ไวรัสทางความรู้ (Knowledge Virus)


เชื้อโรคทางความรู้ จึงกลายเป็น "ไวรัส" ที่แพร่กระจายได้ทั้งแบบคนสู่คน อากาศสู่คน ทุกสิ่ง ทุกอย่าง ทุกกิจกรรมในสังคมสามารถแพร่กระจายไวรัสได้

ในปัจจุบันเราปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ผู้ที่ควบคุมเกมส์ของความรู้ภายในสังคมนั้นคือ "นักธุรกิจ" หรือบางคนอาจจะบอกว่า ความรู้นั้นอยู่ในมือของนักสื่อสาร หรือ "สื่อสารมวลชน" แต่จุดมุ่งหมายของการทำงานด้านการสื่อสารนั้นก็มุ่งเพื่อตอบสนองผลประโยชน์ทางธุรกิจนั้นก็คือ "เงิน" นั่นเอง

ดังนั้นความรู้ในปัจจุบันจึงคือว่าเป็น "ความเชื้อที่ติดเชื้อโรค" คือ เป็นความรู้ที่อิงด้วยผลประโยชน์แทบทั้งสิ้น ผู้ที่สื่อ "สาร" ออกมานั้นมีจุดมุ่งหมายเพื่อที่ให้เรา "รู้" ในสิ่งที่เขาต้องการ และ "ไม่รู้" ในสิ่งที่เขาไม่ต้องการ

ถ้าเขาต้องการที่จะขายสิ่งใดเขาก็จะให้เรารู้ถึงสิ่งนั้นทั้งคุณประโยชน์หลักและคุณสมบัติประกอบ แต่เขาจะไม่บอกเราทั้งหมด ถ้าสิ่งใดเขาบอกเรา หรือถ้าเรารู้แล้วทำให้สิ่งที่เขากำลังจะเสนอขายกับเรานั้นเกิดความ "ด้อย" หรือคุณภาพตกต่ำลงเขาคงจะไม่อยากให้เรารู้

ยกตัวอย่างเช่น อาหารเสริม หรือวิตามินต่าง ๆ นักการตลาดก็จะพยายามหาช่องทางเล่นอยู่กับวิตามินตัวแปลก ๆ หรือส่วนประกอบของยาตัวใหม่ ๆ อยู่เสมอ ซึ่งเมื่อก่อนสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ก็มีประกอบอยู่ในอาหารเพียงพออยู่แล้ว แต่นักการตลาดหรือนักธุรกิจมองว่าสามารถทำโปรโมชั่น หรือสร้างกระแสให้คนนิยมยาตัวนี้ โดยเริ่มต้นไปที่ให้ความรู้ว่า ร่างกายเราประกอบด้วยแร่ธาตุอะไรบ้าง ให้ความรู้ต่อว่าถ้าร่างกายขาดแร่ธาตุตัวนี้จะเป็นอย่างไร และถ้าเราได้รับแร่ธาตุตัวนี้ร่างกายจะดีอย่างไรบ้าง สุดท้ายแล้วเขาก็ให้ความรู้กับเราว่า "เรามีผลิตภัณฑ์แบบนี้ขายนะ"

แต่เขาจะไม่บอกโดยละเอียดว่าหรือบอกแบบ "แอบ ๆ" โดยเขียนข้าง ๆ อวดว่า ควรได้รับในปริมาณที่เหมาะสม หรือว่า ควรได้รับสารอาหารจากการบริโภคอาหารตามปกติอาทิเช่น วิตามินซี ที่มีวางขายอยู่เกลื่อนท้องตลาด มีทั้งเม็ดเล็ก เม็ดใหญ่ มีทั้งถูก ทั้งแพง ใครทำการตลาดมากหน่อย ทำขวดดีหน่อยก็แพงหน่อย

หรือพวกแคลเซียม พวกขายนมก็บอกว่าดื่มนมดี พวกขายแคลเซียมแบบหลอดเป็นเม็ดใส่น้ำ ก็บอกว่าแบบนี้ดี ตกลงว่า เราก็กินทั้งนม กินน้ำแคลเซียมเม็ด แต่ไม่กินผักก็เขาบอกว่าผัก "สกปรก" มียาฆ่าแมลงเยอะ... เขาบอกเราว่าผักมียาฆ่าแมลงอย่างโจ้งแจ้ง แต่ก็ปกปิดเรื่องการได้รับแร่ธาตุเข้าสู่ร่างกายในปริมาณมากเกินไปที่จะมีผลประโยชน์ต่อตับ

อันนี้ยังไม่ต้องพูดถึงระบบยาหลัก หรือยาที่ใช้รักษาโรคโดยตรง ซึ่งจะมีตัวแทนจำหน่ายหรือเซลล์เข้าไปติดต่อให้ความรู้กับผู้ที่มีส่วนในการตัดสินใจซื้อยาชนิดนั้นโดยตรงถึงโรงพยาบาล ในส่วนของเครื่องมือแพทย์ก็เช่นเดียวกัน มีการจัดโปรโมชั่นให้เอาเครื่องราคาแพงไปตั้งไว้ก่อน แต่ผูกมัดด้วยการซื้อน้ำยาหรือสารเคมีในการตรวจกับเขา โดยทั้งหมดนั้นเขาก็จะบอกว่าเครื่องมือนี้ดี จำเป็นต้องการรักษา หรือเขาอาจจะวางแผนไว้ตั้งแต่การสร้างความรู้ไว้ตั้งแต่ในระดับสถานศึกษาแล้ว พอมาถึงในส่วนของโรงพยาบาลก็ทำให้ขายง่าย เพราะเขาวางรากฐานไว้ตั้งแต่ในมหาวิทยาลัย

นักธุรกิจนั้นผูกพันธ์กับการเมืองอย่างแยกไม่ออก ปัจจุบันข้าราชการประจำในกระทรวง ทบวง กรม อิงการเมืองกันมากโดยเฉพาะการเลื่อนขั้น เลื่อนตำแหน่ง ดังนั้นการกำหนดนโยบายต่าง ๆ มักจะ "ปนเปื้อน" ด้วยความรู้ของนักธุรกิจ ซึ่งไม่เว้นการกำหนดหลักสูตรทางด้านการศึกษา

นักธุรกิจสามารถควบคุมหลักสูตรความรู้ได้ทั้งในตลาดและในภาคบริหารของประเทศ

ดังนั้นการกำหนดหลักสูตรความรู้ว่าสิ่งใดจำเป็นต้องใช้ สิ่งใดไม่จำเป็นต้องใช้ จึงถูกควบคุมไว้โดยนักธุรกิจแทบทั้งหมด

"เชื้อโรคทางความรู้" นี้กำลังระบาดไปในทุกภาคส่วนที่บริโภคความรู้กันทั้งวัน ทั้งคืน เป็นเชื้อโรคที่ทำลายระบบสมองถึงขั้น "ล้างสมอง" เพื่อที่จะควักเงินซื้อสิ่งที่เขาเสนอขายตามกระบวนการทางความรู้ที่เขาออกแบบไว้นั้น

นักธุรกิจในปัจจุบันนั้นฉลาด เขารู้ว่าควรจะโจมตีใครด้วยความรู้ด้านใด ด้วยสื่ออะไร และใช้ใครเป็นผู้อ้างอิง 

เชื้อโรคทางความรู้ จึงกลายเป็น "ไวรัส" ที่แพร่กระจายได้ทั้งแบบคนสู่คน อากาศสู่คน ทุกสิ่ง ทุกอย่าง ทุกกิจกรรมในสังคมสามารถแพร่กระจายไวรัสได้

สำหรับแอนตี้บอดี้ ที่จะมายับยั้งเชื้อไวรัสนี้ก็ได้แก่ "การวิจัย (research)" ทั้งที่เป็นทางการ โดยเฉพาะแบบที่เนียนเข้าไปในชีวิตประจำวัน

การวิจัยที่ "โปร่งใส" สามารถทำให้เรารู้ถึงความจริงเกี่ยวกับความรู้ในสินค้าหรือวัสดุเหล่านั้น แต่ที่สำคัญวันนี้นักวิจัย หรือผู้ที่ทำการวิจัย "ติดไวรัส" แล้วหรือไม่ เพราะถ้าติดไวรัสแล้ว ฐานในการทำงาน มูลเหตุในการตัดสินใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลที่วิเคราะห์ออกมานั้นก็ย่อมไม่ Clean

ดังนั้น นักวิชาการซึ่งควรจะเป็นหัวหอกหรือผู้นำในการสร้างแอนตี้บอดี้เพื่อต่อต้าน "ไวรันทางความรู้" เหล่านี้ ควรจะสร้างรักษาโรคของตัวเองให้หายดีเสียก่อน

การรักษาโรคทางความรู้นี้ สามารถทำได้โดยการทำ R2R (Research to Routine) และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การทำวิจัยในทุกย่างก้าวของชีวิต

นักวิชาการจะต้องยึดหลัก "กาลามสูตร" ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ให้ดีอย่างขึ้นใจ ต้องมีความกล้าหาญ ฟันฝ่ากำแพงทางความรู้จากผู้รู้ทั้งหลาย เพื่อที่จะยืนหยัดสู้และอยู่ด้วยความรู้ของตนเอง


ที่มาจากบันทึก Re-check ความรู้

คำสำคัญ (Tags): #knowledge virus#กาลามสูตร
หมายเลขบันทึก: 340033เขียนเมื่อ 26 กุมภาพันธ์ 2010 06:34 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 22:30 น. ()สัญญาอนุญาต: ไม่สงวนสิทธิ์ใดๆจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (5)

กาลามสูตร

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี http://th.wikipedia.org/

ระวังสับสนกับ กามคุณ หรือ กามสูตร
กาลามสูตร แปลว่า พระสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่ชาวกาลามะ หมู่บ้านเกสปุตติยนิคม แคว้นโกศล (เรียกว่า เกสปุตสูตร ก็มี) กาลามสูตรเป็นหลักแห่งความเชื่อที่พระพุทธองค์ทรงวางไว้ให้แก่พุทธศาสนิกชน ไม่ให้เชื่อสิ่งใด ๆ อย่างงมงายโดยไม่ใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นจริงถึงคุณโทษหรือดีไม่ดีก่อนเชื่อ มีอยู่ 10 ประการคือ

1.อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ฟังๆ กันมา
2.อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ทำต่อๆ กันมา
3.อย่าเพิ่งเชื่อตามคำเล่าลือ
4.อย่าเพิ่งเชื่อโดยอ้างตำรา
5.อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกเดา
6.อย่าเพิ่งเชื่อโดยคาดคะเนเอา
7.อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกคิดตามแนวเหตุผล
8.อย่าเพิ่งเชื่อเพราะถูกกับทฤษฎีของตน
9.อย่าเพิ่งเชื่อเพราะมีรูปลักษณ์ที่ควรเชื่อได้
10. อย่าเพิ่งเชื่อเพราะผู้พูดเป็นครูบาอาจารย์ของตน

เมื่อใด ท่านทั้งหลายพึงรู้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านี้เป็นกุศล
ธรรมเหล่านี้ไม่มีโทษ ธรรมเหล่านี้ท่านผู้รู้สรรเสริญ
ธรรมเหล่านี้ใครสมาทานให้บริบูรณ์แล้ว เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข
เมื่อนั้น ท่านทั้งหลายควรเข้าถึงธรรมเหล่านั้นอยู่
ปัจจุบันแนวคิดและหลักสูตรที่สอนให้คนมีเหตุผลไม่หลงเชื่องมงาย ในทำนองเดียวกับคำสอนของพระพุทธองค์เมื่อ 2500 ปีก่อนได้รับการบรรจุเป็นวิชาบังคับว่าด้วยการสร้างทักษะการคิดหรือที่เรียกว่า "การคิดเชิงวิจารณ์" (Critical thinking) ไว้ในกระบวนการเรียนรู้ในมหาวิทยาลัยของประเทศพัฒนาแล้ว

ตอนนี้สังคมไทยกำลังเจอไวรัสทางความรู้ของเกาหลีโจมตีอย่างหนัก

ความรู้ที่แฝงมากับสื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "ศิลปิน" นั้น สามารถโจมตีค่านิยมทางชีวิตให้ผิดเพี้ยนและ "เดี้ยง" ไป

เพราะไม่เฉพาะความหลงไหลคลั่งไคล้ในตัวศิลปินเท่านั้น สิ่งใดที่ศิลปินทำ ซึ่งถูกสอดแทรกมากับ "การค้า" หรือ "ธุรกิจเกี่ยวเนื่อง" นั้นกำลังทำลายภูมิคุ้มกันทางวัฒนธรรม

อาทิ เทรนในเรื่อง "ศัลยกรรมตกแต่ง" ที่ตอนนี้กำลังกลายเป็นเรื่องที่สามารถทำรายได้ให้กับธุรกิจการแพทย์ทั้งในเมืองไทยและต่างประเทศ

มีเพื่อนผมหลาย ๆ คนซึ่งแต่เดิมเคยเป็นแพทย์เฉพาะทางทั้งด้านอายุกรรม และในสาขาอื่น ๆ ต่างก็หันเหชีวิตเข้าไปทำงานในสาขา "ศัลยกรรม" กันเป็นจำนวนมาก

คนเราเดี๋ยวนี้ถูกสั่ง ถูกสอนให้รู้ว่า "เงิน" คือพระเจ้า เงิน คือทั้งหมดของชีวิต ความรู้แบบนี้ถูกสร้างมาตั้งแต่เกิดระบบการพัฒนาเศรษฐกิจครั้นสมัยปู่ ย่า ตา ยาย

เด็ก ๆ เดี๋ยวนี้เลยมีความรู้หลักของชีวิตว่า "จบมาเพื่อหาเงิน" แล้วรู้ต่อไปว่างานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข...

เงินเท่านั้นที่จะแลกมาซึ่งความสุข ความสุขอื่นใดเปรียบเสมอด้วยเงินนั้นไม่มี ความรู้ในสังคมนี้เป็นอย่างนั้น...!!!

ขอบพระคุณสำหรับข้อมูลในการต้านไวรัสทางความรู้ค่ะ คนสมัยนี้ต้องมีภูมิคุ้มกันหลายอย่างทีเดียวเพราะข้อมูลข่าวสารมีเข้ามามากเหลือเกินค่ะ

ผู้ที่ควบคุมเกมส์ของความรู้ภายในสังคมนั้นคือ "นักธุรกิจ"

ผมขออนุญาต มองว่า มิติทางสังคมและช่องทางมีมากกว่าที่ธุรกิจจะสามารถคุมเกมส์ได้ อย่างกรณี GT 200 หรือ กรณีนาธาน โอมาน และ อื่นๆ อีกมากมาย ธุรกิจอย่าง กลุ่มพวกค้าสงคราม หรือ ค่ายเพลง ก็ไม่สามารถคุม New Media และ Social Network ได้

จริงอยู่แม้ภาคธุรกิจจะมีเจตนาพยายามดังบทความนี้ แต่ถ้าใช้คำว่า ควบคุมเกมส์ความรู้ภายในสังคม

ผมมองด้วยความเคารพว่า ยังไม่ถึงจุดนั้นครับ

ความรู้ใดที่มีจุดกำเนิด กระบวนการ และเป้าหมายเกี่ยวข้องอยู่กับผลประโยชน์ที่เกี่ยวข้องด้วยเงินท้งในทางตรงและทางอ้อมนั้น ย่อมจะทำให้จิตใจของบุคคลนั้นกลายเป็น "นักธุรกิจ" ไปโดยปริยาย

นักธุรกิจที่บุคคลผู้ที่คิดถึงเรื่องกำไรและขาดทุนจากการลงทุนทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจ

นักธุรกิจย่อมหวังที่แต่จะได้กำไรอยู่เสมอ หวังที่จะได้เปรียบและปฏิเสธการเสียเปรียบในทุกกรณี

ด้วยเหตุนี้เอง การจะให้ความรู้ใด ๆ แก่ใครจึงต้องอยู่บนพื้นฐานของกำไรและความได้เปรียบอยู่เสมอ

ยุคที่กำลังช่วงชิงผลประโยชน์ในการสื่อสารนี้ ความรู้นั้นคืออาวุธที่ทรงพลังเหนือกว่าปืนหรือลูกระเบิดใด ๆ

นักธุรกิจที่แฝงตัวอยู่ในคราบนักการเมือง หรือข้าราชการการเมืองที่มีหัวใจเป็นนักธุรกิจจึงป้อน คลาย ความรู้ออกมาในรูปของข่าวสารโดยมุ่งหวังที่จะช่วงชิงผลประโยชน์จากสังคมและกลุ่มคนอยู่เสมอ

การที่คนเราถูกอัดความรู้ซ้ำแล้ว ซ้ำอีกนั้น สามารถทำให้รู้สึกได้ว่าความรู้ที่ผิดนั้นกลายเป็นความรู้ที่ธรรมดาและถูกต้องขึ้นมาได้

บุคคลที่ให้ความรู้แก่เรานั้น เราเชื่อถือได้มากน้อยเพียงใดว่า เขาปลอดจาก "ไวรัส" ที่ถูกนักธุรกิจการศึกษาบ่มเพาะ อบรมมาจากรุ่นสู่รุ่น

มิหนำซ้ำ การที่มหาต้องเลี้ยงดูตนเอง การหาข้าว หาน้ำ หาปัจจัยเพื่อให้มหาวิทยาลัยดำรงอยู่ได้ จึงไม่ต่างอะไรกับธุรกิจที่ต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด

ความรู้ในมหาวิทยาลัยในปัจจุบันนั้น จึงเป็นคำถามสำหรับสังคมว่า ความรู้นั้นสะอาด ปราศจากไวรัสที่ปนเปื้อนด้วยผลประโยชน์จริงหรือไม่

เมื่อใดบุคคลที่ต้องการเอาชีวิตรอดแล้ว หากบุคคลนั้น หรือกลุ่มบุคคลนั้น ไร้ศีล ขาดธรรม น้อมนำชีวิตแต่ในแนวทาง "ประชาธิปไตย" แล้ว บุคคลนั้นย่อมใช้อำนาจเสียงข้างมาก ดิ้นรน แสวงหาเพื่อที่จะได้มาซึ่งความอยู่รอดของตน ถึงแม้นว่าจะต้องเหยียบย่ำศักดิ์ศรี ค่านิยม และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง "จรรยาบรรณ" ของตน ก็สามารถป้อนความรู้ที่ผิดแก่สังคมที่ชื่อว่า "อุดมศึกษา" ให้ผิดเพี้ยนและหลงทางไปก็ได้

ไวรัสตัวนี้จึงเป็น "ไวรัสที่ซับซ้อน" สะสม หมักหมม อยู่ในทุกวงการ

องค์กรใดมีงบประมาณ หรือต้องข้องเกี่ยวด้วยเงิน องค์กรนั้นย่อมมีอาหารสำหรับการเจริญเติบโตของไวรัสตัวนี้

วันนี้องค์กรในระดับล่างสุดคือ ครอบครัวของเรา กำลังติดไวรัสตัวนี้หรือไม่ และองค์กรขนาดใหญ่ในสังคมไทย กำลังระงมด้วยโรคจากไวรัสทางความรู้ตัวนี้แค่ไหน คนไทยจักต้องติดตามและแก้ไขอย่างทันท่วงที

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท