Gotoknow Forum 2009 (6): Life Review, Reviewed Life


Life Review, Reviewed Life

อ่านบทความของคุณแผ่นดิน  เรื่องจดหมายเหตุชีวิตแล้ว เกิดแรงบันดาลใจ ทำให้ตอนแรกที่จะจบ series Forum 1 นี้ไปแล้ว ก็ต้องขอเติมอีกหน่อยนึงให้แก่ตนเอง และแก่กัลยาณมิตรที่ "บังเอิญ" ถูกส่งมาอ่านโดยใครก็ไม่รู้

การบันทึกขีดเขียนเป็นพฤติกรรมอีกประการหนึ่งของ species เราที่ค่อนข้าง unique ทีเดียว ในขณะที่เรามีความทรงจำเหลือเฟือที่จะจดจำอะไรที่สำคัญต่อเรา (รวมทั้งบางอย่างที่ไม่ค่อยสำคัญก็ยังจำ) แต่มนุษย์มีความสามารถพิเศษเพิ่มเติมที่จะ "ต่อยอด" ออกไปนอกปัจเจกด้วยวิธีที่ทรงประสิทธิภาพมาก คือการจดบันทึกนี่เอง สัตว์ต่างๆนั้นไม่ต้องสงสัยว่าจะถ่ายทอด skill ทักษะ ความรู้ ต่่างๆเชิงปฏิบัติตรง สอนลูกเสือให้ล่า สอนลูกกวางให้หนี สอนหมาจ้ิงจอกให้ด้อมๆมองๆ สอนหมาให้จงรัก สอนแมวให้ขี้อ้อน ฯลฯ แต่นั่นเป็น direct transfer มีข้อดีที่เป็นประสบการณ์ตรง ความสัมพันธ์ตรง แต่เมื่อเปรียบเทียบ "ความเร็ว และการขยายตัว" ขององค์ความรู้แล้ว การจดบันทึกของเผ่าพันธุ์มนุษย์เป็นอะไรที่ถีบ species ของเราขึ้นโดดเด่นอย่างมหาศาล

เพราะ "ความจริง" ในมุมมองต่างๆได้ถูกสังเกต สังเกต สังเกต ไม่ว่าจะเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ ทางเคมี ฟิสิกส์ ชีวะ การแพทย์ การเมือง สังคม จิต วิญญาณ ทั้งหมดจดบันทึกกลายเป็นศาสตร์ (คือ การ "รวบรวม" ความรู้ที่กระจัดกระจายมาอยู่เป็นหมวดหมู่ ลำดับ ชัดเจน) เป็นมรดกตกทอดไปได้ไกลเกินกว่าที่ biological tissue อย่างสมอง จะสามารถส่งถ่ายต่อๆไปได้

ลูกเต๋าลูกหนึ่ง ถูกมองแต่ละครั้งอย่างมากก็เห็น 3 จาก 6 ด้าน รูปทรงเรขาคณิตมักจะเป็นแบบนี้ คือเห็นได้เพียงแค่ครึ่งเดียวจากมุมมองมุมหนึ่ง ยิ่งถ้าไม่ใช่รูปเรขาคณิต แต่เป็นอะไรที่ตามธรรมชาติ เราจะยิ่งเห็นน่้อยลงจากเดิมจากหนึ่งมุม เพราะ dimension ที่แท้จริงตามธรรมชาตินั้น เน้นการเปลี่ยนแปลงและการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลง (อี้จิง) เรื่องราวหนึ่งๆ ถ้าได้ถูกสะท้อนมาจากเสียงภายในและประสบการณ์ที่แตกต่างของคนหลายๆคน ก็จะต่อเติมมิติ สีสัน ความหมาย และความสำคัญของเรื่องราวนั้นๆได้อย่างมากมาย

Day 15: "A roll of dice" โดย Michael Shakes

blog เป็น facility อีกแบบหนึ่งที่มีศักยภาพในการบูรณาการความรู้ มุมมอง ที่แตกต่างจากหลายๆประสบการณ์มาถ่ายทอดแลกเปลี่ยนเติมเต็มให้แก่เรื่องราวหนึ่งๆ จนบางทีเราจะทึ่งเมื่อมิติของมุมมองที่ออกนอกทะลุบริบททางเคมี ชีวะ ฟิสิกส์ ยังมีมิติด้านการรับรู้ ความรู้สึก วัฒนธรรม สังคม จิตวิญญาณ ที่สามารถปรุงแต่งให้ความหมายและก่อให้เกิดปัญญาขุมใหม่ ที่แตกต่างไปจากเดิมได้อย่างสิ้่นเชิง

คำ "ศักยภาพ" นั้น มีนัยยะว่า "สามารถกระทำได้" เท่านั้น ยังไม่ได้เกิดผลอะไรเป็นรูปธรรม

เมื่อพิจารณาจากขนบธรรมเนียม วัฒนธรรม ประเพณี ประวัติศาสตร์ ของมนุษยชาติ เราจะเห็นความสำคัญของการ "มีบันทึก" ไปจนกระทั่งมี "บันทึก" เกี่ยวกับ "การทำลายบันทึก" โดยผู้ที่มองเห็นความสำคัญและอิทธิพลของบันทึก (แต่ short-sighted ที่คิดว่าการทำลายบันทึกนั้น จะไม่ได้ถูกบันทึกไว้เหมือนกัน) ซ่้ำแล้วซ้ำอีก หรืออาจจะมาในรูปแบบของการ ban การ censor ไม่ให้บันทึก (ซึ่งก็จะมีการบันทึกไว้อีกเช่นกัน ว่ามีคนพยายามจะ ban หรือ censor การจดบันทึก) ดังนั้นพฤติกรรมจดบันทึกของ species เรานั้น unique มากๆจนผมอดไม่ได้ที่จะจินตนาการไปว่า เราน่าจะมี gene การจดบันทึกเป็นรากฐานของ species เราเลยทีเดียว

Barcelona Sunset โดย MorBCN

ไม่เพียงแค่ประโยชน์ต่อสังคม แต่การจดบันทึกยังเป็นประโยชน์ต่อปัจเจกผู้จดบันทึกเอง ตั้งแต่การเป็นบันทึกช่วยจำ บันทึกช่วยเรียบเรียงความคิด จินตนการ การสร้างสรรค์ เพราะในแต่ละนาที คนเราสามารถมี flash of imagination ประกายจินตนาการได้เป็นร้อยๆเรื่อง บางเรื่องอาจจะมีผลเปลี่ยนชีวิตเปลี่ยนโลก เปลี่ยนจักรวาลได้เสียด้วยซ้ำไป ถ้ามีคนนำไปสานต่อ ใคร่ครวญต่อ คิดต่อ บาง flash of ideas อาจจะกลายเป็นทุนทรัพย์ กลายเป็นศาสนา กลายเป็นอำนาจ

กลายเป็นวิถีแห่งความสงบ สันติ ตื่นรู้.....

ความสามารถในการรับรู้ และความเร็วที่สมองสามารถ compute ใคร่ครวญไตร่ตรองนั้นมหาศาลจนแม้แต่คอมพิวเตอร์ที่เร็วที่สุดในโลกในขณะนี้ก็ยังไม่สามารถ workout ออกมาได้ว่า intuition, creative ideas หรือ inspiration ของสมองมนุษย์ ใจมนุษย์นั้นมาจากไหน เรานำเอาเมตตา กรุณา ความรัก มาใช้อย่างไร มันงอกงาม มันหดเหี่ยว มันมีภูมิคุ้มกัน หรือมันนำไปสู่การทำลายล้าง (ถึงกระทั่ง extermination ของ species ตนเองก็ได้) ได้อย่างไร

การทบทวนชีวิต (Life review)

จึงเป็นการที่นำเอาประสบการณ์ของเรามาใคร่ครวญ shot by shot อีกครั้ง เป็นการขยายปรัตยุบันกาลเพื่อที่จะชะลอความเร็วและอยู่กับสิ่งต่างๆที่กำลังเกิดขึ้นให้มากที่สุด มองเห็นความผิดพลาด เห็นแรงบันดาลใจ สิ่งกระตุ้น สิ่งที่เราชอบ เราเกลียด สิ่งที่ทำให้เราสำเร็จหรือผิดหวัง สิ่งที่ทำให้เรามีความสุข ทุกข์ สงบ กระวนกระวาย การทบทวนชีวิตทำให้เราได้ "ใช้ชีวิต" จริงๆ มากไปกว่าการนั่งมองสิ่งต่างๆผ่านไปนอกหน้าต่างรถไฟหัวกระสุน ที่พอถึงสถานีปลายทางแล้ว ถามว่าเห็นอะไรบ้าง ก็ตอบได้แต่เพียงว่า "เห็นอะไรลางๆ"

Bullet train (look outside windows) โดย nicholei

การจดบันทึกชีิวิต จะยิ่งชะลอความเร็วของเหตุการณ์นั้นลงมาอีก และนำมาพิจารณาเป็นจุดๆ หรือพิจารณาหาความเชื่อมโยงระหว่างบุคคล สิ่งของ เหตุการณ์ อารมณ์ จนบางทีเราก็เกิดความเข้าใจที่ลึกซึ้งมากขึ้น การจดบันทึกนั้น มี flow ของข้อมูลไหลไปมา ระหว่างสมองความทรงจำ สมองจินตนาการ ไหลมายังมือ เขียน (หรือพิมพ์) ออกมาเป็นตัวอักษร สายตาเราก็มองเห็น ตีความ แปลผล เข้าไปในสมองอีกระลอก เกิดเป็นความทรงจำใหม่ ความคิดใหม่ ประสบการณ์ใหม่

จนบางครั้ง การจดบันทึก ใคร่ครวญ เรียบเรียงนั้น อาจจะกลายเป็นเสมือนกับการเปลี่ยนอดีต เขียนปัจจุบันใหม่ และร่างอนาคตที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ที่แท้เราอาจจะมี Time Machine อยู่ในมือของเราอยู่แล้วมาตั้งแต่แรกเกิดก็เป็นไปได้

ชีวิตที่ผ่านการทบทวน (Reviewed Life)

เมื่อเราทบทวนชีวิต บางครั้งเราปรับเปลี่ยนอดีต (ความหมาย) ใหม่ เราเกือบจะเหมือนกับเกิดใหม่ เราเข้าใจตัวเราเองมากขึ้น เข้าใจคนอื่นมากขึ้น สามารถให้ความใหม่ต่อผู้คน ต่อความคิดเห็น ต่อสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นได้ เราเปลี่ยนโลกทั้งใบได้จากการทบทวนและ "มองเห็น" สิ่งต่างๆเพิ่มขึ้น นอกจากสิ่งที่เคยเห็นขณะที่ชีวิตเราเร่งรีบเหมือนนั่งรถไฟด่วนอยู่ตลอดเวลา

ชีวิตคนเราถูกทบทวนและเกิดการเปลี่ยนแปลง และไม่เพียงแค่ชีวิตเราเอง แต่การได้ทบทวนชีวิตของผู้อื่นก็ยังมีแรงบันดาลใจได้มากมาย เหมือนกับการได้อ่านอัตถชีวประวัติของคนในประวัติศาสตร์ อ่านประวัติศาสตร์ประเทศหรือการสร้างประเทศ หรือการล่มสลายของอารยธรรม การทบทวนทำให้สมองมนุษย์ได้ใช้ศักยภาพที่แท้ของตนเองถึงขีด (จำกัดหรือไม่จำกัด....)

Gotoknow forum ครั้งที่หนึ่งนี้อาจจะเป็นอีก evidence หนึ่งของการเดินทะลุโลกเสมือน เปลี่ยนความสัมพันธ์ digital ออกเป็นความสัมพันธ์ที่มีจิตวิญญาณ มีความ fresh (หมายความทั้ง "สดใหม่" และ "เลือดเนื้อ) ที่ authentic จริงแท้่แน่นอน

น่าทึ่งจริงๆ

หมายเลขบันทึก: 264880เขียนเมื่อ 1 มิถุนายน 2009 09:48 น. ()แก้ไขเมื่อ 26 เมษายน 2012 22:03 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (16)
  • การทบทวนชีวิตของเราในแต่ละช่วงตอน เสมือนกันย้อนด้วย time machine เพื่อไปขีดเขียนอนาคตของเราใหม่เหมือนที่ท่านอาจารย์หมอกล่าวมาค่ะ
  • การมองอะไรผ่านหลาย ๆ เลนส์ ทำให้เห็นความแตกต่างอย่างสร้างสรรค์ และเก็บมุมมองนั้นไว้ไปใช้ในสถานการณ์ที่แตกต่างกันไปได้...
  • เคยคาดหวังเหมือนกันว่าชุมชมแห่งการเรียนรู้ที่ดีควรที่จะสามารถแลกเปลี่ยนความเห็นแตกต่างหลากหลายและยอมรับความต่างนั้นได้ แต่ก็คิดว่าการเริ่มต้นที่ดีของชุมชนคือการวางรากฐานของความรู้สึกร่วม (เหมือนกัน) ก่อน ซึ่งจะทำให้ความรู้สึกผูกพันเสมือนญาติพี่น้องนี้ นำพาให้เรายอมรับความแตกต่างทางความเห็นในบางครั้งได้ง่ายขึ้น...เป็นความหวังที่มีเสมอมาตั้งแต่แรกก้าวมา ณ ที่แห่งนี้
  • มาแบบไม่มีพรรคพวก เพื่อนพ้อง มาแบบคนเดียวโดดเดี่ยว จนกระทั่งได้รู้จักท่านผู้กล้ามากมายค่ะ และก็นับว่ามีคุณค่าจริง ๆ ที่ได้รู้จักท่านผู้เยี่ยมยุทธหลายท่านหลากหลายด้าน 
  • จากโลกเสมือนสู่โลกแห่งความเป็นจริง  ต่อไปก็คงจากคนที่ไม่เคยเห็นหน้ากัน รู้สึกเสมือนเป็นญาติกัน...คงได้ต่อยอด สร้างอนาคตใหม่กันต่อไปได้อย่างแน่นอนค่ะ

 

gotoknow ทำให้ชีวิตของเราได้รู้จักคนดีดี มากมาย

เมื่อพบกัน ทำงานร่วมกัน รู้สึกว่าเราสามารถต่อยอดความคิดได้ดี

ถ้าจะเปรียบกับการที่เราไปเข้ากลุ่มกับเพื่อนที่ทำงาน เรายังใช้เวลาพอสมควรกว่าจะต่อยอดความคิดและทำงานร่วมกันได้

น่าทึ่งจริงๆค่ะ

คุณ Sila  ครับ

ยินดีต้อนรับครับผม ที่จริงสมาชิกใน gotoknow มี relationship ทาง virtual กันมานานแล้ว แต่ยังขาดเพียง relationship fresh ที่มีเลือดเนื้อ นำ้เสียง สำเนียง และอวจนภาษามาเชื่อมตัวตนเท่านั้นเอง Forum ครั้งนี้ทลาย barriers นั้นลงไปได้ส่วนหนึ่ง อาจจะมีความหมายยิ่งใหญ่แบบทลายกำแพงเบอร์ลินก็ได้

ยินดีต้อนรับครับคุณลดา

พี่แก้ว (เรียกพี่ถูกไหมเนี่ย)

อาจจะเป็นเพราะมิตรจิต มิตรใจ ที่เราเคยแลกเปลี่ยนกันมาก่อน รวมทั้งบริบทต่างๆทำให้เราไว้เนื้อเชื่อใจกันมาก่อนนะครับ ถ้าเราเปิดพื้นที่ปลอดภัยในที่ทำงาน เราอาจจะสร้างความสัมพันธ์แบบเดียวกันได้ไหมเอ่ย ก็น่าคิดนะครับ เมื่อพิจารณาว่าแล้วเราจะมีความสุขเพียงไร ณ ที่ทำงานที่เรามาทุกๆวัน

ขอนอกเรื่องติ๊ดค่ะ เห็นรูปสุดท้ายแล้วนึกถึงกาลาเทย่าใน Bicentennial Man ค่ะ จะบอกว่าหลังจากเคยเม้นท์อาจารย์แล้วลองไปหาหนังสือของ Asimov มาอ่าน สนุกดีค่ะ ได้อ่านไปสองเล่มคือ I, Robot กับ The Caves of Steel ยังไม่ได้อ่านเล่มอื่นต่อ มีหนังเรื่องนึงมานำเสนอค่ะ Star Trek กำลังเข้าโรงอยู่ตอนนี้ : )

Little Jazz ครับ

ฮึ ฮึ คุยถูกคนแล้วครับ ผมเป็น avid fan ของอาซิมอฟและอาร์เธอร์ ซี คล้าก และอ่านครบจบทุกเล่ม Bicentennial Man ได้รางวัลนิยายวิทยาศาสตร์ยอดเยี่ยม (จำไม่ได้ว่า Nebula หรือ Hugo) และผมว่าหนังสือดีกว่าภาพยนต์มาก (แต่ภาพยนต์ก็ทำได้ไม่เลวเลยทีเดียว ได้โรบิน วิลเลียมมาเล่น)

Caves of Steel เป็นปฐมบทของชีวิตอีไลจา เบลี ที่จะต่อยอดไปเชื่อมโยงกับ masterpiece series ของอาซิมอฟ คือชุดสถาบันสถาปนา (Foundation Series) ที่เป็น Epic ของ Sci-fi ก็ว่าได้

Star Trek ยังไมไ่ด้ดูครับ น่าเสียดายที่หนังพากษ์อังกฤษที่นี่จะออกโปรแกรมเร็วมาก (ไม่ได้รังเกียจรังงอนหนังพากษ์หรอกนะครับ ถ้าพากษ์ดีๆ แต่ตั้งแต่ผมไปดูเรื่อง The Last Emperor ประมาณ 20 ปีที่แล้ว ฉากที่คังฮีตอนเด็กๆเปิดประตูท้องพระโรงมาหาซูสีไทเฮา แล้วก็มีเสียงพากษ์ "อ่า....อาตี๋ มาหาอั๊วหน่อย!!" ก็เกิด psychic trauma อย่างแรงไม่กล้าไปดูหนังพากษ์มาแต่นั้น) ช่วงนี้ไม่ค่อยได้ไปกรุงเทพด้วย ปกติถ้าผมไปประชุม กทม. ผมจะไปปารากอน ดูหนังประมาณ 3 เรื่องรวด

ฮาอย่างแรงค่ะ อาตี๋... หงายท้องตึง อืมม์ น่าสนใจมากเกี่ยวกับเรื่องการพากย์ที่ทำให้อรรถรสของหนังเสียไป ต้นสังกัดหนังจริงๆ ควรใส่ใจให้มากเรื่องนี้ - - " อาจารย์อยู่ตจว.จะลำบากเรื่อง soundtrack ค่ะ ขึ้นอยู่กับตลาดของคนส่วนใหญ่ ฟังนี่แก้เครียดเรื่องอาตี๋ดีกว่าค่ะ ได้อรรถรสกว่าเยอะ คนนี้นักดนตรีคนโปรด เป็นคนแต่งเพลงนี้ด้วย Ryuichi Sakamoto - The Last Emperor (จะเก็บไฟล์ไว้ให้สักสองสามวัน good quality 8.09 MB) เดี๋ยวไว้มีเวลาว่างหน่อยจะอ่าน foundation Series ต่อค่ะ ซื้อมาแล้วเหมือนกัน

สวัสดีค่ะ อาจารย์

ยินดีที่ได้พบอาจารย์แบบ ตัวจริง เสียงจริง เคยมีคนชื่นชม อาจารย์ให้ฟัง ได้พบแล้ว ก็เห็นเช่นนั้นเหมือนกันค่ะ ต้องขออภัย อาจารย์ หลายอย่าง ที่แย่สุด คือ อ้างถึงชื่อ อาจารย์ผิด ต่อหน้าคนเป็นร้อย อายจริงๆ

...........................

พอดีเข้าไป blog ของ อ.ณัฐ เห็น link คันฉ่องนกไฟ เลยตามมาเยี่ยมหน่อยค่ะ

เห็นด้วยว่าการที่เราได้เขียนบันทึก มันคือช่วงเวลาอันมีค่า ของเราช่วงหนึ่ง ที่เราให้เวลาแก่ตัวเองในการนั่งทบทวน เรื่องราว หรือจัดระเบียบความคิด

เมื่อกลับมาอ่าน บางครั้ง บางเรื่อง เราหลงลืมไป เราก็กลับมาเก็บเกี่ยวจากบันทึกเดิมๆ ของเราได้อีก

มีคนเคยเปรียบเทียบ การทำ self reflection ด้วยการเขียน เหมือนเป็นการล้างท่อ หากเราไม่คุ้ยแคะเอาตะกอน ตะกรันออกจากเส้นทางปัญญาของเราบ่อยๆ มันคงไม่พร้อมรับเรื่องราวสดใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพค่ะ

Little Jazz P ครับ

เพลงเพราะมากครับ ขอบคุณมาก

ถ้าจะเริ่มอ่าน Foundation series หาช่วงที่เวลาเยอะๆหน่อย (เพราะจะไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่นอีกหลายวัน อิ อิ อิ)

Citrus  Pครับ

ฮึ ฮึ เปรียบเทียบได้เห็นภาพดีครับ การเขียนยังเป็นอีกวิธีที่ทรงประสิทธิภาพในการ "visualize the thought" หรือมองเห็นความคิดของเราได้ เป็นขั้นตอนที่เชื่อมต่อระหว่างความเป็นนามธรรมมากๆค่อยๆกลายเป็นรูปธรรม

 

สวัสดีครับอาจารย์

มาฝึกสังเกตุ ฝึกเรียน ฝึกรู้ ชีวิตดึกๆเหมาะอย่างยิ่ง

อ่าน ทบ-ทวน แล้วอ่านอีกเหมือนการเคี้ยวข้าวให้เนียนแล้วค่อยๆกลืนง่ายในการดูดซึมเอาไปใช้เป็นพลังงาน

เป็นการเรียนรู้ที่ทรงคุณค่า ไม่ต้องลงทะเบียน ก็เรียนได้เนียนลึกบันทึกเดียวก็อิ่มแล้วครับ

ขอบคุณครับอาจารย์

อา... ชมรมคนนอนดึกเหมือนกันนะครับ

web วิ่งเร็วดีครับตอนเวลานี้

ชอบหัวข้อตั้งแต่เห็น ชีวิตที่ผ่านการทบทวน ความหมายดีมาก เรามักจะนั่งรถไฟด่วน จนไม่มีเวลาดูตนเอง เชื่อตามทีเดียวว่า ...เราเกือบจะเหมือนกับเกิดใหม่ เราเข้าใจตัวเราเองมากขึ้น เข้าใจคนอื่นมากขึ้น สามารถให้ความใหม่ต่อผู้คน ต่อความคิดเห็น ต่อสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นได้ เราเปลี่ยนโลกทั้งใบได้จากการทบทวนและ "มองเห็น" สิ่งต่างๆเพิ่มขึ้น .. ขอบคุณในสิ่งดีๆ

จริงๆ ..แล้ว ผมอ่านบันทึกนี้นานแล้วนะครับ  อ่านตั้งแต่วันแรกที่บันทึกนี้ถูกนำเสนอ  เพียงแต่ไม่ได้ทิ้งรอยใดๆ ไว้...

ผมเองก็คุยกับทีมงานว่า  การเขียนบล็อก  ...ผมเชื่อว่าเป็ฯกระบวนการหนึ่งของการขัดเกลาชีวิต..สำรวจตรวจค้นตัวเองด้วยวิธีของเราเองไปในตัวด้วยเหมือนกัน...

....ขอบคุณครับ...

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท