เทศกาลปีใหม่ ผมมีโอกาสได้ไปเยือนบ้านเกิดของเพื่อนชีวิตที่จังหวัดอำนาจเจริญ และมีอยู่ช่วงหนึ่งที่เธอและบรรดาญาติๆ ได้เดินทางไปดูสวนปาล์มที่อำเภอชานุมาน จังหวัดอำนาจเจริญ
ก่อนหน้านั้น ผมแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับอำเภอชานุมานนี้เลย รู้คร่าวๆ แต่เพียงว่าเป็นอำเภอที่ติดริมโขง มีภูมิอากาศที่ดีออกไปในทางเย็นๆ ชื้นๆ พอถึงหน้าหนาวก็หนาวเย็นถึงขั้นเห็นละอองหมอกเลยทีเดียว
เราต่างออกเดินทางจากอำเภอเสนางคนิคมมุ่งสู่อำเภอชานุมาน โดยมีรถกระบะคันใหญ่เป็นพาหนะ
ระยะทางที่ว่านี้อยู่ในราวๆ 40 กิโลเมตร ซึ่งระยะทางแค่นี้เมื่อเทียบกับสมรรถนะของรถที่เรานั่ง ถือได้ว่า “เล็กน้อย” มาก แต่เพราะเส้นทางที่แคบๆ บางห้วงเป็นลูกรังคลุกฝุ่น บางห้วงเป็นราดยางที่ค่อนข้างชำรุดตัดผ่านทุ่งนาและหมู่บ้าน จึงผลให้เราใช้เวลาเดินทางอยู่มากโข และที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ เราต่างสะบักสะบอม หัวฟัดก้นกระแทกเจ็บระบมไปตลอดทาง
เส้นทางที่เราสัญจรผ่านนั้น ยังคงเหลือรูปรอยของพื้นที่อันเป็นป่าโคกและทุ่งนาอย่างเด่นชัด ทุ่งนาเกือบทุกแห่งมีต้นไม้ขนาดใหญ่ยืนต้นกระจัดกระจายไปตลอดทุ่ง ตอฟางจำนวนมากเหลืองกรอบหยัดยืนสุดลูกหูลูกตา ขณะที่ฟางจำนวนมากก็ถูกจัดเก็บอยู่รูปของกองฟาง หรือไม่ก็อัดเรียงกันไว้ใน “โรงฟาง” เล็กๆ ที่ทำขึ้นง่ายๆ เพื่อกันแดดกันฝน
ผมค่อนข้างแปลกใจที่เห็นตอฟางแต่ละแห่งมีความยาวในระดับเข่าของผู้ใหญ่ จึงเอ่ยถามคนพื้นที่ที่เดินทางไปด้วยกัน ซึ่งท่านก็บอกกล่าวให้รู้ว่า แถวนี้ฝนฟ้าค่อนข้างดี ดินเป็นดินเหนียวอุ้มน้ำ จึงส่งผลให้ต้นข้าวสูงเรียวหยัดงาม เมื่อเก็บเกี่ยวผลผลิต จึงยังคงเหลือเป็นตอฟางที่มีขนาดยาวอย่างที่เห็น
ตลอดเส้นทาง ผมพบเจอกับบรรยากาศที่คุ้นเคยในห้วงหนึ่งของชีวิตอย่างแจ่มชัด หลายแห่งยังคงเต็มไปด้วยไร่มันสำปะหลัง บางแห่งเป็นไร่อ้อย บางแห่งเป็นพื้นที่ของการปลูกยางพารา ซึ่งทั้งสามชนิดนั้น ครั้งหนึ่ง หรือแม้แต่ปัจจุบันก็ยังเป็น “พืชความหวัง” ของการปลดเปลื้องหนี้ของคนอีสาน (ส่วนการปลูกปาล์มนั้น ยังถือว่ามีให้เห็นน้อยมาก)
เมื่อลืมตาดูโลกและจำความได้.
ผมคุ้นชินกับภาพชีวิตของคนในครอบครัวที่สาละวนอยู่กับการทำไร่มันสำปะหลัง ผมเองยังเคยได้ขนมูลวัวไปโรยทิ้งไว้ให้ผืนไร่ เคยได้แบกหามลำต้นของมันสำปะหลังไปกองๆ ไว้ เพื่อให้บรรดาพี่ ๆ ได้ตัดลำต้นเพื่อนำไปสู่การปักลงในเนื้อดิน หรือที่เรียกเป็นภาษาปากว่า “ปลูกมัน” ครั้นถึงเวลาแตกใบและยืนต้นขึ้น ก็เคยได้ร่วมวงไปดาหญ้าใส่ปุ๋ยมันสำปะหลังร่วมกับคนในครอบครัวอย่างแสนสุข พร้อมๆ กับการนั่งกินข้าวเที่ยงกลางไร่ด้วยอาหารแบบพื้นๆ อย่างแสนอร่อย โดยไม่อาทรต่อแสงแดดจ้า
กระทั่งโตขึ้นหน่อย เมื่อถึงช่วงปิดเทอม ผมก็มีโอกาสได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับการจับจ้าง “ถอนมัน” ร่วมกับเพื่อนบ้านต่างวัยอีกหลายคน โดยมีจุดมุ่งหมายเดียวคือ การนำเงินที่ได้นั้นไปซื้อกระเป๋านักเรียนนั่นเอง
การถอนมันมันปะหลัง มีทั้งการรับจ้างเป็นรายวัน หรือบางครั้งก็เหมาสวนไปเลยก็มี ขายมันสำปะหลังได้เท่าไหร่ หักค่าข้าวค่าน้ำค่ารถแล้วนำเงินที่เหลือมาแบ่งให้กับทุกคนเท่า ๆ กัน จำได้ว่าถอนมันอยู่ประมาณ 7 วันได้เงินมาซัก 140 บาทนี่แหละ แต่นั่นก็มากพอสำหรับการซื้อกระเป๋านักเรียนสวยๆ ได้อย่างไม่ยากเย็น และสิ่งของที่ได้มาด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเองนั้น ยิ่งรู้สึกว่ามันมีค่า, ควรค่าต่อการทะนุถนอม รวมถึงการรู้สึกว่าตัวเองมี "คุณค่า" มิใช่น้อย
ภาพชีวิตอันหนักหน่วงแต่มีรายได้ค่อนข้างต่ำเช่นนั้น เคยทำให้ผมถึงกลับเผลอพูดกับพี่สาวแบบใสซื่อว่า “จะตั้งใจเรียน เพื่อให้ชีวิตได้ทำงานที่แตกต่างไปจากวันนี้” ...
ผมพูดเพราะรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ
เป็นการพูดจากความรู้สึกของเด็กในวัยสิบขวบต้นๆ ที่รู้สึกว่าการงานในไร่นั้นช่างหนักหน่วงและลำบากยากแค้นจนเกินแบกรับได้
แต่เมื่อวันเวลาเคลื่อนไป วันวัยของชีวิตก็เติบใหญ่ขึ้นตามจังหวะ ผมหันกลับไปมองภาพชีวิตในห้วงนั้นอีกรอบ กลับมีความรู้สึกว่า การงานในไร่มันสำปะหลังนั้น ดูหนักหน่วงและแสนเข็ญก็จริง แต่มันก็เป็นการงานอันสัตย์ซื่อ และในความสัตย์ซื่อที่ว่านั้น ก็สามารถวัดค่าของความเป็นคนได้อย่างไม่ต้องสงสัย ซ้ำยังเป็นการงานที่สื่อให้เห็นการแบ่งปันรายได้และการเลี้ยงชีพร่วมกันอย่างอาทร ไม่ใช่การเกี่ยงงอนเอารัดเอาเปรียบและกินแรงกันอย่างภาพชีวิตของวันนี้ !
จากวันนั้นถึงวันนี้ ไร่มันสำปะหลังที่บ้านเกิดได้เปลี่ยนผ่านสู่ความหวังใหม่ๆ เป็นระยะ ๆ โดยมี “ไร่อ้อย” เข้ามาแทนที่ จากนั้นก็สร้างฝันใหม่ด้วย “ต้นกระดาษ” และผ่านมาสู่ “ยางพารา” ซึ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้น ล้วนมาพร้อมๆ กับ “ความหวัง” ของเราเสมอ ไม่ว่าจะเป็นความหวังของการปลดหนี้ ความหวังของการเลี้ยงปากท้อง และอีกจิปาถะสุดแท้แต่เราจะวาดหวัง โดยรู้ทั้งรู้ว่า ความหวังที่ว่านั้น บางครั้งก็ดูประหนึ่งไม่ต่างไปจากความหวังลมๆ แล้งๆ ที่เราต่างคุ้นเคยมาอย่างยาวนาน
แต่สำหรับผมแล้ว ไม่ว่าความเป็นจริงจะเจ็บปวดสักแต่ไหน ผมก็ชื่นชมความหวังของชาวนาชาวสวนเสมอ เพราะการมีความหวัง ทำให้เรารู้ว่าเรายังมีชีวิต มีทางออก และมีแรงพลังที่จะต่อสู่กับชะตากรรมต่าง ๆ ด้วยตนเองอย่างไม่รามือ
วันนี้...
เมื่อมีโอกาสได้มาดูสวนปาล์มต่างถิ่นเช่นนี้ ก็อดสงสัยไม่ได้อีกครั้งว่า “ปาล์ม” กำลังจะกลายเป็นความหวังอันใหม่ของชาวอีสานอีกหรือเปล่า ? เพราะเท่าที่รู้ ๆ ก็คล้ายว่าภาครัฐกำลังขับเคลื่อนให้ชาวนาชาวสวนบนผืนแผ่นดินที่ราบสูงได้หันมาปลูกปาล์มเป็น “ทางเลือก” อันแข็งขัน ยิ่งเป็นกระแสของการปลูกพืชพลังงานทดแทน ยิ่งทำให้หลายต่อหลายคนเริ่มหันมาให้ความสนใจมากยิ่งขึ้น โดยเริ่มปรากฏให้เห็นบ้างแล้วในจังหวัดกาฬสินธุ์ หนองคาย อำนาจเจริญ เลย อุบลราชธานี และอุดรธานี ซึ่งน่าจะไม่ต่ำกว่าหลักแสนไร่ไปแล้วกระมัง
วันนี้ ปาล์มพลัดถิ่นจากใต้มาปักรากและแตกใบออกผลที่อีสาน ผมเองก็ไม่มีความรู้พอที่จะบอกได้ว่า ผลผลิตที่จะเกิดขึ้นนั้นจะคุ้มค่ากับแรงทุนที่ลงไปหรือไม่ แต่ในภาวะที่ราคายางพารากำลังตกต่ำนั้น ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า “ปาล์ม” ขยับมาเป็น “ทางเลือก” ของชาวอีสานไปแล้ว
ด้วยเหตุนี้ ปาล์ม จึงเป็นเสมือนความหวัง และความฝันอันมีชีวิตของชาวนาอีสาน ซึ่งหลายคนก็พร้อมแล้วสำหรับการพลิกฟื้นที่นาอันรกร้าง หรือผืนดินที่ถูกน้ำท่วงอย่างซ้ำซากมาสู่การเป็นสวนปาล์ม โดยหวังว่า 2 - 3 ปีหลังการปลูกกล้าปาล์มแล้วจะช่วยให้เก็บผลผลิตได้บ้าง และปาล์มก็แตกต่างจากยางพาราอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากปลูกง่าย ดูแลง่าย .. รวมถึงเก็บผลผลิตได้ทุกเดือนเลยก็ว่าได้
ถึงกระนั้นก็เถอะ เราเองก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่า ชาวอีสานยังคงไม่มีความรู้เกี่ยวกับการปลูกปาล์มกันเท่าใดนัก เมื่อเทียบกับการปลูกมันสำปะหลัง ปลูกอ้อย ปลูกถั่ว หรือแม้แต่ยางพารา ก็ล้วนแล้วแต่มีความรู้ชนิดฝังลึกในตัวแล้วด้วยกันทั้งสิ้น ประกอบกับการสภาพการณ์ปัจจุบันที่ดูเหมือนจะเป็นการทดลองปลูกและศึกษาไปในตัว เพื่อให้รู้ชัดขึ้นว่า พื้นที่ที่เหมาะสมเป็นอย่างไร ตลาด หรือโรงงานรับซื้อเพียงพอหรือไม่ ... สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นโจทย์ที่มองข้ามไม่ได้เลย
แต่ก็อย่างว่า เมื่อปาล์มกลายมาเป็นความหวังชิ้นใหม่ของชาวอีสาน เมื่อเขาเชื่อเช่นนั้น ก็ย่อมยืนยันได้ว่าชาวนาชาวสวนอีสานอีกหลายคนก็พร้อมแล้วสำหรับการ “ปลูกฝัน” ลงในผืนแผ่นดินมรดกของตนเองอีกรอบ
และสำหรับสวนปาล์มเล็ก ๆ ที่ผมมีโอกาสได้ไปเยี่ยมเยียนนั้น ได้นำพาความประทับใจมาสู่ตัวผมอย่างมหาศาล ความร่มรื่นของหมู่ไม้ ความฉ่ำเย็นของสายน้ำในอ่างเก็บน้ำเล็ก ๆ ที่ไหลหลากอย่างไม่แห้งโหย มีสัตว์น้ำหลากชนิดให้ดักจับมาบริโภคตามฤดูกาล รวมถึงกระท่อมไม้ที่สานฝาด้วยใบตอง รายล้อมไปด้วยพืชผลที่ปลูกเองกินเอง มีเปลผูกโยงไว้กับกอไผ่ มีวิทยุทรานซิสเตอร์เครื่องเล็ก ๆ ทำหน้าที่ขับกล่อมอย่างสมถะ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นภาพชีวิตอันเรียบงามที่ผมรู้สึกชื่นใจเมื่อได้มาเยือน
ยิ่งในตอนท้าย ลูกสาวของเจ้าของสวนบอกกับเราว่า อีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ จะลาออกจากบริษัทที่กรุงเทพฯ เพื่อมาปักหลักปักชีวิตอยู่ในสวนปาล์ม โดยเชื่อว่าปาล์มเพียงไม่กี่ต้นในเนื้อที่เพียง 20 ไร่นี้ จะช่วยให้ชีวิตของเขาและครอบครัวอยู่อย่างมีความสุข และไม่ต้องดิ้นรนอยู่กับคนแปลกหน้าในเมืองใหญ่อีกต่อไป
ครับ..
ผมได้แต่อวยพรให้เธอโชคดีและสมหวังกับสิ่งที่เป็น “ความหวัง” ของเธอ ,
แต่สำหรับผมแล้ว ช้าเร็ว สักวันหนึ่งก็คงหวนกลับไปใช้ชีวิตในแบบ “ชาวทุ่ง” เช่นเดียวกับเธอเป็นแน่ เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาเท่านั้นเอง
สวัสดีปีใหม่ครับ
คืนสู่บ้านเกิด กำเนิดจากดิน คนถิ่นอีสาน บ้านเฮาต้องเจริญ ทุกคนอยู่ด้วยความหวังเป็นพลังแห่งการขับเคลื่อน วันหน้าอีสานจะจากถิ่นน้อยลง...นี่คืออีกความหวังหนึ่ง ซึ่งต้องเกิดจากความอุดมสมบูรณ์ของอีสาน
<object width="300" height="110"><param value="http://media.imeem.com/m/_LU21rPE0Z" name="movie"/><param value="transparent" name="wmode"/><embed width="300" src="http://media.imeem.com/m/_LU21rPE0Z" height="110" wmode="transparent" type="application/x-shockwave-flash"></embed></object>
สวัสดีปีใหม่ค่ะอาจารย์แผ่นดิน...
ฝากเพลงมาเป็นของขวัญ...ฟังแล้วลบได้เลยนะคะ
(ลืมไป... ว่าที่นี้ใส่code ไม่ได้หุหุ)
เปลี่ยนเป็น...คำอวยพร
ขอให้อาจารย์มีพลังสร้างคนรุ่นใหม่...ให้มีหัวใจรักชาวบ้าน รักชุมชน...
ให้มากมายเต็มแผ่นดินนะคะ
สวัสดีปีใหม่ค่ะ
มีแต่ภาพงาม ๆ ดูแค่ภาพก็เข้าใจเรื่องได้หมื่นคำ ขอบคุณครับสำหรับภาพงามๆ เรื่องดี ๆ ที่แบ่งให้ชม
สวัสดีครับ.. ไฉน
อีสาน.. เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผม หรือบางทีอาจจะหมายถึงเกือบทั้งหมดของชีวิตเลยก็ว่าได้ เคยไปใช้ชีวิตเยี่ยงคนหนุ่มคนสาวในกรุงเทพฯ แต่ที่สุดแล้วก็ปรับตัวไม่ได้ จนต้องหันเหกลับมายังท้องถิ่นอันเป็นบ้านเกิด
ตั้งใจไว้อย่างแน่นหนักเลยทีเดียวว่าสักวันหนึ่จะกลับไปใช้ชีวิตที่บ้านเกิด ปลูกบ้านไว้กลางทุ่ง ใช้ชีวิตแบบง่าย ๆ ภายใต้บริบทวัฒนธรรมของญาติมิตร ซึ่งถึงวันนี้ก็ยังไม่ได้เตรียมการอะไรมาก มีที่ดินแล้ว แต่ยังต้องวางแปลนอีกเยอะ แต่เบื้องต้นก็นำต้นหมากไปปลูกเรียงรายเป็นรั้วไว้แล้ว..
นั่นคือความหวัง, ความฝัน ที่ตั้งใจอยากให้เป็นเช่นนั้นครับ
สะพานแบบนี้..เราไม่ค่อยจะเจอเท่าไรในปัจจุบัน..ยังมีอีกเหรอค่ะเนี่ย
สวัสดีครับ..กล้าเกื้อฝัน
สวัสดีปีใหม่
ขอบคุณสำหรับคำพรอันเต็มไปด้วยพลังและความหมายของการมีชีวิตในโลกแห่งการงานของผม
.. หนุ่มสาว
เป็นเรื่องราวของยุคสมัย
เป็นยิ่งกว่าสายธารกลางพฤกษ์ไพร
เป็นยิ่งกว่าลมหายใจของผองชน
....
นี่คงจะเป็นสะพานสานฝัน ของใครต่อใครที่ได้ไปเยือนค่ะ
แวะมาทักทายปีใหม่เช่นกันค่ะ
ขอจงสุข สวัสดี มีเงินเหลือใช้ ไว้แจกจ่ายผู้ด้อยโอกาสนะคะ
สวัสดีครับ พิมล มองจันทร์
ผมเองเป็นคนเลือดอีสานโดยแท้ ผูกพันอย่างลึกซึ้งกับท้องไร่ท้องนา เมื่อมีโอกาสเดินทางไปยังที่ต่าง ๆ จึงไม่ละเลยที่จะบันทึกภาพทิวทัศน์ของท้องทุ่งไว้เป็นมรดกส่วนตัว
และทุกครั้งที่ได้ดูภาพเหล่านี้ คล้ายกับว่าตัวเองได้กลิ่นหอมของแผ่นดินจากบ้านเกิดโชยมาทักทายเสมอ ๆ ..
และนั่นก็ช่วยให้ผมเองรู้สึกไม่เดียวดายกับชีวิตของวันนี้,
ขอบคุณครับ
สวัสดีปีใหม่ค่ะ
ชีวิตชาวบ้านดูจะลำบาก แต่น่าจะสุขสบายใจนะคะ ถ้าไม่เป็นหนี้มากมาย
สวัสดีปีใหม่ค่ะคุณพนัส
ทุกคนมีความหวังและความฝัน ขอให้ทุกคนได้ดังฝัน ปาล์ม อาจเป็นความหวังอีกอย่างของชาวบ้านเรา
สวัสดีปีใหม่อาจารย์พนัสครับ
สวัสดีปีใหม่ค่ะ..อาจารย์แผ่นดิน
มาเติมเต็มกำลังใจแห่งเส้นทางฝันในปีใหม่นี้แด่อาจารย์และครอบครัวที่น่ารักค่ะ..
..น้อมนำความสุขมาฝากอาจารย์ค่ะ..
ด้วยความระลึกถึงเสมอ
**ภาพข้างบนเป็นครอบครัวเปี่ยมสุขจริงๆ..ชื่นใจค่ะ
ชาวนาถูกกระแสฯ บีบให้เปลี่ยนวิธีคิด จากปลูกทุกอย่างที่กิน กินทุกอย่างที่มี มาเป็นปลูกทุกอย่างที่ทำเงิน....
