น้องอ้อมนำให้ผู้เข้าสัมมนาได้ลองวิเคราะห์เรื่อง คุณค่า/คุณประโยชน์ ในการนำ OM ไปใช้ในแผนงาน/โครงการต่างๆ และให้พิจารณาว่า OM ช่วย/ไม่ช่วย เหมาะ/ไม่เหมาะ ในงานนั้นอย่างไร
คราวนี้ ใช้วิธีแบ่งเป็น ๔ กลุ่มคละโครงการกัน ก่อนจะให้มานำเสนอในกลุ่มใหญ่พร้อมทั้งยกตัวอย่างเป็นกรณีประกอบ
โปรดสังเกตนะครับว่า พอเข้าวันที่สอง ก็ ทำงานในแนวราบ มากขึ้น
ความเห็นจากวิทยากรและผู้เข้าร่วม
ภาพรวม
- OM ควรเป็นโครงการระยะยาวระดับหนึ่ง ที่ต้องการ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่ยั่งยืน ของคน งานด้านสังคม งานสาธารณะ ไม่เหมาะกับงานสั้นๆ งานธุรกิจที่มีความแข่งขันทางการค้า งานที่ผู้บริหารโครงการเป็น direct partner เสียเอง
- แผนงานที่มีกลุ่มเป้าหมายเล็กๆ ไม่เป็นทางการ จะมีโอกาสประสบความสำเร็จได้มากกว่า แผนงานที่โครงสร้างซับซ้อน เป็นทางการสูง
- OM ทำให้การวางแผนง่าย ชัดเจน เป็นขั้นเป็นตอน เป็นรูปธรรม เกิดการมีส่วนร่วมสูง
- OM ทำให้เกิดการเรียนรู้ มีการถ่ายทอดและจัดการความรู้ เป็น KM
Vision/ mission
- การมีหน่วยงานที่เป็นคู่แข่งกัน อาจทำให้มีฝันร่วมยาก เช่น งานร้านอาหาร หรืองานลดเหล้าในพื้นที่ที่บริษัทสุราทุนสูงต้องการเจาะตลาด
Partners
- OM ทำให้มองผู้เกี่ยวข้องชัดเจนขึ้น ว่าใครเป็น direct partner หรือ strategic partner จึงทำให้สามารถกำหนด คนหลัก การทำงานมีประสิทธิภาพและตรงเป้า
- การให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง direct partner มีส่วนร่วมในกระบวนการต่างๆตั้งแต่เริ่มต้น จะทำให้ประสบความสำเร็จง่ายขึ้น
- การมองคู่แข่งเป็น strategic partner เช่น งานลดเหล้า จะสามารถมองบริษัทสุราเป็น strategic partner ได้หรือไม่ เลือกใช้ยุทธศาสตร์ที่ไม่กระทบ outcome หลัก ไม่ได้บอกให้เลิกดื่ม ใช้คำว่าลด ไม่ใช่งด เลือกรณรงค์ฉพาะบางเทศกาลที่มีปัญหามาก เช่น แข่งเรือ เท่านั้น
- ถ้าเลือกเจาะกลุ่ม direct partner ได้ถูกกลุ่ม เลือกกิจกรรมที่เหมาะสม จะประสบความสำเร็จยั่งยืน เช่น เครือข่ายเยาวชนรักษ์ลุ่มน้ำปิง
- ถ้ามี direct partner หลายกลุ่ม จะทำให้ทำงานยาก เช่น เดิมงานลุ่มน้ำปิง มีหลาย direct partner ต่อมาจึงเน้นเฉพาะเยาวชน งานลดเหล้าแข่งเรือน่าน ลดเหลือเฉพาะ กลุ่มเรือแข่ง จึงควรกำหนด direct partner ให้ชัดเจน
Progress markers
- การที่ direct partners แต่ละกลุ่มมีต้นทุนแตกต่างกัน การซอย outcome challenges เป็นเป้าหมายย่อยๆหรือ progress markers จะทำให้แต่ละ direct partner สามารถมองเห็นความสำเร็จของตนเอง หากไม่ไปเปรียบเทียบกับคนอื่น
- แต่ถ้ามีการนำมาเปรียบเทียบกันแบบ benchmarking direct partner ที่ต้นทุนเริ่มต้นต่ำกว่า อาจหมดกำลังใจแล้วถอนตัว เช่น โครงการของโรงเรียนแพทย์ ร้านอาหารที่มีหลายระดับมาก อาจจำเป็นต้องเขียน progress marker แยกกลุ่มกัน
การประเมินผล
- OM ทำให้การติดตามประเมินผลมีทิศทางและติดตามง่ายขึ้น เข้าใจตรงกัน เช่น งาน Usablelabs หรือ งานตรวจสอบภายในของกลุ่มโรงเรียนแพทย์
- OM ทำให้การวัดผลมีความยืดหยุ่น สามารถปรับได้ตลอด
แผนงานโรงเรียนแพทย์สร้างเสริมสุขภาพ และเครือข่าย palliative care ในโรงเรียนแพทย์
คุณค่า/คูุณประโยชน์
- OM มีคุณประโยชน์ในฐานะที่เป็นเครื่องมือ ซึ่งนอกจากจะใช้ในการวางแผนอย่างรอบคอบ ประเมินผลได้อย่างมีทิศทางแล้ว ยังช่วยให้เกิดการเรียนรู้ได้ตลอดกระบวนการ จึงเหมาะสมกับแผนงาน/โครงการในองค์กรแห่งการเรียนรู้ อย่างสถาบันการศึกษามาก
เหมาะ/ไม่เหมาะ
- OM เหมาะกับแผนงาน/โครงการลักษณะนี้ ที่มุ่งเป้าเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของคนในองค์กร แต่จำเป็นต้องใช้เวลา ระยะเวลา ๓ ปีในแผนงานระยะ ๔ ซึ่งเครือข่าย palliative care ในโรงเรียนแพทย์เพิ่งเข้าร่วมเป็นครั้งแรก อาจเกิดผลลัพธ์ที่ไม่ชัดเจน แต่สามารถหวังผลเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและความสัมพันธ์ในกลุ่มเป้าหมายหลักได้ บ้างแล้ว
- แผนงานที่มีโครงสร้างซับซ้อนประกอบด้วยโครงการย่อยหลายโครงการลักษณะนี้ การใช้ OM วางแผน จะต้องกำหนด direct partner stragetic partner และ progress markers ในแต่ละส่วนของแผนงานให้ชัดเจน เนื่องจากกลุ่มคนเดียวกัน อาจเป็นได้ทั้งสองอย่าง
- การกำหนด direct partner ในแผนงานโรงเรียนแพทย์สร้างเสริมสุขภาพ เป็นผู้บริหารในแต่ละโรงเรียนแพทย์ อาจไม่เหมาะ เนื่องจาก ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมได้ง่าย
- แผนงานลักษณะนี้เ กิดขึ้นจากกลุ่มคณะทำงาน มีความเป็นทางการและเป็นนักวิชาการสูง ไม่ได้เกิดขึ้นตามธรรมชาติ การขับเคลื่อนกิจกรรมจะมีอุปสรรค และดำเนินงานได้ช้ากว่าโครงการที่เกิดขึ้นจากความต้องการของ direct partner เอง
ช่วย/ ไม่ช่วย
- OM ที่มี progress marker เป็นความสำเร็จย่อยๆหลายระดับ จะช่วยให้ direct partner ที่มีต้นทุนเริ่มต้นต่างกัน เห็นการพัฒนาในแผนงานของตนเองได้ชัดเจน แต่ถ้าเกิดการเปรียบเทียบ ก็อาจทำให้หมดกำลังใจ ถอนตัว
- OM ทำให้การติดตามประเมินผลมีทิศทางและติดตามง่ายขึ้น เข้าใจตรงกัน ทั้งผู้ติดตามประเมิน และผู้ถูกประเมิน
ภาพทั้งหมดในบันทึกชุดนี้ได้จากกล้องของพี่ปุ๋ย..นพ.กอปรชุษณ์ ตยัคคานนท์ กับทีมงาน สคส. (สถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม)