เวทีล่าสุดของการจัดกระบวนการเรียนรู้ “โรงเรียนแห่งความสุข” ณ โรงแรมเชียงใหม่ภูคำ ผมยังคงได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบกระบวนการกลุ่มที่มีชื่อว่า “รู้จักฉันรู้จักเธอ” เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา ส่วนประเด็นเรื่อง “เรียนหลากฤดู” นั้นก็ได้รับมอบหมายมาเช่นกัน แต่จะมีโอกาสได้ทำกระบวนการหรือไม่ ต้องดูเรื่องเวลาและโอกาสอีกที
เรียกได้ว่าเตรียมตัวให้พร้อมไว้ก่อน พกพาเครื่องมือและอาวุธทางปัญญาไว้ให้ครบครัน เมื่อบรรจบโอกาส จะได้หยิบฉวยออกมาใช้ได้อย่างทันท่วงที โดยไม่ต้องออกอาการ “คิดไม่ออก บอกไม่ถูก” หรือไม่ก็เงอะๆ งะๆ พลอยให้เสียงานเสียเวลา หรือเสียกระบวนการไปเปล่าๆ
ก่อนกิจกรรมจะเริ่มต้นขึ้น ผมได้หารือกับหัวหน้าทีม (จตุพร วิศิษฏ์โชติอังกูร) ถึงประเด็นที่จะจัดการเรียนรู้ สิ่งหนึ่งที่เราได้ “รับข้อมูลมาตรงกัน” ก็คือผู้เข้าร่วมกระบวนการกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่มีขีดความสามารถแตกต่างไปจากกลุ่มอื่นๆ ที่เราเคยจัดเวทีมาเป็นต้นว่า มีความเป็นตัวเองสูง มีความรู้และทักษะการคิดที่ดี เพราะส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนที่ทำงานอยู่แล้ว ทั้งในอาชีพครูและอาชีพอื่นๆ
ข้อมูลดังกล่าว ทำให้ผมเปลี่ยนมุมคิดใหม่ว่าควรจัดกระบวนการให้ “เข้มข้น” ขึ้นกว่าแต่ก่อน และนั่นก็หมายความว่า ผมจะไม่ใช้หัวข้อในการ “วาดรูปและเล่าเรื่อง” แบบกว้างๆ หรือพื้นๆ อีกต่อไป แต่จะเน้นประเด็นที่เป็นเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งโดยเฉพาะ ซึ่งที่ผ่านมานั้น ผมมักให้ผู้เข้าร่วมกระบวนการเรียนรู้ได้วาดรูป/วาดภาพ “ความสุข” ของตัวเองแบบกว้างๆ โดยมีกระบวนการของการ “เล่าเรื่อง” ในภาพนั้นๆ ให้เพื่อนได้ร่วมรับฟังควบคู่กันไป เป็นการเสริมแรงให้ภาพเกิด “พลังชีวิต” มากขึ้น
ครั้งนี้-ผมหารือกับหัวหน้าทีมว่า “ต้องการให้ทุกคนวาดรูปในหัวข้อวีรกรรมทำเพื่อศิษย์” โดยพุ่งประเด็นไปสู่เรื่องราวที่คุณครูได้ก้าวเข้าไปดูแลช่วยเหลือ หรืออุปถัมภ์ค้ำชูให้เด็กนักเรียน หรือลูกศิษย์ของตัวเองสามารถเกิดทักษะในการดำรงชีวิต จนสามารถฝ่าข้ามวิกฤตชีวิตมาได้ หรือในอีกมุมหนึ่งก็คือกระบวนการที่ก่อให้เกิดการแปลงพฤติกรรมไปในทางที่ดีของนักเรียน
