การจัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในเวที “โรงเรียนแห่งความสุข” เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2554 ทีมวิทยากรยังคงไม่ละเลยที่จะเดินตามขนบของการจัดกิจกรรมโดยทั่วไป นั่นก็คือการ “ประเมินความคาดหวัง” ของผู้เข้าร่วมกิจกรรม
การประเมินความคาดหวังดังกล่าว คุณจตุพรฯ ในฐานะหัวหน้าทีมใช้ชื่อกิจกรรมว่า “ต้นไม้แห่งความคาดหวัง” (ขณะที่ผมเรียกแบบแซวๆ ภายในอย่างเป็นกันเองว่า “ดวงใจแห่งความคาดหวัง”)
กิจกรรมดังกล่าวเปิดตัวจากการที่คุณจตุพรฯ กล่าวเชิญชวนให้แต่ละคนได้สะท้อนความคาดหวังต่อกิจกรรมครั้งนี้ ด้วยการเขียน หรือสะท้อนความรู้สึกนึกคิดลงในกระดาษรูปหัวใจสีสวยสดใส ซึ่งทางเจ้าภาพจากมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ได้ตระเตรียมไว้ให้เสร็จสรรพ และนั่นก็รวมถึงการจัดเตรียมดินสอสี ปากกาเคมีอย่างครบครันด้วยเช่นกัน
นั่นคือ ภาพสะท้อนที่ฉายชัดให้เห็นถึงผลพวงของการประสานความร่วมมือของทีมวิทยากรกับคณะผู้ประสานงานโครงการที่ดูเรียบง่าย เป็นกันเอง แต่มีความงดงามและลงตัวอย่างมหัศจรรย์
แน่นอนครับ กิจกรรมต้นไม้แห่งความคาดหวัง ดูจะเป็นกิจกรรมในเชิง “ขนบนิยม” ที่ใครๆ มักหยิบมาใช้เป็นการละลายพฤติกรรมทางความคิด รวมไปถึงการประเมินสถานะทางความคิดของผู้เข้าร่วมกิจกรรมตามวิถีการจัดการความรู้ ซึ่งไม่ว่าเวทีใด งานใด ก็มักมีกิจกรรมในทำนองนี้ให้เห็นอยู่เรื่อยๆ
สำหรับผมแล้ว, กิจกรรมเช่นนี้ มีความสำคัญอย่างมาก ผมไม่ได้มองว่าเป็นเพียง “ขนบของการจัดกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้” เท่านั้น หากแต่หมายถึงการเป็นเครื่องมือหรือกลไกในการสะกิดให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้ “สำรวจตัวเอง” อีกครั้งว่าเขากำลังต้องการอะไรจากกิจกรรมที่กำลังจะมีขึ้น! เสมือนการชวนให้คนๆ นั้นได้เรียนรู้ที่จะกำหนดทิศทาง (เข็มทิศ) ในการก้าวเดิน หรือแม้แต่การสร้างความตระหนักเกี่ยวกับการใช้ชีวิตโดยการลงมือทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างมีเป้าหมาย ...
ขณะเดียวกัน ก็เป็นเสมือนการชวนคนๆ นั้นได้ตั้งสติฝึกสมาธิ มองอดีตและปัจจุบัน หรือแม้แต่อนาคตของตัวเองไปในตัว
และสิ่งเหล่านี้ ก็ยังมีสถานะเป็น “กระจก” ที่ฉายให้เห็นมุมมองความคิด หรือ “ทัศนคติ” ของผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้เป็นอย่างดี (เพราะทัศนคติ คือเข็มทิศในการเติบโตของผู้คน) ซึ่งวิทยากรสามารถใช้ข้อมูลดังกล่าวมาเป็น “ทุน” ในการปรับแต่งรูปแบบกิจกรรมให้สอดรับกับความต้องการของผู้เข้าร่วมฯ ได้ทันเวลา และไม่กระทบต่อจุดหมายปลายทางอันเป็นเป้าประสงค์หลักของกิจกรรมนั้นๆ
กิจกรรมดังกล่าว ทีมวิทยากรพยายามสร้างสรรค์บรรยากาศให้เป็นกันเอง สนุกสนานและอบอุ่น เพื่อให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมเกิดความรู้สึกที่ผ่อนคลาย ปลอดภัยและไว้วางใจ (Trust) ที่จะสะท้อน หรือเปิดเผย (0peness) ความคาดหวังออกมาอย่างเปิดเปลือย และเมื่อเขียนความคาดหวังเสร็จแล้ว ก็ให้แต่ละคนนำไปติดรวมกันเป็นกลุ่มๆ โดยทีมวิทยากรจะเป็นผู้สะท้อนภาพรวมของความคาดหวังนั้นให้ทุกคนได้ร่วมรับรู้และแบ่งปัน(Share) ร่วมกัน อันเป็นการผูกโยงความเป็นเป็น “ปัจเจก” สู่ความเป็น “ลักษณะร่วม”ของกลุ่มคนที่มีวิชาชีพเดียวกันอีกรอบหนึ่ง
อย่างไรก็ดี เป็นที่น่าสังเกตว่าข้อมูลความคาดหวังที่สะท้อนออกมานั้น มีไม่น้อยเลยทีเดียวที่มุ่งไปสู่ความเป็น “ปัจเจก” ค่อนข้างสูง และในความปัจเจกนั้น ก็ครอบคลุมอยู่แต่เฉพาะสวัสดิการและความมั่นคงของตัวเองเป็นหัวใจหลัก เช่น การสอบบรรจุครู การได้รับใบประกอบวิชาชีพ การเลื่อนขั้นเงินเดือน ความสนุกสนาน ความผ่อนคลาย
นอกจากนี้ ยังพบความคาดหวังที่มีลักษณะการก้าวข้ามวังวนภายในของตัวเองออกมาสู่การเรียนรู้ที่จะพัฒนาตัวเองผ่านกระบวนการทางการศึกษาในเชิงบวก เช่น ต้องการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกับเพื่อนๆ และวิทยากร คาดหวังที่จะได้รับความรู้ใหม่ๆ ที่เกี่ยวกับเทคนิคการสอนและการถ่ายทอดความรู้ รวมถึงการปรารถนาที่จะมี “แรงบันดาลใจ” ในการเป็น “ครูเพื่อศิษย์”
สิ่งเหล่านี้ถือเป็นข้อมูลที่สำคัญอย่างมาก เพราะปฏิเสธไม่ได้เหมือนกันว่านั่นคือความเป็นจริงที่เกิดขึ้นและพวกเขาทั้งหลายก็กำลังเผชิญอยู่กับเรื่องราวเหล่านั้นอยู่อย่างเข้มข้น บางคนอาจเริ่มมองเห็นปลายทางความคาดหวังบ้างแล้ว แต่บางคนก็ยังดูเหมือนว่าจุดหมายปลายฝันนั้นยังดูห่างไกลและมีหมอกจางๆ ห่มคลุมอยู่เป็นระยะๆ
และนั่นก็คือสิ่งที่วิทยากรกำลังมุ่งที่จะบอกกับทุกคนให้รับรู้ร่วมกันว่า เวทีวันนี้อย่างน้อยก็เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างกระบวนการ “เสริมและเติมพลังชีวิต” ให้กันและกัน -
เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการประเมินความคาดหวังในเบื้องต้นนี้แล้ว ทีมวิทยากรก็เปิดเวทีสู่การเรียนรู้ร่วมกันผ่านกิจกรรมต่างๆ อาทิ กิจกรรม “รู้จักฉันรู้จักเธอ” บรรยายแลกเปลี่ยนในประเด็น “สมองกับการเรียนรู้” การถอดบทเรียน “ความเป็นครู” ผ่านประสบการณ์ของ “คุณครูพิสมัย เทวาพิทักษ์” รวมถึงการเรียนรู้เพื่อถอดบทเรียนความเป็นครูผ่านภาพยนตร์เรื่อง Coach Carter (โค้ชคาร์เตอร์..ทุ่มแรงใจจุดไฟฝัน) ที่สร้างจากเค้าโครงเรื่องจริงของ “เคน คาร์เตอร์” โค้ชบาสเกตบอลที่มุ่งมั่นกับการสอนเด็กให้โตเป็นผู้ใหญ่ ผ่านเกมส์กีฬาและกระบวนการศึกษา
ในทุกกระบวนการของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ครั้งนี้ ทีมวิทยากรไม่เน้นการบรรยายและไม่เน้นให้ผู้ฟังได้ก้มหน้าก้มตาจดบันทึก
ครั้งนี้ วิทยากรเน้นการ “เล่าเรื่อง” ผ่านปากคำและเรื่องราวอันเป็นชีวิตจริงของวิทยากรเป็นหลักสำคัญ รวมถึงการปล่อยให้ "สื่อ" หรือ "นวัตกรรม" ที่นำมาได้ทำหน้าที่ในการเป็น "ครู" ด้วยตนเองอย่างอิสระ โดยปล่อยให้สื่อนั้นๆ ได้แสดงตัวตนและถ่ายทอดสาระนั้นๆ อย่างเต็มที่ เพราะทีมวิทยากรต่างก็เชื่อว่ากระบวนการเช่นนั้น จะบ่มเพาะให้เกิดทักษะในการรับรู้ หรือฟังอย่างลึกซึ้ง (Deep listening) ได้ในที่สุด ซึ่งถือเป็นอีกกลไกหนึ่งที่สำคัญในการสร้างแรงบันดาลใจเพื่อการ “เรียนรู้...สู่การเติบโตของชีวิต”
จนในที่สุดก่อนเวทีจะปิดตัวลง ทีมวิทยากรก็ได้ชวนให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้เปิดเปลือยใจสะท้อนสิ่งที่ได้รับจากเวทีนี้อีกรอบ โดยย้ำให้แต่ละคนได้หันกลับไปทบทวน “ความคาดหวัง” ในกิจกรรม “ต้นไม้แห่งความคาดหวัง” ของตัวเองอีกครั้ง ว่า ณ ห้วงนั้นรู้สึกอย่างไร ! อยากได้อะไร ! และบัดนี้เมื่อผ่านกิจกรรมการเรียนรู้ร่วมกันมาทั้งวันแล้ว “ได้อะไรบ้าง ! ...เหมือน หรือต่างจากที่คาดหวังไว้ตั้งแต่ต้น !”
และนี่คือข้อมูลที่ผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้สะท้อนออกมา ซึ่งสรุปโดยองค์รวมแล้วพบข้อมูลอันเป็นทัศนคติ
เชิงบวกที่น่าสนใจหลายประเด็น ดังนี้
· ได้แรงบันดาลใจในการเป็นครูที่ดี (ครูเพื่อศิษย์)
· ได้เรียนรู้ความเป็น “จิตวิญญาณ และจิตวิทยา” ของการเป็นครู
· ได้มุมมองใหม่ที่ไม่ใช่แค่ความมั่นคงในเรื่อง “การงาน และเงินเดือน”
· ได้เรียนรู้ “พลัง” ความเป็นครูที่มีต่อการ “สร้างเด็กและสร้างสังคม”
· ได้ความรู้ทักษะในการสอนและถ่ายทอดความรู้จากครูสู่ศิษย์
· ได้ “ความสุข”
ครับ นั่นคือเสียงสะท้อนที่บรรดาผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้สะท้อนออกมาอย่างแจ่มชัด และเข้มข้น ซึ่งดูเหมือนจะแตกต่างจากความคาดหวังในเบื้องต้นของการเปิดเวทีฯ มากพอสมควร เพราะข้อมูลที่สะท้อนออกมานั้น ดูเหมือนส่วนใหญ่ได้ก้าวข้ามพ้นออกมาสู่ความสาธารณะมากขึ้น สามารถมองเห็นรูปรอยของ “จิตวิญญาณความเป็นครู” หรืออุดมคติ หรือแม้แต่อุดมการณ์ของการใช้ชีวิตอย่างน่าชื่นใจ
ข้อมูลที่พบเจอนั้น อาจหมายถึงนัยสำคัญของการผลลัพธ์ที่เกิดจากการเรียนรู้ร่วมกันในเวทีแห่งนี้-เวทีที่เรียกรวมๆ ว่า “โรงเรียนแห่งความสุข” ภายใต้การขับเคลื่อนนอกกรอบของคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ตลอดจนทีมวิทยากรและทุนอันดีงามที่มีอยู่ในตัวของ “ผู้เรียน” ....
