ขณะที่ผมกำลังนั่งพักผ่อนอยู่ที่ห้องพักโดยตั้งใจว่าสักครู่คงเข้าไปยังสำนักงานเสียงลมหนาวจากทิวไม้หลังเรือนพักดังหวีดวิวลอดไล้เข้ามายังห้องนอนชวนให้ผิวกายเย็นสะท้านประหนึ่งการสะกิดเตือนให้หวนคิดถึงภารกิจอันสำคัญที่ปล่อยวางไว้ก่อนการไปเมืองปาย –
ภารกิจที่ว่านั้นก็คือ การร่วมขับเคลื่อนโครงการ “ต้านลมหนาวสานปัญญา” นั่นเอง
ผมเคยได้เขียนถึงเรื่องราวและบรรยากาศตลอดจนที่มาที่ไปของโครงการนี้มาแล้วหลายบันทึกอย่างน้อยก็เขียนถึงอย่างต่อเนื่องมาแล้วถึงสองปีและเรื่องราวที่ว่านั้นก็เกิดขึ้นที่จังหวัดชัยภูมิและอุดรธานี
ในปีนี้โครงการดังกล่าวกำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้งในระหว่างวันที่12 – 14 ธันวาคม2551ณชุมชนบ้านหนองหญ้าปล้องหมู่ที่10ตำบลแซงบาดาลอำเภอสมเด็จจังหวัดกาฬสินธุ์
ถึงแม้พื้นที่ดังกล่าวจะไม่ไกลไปจากมหาวิทยาลัยมากนักแต่ก็เป็นที่ยอมรับและรู้ซึ้งกันดีว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นรอยต่อระหว่างจังหวัดกาฬสินธุ์กับจังหวัดสกลนครและที่สำคัญคือเป็นหมู่บ้านที่อยู่ติดกับเทือกเขาภูพานด้วยเหตุนี้จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า ภูมิอากาศจะหนาวเย็นสักแค่ไหน
ลมหนาวของผืนแผ่นดินที่ราบสูงอย่าง “อีสาน”ถึงแม้จะไม่หนาวแบบชื้น ๆ นัก แต่พลังของความหนาวเย็นที่สยายปีกมาพร้อมกับสายลมแบบแห้ง ๆ โหย ๆ นั้นกลับเป็นเสมือนเครื่องประหัตประหารอันน่าเกรงขามเป็นที่สุด
ผมมีโอกาสได้ร่วมคิดกิจกรรมและแนวทางของการระดมทุนกับเจ้าหน้าที่และนิสิตมาสองรอบใหญ่ ๆก่อนปล่อยให้แต่ละคนได้ลงมือทำในสิ่งที่เขาควรจะต้องคิดและทำด้วยตนเองซึ่งเบื้องต้นน้องนิสิตได้ตระเวนสำรวจพื้นที่ต่าง ๆเสร็จแล้วก็นำข้อมูลมาวิเคราะห์ – คัดเลือกกันอย่างเข้มข้นจากนั้นก็ลงพื้นที่กันอีกรอบเพื่อศึกษารายละเอียดอย่างถี่ถ้วนอีกครั้งเพราะกิจกรรมนี้จะไม่เพียงถูกจัดขึ้นด้วยรูปแบบการส่งมอบสิ่งของเท่านั้น หากแต่จะมีกิจกรรมบูรณาการอย่างหลากหลายเข้าไปเติมเต็มอย่างเข้มเข้นและที่สำคัญก็คือมิติของการเชื่อมโยงระหว่างบ้าน, โรงเรียน, และวัด
และที่สำคัญอีกประการก็คือ นิสิตที่เข้าร่วมโครงการก็ต้องทำอะไรได้มากกว่าที่จะไปส่งมอบสิ่งของและไม่ใช่ไปเพียงเพื่อชมนกชมวิวตากอากาศกับเพื่อนรักเท่านั้นแต่ต้องเข้าสู่กระบวนการของการเรียนรู้ชีวิตร่วมกับเพื่อนและชาวบ้านอย่างมีกระบวนการเพื่อปรับแต่งโลกทัศน์และชีวทัศน์ของตนเอง เพราะนั่นคือกระบวนการหนึ่งของการเสริมสร้างและพัฒนาศักยภาพของนิสิตผ่านกระบวนการของ "กิจกรรมนอกหลักสูตร" ที่ผมไม่อาจปล่อยวางได้ เพราะผมเชื่อและศรัทธาเสมอมาว่า "กิจกรรมนิสิต คือรสชาติชีวิตปัญญาชน" และ "กิจกรรมนิสิต ก็เป็นเสมือนเรือนเพาะชำชีวิตของปัญญาชน" ด้วยเช่นกัน
ในระยะต้นของการเตรียมการในเรื่องเหล่านี้น้อง ๆ นิสิตได้ระดมแรงจับเสือมือเปล่าโดยการออกตระเวนเก็บขวดพลาสติกมาชั่งกิโลขายแต่เป็นที่น่าเสียดายว่าขวดจำนวนพัน ๆ ขวดกลับขายได้เพียงไม่ถึง 400บาททำให้เราต้องปรับยุทธศาสตร์กันยกใหญ่ด้วยการตีกลองร้องเพลงขอรับบริจาคใน “ตลาดน้อย” ของ มมสเพื่อหวังว่าจะมีทุนรอนในการขับเคลื่อนเรื่องนี้
ถึงตอนนี้ผมยังไม่รู้เลยว่าการงานเหล่านี้เคลื่อนไปได้ไกลแค่ไหนติดขัดอะไรบ้างเพราะช่วงที่ผ่านมาผมก็สัญจรไปเมืองปายเพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับกัลยาณมิตรในกิจกรรมที่มีชื่ออันเปี่ยมพลังว่า “จิตอาสา gotoknow”แต่เท่าที่ยกหูสอบถามไปยังแกนนำเมื่อเช้านั้นก็พอได้รู้มาบ้างว่าทุกอย่างยังคงต้องลงแรงกันอีกเยอะและเที่ยงของวันนี้ก็จะเปิดเวทีเล่นดนตรีเปิดหมวกแบบเก๋ ๆ ในโรงอาหารส่วนพรุ่งนี้ก็จะร่วมแรงใจกันซักเสื้อผ้าผึ่งเสื้อผ้าตลอดจนจัดเรียงสิ่งของที่จะนำไปส่งมอบให้กับน้อง ๆ และชาวบ้าน –
ปีนี้ผมมอบแนวคิดว่าเราต้องจัดกิจกรรมนี้อย่างน้อย 2ครั้ง, และตั้งศูนย์รับบริจาคไว้อย่างยาวนานเพื่อรองรับวิกฤตที่อาจเกิดขึ้นทั้งที่เป็นภาคอีสานและภาคอื่น ๆ บนความเป็นไทยที่เราผูกพัน
ปีนี้นิสิตเลือกที่จะไปเยือนบ้านหนองหญ้าปล้องโดยยึดโรงเรียนในหมู่บ้านเป็นศูนย์กลางของการจัดกิจกรรมซึ่งพื้นที่ดังกล่าวเป็นทุ่งนาล้อมรอบหมู่บ้านและมีลำห้วยเล็ก ๆไหลรินหล่อเลี้ยงเป็นพื้นที่ทางการเกษตรของชาวบ้านพร้อม ๆ กับการมีเทือกเขาภูพานยืนตระหง่านเป็นม่านหินล้อมรอบชุมชนไว้อีกชั้นหนึ่ง
หมู่บ้านดังกล่าวนี้ก่อตั้งอย่างเป็นทางการครั้งแรกในราวปี 2510แต่เหตุการณ์อันผันผวนทางการเมืองผลักส่งให้พื้นที่ดังกล่าวกลายเป็นสนามรบระหว่างซีกรัฐบาลกับอีกฝ่ายที่ถูกเรียกขานอย่างน่าเกรงกลัวว่า “คอมมิวนิสต์”จนเกิดการล้มตายอย่างมากมายบ้านเรือนและทรัพย์สินถูกเผาทำลายจนต้องอพยพทิ้งถิ่นไปหาที่อยู่ใหม่นานร่วมสิบปีก่อนกลับมาปักหลักปักชีวิต ณ หมู่บ้านอันเป็นที่รักนี้อีกครั้ง
ทุกวันนี้ชาวบ้านยังคงเผชิญปัญหาหนี้สินล้นตัวไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ทำกิน เพราะเป็นพื้นที่ทับซ้อนกับเขตป่าสงวน ฯชาวบ้านขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์จากแหล่งน้ำและผืนป่าขณะที่ภาครัฐเองก็เคลื่อนความช่วยเหลือเข้าไปได้ไม่ทั่วถึงชาวบ้านไม่มีรายได้เสริมสิ้นฤดูกาลเก็บเกี่ยวผลผลิตก็สัญจรเคลื่อนแรงงานไปสู่เมืองใหญ่ ๆขณะที่ด้านการศึกษานั้นก็ถือได้ว่ายังคงขาดแคลนอยู่มากโดยปัจจุบันมีนักเรียนในระดับประถมศึกษา 38คนมีครูสอนหนังสือ 2 คนซึ่งยังไม่รวมกับเด็กอนุบาลอีก 20คน
นี่คือเรื่องเล่าที่นำมาฝากในเช้าที่สายลมหนาวยังไม่ลดราความหนักหน่วง ...
และถึงแม้ว่าลมหนาวจะยังคงหยัดยืนต่อการทำหน้าที่ของตนเองอย่างเที่ยงแท้ตามปรากฏการณ์ของธรรมชาติแต่ทั้งผมและน้องนิสิตก็ไม่เคยกลัว หรือท้อแท้ที่จะ “ต้านลมหนาว”เพราะจุดหมายของเรานั้นมีค่าต่อการ “แบ่งปัน”เป็นที่สุด
และที่สำคัญก็คือสิ่งหนึ่งที่เรารู้และเข้าใจมาโดยตลอดก็คือความหนาวเย็นของสายลมหนาวนั้นเป็นเพียงบททดสอบของการอยู่ได้ด้วยตนเองของผู้คนซึ่งรวมถึงบทพิสูจน์มิตรภาพของผู้คนในสังคมด้วยเช่นกัน และสำหรับเราแล้ว เราต่างก็ตระหนักเช่นเดียวกันมานานแล้วว่า เราเป็นเพียงผู้นำสารที่มีหน้าที่นำสารแห่งความห่วงใยและผูกพันจากผู้มีจิตศรัทธาไปส่งมอบให้ถึงมือของผู้รับ โดยไม่เกี่ยงงอนว่าเส้นทางแห่งการเดินทางนั้นจะยาวไกลและกันดารแค่ไหน หรือจุดหมายนั้นจะเต็มไปด้วยม่านหมอกอันหนาวเหน็บ - เราก็ไม่หวั่น และทำหน้าหน้าที่นั้นอย่างเต็มที่และเต็มกำลัง โดยไม่เกี่ยงอนว่า สิ่งที่ได้มานั้นจะมีจำนวนกี่มากน้อย !
มาเถอะครับ... ถ้าใครพร้อมมาเป็นส่วนหนึ่งกับการหว่านเมล็ดพันธ์แห่งความหวังไว้ในตัวเด็ก ๆ หรือเพียงถ้อยคำที่ท่านพึงมีก็ล้วนเป็นความงดงามอันยิ่งใหญ่ที่ผมพร้อมที่จะนำไปสู่การเป็นกำลังใจให้กับ “ทีมงาน” หรือแม้แต่เด็กและชาวบ้านที่กำลังทำสงครามกับ “สายลมหนาว”
ข้อมูลเพิ่มเติม
กิจกรรมที่จะมีขึ้น
"กิจกรรมนิสิต คือรสชาติชีวิตปัญญาชน" และ
"กิจกรรมนิสิต ก็เป็นเสมือนเรือนเพาะชำชีวิตของปัญญาชน"
เห็นด้วยค่ะ
ร่วมแรงแข็งขัน แบ่งปันน้ำใจ เพื่อไทยด้วยกัน
สะบายดีนะครับพี่
แล้วกลุ่มไหลไปไหนหรอครับ?
น่าเสียดายที่ไม่ได้มีโอกาสเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมนี้
สวัสดีครับ ครูโย่ง หัวหน้า~ natadee
ขอบคุณที่แวะมาให้กำลังใจนะครับ
ตอนนี้นิสิตกำลังจัดเตรียมข้าวของเพื่อไปจัดกิจกรรม ผมยังไม่ได้เดินไปดู เพราะติดพันอยู่กับการฝึกซ้อมต้นแบบรับปริญญาบัตร
แต่เดี๋ยวสักครู่คงไปดู เพราะสิ่งที่กำลังทำอยู่นั้น เป็นต้นว่า ซักและตากเสื้อผ้านั้น เป็นแนวคิดของผมเอง ผมอยากให้นิสิตมาช่วยกันเหมือน "งานบุญ" จะได้ร่วมทำกุศลด้วยกัน
เดี๋ยวคงนำมาเล่าอีกบันทึก ...ติดตามต่อไปแล้วกันนะครับ
สวัสดีค่ะ เป็นกิจกรรมที่ดี มากๆค่ะ กล่อมเกลาจิตใจของนิสิตและทุกคนที่ได้อ่านด้วยค่ะ ขอบคุณค่ะ
สวัสดีครับ..tuk-a-toon
โดยหลักแล้ว ผมให้ความสำคัญกับการเรียนการสอนในห้องเรียนมาก แต่ก็ไม่ลืมที่จะสอนให้นิสิตได้เลือกที่จะเรียนรู้เรื่องราวต่าง ๆ ผ่านมิติของกิจกรรม เพราะเชื่อว่า กิจกรรม คือ กระบวนการของการพัฒนาศักยภาพชั้นดีของคนหนุ่มสาว ได้ฝึกทั้งการเป็นผู้นำและผู้ตาม ยิ่งหากได้ทำกิจกรรมเพื่อสังคมด้วยแล้ว ยิ่งสอนให้เห็นคุณค่าของคำว่า "จิตอาสา" หรือ "จิตสำนึกสาธารณะ" นั่นเอง
ขอบคุณครับ
สวัสดีครับ ย่ามแดง
สบายดีนะครับ..
ดีใจที่พบเจอกันในบันทึกนี้ ...
และงานนี้ เราก็กำลังรวบรวมสิ่งของต่าง ๆ เพื่อนำไปสู่การมอบให้กับชุมชน รวมถึงร่วมเรียนรู้ในมิติของชุมชน เพื่อให้นิสิตได้เกิดมุมมองใหม่ของการใช้ชีวิต และเห็นคุณค่าของการ "ให้"
นั่นเป็นความคาดหวังของผม ส่วนนิสิตจะเกิดการเรียนรู้ตามนั้นหรือไม่ ก็อยู่ที่เขาแล้วแหละครับ
สวัสดีครับพี่...ต้องขอโทษแทนกลุ่มไหลด้วยน่ะครับ..การลงไปทำงานครั้งนี้ผมโดดเดี่ยวจริงๆ เพื่อนพี่น้องไหลกระจัดกระจายกันไปคนละทาง...แต่ทางตรงกันข้ามผมก็ได้มิตรภาพจากเพื่อนกลุ่มอื่นๆที่ทำงานในครั้งนี้อีกมากโข...ตอนนี้กำลังเขียนเพลงเพื่อที่จะนำไปเล่นที่ค่ายอยู่ครับ...อากาศเย็นรักษาสุขภาพด้วยน่ะครับ..
สวัสดีค่ะ
ท่าน สาดตาจาน ครับ..
คิดถึงเสมอนะขอรับ, แต่คิดว่า ถ้าท่านยังอยู่กับท่านสมปอง คงมีสีสันมากกว่านี้เป็นแน่
รักษาสุขภาพ และตั้งใจกับการฝึกงาน นะครับ
เป็นกำลังใจให้ไม่เปลี่ยนแปลง,
สวัสดีครับ.♥.·° ♥paula ที่ปรึกษา~natadee·° ..✿
ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมนะครับ.
ผมไม่เคยแคลงใจเลยว่า กิจกรรมนิสิตทุกกิจกรรม จะไม่เป็นเครื่องของการขัดเกลานิสิตให้เรียนรู้ถึงคุณค่าของการมีชีวิตอยู่ เฉพาะการเรียนรู้ที่จะเป็นผู้ให้อย่างสมเหตุสมผล ..
สิ่งเหล่านี้ บางครั้งกระบวนการในห้องเรียนก็สร้างให้ได้ไม่หมด ดังนั้น กระบวนการ "นอกห้องเรียน" เช่นนี้แหละครับ จะช่วยเติมเต็มให้พวกเขาเอง -
ขอบคุณครับ
วันนี้เจอ เฉลิมเกียรติ ที่ มสธ.โลกกลมจริงๆครับ
(อ.เฉลิมเกียรติ)
สวัสดีครับ. พี่เกด เกศนี บุณยวัฒนางกุล
ผมเองก็โชคดีครับที่มีนิสิต "ใจสู้" และมี "จิตอาสา" (ที่ มมส นิยมใช้คำว่า จิตสำนึกสาธารณะ)
กำลังวางแผนจะขยายโครงการอีกสักครั้งสองครั้ง แล้วจะสื่อสารในระบบอีกครั้ง นะครับ
สวัสดีครับ เดียร์ muangkhan
ตอนนี้ทีมไหล ต้องพิสูจน์ตัวเองมากกว่าที่ผ่านมา แต่ก็เชื่อว่าจะไปกันรอด (นะ) .. และงานนี้ก็อยากให้ชวนน้อง ๆ ไหลมาร่วมันเยอะ ๆ จะได้เรียนรู้กระบวนการทำงานของชมรมต่าง ๆ ไปด้วย
แน่นอนนะ.. งเป็นกำลังใจไม่เปลี่ยนแปลง
สวัสดีครับ ครูคิม
ขอบพระคุณที่แวะมาให้กำลังใจนะครับ
และผมก็จะส่งต่อกำลังใจนี้ไปถึงนิสิตด้วยเช่นกัน
วันนี้นิสิตจะออกเดินทางไปยังโรงเรียนและชุมชน เราได้รับสิ่งของและเสื้อผ้ามากพอสมควร และจะพยายามทำให้ส่วนที่เหลือให้ดีที่สุด
คุณเอก ครับ. จตุพร วิศิษฏ์โชติอังกูร
วันที่ 10 ผมก็เจออาจารย์เฉลิมเกียรติเหมือนกัน ยังเล่าให้ฟังเลยว่า เพิ่งไปจัดกิจกรรมทางสังคมกับคุณเอกมา ..
ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆครับ เป็นหมู่บ้านภายในชุมชนของผมเองครับ ชาวบ้าน ลำบากมากครับ ขอบคุรที่ทำหัยชุมชนได้มีส่วนร้วมครับ มีอะไรที่ ผม จะช่วยได้ ต่อต่อผมด้วยนะครับ