กิจกรรมที่ว่านี้ ผมฝากย้ำให้แต่ละคนได้พยายามสะท้อนภาพให้เห็นถึงปัญหาของลูกศิษย์ รวมไปถึง “กระบวนการ” และ “วิธี” ที่คุณครูแต่ละคนได้เข้าไปช่วยเหลือ จนช่วยให้ลูกศิษย์เปลี่ยนแปลงและเติบโตขึ้นมาอย่างเป็นรูปธรรม
ประเด็น
หรือกระบวนการเช่นนั้น ผมถือว่าเป็นวิธีสำรวจความสำเร็จอันเป็น
“ปัญญาปฏิบัติ” จากกลุ่มคนที่เป็น “คนหน้างาน”
หรือทีมงานทุกภาคส่วนที่ยึดโยงกันอย่างมิตรภาพ
สิ่งเหล่านี้ ไม่เพียงสื่อให้เห็นแต่เฉพาะเรื่องราวอันเป็นภาพชีวิตที่เป็นความดี หรือวีรกรรมที่ครูทำเพื่อศิษย์เท่านั้น แต่ยังหมายถึงกระบวนการของการกระตุ้นให้แต่ละคนเกิด “แรงจูงใจ” (motive) ที่จะทบทวนตัวเอง และจัดกระทำกับข้อมูลอันเป็น “ทุนชีวิต” ของตัวเองอย่างเป็นระบบ ซึ่งจะช่วยให้คนๆ นั้นรู้สึกหนักแน่นและภูมิใจในตัวเอง เสมือนย้ำให้เรียนรู้ที่จะให้ “เครดิตตัวเอง” หรือเรียกสั้นๆ ง่ายๆ ในอีกมิติอย่างเป็นทางการว่า “เห็นคุณค่าตนเอง” (self-esteem) มากขึ้น
นอกจากนี้ โดยส่วนตัวผมเองก็มองว่ากระบวนการในทำนองนี้ จะช่วยให้ผู้เข้าร่วมกระบวนการได้เรียนรู้ที่จะฝึกฝนตนเองอย่างมีสติไปในตัว เพราะเป็นการยากไม่ใช่น้อยกับการสร้างสรรค์กระบวนการให้คนจำนวนร้อยกว่าคนที่มาใช้ชีวิตร่วมกันในห้องประชุมเช่นนี้จะเกิดการควบคุมตัวเองให้เกิด “ความสงบ” และมี “ความสุข” ได้อย่างง่ายดาย
ผมมองเป็นความท้าทายอย่างใหญ่หลวงกับการต้องจัดการกับความสับสนวุ่นวายเล็กๆ
ที่มีในห้องประชุม ซึ่งมักพบสาเหตุหลักๆ จากพฤติกรรมต่างๆ
นานาของผู้เข้าร่วมกระบวนการ อาทิ
พูดคุยหยอกล้อกันราวกับไม่พบกันมาเป็นแรมปี
บ้างก็ใช้โทรศัพท์มือถือ
ทั้งพูดทั้งเล่นเกมส์จนไม่สนใจใคร่ดีกับกิจกรรมใดๆ
ส่วนบางคนและบางกลุ่ม ก็พิสมัยกับการถ่ายรูปเดี่ยวรูปกลุ่ม
ราวกับจะจัดทำหนังสือรุ่นก็ไม่ปาน
ขณะที่บางกลุ่มก็เกิดภาวะง่วงนอน หรือไม่ก็ลุกเดินเข้าๆ ออกๆ
ราวกับเต็มไปด้วยภารกิจ
(และนั่นก็ยังครอบคลุมถึงขีดความสามารถของวิทยากรที่ไม่เจ๋งพอด้วยเหมือนกัน
จนทำให้เกิดภาวะเบื่อๆ ไปโดยปริยาย)
