย เป็นอีกค่ายหนึ่ง ที่อาจใช้คำว่า ผู้ให้อย่างแท้จริง เป็นการฝึกฝนตนเองในการออกไปเรียนรู้นอกรั้วมหาลัย ที่ไม่มีให้เรียนในตำรา ทำให้เรารู้จักการแบ่งปัน การเอื้อเฟื้อเพื่อสังคม โดยเฉพาะสังคมที่ด้อยโอกาส สังคมที่เด็กๆโหยหาความเอื้ออาทรณ์ จากใครหลายๆคน และผมก็เชื่อว่าคุณค่าชีวิตของการเป็นนิสิตไม่ใช่เฉพาะการตั้งใจศึกษาเล่าเรียนเท่านั้นแต่การทำกิจกรรมก็มีความสำคัญพอกัน การเรียนและการทำกิจกรรมเป็นสิ่งที่ทุกคนควรจะทำควบคู่กัน เพราะสิ่งเหล่านี้สามารถหล่อหลอม กล่อมเกลาให้เราเป็นคนที่มีโลกทัศน์ ความคิดที่กว้างไกล เข้าใจสิ่งรอบตัวได้มากขึ้น มีความบริบูรณ์ก่อนที่จะออกไปช่วยสร้างสรรค์สังคมให้มีความเจริญเพราะการทำกิจกรรมสอนให้เรารู้ว่าเรามิได้อยู่เพื่อตนเองเพียงคนเดียว
กิจกรรมการจัดหาทุนในการออกค่ายของนิสิต มมส. ที่มีความโดดเด่น ลงทุนน้อย ได้ผลกำไรมาก ก็คือ กิจกรรมดูหนังกลางแปลง ดังที่พี่แผ่นได้กล่าวไว้ เป็นสื่อที่มีอิทธิพลต่อผู้คนทุกยุคทุกสมัย เพราะเป็นศิลปะแขนงหนึ่งที่สามารถเข้าถึงผู้เสพหรือผู้ดูได้ทุกเพศทุกวัย
การฉายภาพยนตร์กลางแปลงเป็นการทำสื่อโฆษณาประเภทหนึ่งซึ่งถ้าว่ากันไปแล้วถือว่าเป็นสื่อที่ใกล้ชิดผู้บริโภคในลักษณะเอื้อมมือถึงเสมือนหนึ่งการเคาะประตูบ้านบอกกล่าวเล่าขานจากสภาพสังคมของคนในต่างจังหวัด แต่ละชุมชน แต่ละอำเภอ หรือว่าจังหวัด นั่นคือกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมายซึ่งคละเคล้าคนทุกระดับให้มารวมกันอยู่เป็นกลุ่มก้อน ณ สถานที่นั้นๆเราจึงสามารถสื่อกับกลุ่มเป้าหมายได้อย่างครบถ้วนหมดจด
้ เราจะจัดกิจกรรมเพื่อให้ผู้บริโภคได้มีโอกาสสร้างความผูกพันธ์สร้างความสนิทสนมกับ "แบรนด์"ของเราให้ผู้บริโภคนึกถึงเราเมื่อเขามีความต้องการบริโภคสินค้าตัวนี้ เขาจะมีความมั่นใจในคุณภาพสินค้า"แบรนด์"นี้ชัยชนะเหนือ"แบรนด์"อื่นก็ไม่ใช่สิ่งที่"ยาก"สำหรับเรา
อีกประการหนึ่่งหากจะย้อนมาพิจารณาถึงต้นทุนการลงทุนสื่อโฆษณาประเภทนี้เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าสื่อประเภทนี้มี"ต้นทุน"ที่ต่ำที่สุด แต่สามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างใกล้ชิดที่สุดและมีปริมาณมากที่สุดในการลงทุนแต่ละครั้ง แต่ละสถานที่เราเจาะได้ตรงเป้าที่สุด (นันทวันภาพยนตร์ จ. สุรินทร์) นี่คือรูปแบบกิจกรรมที่สามารถทำให้กลุ่มนิสิตชาวค่ายหารายได้ในการออกไปจัดกิจกรรมกับชุมชนอีกหนทางหนึ่ง ซึ่งยังคงยึดถือปฏิบัติต่อกันมา ถึงทุกวันนี้
หากมีโอกาสผมก็อยากกลับไปนั่งดูหนังกลางแปลงที่ ชาวค่าย มมส. จัดเหมือนกัน เพราะจะทำให้เราคิดถึง และได้สัมผัสบรรยากาศเก่าๆเหล่านั้นได้อย่างแจ่มชัดที่สุด หากว่ามีข่าวกิจกรรมดีๆ ที่น่าสนใจ พี่แผ่นดินก็แจ้ง ประชาสัมพันธ์ให้ทราบด้วยนะครับ...ท้ายสุดนี้ผมก็ขอให้พี่แผ่นดินมีความสุขกับการทำงานมากๆนะครับ
(การเรียนทำให้เรามีความรู้ในการทำงาน กิจกรรมทำให้เราทำงานเป็น)