ช่วงหลายวันที่เหินห่างและเงียบงันไปจากโลกแห่งการเรียนรู้ใบนี้ - ผมและผู้นำองค์กรนิสิตร่วม 40 คน เดินทางไปศึกษาดูงาน ณ มหาวิทยาลัยต่าง ๆ อาทิ ม.รังสิต, ม.ศิลปากร, ม.เกษตรศาสตร์ (กำแพงแสน) และ ม.บูรพา
ผมบอกกล่าวกับนิสิตที่เดินทาง (จริง ๆ คือย้ำคิด ย้ำบ่น) ครั้งนี้ในทำนองว่า นี่คือ กระบวนการเดินทางไปสู่การเรียนรู้โลกภายนอก เป็นการเรียนรู้เพื่อให้เราได้ "เข้าใจ" ใน "ตัวตน" ของเราเอง ซึ่งหมายถึงการเรียนรู้และเข้าใจในความเป็นสถาบันของตนเอง ...
บางที ถ้าเรายังคงย่ำเพลินอยู่ในวังวนและบริบทของตนเอง โดยไม่เคยที่จะนำพาตนเองไปสัมผัสวิถีจากภายนอกบ้าง ก็ยิ่งอาจจะทำให้เราตกหลุมพรางทางกิจกรรม ด้วยการไม่รู้จักตนตนของตนเอง ไม่รู้จักแม้กระทั่งว่าตนเองรักและศรัทธาในวิถีของสถาบันมากน้อยแค่ไหน
นี่คือการเรียนรู้ "ตนเอง" โดยผ่านกระบวนการเบิ่งมองจาก "ผู้อื่น" ... นี่คือการสะท้อนคำถามว่าตนเองรักและให้เกียรติสถาบันตนเองสักแค่ไหน โดยผ่านมิติการมองโลกจากสถาบันอื่น
ก่อนการเดินทางผมฝากประเด็นสำคัญอยู่แค่ 2 เรื่อง คือ
1. อย่าลืมที่จะสำรวจตัวตนของตนเองว่ารู้จักสถาบันของตนเองแค่ไหน และมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องกิจกรรม หรือวัฒนธรรมทางสังคมของสถาบันตนเองแค่ไหน ? อย่างไร ? เพราะถ้าไม่ทำการบ้านเหล่านี้ไปบ้าง เราจะไม่สามารถสนทนากับเพื่อนต่างสถาบันได้เลย และจะไม่รู้แม้กระทั่งว่า อะไรคือโจทย์ของการเดินทางไปศึกษาในครั้งนี้
2. อย่าลืมที่จะเสาะแสวงหาบริบทข้อมูลของสถาบันที่ตนเองกำลังจะไปศึกษาดูงาน ว่าเป็นอย่างไร มีอะไรเหมือน หรือต่างจากสถาบันของตนเองบ้าง เพราะหากเดินทางไปด้วย "มือที่ว่างเปล่า" และ "สมองที่กลวงเปล่า" ก็ดูจะง่าย หรือมักง่าย เกินไปสำหรับการศึกษาดูงานครั้งนี้
นั่นคือ ภาพรวมสองประเด็นหลักที่ฝากให้นิสิตได้ขบคิดและทำการบ้านไปล่วงหน้า ส่วนจิปาถะอื่น ๆ อาทิ การประพฤติตน, วินัยและความเกรงใจอื่นใดนั้น ผมทิ้งให้เป็นภาระของนายกองค์การนิสิตที่จะต้องบอกกล่าวต่อนิสิตผู้ร่วมชะตากรรมในครั้งนี้
ก่อนปิดประเด็นในครั้งนั้น ผมยังไม่ลืมที่จะบอกกล่าวว่า ผมไม่พึงปรารถนาให้นิสิต มมส เปิดเครื่องโทรศัพท์ไว้ในขณะอยู่ในห้องประชุมร่วมกับสถาบันอื่น ๆ ...
เฉกเช่นกับที่ผมไม่ปรารถนาตีพิมพ์บันทึกของตนเองในบล็อกอันเป็นช่วงเวลาราชการของการทำงาน เพราะมันจะกลายเป็นการใช้เวลาราชการไปกับสิ่งที่ไม่เกี่ยวกับ "ราชการ"
แต่บางท่านที่เขียนจบแล้ว พร้อมเก็บสต๊อกเรื่องนั้นไว้ เพียงแต่ใช้เวลาอันน้อยนิดตีพิมพ์เผยแพร่ในบล็อกโดยไม่เบียดเบียนเวลาราชการมากนัก, ผมว่าก็ โอ เค นะ ...
ไม่รู้ว่าผมซีเรียสเกินไป หรือเปล่า... แต่ผมก็สะท้อนมาด้วยความสัตย์จริง ..
แต่ประทานโทษนะครับ, วันนี้และขณะนี้ ผมลากิจ จึงสามารถมานั่งพร่ำบ่นได้ โดยไม่เกี่ยวกับการนำเอาเวลาราชการมาเขียนบันทึก...
อย่างไรเสีย, ผมต้องขอบคุณและขออภัยในความไม่สะดวกทางอารมณ์จากเสียงเปรยบ่นของกระผมในบันทึกนี้เป็นอย่างสูง
สวัสดีค่ะคุณแผ่นดิน..แผ่นดิน
การเขียนบันทึกนี้ เขียนในเวลาราชการไม่ได้ก็จริงอยู่ค่ะ...แต่จะมีประโยชน์มากกว่าการคุยนินทากัน....ถ้าเราจะเขียนในเรื่องที่ดีนะคะ
แต่ครูอ้อยก็ใช้เวลาส่วนตัว และเวลาว่างจริงๆ ค่ะ
อารมณ์ไม่ดี ก็บ่นเถิดค่ะ มีกันทั่วทุกคนค่ะ อย่าเก็บไว้ค่ะ
สวัสดีครับ อ.เมตตา
ขอบพระคุณมากครับ ที่แวะมาบอกข่าวในประเด็นนี้
แต่เอะ..ว่าไป ผมก็ชักหนาว ๆ ร้อน ๆ เสียแล้วว่า ประเด็นของผมจะเป็นที่ไม่พึงใจของใครบ้างหรือเปล่าหนอ
หนาว ๆ ร้อน ๆ จริง ๆ นะครับ
อยากให้ราชการไทย มีพักกลางวันนานๆ กว่านี้หน่อย พักตอนสายด้วย พักตอนบ่ายด้วย จะได้ชัดเจนว่าเวลาไหนควรทำอะไร :-)
น้องชาย
เคยคิดค่ะ .... วันหนึ่งข้าราชการทำงาน 7 ชั่วโมง
08.30 - 12.00 น.
13.00 - 16.30 น.
จริง ๆ แล้วทำงานกันกี่ชั่วโมง ลองคิดดูเล่น ๆ
มาถึงเวลา 08.30 น. ไปกินข้าวเช้าครึ่งชั่วโมง (ถ้ากิน)แต่งหน้า ทาปาก แปรงฟัน เข้าห้องน้ำ 10 นาที พักเบรค 10 นาที พูดคุยสารทุกข์สุกข์ดิบ/โทรศัพท์ 10 นาที อาจจะไปห้องน้ำอีก 10 นาที รวมแล้วประมาณ ชั่วโมง 20 นาที เพราะฉะนั้น ทำงานช่วงเช้าเท่าไร ?
ช่วงบ่าย เข้ามาทำงาน (จริง) 13.00 น. เข้าห้องน้ำ แปรงฟัน ฯลฯ 10 นาที ทักทานเพื่อนฝูง 10 นาที เบรค 10 นาที (อาจมากกว่านั้น) คุยกัน/โทรศัพท์ 20 นาที (รวม ๆ ) รวมเวลาประมาณ 50 นาที ถึง 1 ชั่วโมง แล้วเราทำงานกันเท่าไร?
นี่ยังไม่รวมว่า วันไหนฝนตก รถติด พ่อตาป่วย แม่ยายไม่สบาย ญาติเสีย ไปเสียค่าโทรศัพท์ ไฟฟ้า น้ำประปา หมางอน(อันนี้ผุ้เขียนเอง...คิกคิก) ฯลฯ ทำให้มาทำงานช้า
ฮา.......
แล้วเราก็จะบอกว่าทำงานหนัก ๆ ๆ ๆ ๆ ทำงานมาก ๆ ๆ ๆ ๆ
บางครั้งใครที่ทำงาน 08.30 - 16.30 น. แล้วบ่นว่างานมาก ๆ ๆ ก็จะบอกว่าคุณลองไปเขียนรายงานประจำวันมาสิว่าคุณทำอะไรในแต่ละวันบ้าง ให้จดแม้กระทั่งการใช้โทรศัพท์ แล้วคุณลองมาดูว่า วัน ๆ หนึ่งคุณทำอะไรบ้าง..........คุ้มกับสิ่งที่หลวงให้คุณหรือเปล่า เงินเดือน ค่ารักษาพยาบาล ค่าเทอมลูก ค่า........ ค่าโบนัส ฯลฯ
อืม..........ยาวไปไหมคะ มีอีกเยอะประเด็นเรื่องเวลาราชการ
สำหรับตัวเอง......บางครั้งก็ยังใช้เวลาราชการในการทำเรื่องในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ.....แต่...คิดว่าตัวเองก็คืนเวลาให้กับราชการไม่น้อย เพราะทำงานนอกเวลาอย่างสม่ำเสมอ ...... ทดแทนกันได้ไหมคะ
มีความสุขกับการทำงานนะคะ
สวัสดีครับ
ก่อนอื่นต้องขอบคุณนะครับ...ขอบคุณมากจริง ๆ
สิ่งแรกครับการไปดูงานต้องมีการเรียนรู้ถึงประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ข่าวความเคลื่อนไหวที่ทั้งดีและไม่ดีของสถาบันนั้นก่อน เพื่อป้องกันคำถามบางอย่างที่อาจจะส่งผมต่อความรู้สึก ของผู้รับการดูงาน
เห็นด้วยกับประเด็นนี้มาก ... ซึ่งก่อนการเดินทางเราได้ปฐมนิเทศเล็ก ๆ ให้กับผู้นำองค์กรนิสิต และให้พึงระมัดระวังพฤติการณ์ต่าง ๆ พึงระวังคำถามที่ "ไม่เข้าท่า" เพื่อมิให้กระทบต่อสัมพันธภาพที่ดีของสถาบันทั้งสอง
ขอบคุณอีกครั้งครับ...
สวัสดีครับ น้องนุ้ย
สวัสดี
สวัสดีครับ
ไอเดียกระฉูดน่าสนใจ ... ผมก็ชอบนะ ได้พักผ่อนนาน ๆ เช่นนี้ แต่ก็ไม่ใช่เหลือเวลาทำงานน้อยลง
พักเที่ยงนานขึ้นก็น่าจะดีไม่น้อย...กระมังครับ
ผมคิดเช่นนั้น
บ่าววีร์ ครับ
โทรศัพท์มือถือ เป็นเครื่องมือสำคัญในการดำรงชีวิตในยุคข่าวสารอย่างมศาล
แต่นักเขียนท่านหนึ่งก็กล่าวไว้อย่างน่าคิดว่า "คุยโทรศัพท์ให้น้อยลง อ่านหนังสือให้มากขึ้น"
ขอบคุณครับ...
สวัสดีค่ะ
วันนี้ คุณมาแปลกนะคะ.....
เป็นการแจกแจงรายละเอียดเวลาและพฤติกรรมของคนราชการได้อย่างน่าคิด .. ผมเองก็เป็นคน ๆ หนึ่งที่มักจะทำงานล่วงเวลาอยู่บ่อยครั้ง อดีตเคยนอนบนเก้าอี้ และอยู่ดูแลนิสิตดึกดื่นถึงรุ่งเช้าก็ถมไป
สำหรับตัวเอง......บางครั้งก็ยังใช้เวลาราชการในการทำเรื่องในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ.....แต่...คิดว่าตัวเองก็คืนเวลาให้กับราชการไม่น้อย เพราะทำงานนอกเวลาอย่างสม่ำเสมอ ...... ทดแทนกันได้ไหมคะ
....
แน่นอนครับ... ทนแทนกันได้...
ยกเว้นมาสาย แต่ทำงานล่วงเวลาก็ไม่มีผลต่อการหักล้างกันได้
...
ขอบพระคุณมากครับ
ขอบคุณพี่ตุ๋ย ครับ...
ช่วงนี้จินตนาการผมแห้งแล้งน่าดู... อาจเป็นเพราะความเหนื่อยเพลียทางร่างกาย เรื่องที่เขียนจึงดูแปร่ง ๆ อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
....
กองกิจการนิสิตบางที หกทุ่ม ตีสอง เรายังทำงานอยู่มิใช่รึ ...
....
ใช่แล้วครับ สถานการณ์นั้นยังไม่เปลี่ยนแปลง
ผมเองเพิ่งกลับจากราชการ .. วันนี้ล้าโรยเกินจะถ่อสังขารไปทำงานได้ เลยถือโอกาสพักผ่อน แต่ไปตามงานวิจัยของตนเอง ...
ว่าง ๆ เลยเขียนบันทึก กระนั้นก็ยังไม่ได้แวะไปท่องบันทึกของกัลยาณมิตรใดมากนัก
.....
วันนี้ คุณมาแปลกนะคะ.....
.....
ช่วงนี้อยากเปลี่ยนรสชาติการเขียนใหม่ ๆ ดูบ้าง ...
เรื่องนี้ เปิดเรื่อง กล่าวถึงการดูงาน และท้ายก็หักมุมมาอย่างน่าชังเลยใช่ไหมครับ
ยินดีต้อนรับกลับบ้านค่ะ พี่เองก็พึ่งเขียนบันทึกเกี่ยวกับการใช้โทรศัพท์มือถือในห้องประชุม ในที่สาธารณะที่มีคนอื่นอยู่ด้วย...เพราะชักจะทนไม่ได้กับคนคุยโทรศัพท์ในห้องประชุม...
เคยครั้งหนึ่งกำลังสัมภาษณ์นักศึกษาอยู่ 3-4 คน มีคนหนึ่งมีโทรศัพท์เข้ามา เขารับมาคุยแบบไม่เกรงใจเราซึ่งเป็นอาจารย์กำลังสัมภาษณ์อยู่ ช่วง 2-3 นาทีแรกก็ทนค่ะ เพราะคิดว่าอาจจะเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย...แต่เป็นคุยเมาท์แตกกันเพื่อน แล้วทำแบบเอามาพูดข้างหน้า เวลาฟังก็เอาไปแนบหู แบบวัยรุ่นเจาะแจะค่ะ.....หลังจากนั้น ว๊ากเลยค่ะ ว่าไม่มีมารยาท หยุดคุยเดี๋ยวนี้...
Panda เมื่อ จ. 27 ก.พ. 2549 @ 13:46 [13218] |
ผมก็ได้แต่หวังว่า ชุมชน MSU KM จะพัฒนาอย่างก้าวกระโดด อย่างที่ ท่านอธิการบดี พูดถึงการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดของ มมส. ในด้านอื่น ๆ ผมยังไม่แน่ใจว่า การใช้เวลาในชั่วโมงทำงานปกติ มาเขียน blog ใน gotoknow.org นี้ ทาง ผู้บริหารจะเห็นเป็นอย่างไร ?
สนับสนุนให้ทำ หรือ ถือว่าเอาเวลาทำงานมาใช้ในเรื่องที่ไม่ถูกต้อง (เบียดบังเวลาราชการมาใช้อ่านและเขียนบันทึกส่วนตัว) เนื่องจากเวลาที่ปรากฏ จะบอกชัดว่าส่งขึ้นเวลาไหนของวัน อย่างผมยังไม่มีคอมพิวเตอร์ของตัวเองใช้ ก็ต้องใช้ของภาควิชาในทุกอย่าง.........
ข้อความข้างบนคือที่ผมบันทึกไว้เมื่อ เริ่มเขียน Blog ได้ไม่นานครับ
เหนื่อยนักพักก่อนจ้า แล้วจะมีแรงสู้ใหม่
ได้พานักศึกษาไปดูงาน ต้องเตรียมหลายเรื่อง กลับมาให้นศ. AAR ก็ดีนะคะ
การเปิดประเด็นเรื่องเวลาราชการ กรณีการเขียนบันทึก ใน gotoknow น่าสนใจ เพราะคิดเหมือนคุณ แผ่นดิน จึงไม่ค่อยใช้เวลาราชการ ยกเว้นวันที่ลา บางคนอาจจะเห็นว่าเครียดไปมั้ง แต่มีหลายคนที่ไม่เห็นประโยชน์ของการเปิดดูบันทึกเพราะเค้าอาจจะมีประสบการณ์ ที่ไม่ O มาก่อน ใครจะรู้บ้างว่า การเปิดอ่านอะไรเล็กน้อย บางทีก็มีกำลังใจไปทำงานต่อได้อีกตั้งเยอะ เนอะ อย่างน้อยก็ดีกว่าไปนินทากันแหละ
ส่วนเรื่องไม่อยู่ในเวลาราชการแล้วอยู่ทำงานนอกเวลา นั้น พึงระวัง เพราะถ้าเป็นงานบริการ เค้าก็จะมาติดต่อในเวลาราชการ บางคนก็เห็นว่าเปลืองไฟหลวง
ตามมาเก็บประเด็นนี้...ทำไมต้องหนาวๆ ร้อนคะ..เดี๋ยวไม่สบายไปจะแย่...ใครจะพึงใจหรือไม่พึงใจ...สุดแล้วแต่...เขียนชัดนี่คะคือมุมคิด...มุมมองของเรา...ทั้งสองอย่างตามชือเรื่องมีกริยาอาการที่ พอเหมาะพอดีได้อยู่แล้ว...
คุณแผ่นดินครับ
ตึงไปหย่อนไปก็ไม่ดีทั้งนั้นนะครับ ผมว่าเราควรดูที่เจตนาอย่างที่หลายๆ คนได้ให้ความคิดเห็นไว้ในบล็อกนี้ เพราะว่าการเขียนบันทึกนั้นก็ไม่ต่างจากการคุยโทรศัพท์ในชั้นเรียน ถ้าทำอย่างไม่คิดให้รอบคอบ
เทอมนี้ผมได้เรียนในชั้นเรียนที่มีผู้บริหารระดับสูงเรียนด้วยหลายท่าน แต่ละท่านก็มีภารกิจรัดตัว ต้องคอยรับโทรศัพท์ คอยแก้ปัญหาที่โรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยของตัวเองแม้จะนั่งในห้องเรียน แบบนี้ อาจารย์ก็ควรเปิดให้เขาได้รับโทรศัพท์ มีครั้งหนึ่งอาจารย์กำลังสอนอย่างออกรส ก็พอดีมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมา ring tone เป็นเสียงเร้าใจ ได้อารมณ์ไม่แพ้บทเรียนที่กำลังสอน อาจารย์ท่านก็ยิ้ม แล้วบอกว่า เออแบบนี้ดี ขอให้ทุกคนตั้ง ring tone แบบนี้นะ จะได้ตื่นเต้น
ถ้าคิดว่ามีประโยชน์กับงานก็เขียนเถอะครับ
ไม่งั้นที่เราอบรมเขียนบล็อกกันอยู่ ก็เป็นเรื่องที่เอาเวลางานมาใช้แบบไม่มีคุณภาพหรือเปล่า?
สวัสดีครับ คุณ
แต่ประทานโทษนะครับ, วันนี้และขณะนี้ ผมลากิจ จึงสามารถมานั่งพร่ำบ่นได้ โดยไม่เกี่ยวกับการนำเอาเวลาราชการมาเขียนบันทึก...
และมาอ่านบันทึกนี้ในเวลาราชการได้ไหมครับ..?
ฮา ๆ เอิก ๆ
ขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการเรื่องของเวลาให้เป็น การเขียนเป็นการพัฒนาทักษะของเรา ขอให้งานออกตามแผนงานของเรา ไม่น่าจะมีผลกระทบอะไร ถ้าจะยกตัวอย่างก็คงไม่จบ คงจะต้องมามองที่ตัวของเราเองว่าเราจัดการบริการเวลาได้โอเคหรือ ยัง วันไหนที่เราเหนื่อยต้องการพักผ่อน เราก็ไม่ต้องบันทึก การที่เรากำหนดเวลาของตนเองมากเกินไปทำให้มีผลกระทบทางจิตใจ ทำแล้วเกิดสุขและสนุกก็โอเค
แต่เรื่องของการเขียนบล๊อกอาจจะต้องพิจารณาร่วมกัน เพราะแต่ละคนมีภาระหน้าที่ที่แตกค่างกัน และต้องการถ่ายทอดออกมา บางครั้งอาจจะไม่สะดวก
ในส่วนตัวของพี่ ที่บ้านพักก็ไม่มีคอมพิวเตอร์ ส่วนมากจะบันทึกในที่ทำงาน แต่พี่จะใช้เวลาที่สงบเงียบ คือ หลังเวลาการทำงานในการเขียนบันทึก
เอาให้เหมาะ ให้พอดี ให้ถูกกาลเทศะ ...ทั้งนี้ขึ้นกับวัฒนธรรมองค์กรครับ จะบังคับเลยก็ไม่ได้ จะยืดหยุ่นมากนักก็ไม่ดี ..ต้องดูจริตเขาด้วยครับ
ขอบคุณครับ
มิติแห่งมุมมองของคนต่างกันมากมาย แต่สิ่งที่เราจะสามารถปรับเปลี่ยนให้มีความสูงทางความคิดของคนได้นั้นคือสิ่งที่พี่สอนผมเสมอๆว่า
เราต้องมีกระบวนการและวิถีความคิดของปัญญาชน
แรกเริ่มเขียนเรื่องนี้ก็สั่นไหว หนาว ๆ ร้อน ๆ อยู่ไม่น้อย แต่เมื่อยืนระยะได้บันทึกนี้ก็มีคุณประโยชน์ต่อผมยิ่งนัก ..มีคนมาทายทักแลกเปลี่ยนและสะกิดเตือนอย่างเป็นมิตร
ผมทำงานในจุดนี้, การจะสอนเด็ก หรือนิสิต จึงเริ่มจากการทำตัวให้เป็นแบบอย่างต่อพวกเขา นี่จึงเป็นการหยิบเอานาฏกรรมเล็ก ๆ ของนิสิตมาเปรียบเปรยกับตัวเองดูบ้าง
แต่สำหรับท่านอื่น ๆ ก้เข้าใจนะครับที่จำต้องเขียนบันทึกในเวลาราชการเนื่องจากข้อจำกัดเรื่องเครื่องไม้เครื่องมือ หรือแม้แต่การพักผ่อน คลายเครียดในช่วงที่งานไม่รัดตัว ...
ทิ้งรอยซะหน่อย อิอิ นอกเวลาราชการนะเนี่ย..
พี่เข้าใจค่ะ ก็ได้แต่พยายามทำให้ดีที่สุด พยายามจัดการเวลาค่ะ
จนบางทีลืมเรื่องที่จะเขียนไปก็มีอ่ะค่ะ จำได้แต่ว่า มีประเด็นอยากเขียน เรื่องนี้ๆๆนะ แต่พอถึงนอกเวลาราชการ ลืมแล้ว อิอิ
ผมเข้าใจสภาวะนี้ของท่านอาจารย์เป็นอย่างดี ... KM มมส ยังคงต้องอาศัยประสบการณ์และพลังทางความคิดจากอาจารย์อีกมาก เสียดายก็แต่ผมยังช่วยเหลือไม่ได้เต็มที่ดังที่ควรจะเป็น....
กรณีที่สายสอนนั้น ผมเห็นว่า มีเวลาว่างอยู่ไม่น้อยและถ้าจะนำเวลานั้นมาเขียนบันทึกก็ไม่เสียหายเลยแม้แต่น้อย เพราะนั่นคือการเรียนรู้และส่งความรู้ไปสู่ตลาดทางปัญญาที่รอการตอบรับและแต่งเติมจากผู้รู้ในแวดวงฯ และท้ายที่สุดก็จะยังสามารถนำมาประมวลไปต่อยอดในห้องเรียนได้อีกต่อไป
...
แต่สำหรับสายสนับสนุน ผมไม่พึงใจที่จะเห็นบุคลากรเล่น Chat ในเวลาราชการอย่างไม่แยแสต่อสำนึกแห่งการให้บริการต่อนิสิต .. ขณะที่นิสิตมายืนติดต่องาน หน้าจอคอมฯ ก็ปรากฏการณ์นาฏกรรมในเรื่องพรรค์นี้อย่างไม่โสภา... อีกทั้งยังคุยกับนิสิตโดยไม่มองหน้า เพราะจับจดอยู่ที่จอคอมฯ
แต่นั่นก็เป็นแต่เพียงส่วนน้อยที่พานพบ...เท่านั้นและผมก็เพียงแต่นำเสี้ยวเล็ก ๆ มาสะท้อนในมุมมองของผม..
ยังไงก็ขอบพระคุณอาจารย์มากครับ !
การโปรยบันทึกนี้ต่อสาธารณะเช่นนี้ ผลพวงทางความคิดผมได้กลับมาเกินคาด ... พบเจอความจำเป็นที่หลากหลายของแต่ละท่าน ... พบเจอสถานะของบล็อกที่มีต่อการสร้างปัญญาและผ่อนคลายความเครียดของแต่ละท่านทั้งในเวลาราการและเวลาอื่น ๆ ได้เป็นอย่างดี
ผมเองก็เปิดอ่านบ้างในเวลาราชการ... แต่ไม่นิยมอ่านนาน และจะเก็บไว้ในแพลนเน็ตเสียก่อนแล้วค่อยไปนั่งอ่านทีหลัง, นั่นเป็นที่มาว่าทำไมแพลนเน็ตผมถึงเยอะปานนั้น
....
ส่วนเรื่องไม่อยู่ในเวลาราชการแล้วอยู่ทำงานนอกเวลา นั้น พึงระวัง เพราะถ้าเป็นงานบริการ เค้าก็จะมาติดต่อในเวลาราชการ บางคนก็เห็นว่าเปลืองไฟหลวง
...
เรื่องนี้ผมเองก็ตระหนักเช่นกัน เพราะแต่ก่อนแทบจะกินนอนบนโต๊ะบนเก้าอี้เลยก็ว่าได้ครับ .. ทุกวันนี้จึงต้องหอบงานกลับมาทำที่บ้านซะส่วนใหญ่...เพราะวัน ๆ ต้องประชุม, เซ็นแฟ้ม เวลางานที่ตนต้องรับผิดชอบตรง ๆ นั้น แทบไม่มีเวลาจัดการเอาซะเลยครับ
...
เข้าใจว่า ตอนนี้คงอยู่ที่ งาน UKM แล้ว...
....
ตามมาเก็บประเด็นนี้...ทำไมต้องหนาวๆ ร้อนคะ..เดี๋ยวไม่สบายไปจะแย่...ใครจะพึงใจหรือไม่พึงใจ...สุดแล้วแต่...เขียนชัดนี่คะคือมุมคิด...มุมมองของเรา...ทั้งสองอย่างตามชือเรื่องมีกริยาอาการที่ พอเหมาะพอดีได้อยู่แล้ว...
....
ขอบพระคุณครับ...
ถ้าคิดว่ามีประโยชน์กับงานก็เขียนเถอะครับ
ไม่งั้นที่เราอบรมเขียนบล็อกกันอยู่ ก็เป็นเรื่องที่เอาเวลางานมาใช้แบบไม่มีคุณภาพหรือเปล่า?
...
ทัศนะข้างต้น ชัดเจนและหนักแน่นมาก ..ผมเองก็ถึงกลับอึ้งไปนานเลยทีเดียวเหมือนกัน
พยายามใช้เวลาราชการน้อยสุดค่ะ ส่วนใหญ่ใช้เวลาหลังทานข้าวเที่ยง แต่ละบันทึกมักเขียนไว้ก่อน แล้วมานำเสนอค่ะ แต่พี่ไม่ได้ใช้เวลาราชการธุรกิจอื่นใด
...
ผมเองก็เป็นอยู่เช่นเดียวกัน...นะครับ
ได้ข่าวว่า จากไอ้ตรีว่า มมส จะมาดูงานแถว ชลบุรี
ก็เลยจะแอบไปด้วยครับ แต่เข้ากะ ลืมคืนลืมวันไปเลย
เสียดายครับ
ขออภัยที่แวะมาตอบช้าและช้ามาก