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสาเหตุของการ “เบื่อหน่าย”
ส่งผลกระทบให้ผู้เข้าร่วมกระบวนการรู้สึกสับสน
และขัดแย้งต่อกระบวนการเรียนรู้อย่างเลี่ยงไม่ได้
กรณีดังกล่าวเช่นนี้ ผมเห็นวิทยากรหลายท่านงัดไม่เด็ดออกมาใช้อย่างหลากหลาย โดยเฉพาะการให้นั่งสมาธิ หรือไม่ก็นอนหลับตาฟังเพลงเบาๆ ซัก 4-5 นาที หรือไม่ก็ให้ดูหนังฟังเพลงเบาๆ ไปเป็นระยะๆ เพราะต่างก็เชื่อว่าวิธีการเหล่านั้นจะช่วยให้แต่ละคนกลับเข้ามาอยู่กับ “ตัวตนของตัวเอง” กลับมามีสติ และเปิดใจต่อการเรียนรู้ร่วมกันในเวทีนั้นๆ ได้เร็วขึ้น
ซึ่งก็ต้องยอมรับแหละว่าวิธีการเช่นนั้นก็ได้ผลดีเหมือนกัน เนื่องจากช่วยให้ผู้คนเกิดภาวะที่ “ผ่อนคลาย” ยึดโยงไปสู่ภาวะ “ความสงบภายในตัวเอง” และมีความพร้อมที่จะ “เรียนรู้” มากยิ่งขึ้น
แต่สำหรับผมนั้น ผมกลับนิยมชมชอบที่จะใช้กิจกรรม “การเขียนและการวาดรูป” มาเป็นกระบวนการของการเชื้อเชิญผู้ร่วมกระบวนการได้เรียนรู้ที่จะอยู่กับตัวเอง เรียนรู้ที่จะจัดการกับภาวะแทรกซ้อนภายนอกที่รุกเร้าเข้ามาจนสูญเสียสมาธิ เพราะเชื่อว่าการวาดรูป หรือการเขียนเรื่องราวของตัวเองนั้น จะทำให้แต่ละคนชะลอความเร่งรีบต่างๆ ลงได้ มันคล้ายกับการบอกลาโลกภายนอกในห้วงสั้นๆ เพื่อให้ชีวิตได้มีพลังพอที่จะขจัดสิ่งเร้าอันเป็นความวุ่นวายเล็กๆ น้อยๆ ออกไปทีละนิดๆ โดยมีกิจกรรมการวาดรูปและการเขียนเป็นเครื่องมือในการจัดวางชีวิตให้เดินทางสู่ความ “นิ่งและสงบ” อย่างค่อยเป็นค่อยไป
และนั่นก็คงไม่จำเป็นถึงขั้นต้องอธิบายอย่างเป็นวิชาการเสริมแรงอีกกระมังว่า การวาดรูปและเขียนเรื่องราวเช่นนั้น ช่วยให้สองชั้นหน้า (การคิด) สมองชั้นกลาง (อารมณ์ความรู้สึก) และสมองชั้นในสุด (การเคลื่อนไหวของร่างกาย) ได้ทำงานไปพร้อมๆ กันอย่างสมดุล
ซึ่งผมเรียกกระบวนการเหล่านี้ว่า กระบวนการ
“ถอดบทเรียนชีวิต” นั่นเอง
ด้วยเหตุเช่นนี้แหละ ผมจึงได้รับไฟเขียวให้จัดกระบวนการ “เรียนรู้ตัวเองสู่การเรียนรู้ในแบบกลุ่ม” ผ่านกิจกรรมวาดรูปและเขียนเรื่องราว หรือแม้แต่การบอกเล่าด้วยคำพูดสู่กันฟัง
และนี่คือส่วนหนึ่งของเรื่องราวที่แต่ละคนได้สื่อสารออกมา อาทิ...
ครับ, นี่เป็นเพียงเรื่องจำนวนน้อยนิดในอีกหลายเรื่องที่ผู้เข้าร่วมการเรียนรู้ร่วมกันได้สะท้อนออกมา ฟังดูอาจเหมือนเรื่องธรรมดาๆ ทั่วไปอยู่พอสมควร แต่หากใช้หัวใจสดับฟังจริงๆ จะรู้ได้เลยว่าเรื่องเล็กๆ ที่ว่านี้ยิ่งใหญ่และงดงามอย่างยิ่งเลยทีเดียว
อย่างไรก็ดี จะว่าไปแล้วพอจัดกิจกรรมขึ้นจริงๆ
ผมกลับยิ่งเชื่อว่า
กระบวนการที่ว่านั้นเกิดประโยชน์มากกว่าที่คิด
เพราะไม่เพียงช่วยให้ทุกคนได้ฝึกสมาธิ
ฝึกทบทวนตัวเอง หรือช่วยจรรโลงบรรยากาศในห้องประชุมให้ดู
“สงบงาม”
และชวนให้เกิดแรงบันดาลใจในการที่จะเรียนรู้ร่วมกันมากขึ้นเท่านั้น
แต่ผมก็เชื่อเหลือเกินว่า กิจกรรมในวันนั้น
จะช่วยให้แต่ละคนหันกลับมาให้ “เครดิต” กับตัวเอง
และเห็น “คุณค่า” ในตัวเองมากยิ่งขึ้น
มีความกล้าหาญที่จะบอกเล่าเรื่องราวอันดีงามของตนเองและคนรอบกายไปสู่สาธารณะ
สำหรับผมแล้ว
เมื่อมีโอกาสได้รับผิดชอบกระบวนการเรียนรู้ที่ว่านั้น พร้อมๆ
กับการได้พบเจอเรื่องราวอันดีงามของคุณครูทั้งหลาย
ก็อดที่จะเพิกเฉยไม่ได้ จึงได้เสนอให้มีการรวบรวมเรื่องราวต่างๆ
มาจัดทำเป็นหนังสือในชื่อ “วีรกรรมทำเพื่อศิษย์”
โดยมีภาพวาดของแต่ละคนเป็นภาพประกอบในตัวเล่มหนังสือ
ซึ่งผมได้ร้องขอให้แต่ละคนกลับไปเขียนเรื่องราวเหล่านั้นให้แจ่มชัดมากขึ้นกว่าเดิม
เขียนให้เห็นปัญหา,
กระบวนการแก้ปัญหาและผลลัพธ์อันทรงคุณค่านั้นอีกครั้ง
นั่นคือสิ่งที่ผมเสนอไว้ในเวทีการเรียนรู้ครั้งนั้น
และบัดนี้คุณครูจำนวนไม่น้อยก็ทยอยส่งเรื่องราวและภาพที่ว่านั้นมายังผมเป็นระยะๆ...
...
โรงเรียนแห่งความสุข
๒๓ เมษายน ๕๔
มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่
น้องแผ่นดินครับ แต่ละภาพเป็นแรงบัลดาลใจให้ทำความดียิ่งๆขึ้นไปมากเลยครับ
ขอบคุณค่ะ..กระบวนการเช่นนี้ เยาวชนของเราได้แสดงออกด้วยภาพเขียนที่สะท้อนการเล่าเรื่องดีๆในชีวิต ในโครงการกล้าใหม่-ใฝ่รู้ ของ SCB เช่นกันค่ะ..
สวัสดีครับ อ.ขจิต ฝอยทอง
กิจกรรมที่จัดขึ้น จะว่าไปแล้วก็คือการวาดแลการเขียนเพื่อ "บำบัดและเติมพลังชีวิต" นั่นเอง ในฐานะคนทำกระบวนการเพื่อเสริมสร้างการเรียนรู้ในแบบกลุ่มร่วมกันนั้น ก็อดที่จะชื่นชมเรื่องดีๆ เหล่านี้ไม่ได้ และเชื่อว่า หากสามารถทำออกมาเป็นรูปเล่มได้ มันก็ไม่ต่างอะไรจากจดหมายเหตุชีวิตของแต่ละคน สามารถใช้เป็นสื่อการเรียนรู้ที่ดีได้เหมือนกัน
ขอบพระคุณครับ.
สวัสดีครับ พี่นงนาท สนธิสุวรรณ
น่าชื่นใจจริงๆ กับภาพของเด้กและเยาวชนที่สะท้อนออกมา มันไม่ใช่แค่เรื่องราวอันเป็นจินตนาการเท่านั้น หากแต่บางมุมก็เหมือนบอกเล่าความเป็นอุดมคติของชีวิตและสังคมไปในตัว สิ่งเหล่านี้ยังสื่อสารถึงมุมแห่งการใช้ชีวิตร่วมกันของสรรพสิ่งในสังคมได้อย่างนุ่มนวล
ชื่นชมเจ้าของภาพเหล่านั้น พอๆ กับการชื่นชมไทพาณิชย์ฯ ที่เป็นพื้นที่สร้างสรรค์ให้คนในสังคมได้เติบโตในมิติต่างๆ...
ขอบพระคุณครับ
ขอบคุณครับคุณพนัส
สิ่งหนึ่งที่ผมประทับใจในการทำงานร่วมกับคุณพนัสคือ การให้ความรักกับการทำงาน เเละความยืดหยุ่นในบางสถานการณ์ทำให้ การทำ workshop เป็นไปได้ด้วยความสุขเเละสำเร็จ
การวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายนี่สำคัญมาก...หากพลาดตรงนี้ไป ต่อให้ทำกระบวนการประรีต ตั้งใจเเค่ไหน ประสิทธิภาพที่ได้ก็ไม่ถึงเป้าหมายที่เราต้องการ
โดยรวมเเล้ว ไม่ว่า Workshop ไหนๆที่ผ่านมาต่างก็ให้ประสบการณ์ที่ดี รวมไปถึงบทเรียนใหม่ๆให้กับคนทำงาน เราเติบโตพร้อมกันไปด้วยกับ participants
ขอบคุณครับสำหรับบันทึก AAR บันทึกนี้...มีคุณค่าเเละน่าประทับใจครับ
จตุพร
จะมี WORKSHOP KM วันที่ ๒๕ - ๒๖ พค. นี้ครับ...
ในนามของทีมงานโรงเรียนแห่งความสุข ขอขอบพระคุณท่านวิทยากรทั้ง 3 ท่าน ที่ได้มอบสิ่งดี ๆ ให้กับนักศึกษาของเรา ถึงแม้ว่าในบางครั้งอาจจะเกิดความผิดพลาดไปบ้าง ทางทีมงานก็ขออภัยท่านวิทยากรด้วยนะคะ เรื่องราวดี ๆ ของโรงเรียนแห่งความสุข จะอยู่ในความทรงจำของพวกเราตลอดไปค่ะ ^_^
สำหรับเรื่อง KM Workshop นั้น ได้ยินข่าวแว่ว ๆ มาเหมือนกันครับ
แต่ทีมงาน "โรงเรียนแห่งความสุข" มิได้รับผิดชอบโครงการนี้โดยตรง
คงสภาพ เหลือแต่จะดูแลในฐานะ "กัลยาณมิตร" แบบ Forever
ส่วนตัวเนื้องาน เราไม่ทราบรายละเอียดอะไรมากครับ
แต่ยินดีที่จะได้พบกันอีกครับผม ;)...
อ.แผ่นดิน
เป็นสิ่งดีงามที่หลากหลายเยี่ยมจริงๆค่ะ ต้องให้ลูกสาวลูกชายได้มาอ่านสิ่งดีงามของทีมงานท่าน (เรียนศึกษาศาสตร์ที่มช.ค่ะ) เอ้าอยู่รพ.ก็ได้มีโอกาสทำกิจกรรมร่วมกับทางโรงเรียนค่ะ
+
ทำกิจกรรมการใช้การแพทย์ทางเลือกในการสร้างสุขภาพค่ะ
สวัสดีครับ คุณเอกจตุพร วิศิษฏ์โชติอังกูร
ก่อนอื่นต้องขอบคุณครับที่ชวนไปช่วยงานและให้โอกาสของการเรียนรู้อย่างสม่ำเสมอ...
สิ่งที่เราเห็นชัดเจนของการทำงานร่วมกันในแต่ละครั้งก็คือ เราต่างพยายามวิเคราะห์กลุ่มผู้เข้าร่วมกระบวนการว่าเป็นใคร- เพื่อให้รู้ว่าควรต้องจัดกระบวนการแบบใดถึงจะเหมาะสมและสร้างบรรยากาศของการเรียนรู้ร่วมกันได้
ผมอาจโชคดีหน่อยที่เติบโตมาในสายกิจการนักศึกษา การปรับแก้สถานการณ์เฉพาะหน้า จึงเป็น "ทุน" ที่ผมพอมีอยู่บ้าง และนั่นคือสิ่งที่ผมก็รู้สึกเสมอว่า ผมเติมเต็มเวทีนั้นได้แม้เป็นช่วงสั้นๆ ก็ตาม
ขอบคุณครับ
สวัสดีครับคุณแหม่ม noomam lek
จริงๆ ผมต้องเป็นฝ่ายขอบคุณทุกท่านต่างหาก ขอบคุณที่ช่วยให้ผมได้มีโอกาสเรียนรู้ร่วมกับทุกคน ส่วนการทำงานนั้น ผมเห็นว่าอะไรที่ลุ่มๆ ดอนๆ นั้นเป็นกฎธรรมชาติ ซึ่งมันก็ไม่ยิ่งใหญ่ไปกว่าแรงใจที่คุณแหม่มและทีมงานพยายามรังสรรค์ออกมาให้ดีที่สุด
วันนี้ คิดถึงเรื่องราวเวทีแห่งความสุขเมื่อใด ก็เหมือนสิ่งนั้นเป็นปัจจุบันอยู่เสมอ ยิ่งคิดถึงยิ่งเห็นการเติบโตของรอยยิ้มของตัวเอง
ขอบคุณครับ
ครับคุณเอกจตุพร วิศิษฏ์โชติอังกูร
แสดงว่า ผมจะได้ไปยกเก้าอี้อีกแล้วสินะ-
สวัสดีครับ อ.วัสฯWasawat Deemarn
มิตรภาพไร้พรมแดน ..ยังไงๆ...ก็ต้องพาหัวใจไปพบหน้าอยู่ดีครับ !
สวัสดีครับ คุณท้องฟ้า
ชื่นชมมากเลยครับที่เห็นชาวโรงพยาบาลมีกิจกรรมเชิงรุกเข้าสู่สถานศึกษา สิ่งเหล่านี้ถือเป็นแผนกลยุทธที่สำคัญมากครับ ทั้งในแง่ของการป้องกัน สร้างภูมิต้านทาน หรือแม้แต่การบำบัดเยียวยาไปในตัว
ผมดีใจนะครับที่ชอบบันทึกที่ผมเขียนขึ้น ผมคิดแต่เพียงว่า "เขียนเถอะ เล่าแบบเปิดเปลือยออกมาให้ได้มากที่สุด อย่างน้อยก็จะได้เป็นจดหมายเหตุของชีวิตเราเอง ส่วนจะเป็นประโยชน์ต่อใครๆ หรือไม่นั้น คนอ่านจะตัดสินเอง"
ขอบคุณครับ
แสดงว่าที่นู๋เห็นในความฝันนั้น คงเป็นจริงแล้วค่ะ ^_^
ขอบคุณค่ะ.
คุณแหม่มครับ noomam lek
ความฝันที่ว่านั้น เป็นฉันใดครับ ?
สวัสดีครับ ครูแป๋ม
เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อประมาณ 2 อาทิตย์ที่ผ่านมา นู๋ฝันว่า อ.เอก กับ อ.พนัส มาจัดเวทีที่เชียงใหม่อีก แต่ไม่รู้ว่าเป็นเวทีอะไร ที่แปลกก็คืออยู่ ๆ ก็ฝันถึงวิทยากรทั้งสองท่าน 555555
ครับ นู๋เเหม่ม
จะมีเวมีเรียนรู้ให้กับคณะ..
KM CMRU ครับ ตอนนี้รู้สึกว่าทางคุณกบจะจองตั๋ว Flight ให้เเล้ว...เเสดงว่าไม่ไปไม่ได้เเล้วครับ :)
มีคนฝันร้าย ???
;)...
ครับคุณแหม่ม..
ฝันแม่นจริง - ได้เจอกันอีกรอบ นี่แหละที่เขาเรียก ไม่มีเรื่อง "บังเอิญ" ...
คุณเอก- คราวนี้เฉียดเกือบเปิดเรียนเลย แต่เลี่ยงไม่ได้เช่นเคย 55...
ไว้พรุ่งนี้ผมติดต่อเรื่องการเดินทางกับคุณกบอีกทีแล้วกัน
แล้วตกลงใครฝันร้ายครับ อ.Wasawat Deemarn
เลขาโครงการฯ ครับ ที่ฝันว่า จะต้องพบกับวิทยากรกันอีกครั้ง อิ อิ
"ไม่มีอะไรที่บังเอิญ" อีกใช่ไหมครับ ;)...
สวัสดีครับ อ.วัสฯ Wasawat Deemarn
ยังยืนยันครับ ไม่มีความบังเอิญ,...
ทุกอย่างคือ "ชะตากรรม" -
เป็นชะตากรรมที่พวกเรายังไงก็หนีกันไม่พ้น ใช่ไม๊คะ 5555 แต่นู๋ว่าการถือเคล็ดของ อ.พนัส นี่เจ๋งจริง ๆ ค่ะ
ครับคุณแหม่ม,...
ผมเชื่อว่าเราล้วนถูกผลักเข้าสู่เวทีชะตากรรมใดชะตากรรมหนึ่งจากมือที่มองไม่เห็น ต่อจากนั้น เป็นเราเองที่จะลิขิตเรื่องราวและทิศทางด้วยตนเอง...
บางทีการคิดในระบบ "มือที่มองไม่เห็น" หรือเชื่อว่าไม่มีเรื่อง "บังเอิญ" นั้น ก็เหมือนชวนมองมุมบวกไว้ก่อน แต่ไม่ใช่หลงลอยไปกับวิธีคิดเช่นนั้นเสียทั้งหมด เพราะระยะต้นของการคิดคือการผ่อนเบา-ผ่อนคลายให้เราไม่หม่นๆ สับสนๆ กับเรื่องที่เผชิญ พอสบายใจก็กลับเข้าสู่การ "ท้าทาย" และ "ท้าชน" อย่างมีศิลปะ..
คิดถึง,ระลึกถึง นะครับ
สวัสดีค่ะ อาจารย์พนัส
ประทับใจและดีใจมาก ที่ได้มีโอกาสได้เข้ารับการอบรมจากบริษัทโรซ่าร่วมกับคณะคุณครู เรื่องโภชนาการอาหารที่ยั่งยืน ซึ่งจัดที่่นาข่าบุรี ได้รู้จักอาจารย์ที่ดูแลโซนกลุ่ม 1 อุดรธานีและวิทยากรอีกหลายๆท่าน แม้จะเป็นเพียงระยะเวลา 1 วัน แต่ก็ได้อะไรมาคิดและวางแผนงานที่จะทำงานต่อไปในชุมชน เพื่อเด็กๆที่ผอมแห้งแรงน้อย:) ในชุมชนต่อไป ขอบคุณวิทยากรทุกท่านอีกครั้งค่ะ