ผมออกเดินทางจากบ้านหนองทับม้า อ.เสนางคนิคม จ.อำนาจเจริญในช่วงบ่าย 4 โมงเย็น (13 เมษายน) โดยใช้เส้นทางหลัก คือ อำนาจเจริญ - ยโสธร - ร้อยเอ็ด - กาฬสินธุ์ ซึ่งมี "บ้าน" ..และ "คนที่บ้าน" เป็นจุดหมายปลายทางของการเดินทางในวันนั้น
ผมชื่นชอบเส้นทางสายนี้เป็นพิเศษ ถึงแม้เส้นทางดูจะแคบเล็กไปบ้างแต่ต้นไม้รายทางแถว ๆ อ.ป่าติ้ว (ยโสธร) ก็ร่มรื่น - ชื่นเย็น, ชวนให้ขับรถอย่างสุขใจและรื่นรมย์ต่อวิถีการเดินทางเป็นยิ่งนัก
ผมเคยเปรยบ่นกับตัวเองและเพื่อนชีวิตเสมอว่า หากแม้นอนาคตอันใกล้และไกลนี้มีการสร้างถนน หรือขยายช่องถนนให้กว้างขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ - ต้นไม้ใหญ่หลายต้นคงมิวายถูกโค่นทิ้งไปอย่างน่าเสียดาย และคงยากยิ่งที่จะเสกสร้างสิ่งอื่นใดมาประดับเส้นทางให้รื่นรมย์และเย็นตาได้เหมือนเดิมเป็นแน่ !
ผมทุกข์โศกเสมอกับการสูญเสีย .. หากแต่เป็นการทุกข์โศกที่เกิดขึ้นพร้อม ๆ กับการเปิดรับการเปลี่ยนแปลงที่ชีวิตไม่อาจทัดทานได้
และเมื่อวันนั้นเดินทางมาถึง ถนนเส้นนี้อาจดูกว้างใหญ่ขึ้น ริมทางอาจร้างไร้ซึ่งไม้ใหญ่ให้ร่มอันงามตา แต่ยังไง - ผมก็ยังคงต้องสัญจรผ่านเส้นทางสายนี้อย่างไม่รู้จบ -
ตลอดเส้นทางจากอำนาจเจริญมาถึงตัวเมืองกาฬสินธุ์ถูกห่มคลุมและตกแต่งด้วยฟ้าอุ้มฝน บางห้วงถนนมีสายฝนโปรยปรายอย่างไม่ขาดสาย ...
ผมไม่มีโอกาสได้จอดรถเที่ยวท่องตามรายทางนัก เพราะความมืดของท้องถนนได้คืบคลานมาอย่างกระชั้นชิด กอปรกับ "บ้าน" อันเป็นจุดหมายปลายทางของผมในวันนี้ดูยิ่งใหญ่และมีความสำคัญเป็นที่สุด
ผมขับรถช้ากว่าที่เคยเป็น....ตลอดเส้นทางหวนคิดถึง "บ้าน" ที่มีพ่อ, แม่ ลูกชายและพี่น้องอีกหลายคนรอคอยอยู่ที่นั่น
เป็นความคิดถึงที่เกิดขึ้นและดำเนินไปอยู่ทุกห้วงขณะจิต แต่ไม่รุกเร้าให้ผมสูญเสียสมาธิในการขับรถ ตรงกันข้ามกับเป็นพลังอันสงบที่ย้ำคิดและย้ำเตือนให้ผมมีความเพียรที่จะนำพาตัวเองกลับไปที่นั่นอย่างปลอดภัย...
ผมกลับถึงบ้านตอนเกือบ ๆ จะ 5 ทุ่ม... ฟ้าฝนที่บ้านเกิดสงบนิ่งอย่างไม่น่าเชื่อ พ่อและแม่ยังไม่นอน - ลูกชายคนเล็กหลับฝันอย่างมีความสุข ส่วนคนโตที่เพิ่งลาสิกขาออกมาแววตายังใสแจ๋วไม่มีท่าทีว่าจะง่วงเหงาเลยแม้แต่น้อย เพียงเพราะกำลังรอคอยการกลับมาของผม และรอที่จะเล่าเรื่องการเล่นน้ำของวันนี้ให้ผมได้ร่วมรับฟังอย่างใจจดใจจ่อ
ผมอ่อนล้าและเหนื่อยอ่อนมาก ... พ่อและแม่เข้าใจในสภาพอันอิดโรยนั้นดีโดยไม่ต้องร้องถามด้วยถ้อยคำใด ๆ อีกแล้ว ขณะที่ลูกชายคนโตไม่เข้าใจต่อภาวะการณ์เช่นนั้นของผม หากแต่ยังมีความสุขที่เล่าเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้ผมได้ฟังอย่างไม่ลดละ...มิหนำซ้ำยังชวนให้ผมร่วมวาดภาพนานาจิปาถะอีกยกใหญ่
วิถีระหว่างผมกับลูกชายดำเนินไปสักระยะเราทั้งสองจึงกลับเข้าไปนอนรวมกันกับลูกชายคนเล็ก และผมค่อยข้างมั่นใจว่าคืนนั้นผมเผลอหลับไปก่อนพ่อและแม่ หรือแม้แต่ลูกชายคนโตก็ดูเหมือนจะหลับทีหลังผมเลยด้วยซ้ำไป
ผมไม่รู้ว่าหลับไปนานสักแค่ไหน... มารู้สึกตัวตื่นอีกทีก็เหมือนเคลิ้มฝัน - กึ่งหลับกึ่งตื่น ... รู้สึกเหมือนกับมีใครกำลังแตะสัมผัสริ้วรอยบาดแผลที่บริเวณหน้าแข็งของตนเองอย่างอ่อนละมุน
ผมยันศรีษะขึ้นมาชะโงกดูแต่เพียงเสี้ยวสั้น ๆ คลับคล้ายว่า "พ่อ" กำลังเช็ดแผลและทายาแดงให้กับผม...
ผมเหนื่อยเกินกว่าจะฟื้นสติขึ้นมารับรู้อะไรได้มากไปกว่านั้นอีกแล้ว...แต่ก็มั่นใจและรับรู้อยู่อย่างสุขใจว่า "พ่อกำลังทำแผลให้กับผม !"
รุ่งเช้าถัดมา...ผมตื่นมาพร้อมกับอาการครั่นเนื้อครั่นตัว และมีอาการเจ็บแผลที่บริเวณหน้าแข็ง และเหลือบมองเห็นสีแดงของยาปะพรมอยู่บริเวณบาดแผล
นั่นก็เท่ากับยืนยันได้ว่า ค่ำคืนที่ผ่านมานั้น พ่อได้ทำแผลให้กับผมจริง ๆ ....
หวนย้อนกลับไปสู่วัยเด็ก - ผมมีความทรงจำที่แจ่มชัดและมีชีวิตเสมอเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ ...
มันช่างนานและแสนนานเหลือเกินที่ร่างกายของผมเต็มไปด้วยริ้วรอยบาดแผล ซึ่งพ่อจะเป็นผู้ทำแผลและพาตัวผมไปหาหมออยู่อย่างไม่ว่างเว้น... รวมถึงการไปรับหมอมาทำการรักษาผมที่บ้านของเราเอง
พ่อมักเล่าให้ฟังเสมอว่าผมมีปัญหาเรื่อง "ต่อมน้ำเหลือง" สมัยที่ยังเป็นเด็กก็มักมีผื่นแผลผุพองอยู่มาก ..มันมากเสียจนพ่อและแม่จำต้องไม่ปล่อยให้ผมมีโอกาสทอดน่องลงแรงปักดำกับพี่ ๆ ในทุ่งนา แต่จะมอบหมายให้ผมทำหน้าที่เลี้ยงวัวแทนการปักดำในฤดูฝน !
การที่พ่อลงแรงใจทำแผลให้กับผมในค่ำคืนแห่งความเหนื่อยล้านั้น..กลายมาสะกิดเตือนให้ผมได้หวนรำลึกถึงเรื่องราวของชีวิตที่ล่วงผ่านมาอย่างแสนนาน ...อบอุ่น ละมุนละไม และเต็มไปด้วยสายใยแห่งชีวิต
และวันนี้ หรือเช้าวันนี้ผมยังต้องออกเดินทางกลับไปยังอำนาจเจริญอีกครั้ง...หากแต่ครั้งนี้จะมีเด็กชายแดนไทนั่งไปเป็นเพื่อน
ก่อนการออกเดินทางเพียงเล็กน้อย ...พ่อเพิ่งกลับจากวัดและเดินตรงมายังผม พร้อมกับสอบถามอาการว่าปวดแผลหรือเปล่า ? และไม่วายที่จะอำนวยอวยพรให้ผมกับลูกชายแสนซนเดินทางโดยสวัสดิภาพ.....
ทุกครั้งที่กลับมายังบ้าน - ผมจะยังเป็นลูกของพ่อและแม่เสมอ .. เป็นน้องของพี่ ๆ อย่างไม่เปลี่ยนแปลง.... เป็นคนที่ใครต่อใครยังต้องดูแลอย่างไม่รู้จบ...
ทุกครั้งที่กลับบ้าน.... ต่อให้ผมมีอายุมากแค่ไหน ร่างกายเติบใหญ่สักปานใด ผมก็ยังเป็น "ลูกหล่า" ที่พ่อกับแม่ยังต้องดูแลอย่างไม่เปลี่ยนแปลง..
แวะมาเยี่ยมครอบครัวอบอุ่น ค่ะ
หากมีโอกาสแวะมาเที่ยวโคราช แล้วท่านจะเห็นถนนสายหนึ่งได้ชื่อว่า "ถนนสีเขียว" กว้างและมีต้นไม้เขียวชอุ่มสมชื่อค่ะ
แวะมาเยี่ยมค่ะ เรามีครอบครัวอบอุ่น เหมือนๆกันเลย
มีบ้างเหมือนกันนะครับที่กลับบ้านแล้วไม่ค่อยได้ทำอะไร เพราะใคร ๆ ก็มีความสุขที่จะทำให้กับเรา...แต่ยังไงก็หาอะไรทำบ้างตามแต่จะทำได้....
มีความสุขเสมอที่ได้กลับบ้าน...ขอบพระคุณครับ
มาเยี่ยม...
แต่ก็มั่นใจและรับรู้อยู่อย่างสุขใจว่า "พ่อกำลังทำแผลให้กับผม !"
คุณมีความรับผิดชอบทำหน้าที่ความเป็นพ่อดีที่สุดแล้ว...
แผลของร่างกายคงหายได้ตามวันเวลา...แผลทางใจต้องใช้รสแห่งธรรมะดีแล...
ฮา ๆ เอิก ๆ
วันนี้ผมเพิ่งมีเวลาที่ "นิ่ง" จึงพาแฟนและลูก ๆ รดน้ำขอพรคุณพ่อกับคุณแม่...สุขกาย สบายใจเป็นไหน ๆ ...
ขอบคุณครับ
ขอบุคฯครับ
สวัสดีค่ะคุณแผ่นดิน
ตามมาซึมซับความอบอุ่น ละมุลจากแง่งามของบันทึกนี้ค่ะ..
อ่านแล้วยิ้มเพราะสุขใจที่ได้เห็นความสุขของครอบครัวอบอุ่น..ในวันสงกรานต์ที่ไม่ร้อนแล้งเหมือนอากาศ
และมารดน้ำถึงบ้านเลยค่ะ..ขอให้อยู่ดี..มีแฮงเด้อค่า..^ ^
สวัสดีครับ
หลายคนทักว่าทำไมสอนให้ลูกพูดภาษาอีสาน...ผมก็ตอบด้วยความสุภาพว่า เขาเป็นคนไทย แต่ก็อยากให้พูดภาษาอีสาน เพราะรากเหง้าของพวกเขาเป็น "ลูกอีสาน" ...ผมไม่อยากให้ลูกพูดภาษาอีสานไม่ได้ ...แต่ชื่อของพวกเขาก็บอกถึงความเป็น "ไทย" หรือ "ชาติไทย" อย่างเข้มข้นเสมอ...
ตอนนี้ก็พร่ำบอกเขาเสมอว่า ปู่กับย่า...คือ ฮีโร่ที่ควรเอาแบบอย่าง
ขอบคุณครับ....
ที่ยืนยันนั้นหมายถึง "ขับรถอย่างระมัดระวัง" ใช่ไหมครับ...หรือยืนยันว่าการเดินทางในเทศกาลสงกรานต์ไปเยือนญาติมิตร คือ การเดินทางอันแสนอบอุ่น...
แต่ยังไงก็ขอบคุณนะครับ..ที่แวะมาทักทาย...ขอให้มีความสุขมาก ๆ (ทั้งครอบครัว นะครับ)
ว่าไงนะครับ น้องนุ้ย..เบิ่งคัก ๆ คือผู้ได๋..
ช่วงนี้ยังไม่มีภาพน้องดินน้องแดนให้ชมหรอกนะครับ..แต่บันทึกต่อไปมีแน่นอน...โดยเฉพาะเจ้าจุกที่อ้อนจะเอา "เป็ดน้อย" จากชาวเสนางคนิคม...
ติดตามตอนต่อไปแล้วกันนะ
สวัสดีค่ะคุณแผ่นดิน
สวัสดีครับ
ผมยังคงแวะไปเยี่ยมชมภาพถ่ายบ้านใหม่ของคุณแม่อาจารย์เสมอ...อบอุ่นและน่ารักมาก..
สมัยที่ผมกลับมาจากกรุงเทพฯ เพื่อเตรียมเข้าทำงานที่มหาวิทยาลัยฯ ผมกดเงินจากธนาคารไม่ต่ำกว่า 2 หมื่นยื่นให้กับพ่อเพื่อสมทบค่าใช้จ่ายในการปลูกบ้าน...นั่นคือความสุขที่ผมสัมผัสได้ด้วยใจอย่างไม่รู้เลือน.
ทุกวันนี้ยังรู้สึกว่าทำให้ท่านน้อยมาก....
ขอบพระคุณครับ
ถึงพี่พนัส
ขอให้มีความสุขนะครับ และทุกๆคนในครอบครัวด้วยครับ
กัมปนาท