หลังจากที่เราได้เรียนรู้แนวความคิดของ 5 องค์กรที่เข้ามาในเวทีแลกเปลี่ยนนี้อันได้แก่
บทสรุป “ฝ่าวิกฤตด้วยธุรกิจคุณธรรม” (ตอนที่ 1 ) และ บทสรุป “ฝ่าวิกฤตด้วยธุรกิจคุณธรรม” (ตอนที่ 2 )
และในตอนนี้เราจะได้เรียนรู้ในประเด็นของ Happy 8 จากมุมมองจากผู้แทนจากสถานประกอบการต่างๆ ไม่ว่าจะ NGO หรือ บริษัทเอกชน โรงพยาบาล เป็นต้น ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
“เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น เราคือค้าปลีก เซ็นทรัลกรุ๊ปทำสมุดบัญชีแจกพนักงานทุกคน บางที่เขาอาจจะไม่รู้ว่าสิ่งไหนคือค่าใช้จ่ายที่จำเป็น เราก็สอนเขาแล้วสามเดือนมาดูจะรู้เลยว่าอันไหนเป็นค่าใช้จ่ายที่จำเป็นหรือไม่จำเป็น เขาจะลดได้ด้วยตัวเขาเอง แต่ถ้าเกินสามเดือนแล้วทำไม่ได้แสดงว่าคนนั้นสมัครใจจน
เราปลูกฝังเรื่องการให้กับพนักงาน เช่น การให้เลือด ตอนนี้เราทำ MOU กับสภากาชาดแล้ว เราทำตรงนี้ให้เห็นว่าเราพร้อมที่จะให้ วันนึงหากพนักงานมีปัญหาพ่อแม่ป่วยเราก็สามารถระดมคนของเราให้ได้โดยไม่ต้องไปซื้อที่ไหน ถ้าไม่มีเลือดก็ให้ส่งรถมารับเราพร้อมจะไป เราโชคดีที่มีหลายสาขาซึ่งสะดวก”
คุณเปรมจิตร ทวี ผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรบุคคล
บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด
“สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในภาคอุตสาหกรรมคือการใช้พลังงานซึ่งประเทศเราใช้เยอะแต่เป็นพลังงานนำเข้า เราใช้ไม่ประหยัด ในการทำงานเราคิดเรื่องต้นทุนคือ energy หาทางให้พนักงานเสนอไอเดียปรับปรุงวิธีการทำงานอย่างไรให้ประหยัดพลังงาน ตรงนี้เป็นสิ่งที่ภาครัฐต้องเข้ามาช่วยสนับสนุน เพราะในภาคเอกชนทำผลผลิตให้ได้ดีที่สุด ขณะนั้นต้องการ cost แต่ขาดความรู้ตรงนี้ควรสนับสนุน การประหยัดพลังงานสามารถบรรจุได้เป็นนโยบายที่จะทำให้สิ่งแวดล้อมดีขึ้น รัฐบาลควรเข้ามามีส่วนร่วมและทำให้ภาคเอกชนมีสุข ส่วนที่ได้ win-win ทั้งหมด”
คุณสมหวัง ถุงสุวรรณ ผู้จัดการโรงงาน
บริษัท เทยิน (ประเทศไทย) จำกัด
นอกจากนี้ยังมีบริษัท เอเชีย พรีซิสชั่น ที่พยายามจะทำสนับสนุนคนดี สร้างคนดีแล้วทำให้องค์กรมีความสุข เมื่อมีความสุขเขาก็สร้างสมความดีกับบ้านเกิดและรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองทำในโรงงานเหมือนมีความรับผิดชอบต่อสังคมด้วย ทุกองค์กรทำเรื่องความสุขในองค์กรแต่ผลมันไปถึงคุณธรรมที่ทำให้กับคนในโรงงานกับระดับผลผลิตที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมแล้วขยายไปถึงสังคมชุมชนโดยรวมด้วย
ดังนั้นสิ่งที่หลายองค์กรนำเสนอมาเป็นประเด็นทั้งจากรวบรวมจากหลาย ๆ เวทีและจากที่หลายท่านได้แสดงความคิดเข้ามาล่วงหน้าก่อนเราจะจัดเวที บางประเด็นก็อาจมีการกล่าวถึงเล็กน้อย ความคิดของแต่ละท่านอาจมองจากมุมที่ท่านได้ทำงานอยู่ คณะผู้จัดได้ใช้เวลารวบรวมความคิดเห็นเปิดกว้างมากขึ้น จึงจะมีบัตรแสดงความคิดเห็นในการกำหนดข้อเสนอ มาตรการหรือนโยบายที่หน่วยงานรัฐน่าจะเข้ามาสนับสนุนแนวคิดเหล่านี้เพื่อจะขยายผลให้กว้างมากขึ้น จุดเดียวที่ท่านคิดว่าสำคัญที่สุดเสนอมา
โดยมีการปรับและยืดหยุ่นตามสภาพการณ์ในห้องประชุม สารสนเทศจากการแลกเปลี่ยนเรียนรู้รอบแรก และการเขียนบัตรแสดงความคิดเห็นในการกำหนดข้อเสนอ มาตรการหรือนโยบายที่หน่วยงานรัฐน่าจะเข้ามาสนับสนุนแนวคิดเหล่านี้เพื่อจะขยายผลให้กว้างมากขึ้น ได้ประเด็นข้อเสนอเชิงมาตรการ/นโยบาย เพื่อผลักดัน “การสร้างสุขในองค์กร” รวมทั้งสิ้น 15 ข้อ ดังนี้
· ช่วยเหลือสังคม ทำประโยชน์เพื่อส่วนรวม
· การมีจิตสำนึกที่ดีงาม
· การสร้างจิตสำนึกในการอยู่ร่วมกัน
· สิทธิมนุษยชน
· การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
· ความรับผิดชอบต่อองค์กรและสังคม
· ความจงรักภักดีต่อองค์กร
· การศึกษา
· การมีส่วนร่วมในองค์กร
· การมีระเบียบวินัย
· ความปลอดภัยในองค์กร
· สวัสดิการของพนักงาน
· ความยุติธรรมในค่าจ้างแรงงาน
· สุขภาพพลานามัย
· Happy 8
หลังจากรอบแรกได้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในประเด็นเรื่อง Corporate Social Responsibility (CSR) ความรับผิดชอบต่อสังคม เพื่อร่างประเด็นสำคัญ “การสร้างสุขในองค์กร” เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตของพนักงานในองค์กรและพัฒนาความเป็นอยู่ของสังคมไทยให้ดีขึ้น นอกจากนี้ยังสามารถสร้างกระแสการรับรู้ในการช่วยเหลือผู้อื่น และสังคมในหมู่พนักงาน ตลอดจนขยายผลสู่สังคมภายนอก รวมทั้งสร้างแรงบันดาลใจและเป็นแรงผลักดันพนักงาน ชุมชน เพื่อสร้างสรรค์สิ่งดีๆให้สังคม โดยการแลกเปลี่ยนเปลี่ยนเรียนรู้และร่วมแสดงความคิดเห็นในรอบที่สองนี้ สาระสำคัญที่ได้มี 2 ประเด็นหลัก คือ Happy 8 และ การมีจิตสำนึก วิทยากรกระบวนการ (อ.อธิวัฒน์ เจี่ยวิวรรธน์กุล และ อ.ดวงเนตร ธรรมกุล) ได้เชิญชวนให้ผู้ร่วมเวทีได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นต่อประเด็นหลักทั้งสองประเด็นนี้ ก่อนที่จะสรุปในขั้นต่อไป ได้มีผู้ร่วมเวทีได้แสดงความคิดเห็นต่อประเด็น Happy 8 ไว้ดังนี้
“ที่เลือก happy 8 เพราะคิดว่าอันนี้จะเป็นศูนย์รวมของความสุขของคน ๆ นึงแล้วต้องมี 8 ประการนี้และคิดว่ารัฐบาลจะเข้ามามีส่วนช่วยสนับสนุน เช่น ที่มีแล้วคือประกันสังคมที่ส่งเสริมอยู่แล้วในเรื่องความสุข การพัฒนาฝีมือแรงงานก็เป็นอีกนโยบายหนึ่งที่เข้ามามีส่วนร่วมกับภาคองค์กรให้มีส่วนช่วยพัฒนาคนในองค์กร แต่สองอย่างนี้ก็ยังไม่ครอบคลุมทั้งหมด ยังมีเรื่องอื่นอีกที่น่าทำเป็นนโยบายเหมือน 2 ข้อนี้ที่กำหนดเป็นวิธีการ หลักการที่ชัดเจนว่าแต่ละองค์กรน่าจะมีนโยบายในการส่งเสริมความสุขของพนักงานให้ครบ 8 ประการนี้เพราะว่าเชื่อว่า happy 8 ที่สำรวจมาแล้วเป็นทั้งหมดของความสุขในชีวิตคน ๆ นึงน่าจะมีอย่างอื่นที่จะช่วยส่งเสริมและสนับสนุนได้แต่ขอ comment เรื่องวิธีการและหลักการว่าบางทีช่วยทำให้มันชัดเจนและง่ายต่อการที่ภาคเอกชนจะนำไปปฏิบัติเพราะถ้ายากเกินไปก็จะเกิดภาวะกระทบอีกอย่างมากมายและทำให้ประสบความสำเร็จยาก จริง ๆ แล้วพอมีนโยบายที่ส่งเสริมเรื่อง happy 8 ทั้งหมดแล้วถ้าเอกชนหรือองค์กรต่าง ๆ ทำได้ มีกิจกรรมมีอย่างอื่นที่สนับสนุนให้เกิดความสุขทั้งหมด 8 ด้านแล้วคนในองค์กรมีความสุขผลพลอยได้จะกลับเข้าสู่เจ้าของกิจกรรมหรือว่าองค์กรนั้น ๆ อยู่แล้วเป็นผลรวมไปถึงประเทศชาติ ถ้ามีนโยบายที่ชัดเจนเข้าไปสนับสนุนให้องค์กรทำเป็นแผนว่าแต่ละปีจะส่งเสริม happy 8 อย่างไรให้เกิดกับคนในองค์กรเชื่อว่าคนในประเทศเกิดความสุขได้แน่นอนถ้าได้รับการดูแลแบบนี้”
พี่ติ้ง
“เป็นองค์กรของภาคเอกชนที่ทำกับเด็กตั้งแต่แรกเกิดถึง 18 ปี ทำเรื่องที่ให้บริการเด็กที่ถูกละเมิดทั้งหมดที่เกี่ยวกับการใช้ความรุนแรง เราฟื้นฟูดูแลเด็กและหาครอบครัวทดแทนให้ อีกอย่างคือเน้นเรื่องการสร้างภูมิคุ้มกันให้ครอบครัวให้ครอบครัวมีความรู้ ทักษะในการใช้ความรุนแรงและให้เด็กมีทักษะที่จะทำไงไม่ให้ตัวเองถูกละเมิดด้วย ทำไงให้ชุมชนเข้ามาป้องกันปัญหาให้ชุมชนเข้มแข็ง และทำงานกับโรงเรียนให้มีระบบจัดความปลอดภัยให้ ดูแลเด็กในประเทศไทยและแถบลุ่มแม่น้ำโขง ตัวเองสนับสนุนเรื่อง happy 8 และจิตสำนึกต่อส่วนรวม มี 8 ข้อก็จริงแต่มีอันนึงที่เป็นเฉพาะตัวบุคคล เป็น happy family and happy social มองว่า happy 8 ค่อนข้างจะสมบูรณ์คือเป็นแต่ละตัวบุคคลและเชื่อมโยงไปที่ครอบครัว ถ้ามองจริง ๆ ครอบครัวสำคัญที่สุดและคิดว่าน่าจะเป็นกิจกรรม เข้าใจว่าในภาคธุรกิจเองได้ทำแล้วในเรื่องสุขภาวะของคนในองค์กร คิดว่าทำเรื่องครอบครัวด้วย เราจะทำยังไงให้ครอบครัวอบอุ่น
ในธุรกิจมีครอบครัวที่มีปัญหามากมายไม่ต่างกัน เราได้มาทำโครงการที่ส่งเสริมคุณภาพชีวิตและครอบครัวซึ่งร่วมมือกับบริษัทต่าง ๆ อยากให้เกิดเป็นโครงการนำร่อง รัฐบาลควรเข้ามาสนับสนุนด้วยเพราะคิดว่าน่าจะเป็นแบบอย่างที่ร่วมมือกัน”
คุณมานิตย์ ขันทา ผู้ช่วยผู้อำนวยการบริหาร
มูลนิธิศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็ก
“happy 8 ครอบคลุมอยู่แล้ว ในเรื่องของ ปตท.เคมิคอล เราใช้เครื่องมือวัดของ MSQWL หรือ Management System of Quality Work Life เขา group จาก 8 เหลือ 4 ด้าน จะทำยังไงที่จะเอาของ 2 งานมารวมกันและไปด้วยกันเพราะว่าไปด้วยกันจะได้ภาพที่ดีและตอบโจทย์ว่าภาคธุรกิจและภาครัฐทำไปเพื่ออะไร happy 8 เป็นภาพลอย ๆ แต่เรามีเครื่องมือวัด ซึ่งสุดท้ายจะลงไปที่ CSR เรานำ MSQWL มาประเมินและทำโครงการที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น”
คุณปรีชา ปลื้มจิตต์
ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรบุคคล (ผู้ชำนาญการ)
บริษัท ปตท. เคมิคอล จำกัด (มหาชน)
“การสร้างสุขผมเชื่อว่าองค์กรเขาพยายามทำด้วยตัวเองอยู่แล้วซึ่งแต่ละที่ก็มีหลายวิธี บ้านเราจะเน้นรางวัลในเชิงความสุขยังน้อยอยู่ ผมเคยเห็นรางวัลของต่างประเทศที่บริษัทที่คนอยากทำงานด้วยมันมีมิติของความสุขอยู่ด้วย ใน criteria จะมีเรื่องของ productivity เป็นตัวถ่วงดุลอยู่ด้วยแต่ว่าเช็คเรื่องความสุขของคนด้วย และใช้รางวัลเป็นกุศโลบายในการเคลื่อนสังคมใช้เป็นตัวกระตุ้น แต่ว่ารางวัลไม่ได้ออกไปในโทนการแข่งขันแต่ใช้เพื่อการ share กันระหว่างสังคม และรางวัลก็สามารถเอาไป return เป็นอะไรซักอย่าง”
คุณธวัช หมัดเต๊ะ สถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม
“จาก รพ.ธนบุรี happy 8 เป็นสุดยอดของภาพรวมแล้วและที่สำคัญคือ happy 8 ดีตรงไม่ต้องมี protocol ไม่ว่าองค์กรจะเล็กหรือใหญ่สามารถเอาไปใช้ได้หมดตามอัตถภาพของคุณ ต้องตอบโจทย์ตัวเองได้ว่าสุขของคุณอยู่ตรงไหน แต่ถ้า QWL มันต้องมีมาตรฐานมีอะไรมารับรองมีมากดดัน ที่เน้นคือสร้างจิตสำนึกถ้ามีข้อนี้ happy 8 ก็สำเร็จ และถ้ามองไปถึงมาตรการและนำไปสู่สมัชชาระดับชาติคือ สมมติบริษัทตัวเองอยู่ในเขตบางกอกน้อย ในบางกอกน้อยเองเขาทราบไหมว่าเขามี community ที่ทำงานบริการและทำเพื่อสังคมกี่แห่ง ผู้นำของเขตต้องตอบได้ว่าหากมี 20 แห่ง 18 แห่งเขามีความสุขอะไรบ้างและยังขาดอะไรเขาจะได้ตอบสนองได้ถูก เพราะฉะนั้นนโยบายของรัฐต้องมาเอื้อและเชื่อมโยง ทุกวันนี้มองว่าต่างคนต่างทำใช้ tool คนละตัว แต่จริง ๆ เป้าหมายของชาติคือต้องการให้คนมีความสุข เมื่อมีความสุขการเจ็บป่วยก็ไม่เกิด ขโมยก็ไม่เกิด จะไปเชื่อมโยงกับการบริหารระดับชาติ happy 8 สามารถจับต้องได้ด้วยตัวคุณเองในทุก ๆ ระดับอยู่แล้ว แต่ตัวแรกยังต้องใช้กลไกที่มาเชื่อมโยงอย่างชัดเจนและมีโจทย์ ผลลัพธ์ออกมาได้”
คุณนงลักษณ์ ยาจันทร์ ผู้จัดการฝ่ายเคหบริการ
โรงพยาบาลธนบุรี จำกัด(มหาชน)
ส่วนผู้ที่เลือกประเด็นจิตสำนึก คือ คุณพรทิพา ประดิษฐ์สุขถาวร จากบริษัทพานาโซนิค ได้กล่าวไว้น่าสนใจดังนี้
“เราหันมาดูเรื่องศีลธรรมและจิตสำนึกในการทำงานในองค์กรถือว่าดีมาก อยากพูดถึงแนวทางการบริหารแบบโคโนสุเกะ มัตสึชิตะ ถ้าใครอยู่ในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิคส์แล้วต้องรู้จักแน่นอน ซึ่งผู้ก่อตั้งท่านเขียนบทความมากมายเรื่องความสุขในองค์กร ท่านให้แนวปรัชญาในการบริหารว่าให้เลือกคนดี เพราะฉะนั้นที่พานาโซนิคเราใครที่เรียนมาจบเกรดเฉลี่ยน้อยแต่ทำงานได้ดีมากมีเยอะ เรามีแบบสอบถามว่ามีความคิดอย่างไรในเรื่องความดี เราจะมีปรัชญา 7 ประการเขียนไว้หน้าโรงงานว่าทุกคนต้องมีจิตสำนึกช่วยเหลือสังคม เราบอกพนักงานทุกคน เราสอนเขาตั้งแต่วันแรกที่ก้าวเข้ามาทำงานกับเรา
ทุกกิจกรรมเราให้เขาทำหมดแม้แต่กิจกรรมการสร้างความสุขพนักงานทำกันเอง เราเพียงแต่วางนโยบายให้รางวัลและให้เงิน แต่ความคิดสร้างสรรค์มาจากพนักงานเองโดยเราแบ่งออกเป็นแผนกซึ่งต้องคัดเลือกส่งตัวแทนเลือกโดยพนักงานเอง ตอนนี้ตัวแทนเป็น 50/1 แผนก เขาจะเป็นคณะกรรมการเราเรียกว่า PHP มาจากญี่ปุ่นเลย เราตั้งเป็นปรัชญาเน้นเรื่องคุณธรรม คณะกรรมการเลือกตัวแทนเข้ามาและประชุมเดือนละครั้ง เราแบ่งออกเป็นระดับ ๆ ไปเพราะฉะนั้นทุกคนสามารถ share กันได้หมดว่าเขามีความทุกข์ร้อนอะไร เราจะเข้าไปเสริมช่วยและคนที่เป็นตัวแทนจะได้เงิน ตัวแทนจะต้อง active มากในเรื่องการหาข้อมูล การนำเสนอหรือรับทำข้อเสนอแนะผ่านมาถึงตัวดิฉัน เราจะมีข่าวพนักงานตลอดและช่วยเหลือตลอด
เราไม่เคยมีนโยบายปลดหรือลดพนักงาน พนักงานอยู่ต่อสู้กับบริษัทเกิดจากการสร้างความสุขในองค์กรสำคัญมากเลย เราบอกว่าทุกคนต้องมีจิตสำนึกในการช่วยเหลือสังคมและบริษัทก็ตั้งขึ้นมาเพื่อเป็นอุตสาหกรรมเพื่อช่วยเหลือประเทศชาติและสังคม นี่คือปณิธาน มีความสามัคคี ความกตัญญู การพัฒนาตัวเองเพื่อความก้าวหน้าของตัวเองและบริษัท ความเคารพซึ่งกันและกัน ความซื่อสัตย์ และการเสียสละ ทำเป็นวัฒนธรรมองค์กรมาอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นการสร้างความสุขผู้บริหารต้องมีแนวทางให้และจัดให้เป็นระบบ ตั้งแต่ทำมาทำแล้วดีตลอด คิดว่าอยากให้ทำเป็นคณะกรรมการและทุกคนมีส่วนร่วมเรื่องความคิดสร้างสรรค์และเสนอแนะ ถ้าเสนอแนะภายใน division ได้ก็ทำเองถ้าทำไม่ได้ต้องใช้เงินก็ที่แผนก ถ้าไม่ได้อีกก็ส่งไปที่บริษัท เช่น เรามีสวัสดิการเงินกู้ฉุกเฉิน ซึ่งดีมาก happy 8 หรือการมีจิตสำนึกเราต้องบอกพนักงานต้องสื่อสารให้พนักงาน ควรทำให้เป็นกิจวัตร ต่อเนื่อง ยั่งยืนแล้วบริษัทเราจะอยู่ได้อย่างมีความสุข
อยากขอให้รัฐบาลเน้นเรื่องการศึกษา จัดระบบการศึกษาแบบสร้างคุณธรรมมากกว่าไปแข่งขันจนมากเกินไป จะเห็นว่าเด็กสมัยนี้ไม่อดทน ไม่ขยัน
จริง ๆ แล้วทั้งสองแนวทางเป็นแนวทางเดียวกัน เพียงแต่วันนี้เราจะมองว่าอันไหนควรเป็น priority first ตัวเองมองว่าถ้า happy 8 เป็นรูปธรรมประเมินผล วัดได้ แต่ถ้าในเรื่องจิตสำนึกประเมินยาก และต้องทำต่อยอดต่อเนื่องจากรัฐมาสู่ชุมชน จากชุมชนสู่สถาบัน สถาบันสู่บุคคลต้องทำเป็นนโยบายรัฐมากกว่า แต่ในแง่ของ happy 8 คุณโคโนสุเกะเน้นมาก ที่ตัวเองทำงานมาได้จนใกล้เกษียณเพราะถือหลักปรัชญาของคุณคนนี้ เราทำงานแบบมีความสุขก็ดูแลลูกน้องอย่างมีความสุข”
โปรดติดตามต่อไป
ไม่มีความเห็น