สุดท้ายชาวนาต้องมานั่งวัดดวงว่าเมื่อปาล์มโตขึ้นจะได้รับผลผลิตตามที่ฝันไว้...หรือว่าราคาจะตามที่คำนวนไว้ตั้งแต่แรกหรือเปล่า
เหมือนยุคที่บูมเรื่องยางพารา สองสามปีที่ผ่านมาราคาจูงใจให้เกษตรกรเปลี่ยนนาข้าวเป็นสวนยาง แต่มาถึงวันนี้ วันที่เกษตรกรจะได้กรีดยาง ราคายางพาราตกต่ำสุดในรอบหลายปี
เงินที่ลงทุนไปกับสวนยางพารานับล้านบาทไม่รู้จะได้คินทุนเมื่อไหร่
การสร้างรายได้เสริมจากหลายๆ ทางน่าจะช่วยแบ่งเบาปัญหาได้บ้างครับ...ดีกว่ารอๆๆๆๆ รายได้จากปาล์มหรือว่ายางพาราเพียงอย่างเดียว
ปลูกข้าวกินเองหรือปลูกมะละกอไว้หลังบ้าน สักสองสามต้น....ดีกว่า.... :)
สวัสดีปีใหม่ครับ
สวัสดีคะอาจารย์
กลับบ้าน ทำไร่นา สวนผสม สวนปาล์ม
มีความสุข ไม่ได้ต้องดินรน
ทุ่งนา ภาพถ่ายทุกรูปมีชิวิต ถ่ายภาพสวยมากคะ
สวัสดีปีใหม่ 2552 (ย้อนหลังครับ) ขอให้มีสุขภาพแข็งแรง ทั้งพี่ๆ สองคน เลยนะครับ
และต้องขอ...
-ขอขอบคุณ อาหารมื้อเที่ยง ที่ อ.แม่ริม
-ขอขอบคุณ ภาพยนต์สนุกๆ ที่ 7/11 พิษณุโลก
-ขอขอบคุณ แนวคิดดีๆ ในการเลือกตั้ง ระหว่าง เส้นทาง เชียงใหม่-ปาย
และ ขอขอบคุณใน ทุกๆสิ่ง ทุกๆอย่าง ที่มีต่อ ต้นกล้า ชาวดิน ต้นนี้เสมอมา
ขอขอบพระคุณครับ
ปล. ณ แดนดินถิ่นไกลในหุบเขา เย็นลมหนาว พัดโชย โหยระหา
ทาบทิวทุ่ง แล สายธาร วานเวลา
ดั่งสัญญา จะกลับมา ณ แดน ปาย
สวัสดีครับ add
พักนี้ยุ่งกับการงานและการเดินทาง พลอยให้ห่างหายไปจากการทักทาย ซึ่งต้องขออภัยมา ณ โอกาสนี้ ด้วยนะครับ
มาดูภาพสะพานไม้ในอีกมุมหนึ่งกันดีกว่าครับ มีฝูงวัวเล็มหญ้าเป็นฉากหลังรำไรๆ ...
สวัสดีปีใหม่ครับ . phayorm แซ่เฮ
ตอนนี้ผมยังอยู่ที่กรุงเทพฯ .. อากาศหนาวสู้มหาสารคามไม่ได้ คิดถึงบ้านมาก แต่ก็ยังต้องอยู่ที่นี่อีกหลายคืน
เกี่ยวกับสะพานไม้ที่อ่างเก็บน้ำนั้น น้ำใสและไหลตลอดเวลา มองเห็นท้องน้ำและสาหร่ายอย่างแจ่มชัด มีปลาอยู่ไม่น้อย อากาศก็ค่อนข้างเย็น ยามเช้าหรือเย็นบางทีก็มีหมอกราวกับภาคเหนือ
ครับ.. ผมเชื่อว่าหลายคนก็คงชื่นชอบบรรยากาศในทำนองนี้ โดยเฉพาะสะพานไม้ที่นับวันก็คงหาดูได้ยากมากแล้ว
...
มีความสุขมาก ๆ นะครับ
สวัสดีครับ พี่ ใบบุญ
ผมหายไปนานมาก ไม่ได้ทักทายเลย ช่วงอยู่ที่กีฬามหาวิทยาลัยฯ ก็ติดขัดในเรื่องอินเตอร์เน็ต อีกทั้งเหนื่อยกับการงาน จนพลอยให้ไม่มีเวลาที่จะเข้ามาในบันทึกเท่าใดนัก
ตอนนี้มหาสารคาม อาจหนาวเย็นขึ้นเรื่อย ๆ ลมแรง...อย่างต่อเนื่อง
ปีนี้เป็นปีที่เห็นได้ชัดว่าอากาศค่อนข้างหนาวเย็น ผมเลยต้องเร่งให้ทีมงานลงพื้นที่จัดกิจกรรมต้านลมหนาวอีกสักครั้งสองครั้ง ..
....
รักษาสุขภาพนะครับ,