สำหรับผมแล้ว
ในฐานะทีมวิทยากร ผมมีความสุขกับภาพสะท้อนอันเป็นสิ่งที่ผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้รับมากเป็นพิเศษ เพราะนั่นหมายถึงว่ากระบวนการทั้งวันที่วิทยากรได้ร่วมกันรังสรรค์ขึ้นนั้นได้สร้าง “แรงบันดาลใจ” (แรงใจไฟฝัน) ให้กับผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้อย่างชัดเจน ถึงแม้จะยังไม่สามารถพิสูจน์
ได้ว่า “แรงบันดาลใจ” ที่เกิดขึ้น ณ ห้องประชุมแห่งนี้ จะลุกโชนเปล่งประกายได้ยาวนานสักแค่ไหน แต่อย่างน้อยมันก็ได้เกิดขึ้นและเริ่มต้นขึ้นแล้ว
หรือหากจะเรียกว่า “ต้นไม้แห่งความคาดหวัง” ได้เริ่มหยั่งราก แตกกิ่งก้าน ผลิใบ หรือแม้แต่ออกดอกออกผลในหัวใจของ “ผู้เรียน” บ้างแล้วกระมัง
...
๒๓ มกราคม ๒๕๕๔
โรงเรียนแห่งความสุข@ม.ราชภัฏเชียงใหม่
ณ โรงแรมเชียงใหม่ภูคำ
ขอบคุณบันทึกเปิดเปลือยหัวใจของหนึ่งในวิทยากรคนสำคัญครับ ;)...
ขอบคุณค่ะ..ชื่นชมความหวังดีๆของครูเพื่อสร้างจิตสำนึกสู่การขับเคลื่อนการเป็น "ครูเพื่อศิษย์"..ขอให้กำลังใจค่ะ..
ครูในดวงใจ....คือครูผู้ที่สามารถสร้าง "แรงบันดาลใจ" แก่ศิษย์ได้
ประทับใจ และภาคภูมิใจมาก ๆ ค่ะ ที่มีโอกาสได้ร่วมงานกับทีมวิทยากร
ปลูกต้นไม้แห่งความรักในวิชาชีพครู
ใช่หรือเปล่าครับ
ชัดมาก อยากได้คนเสนอข้อคิดนี้มาเป็นครูมากครับ
ครูยุคปัจจุบัน งานน้อยหน่อย ว่างมากหน่อย ค่อพอเหมาะ
เต็มความรู้ เต็มเวลา เต็มความสามารถ เต็มใจ............และอีกหลายเต็มครับ
สวัสดีครับ อ.Wasawat Deemarn
เพิ่งกลับมาจากการเดินสายครับ...นั่งเคลียร์งาน ก่อนเดินทางในรุ่งเช้าเพื่อไปสมทบกับคุณเอก...
ขอบคุณ อ.วัสฯ มากเลยทีเดียวที่ให้ผมได้มีเวทีเรียนรู้และพัฒนาตัวเองไปในตัว เพราะจริงๆ แล้ว ผมใฝ่ฝันจะเป็นครูในชนบท หรือครูดอยมายาวนานมาก ย่ิงได้เห็นว่าที่คุณครูหลายท่านสะท้อนเรื่องราวตัวเองผ่านภาพเล็กๆ ในเชิงดอย ยิ่งพลอยให้ผมมีพลังชีวิตและอยากแบ่งปันพลังที่ว่านั้นกลับไปยังครูเหล่านั้นด้วยเช่นกัน
ชื่นชมทีมงานเล็กๆ เพียงไม่กี่คนที่สามารถผลักดันให้เกิดโครงการนี้ฯ ..ชื่นชม และขอปรบมือให้กำลังใจดังๆ ...(นะครับ)
สวัสดีครับ อ.ลำดวน
ไม่ได้ทักทายอาจารย์มานานเหลือเกินฯ ...การงานและสุขภาพเป็นยังไงบ้างครับ...
ระยะหลังผมหายไปจากโลกแห่งการเรียนรู้ใบนี้พอสมควร แต่ช่วงนี้พลังต่างๆ พอได้กลับคืนมาบ้างแล้ว เลยได้เริ่มทะยอยเขียนเรื่องต่างๆ อีกครั้ง
บันทึกนี้อาจไม่ได้แจ่มชัด หรือคมชัดในทาง "ศาสตร์และศิลป์" อย่างที่ควรจะเป็น แต่ยังคงแบบฉบับการเล่าเรื่องตามวิธีการเฉพาะของผม และผมเน้นให้เห็น "กระบวนการ" ที่ "วิทยากร" นำไปใช้เป็นกลไก หรือเครื่องมือในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับผู้เรียนให้ได้มากที่สุด โดยมุ่งให้เกิด "แรงบันดาลใจ หรือแรงใจไฟฝัน" นั่นเอง
ซึ่งถ้าไม่เข้าข้างตัวเองนัก ผมว่าก็สำเร็จได้มากโขเลยทีเดียว
ขอบพระคุณครับ
สวัสดีครับ พี่นงนาท สนธิสุวรรณ
การได้เป็นส่วนหนึ่งกับกระบวนการเหล่านี้ ทำให้ผมเห็นคุณค่าตัวเองมากขึ้น เป็นการเติบโตเล็กๆ ในตัวตนของตัวเอง และที่สำคัญคือได้เห็นความงาม ความสำคัญของคำว่า "ครู" ที่ควรค่าต่อการประกาศเป็นวาระในระดับชาติอย่างจริงๆ จังๆ เพราะครูคือคนสร้างชาติที่น่ายกย่องและให้กำลังใจจริงๆ...
ขอบคุณกิจกรรมสร้างครูเพื่อศิษย์ ขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่านค่ะ
สวัสดีครับ คุณ✿อุ้มบุญ✿
กิจกรรมครั้งนี้ ผมเรียนรู้อย่างหนักแน่นว่า ครูยังคงแบกรับอะไรๆ เยอะแยะไปหมด แต่ก็ดีใจว่าระยะนี้กระแสของ "ครู" กลับมามีชีวิตชีวา ซึ่งนั่นก็เท่ากับว่า สังคม หรือแม้แต่ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องมองและให้ความสำคัญกับคนในอาชีพครูมากกว่าที่ผ่านมาแล้วด้วยเหมือนกัน
สวัสดีครับ คุณแหม่ม noomam lek
เป็นเกียรติอย่างยิ่งครับที่ให้ผมได้เป็นส่วนหนึ่งในงานครั้งนี้...
ส่วนตัวผมนั้น ผมโชคดีมากที่เห็นพลังของคนไม่กี่คนในโครงการฯ นี้ที่ได้ขับเคลื่อนงานนี้ได้อย่างมหัศจรรย์
แน่นอนครับ ยังจะมีบันทึกเรื่องเหล่านี้อีก-ขอบคุณครับ
สวัสดีค่ะอาจารย์
มาชมกิจกรรมดีๆ ต้นไม้แห่งความคาดหวัง
สร้างแรงบันดาลใจในการทำงานได้ดีค่ะ เป็นกำลังใจให้ครูทุกท่านค่ะ
ขอบคุณที่แบ่งปันค่ะ
สวัสดีค่ะอ.พนัส
รู้สึกนานมากแล้วที่ห่างหายไป แต่ความรู้สึกและความทรงจำยังคงอยู่ ยังระลึกถึงเสมอ
วันนี้ได้อ่านบันทึกนี้ แรงบันดาลใจของคุณครูที่ก่อเกิดและจะส่งผลต่อเนื่องต่อไป นั่นคือสิ่งที่มองเห็นแสงเรืองรองในหนทางข้างหน้า ความรู้สึกที่ดีนั้นถูกส่งต่อไปสู่ผู้อ่านบันทึกด้วย พี่รับรู้ถึงสัมผัสนั้น
สวัสดีค่ะอาจารย์แผ่นดิน
ชื่นชม และเป็นกำลังใจให้กับคนเก่งทุกคนในทีมงานนะคะ และชื่นใจกับว่าที่คุณครูที่ได้พบกับสิ่งดีๆๆ ข้อคิดดีๆๆที่ไม่มีในหลักสูตรใด และไม่มีหน่วยกิตให้คิดเกรดด้วย ฟัง คิด อ่าน เขียน เรียนชีวิตด้วยใจต่อใจ ใจประสานใจในประสบการณ์ ใจประสานในความมุ่งมั่นของคณะวิทยากรค่ะ ว่าที่ครูรุ่นต่อๆๆไปคงได้พบเจอประสบการณ์ดีๆ เยี่ยมๆเช่นนี้อีกนะคะ ขอเอาใจช่วยในความคาดหวังค่ะ...
สวัสดีค่ะ
ถ้าครูเก่งเด็กก็เก่งค่ะ และถ้าครูดีเด็กก็ดีเช่นกันค่ะ