Praepattra
ผู้ช่วยศาตราจารย์ Praepattra Kiaochaoum

การใช้พระพุทธศาสนากับเศรษฐกิจพอเพียงในการแก้ปัญหาวิกฤติทางเศรษฐกิจ 2


แพรภัทร ยอดแก้ว.2553.บทความวิจัยเรื่อง "การใช้พระพุทธศาสนากับเศรษฐกิจพอเพียงในการแก้ปัญหาวิกฤติทางเศรษฐกิจ" ตีพิมพ์ในวารสาร สยามวิชาการ ปีที่ 10 ฉบับที่ 15 พฤศจิกายน 2552 - กุมภาพันธ์ 2553

5.  หลักธรรมทางพุทธศาสนากับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง

ผู้เขียนขอนำเสนอลักษณะและความสำคัญของพุทธศาสนาเป็นเบื้องต้นก่อน เพื่อให้เห็นความสอดคล้องกันระหว่างปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงกับหลักธรรมทางพุทธศาสนา    จากนั้นจะได้วิเคราะห์ถึงหลักธรรมที่มีความสอดคล้องและสามารถใช้เป็นหลักปฏิบัติเพื่อเสริมสร้างชีวิตที่พอเพียงตามแนวเศรษฐกิจพอเพียงเป็นลำดับไป

5.1  ลักษณะและความสำคัญของหลักธรรมทางพุทธศาสนา

พุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งการปฏิบัติหรือเป็นศาสนาแห่งความเพียรพยายาม (องฺ.ติก. 20/577/369)  หลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าจึงมุ่งเน้นที่การปฏิบัติเป็นสำคัญ  การอ้อนวอนหรือการหวังผลดลบันดาลจากสิ่งเหนือธรรมชาติเพื่อให้ตนประสบความสุขหรือความสำเร็จในชีวิตนั้นไม่ใช่แนวทางของพุทธศาสนา   ด้วยเหตุนี้  พุทธศาสนาในแง่ของหลักธรรมจึงมีลักษณะเป็นวิทยาศาสตร์ที่สามารถพิสูจน์ได้  และเป็นเรื่องใกล้ตัวมนุษย์ซึ่งสามารถสัมผัสรับรู้ได้ตลอดเวลา  เพราะใจความสำคัญของหลักธรรมทางพุทธศาสนานั้น  ไม่มีสิ่งใดเกินเลยไปจากเรื่องปัญหาชีวิตและวิธีการแก้ปัญหาชีวิตหรือที่เรียกว่า “ทุกข์และความดับทุกข์” นั่นเอง ดังที่พระพุทธเจ้าทรงเน้นย้ำว่า “ภิกษุทั้งหลาย  ทั้งในกาลก่อนและในบัดนี้  เราสอนแต่เรื่องทุกข์และความดับทุกข์เท่านั้น” (ม.มู. 12/286/276) 

แม้ผลแห่งการแสวงหาทางพ้นทุกข์ของพระพุทธเจ้า จะเป็นการบรรลุธรรมขั้นสูง  คือ  ความหมดกิเลสทั้งปวง ซึ่งถือเป็นเป้าหมายขั้นโลกุตตระและอาจจะดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิตของปุถุชนหรือฆราวาสทั่วไปที่ยังต้องดำเนินชีวิตในวงจรของความอยาก  ความต้องการ  ความสะดวกสบาย  การมีบ้าน  มีรถ  มีตำแหน่งหน้าที่การงานที่ดี  มีเครื่องอำนวยความสะดวกและอีกสาระพัดสิ่งน่าใคร่น่าพอใจ   แต่กระนั้น  หากได้ศึกษาพุทธศาสนาอย่างถ่องแท้จะพบว่า  พุทธศาสนาไม่ได้ละเลยที่จะให้ความสนใจเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตของปุถุชนหรือฆราวาสเลย  ทั้งยังมีหลักธรรมที่สนับสนุน ส่งเสริมให้การดำเนินชีวิตเป็นไปในครรลองที่ดีอยู่มากมาย   หรือแม้แต่หลักธรรมขั้นสูงก็ยังสามารถนำแนวคิดมาประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิตอย่างสามัญได้  หลักธรรมทางพุทธศาสนาจึงมีความครอบคลุมทั้งในส่วนการปฏิบัติขั้นที่ยังเกี่ยวข้องกับกิเลสหรือขั้นสำหรับปุถุชน เรียกว่า  “โลกิยธรรม”  และขั้นที่บริสุทธิ์จากกิเลสหรือขั้นสำหรับพระอริยบุคคล  เรียกว่า “โลกุตตรธรรม” (อภิ.สงฺ. 34/911/355) 

ลักษณะของหลักธรรมทางพุทธศาสนาทั้ง 2  ระดับนั้นอาจจำแนกได้  2 ลักษณะกว้าง ๆ  ดังนี้

                1)  หลักความจริงสายกลาง  ที่เรียกว่า “มัชเฌนธรรม” หมายถึง  ความจริงตามแนวของเหตุผลบริสุทธิ์ตามกระบวนการของธรรมชาติ 

                2)  ข้อปฏิบัติสายกลาง ที่เรียกว่า “มัชฌิมาปฏิปทา” หมายถึง  หลักการครองชีวิตของผู้ฝึกอบรมตน ผู้รู้เท่าทันชีวิต  ไม่หลงงมงาย   มุ่งผลสำเร็จ  คือ ความสุข ความสะอาด สว่าง สงบ  เป็นอิสระที่สามารถมองเห็นได้ในชีวิตนี้ (พระธรรมปิฎก,  2546 : 6)

ทั้งนี้  หากจะสรุปลักษณะทั้ง 2 นี้ด้วยคำสั้น ๆ  ก็คือ หลักความจริงและหลักความดี  นั่นเอง  ประเด็นสำคัญของหลักธรรมตามนัยทั้ง  2  นี้  ทำให้เห็นได้ชัดว่าพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งการปฏิบัติดังกล่าวแล้ว  เพราะหลีกไม่พ้นไปจากเรื่องของการปฏิบัติ  กล่าวคือ  หลักความจริงก็เป็นจริงตามธรรมชาติอยู่อย่างนั้น  แต่เมื่อมาเกี่ยวข้องกับชีวิตของคนเรา  ก็จำเป็นต้องวางท่าทีกับความจริงให้ถูกต้อง  ดังเช่น เรื่องชีวิตที่เป็นองค์รวมของขันธ์ 5 ซึ่งต้องมีการเกิดขึ้น  ตั้งอยู่และดับไปตามสามัญลักษณะหรือไตรลักษณ์และเป็นไปตามกฏแห่งกรรม  เป็นความจริงที่บริสุทธ์ตามกระบวนการธรรมชาติ  ไม่อาจปฏิเสธได้  หากพยายามปฏิเสธหรือวางท่าทีไม่ถูกต้อง  เข้าใจผิด  ปฏิบัติผิด  ผลก็คือ ความทุกข์   แต่หากรู้  เข้าใจและยอมรับตามความเป็นจริง  ไม่ยึดมั่นถือมั่น  อย่างนี้เรียกว่าปฏิบัติถูก   เมื่อปฏิบัติถูกก็เป็นหลักความดี   ผลของการปฏิบัติถูก ก็คือ ความดับทุกข์หรือความสุข  ความสำคัญอันเป็นบทสรุปหลักธรรมทางพุทธศาสนาจึงอยู่ที่เป็นสิ่งที่นำมาซึ่งความสุขและความดีงามนั่นเอง  ดังพระพุทธพจน์ที่ว่า               

ธรรมนั่นแหล่ะย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม   ธรรมที่บุคคลประพฤติดีแล้ว ย่อมนำสุขมาให้   ข้อนี้เป็นประโยชน์  ในเมื่อประพฤติธรรมดีแล้ว   ผู้ประพฤติธรรมย่อมไม่ตกไปสู่ที่ต่ำทราม  (ขุ.เถร. 26/332/314)

                จะเห็นได้ว่า  หลักธรรมทางพุทธศาสนาจึงมีลักษณะเป็นหลักปฏิบัติเพื่อให้บรรลุความสุข  โดยอยู่บนฐานของการรู้เท่าทันความจริง เมื่อเป็นเช่นนี้  หลักธรรมทางพุทธศาสนาย่อมเข้ากันได้กับทุกแนวคิดในโลกที่เป็นไปเพื่อความสุขและอยู่บนฐานของความจริง หรือมุ่งหมายที่จะแก้ปัญหาชีวิตให้มวลมนุษย์ด้วยวิถีทางที่ไม่ก่อปัญหาให้เกิดขึ้นอีก  จากการศึกษาแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง  ทำให้ทราบชัดว่า  เป็นแนวคิดที่เกิดขึ้นเพื่อแก้ปัญหาและนำไปสู่ความสุขที่ยั่งยืนเหมือนกัน  ดังนี้จึงกล่าวได้ว่า  หลักธรรมทางพุทธศาสนากับแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงมีเป้าหมายและวิธีการที่สอดคล้องกัน   แต่หากจะหามุมมองที่ต่างกันก็มีตรงที่พุทธศาสนามีหลักปฏิบัติขั้นสูงที่ไม่เกี่ยวข้องกับกิเลสด้วย  ซึ่งอาจจะเป็นแนวทางปฏิบัติของบรรพชิตที่มีลักษณะพิเศษ คือ มุ่งสู่ความหลุดพ้นจากทุกข์เป็นสำคัญ  ในขณะที่แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงไม่ได้มุ่งหวังถึงขั้นนั้น 

                5.2  หลักธรรมทางพุทธศาสนากับการส่งเสริมแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง

                ในพุทธศาสนามีแนวคิดและหลักธรรมที่เกี่ยวกับความพอเพียงหลายประการ  ทั้งโดยตรงและโดยอ้อม  ในที่นี้จะได้สรุปในลักษณะแนวคิดเชิงประยุกต์ใช้มานำเสนอไว้เพียงบางประการที่เป็นหลักสำคัญและมีส่วนสนับสนุนแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงโดยตรง  ดังนี้

                5.2.1 แนวคิดเรื่องทางสายกลาง   คำว่า “ทางสายกลาง” นี้  ตรงกับภาษาบาลีว่า “มัชฌิมาปฏิปทา”  เป็นแนวทางการปฏิบัติที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสแสดงไว้ตั้งแต่การแสดงธรรมครั้งแรก  คือ “ธัมมจักกัปปวัตตนสูต” มีใจความว่าด้วยอริยมรรคมีองค์ 8 ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงชี้แนะว่า เป็นทางดำเนินชีวิตที่ไม่ข้องแวะที่สุดสองอย่าง  ได้แก่  การหมกหมุ่นในกามสุขและการทรมานตนเอง  เป็นทางที่นำมาซึ่งความรู้  ความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งในสรรพสิ่ง  มุ่งสู่ความสงบและความรู้ยิ่ง  จนถึงขั้นตรัสรู้และบรรลุนิพพาน  ทางสายกลางที่ว่านั้น คือ อริยมรรคอันประกอบด้วยองค์  8  ประการ  ได้แก่   สัมมาทิฏฐิ   สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ  สัมมาอาชีวะ  สัมมาวายามะ  สัมมาสติ  สัมมาสมาธิ  (วิ.มหา.  4/13/18)

จากแนวคิดนี้  อาจจะสรุปลักษณะของทางสายกลางในเชิงประยุกต์ใช้สำหรับชีวิตฆราวาสทั่วไปได้ว่า  เป็นหนทางที่มุ่งตรงสู่จุดหมายที่ดีงาม  โดยไม่ข้องแวะในทางสุดโต่ง  2  อย่าง ได้แก่  วัตถุนิยมหรือบริโภคนิยม  ที่ยึดเอาความสะดวก สบาย ความสวงาม  ความหรูหราฟุ่มเฟือย  ความอร่อยหรือเปลือกนอกของวัตถุต่าง ๆ ที่น่าชอบใจ มาเป็นเกณฑ์ในการตัดสินใจในลักษณะที่หย่อนเกินไป คือ ปล่อยให้ตนเป็นทาสของวัตถุเกินไป  และไม่ทำตัวให้ลำบาก  เช่น ตระหนี่ไม่ยอมกิน ไม่ยอมจ่าย ไม่ยอมใช้   ไม่ยอมแบ่งปัน  ปฏิบัติตัวในสิ่งที่ก่อให้เกิดความลำบากโดยไม่มีเหตุผล  ซึ่งเป็นทางที่ตึงเกินไป  เป็นลักษณะของความไม่พอดี   แต่ให้ดำเนินชีวิตสายกลาง  คือ ถือหลักความพอดี  พอเหมาะ  ถูกต้อง  ตรงกับเป้าหมาย  โดยมีองค์ประกอบแห่งความพอดี  8  ประการ  คือ  ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง(สัมมาทิฏฐิ)  ความคิดที่ถูกต้องสอดคล้องกับเป้าหมายที่ดีงาม (สัมมาสังกัปปะ)  การสื่อสารกับผู้อื่นอย่างถูกต้อง(สัมมาวาจา)  การปฏิบัติตัวกับผู้อื่นในทางไม่เบียดเบียน (สัมมากัมมันตะ)  การเลี้ยงชีพตนในทางสุจริต (สัมมาอาชีวะ)  ความเพียรพยายามเพื่อพัฒนาตนเอง ละชั่วสร้างเสริมความดี (สัมมาวายามะ)  ความระมัดระวังยั้งคิด(สัมมาสติ) และความสงบใจ (สัมมาสมาธิ) 

กล่าวโดยสรุป คือ การดำเนินชีวิตอย่างพอดี  โดยมีความรู้ความเข้าใจเป็นแกนนำ   สร้างสรรค์พฤติกรรมและจิตใจให้ดีงาม ไม่เบียดเบียนผู้อื่นและตนเองนั่นเอง   สามารถส่งเสริมและสนับสนุนแนวทางปฏิบัติในการดำเนินชีวิตตามแนวเศรษฐกิจพอเพียงได้เป็นอย่างดี   เพราะมีความสอดคล้องกันทั้งในฐานะที่เป็นทางสายกลาง  แนวคิดหลักของเศรษฐกิจพอเพียงและองค์ประกอบของทางสายกลางในพุทธศาสนา คุณธรรมทั้ง 8  ประการนั้น (มรรค 8)  ก็เป็นองค์รวมแห่งธรรมที่สามารถสร้างความเข้มแข็งให้กับบุคคล  พร้อมทั้งพัฒนาศักยภาพของบุคคลทั้งด้านความรู้  ความคิด พฤติกรรมและจิตวิญญาณ  ให้สามารถพึ่งตนเองได้  มีความเข้มแข็ง  ยอมรับกับสถาพความเป็นจริงหรือความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น  สามารถสร้างสรรค์ให้เกิดดุลยภาพทางสังคมเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรมตามความมุ่งหมายของแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงได้เป็นอย่างดี   เพราะหัวใจสำคัญขององค์คุณธรรมทั้ง 8  ประการนั้นอยู่ที่ ความพอดี  ความถูกต้อง  ความเหมาะสม (สัมมา)

 

                5.2.2  แนวคิดเรื่องความสันโดษ  ความสันโดษในทางพุทธศาสนานี้ หลายคนในสังคมยังไม่มีความเข้าใจถึงความหมายหรือลักษณะดีเท่าที่ควร มีไม่น้อยคนเลยที่เข้าใจว่าความสันโดษ คือ ความขี้เกียจ การไม่ขวนขวายดิ้นรน ไม่ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงพัฒนา  ซึ่งเป็นเหตุให้ชีวิตตกต่ำ  สังคมและประเทศชาติก็ไม่ได้รับการพัฒนา  เพราะว่าหลักคำสอนเรื่องสันโดษ ทำให้คนงอมืองอเท้า เป็นคนเกียจคร้าน ไม่มีความกระตือรือร้นในการทำงานหรือการประกอบอาชีพ เป็นต้น  ถือว่าเป็นความเข้าใจผิดจากหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างมาก  เพราะฉะนั้น  จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่เราควรจะทำความเข้าใจให้กระจ่างเรื่องความสันโดษ  อันนับได้ว่าเป็นรากฐานสำคัญของชีวิตที่พอเพียง 

                คำว่า “สันโดษ”  ตรงกับภาษาบาลีว่า “สนฺตุฏฺฐิ”  มีความหมายดังที่ปรากฏในมังคลัตถทีปนี   3  นัย  (มหามกุฏาราชวิทยาลัย, 2515 : 224)   ได้แก่                         

                1) สันโดษ  แปลว่า  ยินดีสิ่งที่เป็นของตน  กล่าวคือ ความพอใจของซึ่งเป็นส่วนของตน ไม่แสดงอาการรังเกียจหรือดูถูกปัจจัยสิ่งของต่าง ๆ ที่ตนเองหามาได้จากการทำหน้าที่การงานต่าง ๆ โดยชอบธรรม  ทั้งในเวลารับ ทั้งในเวลาใช้สอย  ไม่ว่าสิ่งที่ตนได้มาเป็นของตนนั้น จะเป็นสิ่งที่ดี  ประณีตสวยงามหรือไม่ก็ตาม  ก็ยินดีด้วยสิ่งนั้น  ด้วยความรู้สึกที่ว่า  เราได้มันมาเป็นสมบัติของเราโดยถูกต้อง  ไม่ผิดศีลธรรม กฏหมายบ้านเมืองและจารีตประเพณีต่าง ๆ 

                2) สันโดษ  แปลว่า  ยินดีในสิ่งที่มีอยู่  กล่าวคือ มีความพอใจยินดีในปัจจัยสิ่งของทรัพย์สินเงินทองที่เราได้มาแล้ว  โดยปราศจากความรู้สึกมักมาก เสียใจ  มีอยู่เท่าใด  ก็พอใจเท่านั้น  ไม่ทะยานอยากได้ในสิ่งที่มีไม่ได้และไม่ได้มี  ไม่ปรารถนามากเกินกำลังความสามารถของตน  และไม่มีความทะยานอยากได้ของผู้อื่นมาเป็นของตน   ซึ่งหมายถึง  รู้จักพอประมาณนั่นเอง  

                3) สันโดษ แปลว่า ยินดีด้วยใจที่เสมอ  กล่าวคือ  การละจากความรู้สึกยินดียินร้ายในสิ่งที่น่าชอบใจน่าปรารถนา และในสิ่งที่ไม่น่าชอบใจไม่น่าปรารถนาซึ่งในทางพระเรียกว่า  อิฏฐารมณ์และอนิฏฐารมณ์    ความสันโดษตามความหมายนัยนี้  มุ่งถึงการวางใจเป็นกลาง  ไม่เอนเอียง  ไม่หวั่นไหวไปตามอารมณ์ต่าง ๆที่มากระทบ  อันเป็นเรื่องของโลกธรรม  ทั้ง  8  ประการ  คือ  ได้ลาภ  เสื่อมลาภ  ได้ยศ  เสื่อมยศ   สรรเสริญ  นินทา  สุข และทุกข์   ความไม่เอนเอียงในจิตใจนี้  เกิดจากการพิจารณาด้วยปัญญาเพื่อให้เข้าใจทุกสิ่งตามความเป็นจริงตามกฏเกณฑ์ของธรรมชาติ  เช่นที่ว่า  “ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดจากปัจจัยปรุงแต่งล้วนไม่แน่นอน(อนิจจัง) มีความเกิดขึ้น(อุปปาทะ) ในเบื้องต้น  มีความตั้งอยู่ (ฐิติ) ในท่ามกลางและมีความดับสลายไป (ภังคะ) ในที่สุด  ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดจากปัจจัยปรุงแต่ง ไม่มีสิ่งใดคงทนอยู่ในสภาพเดิมได้(ทุกขัง)และทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง  ไม่ใช่สัตว์บุคคล  ไม่ใช่ตัวตนเราเขา  เราไม่สามารถบังคับให้เป็นไปดังใจเราปรารถนาได้ทุกอย่างไป (อนัตตา)”  ดังนี้  เมื่อเรามีความเข้าใจอย่างนี้  ก็จะทำให้มีจิตใจที่สม่ำเสมอในทุกอารมณ์ที่มากระทบจิต  มีทัศนคติเห็นภาพรวมของสรรพสิ่งเสมอกัน   ไม่เดือดร้อนใจกับสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา  ไม่ลิงโลดใจกับสิ่งที่น่าปรารถนา  ลักษณะนี้เรียกว่า  ผู้สันโดษด้วยใจที่เสมอ

                จากความหมายของ “สันโดษ” ทั้ง 3 นัยนี้  สรุปได้ว่า  ความสันโดษ  หมายถึง  ความพอใจยินดีในสิ่งที่ตนมี ตนได้ ด้วยจิตใจมั่นคง  ความสันโดษในทางพุทธศาสนาจึงเป็นเรื่องของการวางใจไม่ให้เป็นทุกข์  ยอมรับสภาพความเป็นจริงเกี่ยวกับการมีการได้นั่นเอง  หากทำได้อย่างนี้ก็ถือว่า มีจิตใจที่ดีงามและถือว่ามีทรัพย์ภายในอันสำคัญทีเดียว  ดังพระพุทธพจน์ที่ว่า  “ทรัพยมีความสันโดษเป็นอย่างยิ่ง”  ( ขุ.ธ. 25/25/29)  

                ในยุคปัจจุบันนี้  มีปัญหาทางสังคมมากมายที่เกิดขึ้นเพราะขาดความสันโดษ  แต่กลับมีธรรมที่เป็นฝ่ายตรงข้ามกับสันโดษเข้าแทนที่  คือ  ตัณหา  ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญของการดำเนินชีวิตตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง   การพยายามทำความเข้าใจเรื่องสันโดษในสังคมไทย  ให้เห็นว่า ความสันโดษเป็นเรื่องของสภาพจิตใจที่ยอมรับความเป็นจริงอย่างมีเหตุผล  ไม่ใช่การงอมืองอเท้า   เกียจคร้านอย่างที่เข้าใจกันโดยมากนั้น  เป็นเรื่องที่มีความจำเป็น  และที่สำคัญต้องตระหนักเสมอว่า  ความสันโดษมิใช่เป็นหลักธรรมที่จะปฏิบัติเพียงอย่างเดียวแล้วจะบรรลุคุณความดีได้  เพราะเวลาที่พระพุทธเจ้าตรัสถึงเรื่องสันโดษ พระองค์จะตรัสย้ำว่าให้มีความสันโดษในวัตถุที่เกินความจำเป็นแต่ไม่ให้สันโดษในธรรมและให้มีความเพียรพยายามกำกับในการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ เสมอ(ที.ม. 12/25/254)  หลักสันโดษจึงเป็นอีกแนวคิดหนึ่งซึ่งสามารถส่งเสริมแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงได้เป็นอย่างดี 

 

5.3.3  แนวทางการนำหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาไปใช้ประโยชน์ในปัจจุบัน

                แนวคิดเรื่องความสันโดษ  จัดเป็นหลักธรรมพื้นฐานที่สำคัญของชีวิตที่พอเพียง และเป็นเสมือนธรรมฝ่ายรับ คือ เป็นคุณธรรมที่มีไว้สำหรับรับกับสถานการณ์ต่าง ๆ ในชีวิต  เพื่อให้ชีวิตดำรงอยู่ได้ด้วยภาวะจิตที่เป็นสุข   ซึ่งควรเชื่อมโยงกับหลักธรรมฝ่ายรุกอีกประการหนึ่ง  อันเป็นหลักที่จะอำนวยสุขในชีวิตปัจจุบัน กล่าวคือ หลักทิฏฐธัมมิกัตถะ  4  (ประโยชน์ในภพปัจจุบัน)  พระพุทธองค์ได้ตรัสสอนแก่อุชชัยพราหมณ์  ในขณะที่เข้าไปเฝ้า  เพื่อกราบทูลขอให้พระองค์แสดงธรรมที่เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขในปัจจุบันและธรรมที่เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขภายหน้าให้ฟัง  เนื่องจากตนจะย้ายไปอยู่ในต่างถิ่น  พระพุทธองค์จึงตรัสสอน ดังความปรากฏในพระไตรปิฎกตอนหนึ่งว่า

                ดูฏ่อนพราหมณ์  ธรรม  4 ประการนี้  เป็นไปเพื่อประโยชน์  เพื่อความสุขในปัจจุบัน  กล่าวคือ  อุฏฐานสัมปทา  อารักขสัมปทา  กัลยาณมิตตตา  และสมชีวิตา

                (1) อุฏฐานสัมปทา  เป็นอย่างไร?  คือ กุลบุตรหาเลี้ยงชีพด้วยความขยันในการงาน…เธอเป็นผู้ขยันชำนิชำนาญ  ไม่เกียจคร้านในงานนั้น  ประกอบด้วยปัญญาเครื่องสอบสวน  ตรวจตรา รู้จักวิธีปฏิบัติในเรื่องนั้น ๆ  สามารถทำ  สามารถจัดการ นี้เรียกว่า  อุฏฐานสัมปทา

                (2) อารักขสัมปทา  เป็นอย่างไร ?  คือ  กุลบุตรมีโภคทรัพย์มาก  ที่หามาได้ด้วยความขยันหมั่นเพียรแล้ว…เธอจัดการคุ้มครองโภคทรัพย์เหล่านั้นไว้โดยพิจารณาว่าทำอย่างไร  พระราชาทั้งหลายจะไม่พึงริบโภคทรัพย์เหล่านั้นเสีย  พวกโจรไม่พึงลักไปเสีย  ไฟไม่พึงไหม้ไปเสีย  น้ำไม่พึงพัดพาไปเสีย  นี้เรียกว่า  อารักขสัมปทา

                (3)  กัลยาณมิตตตา  เป็นอย่างไร? คือ กุลบุตรเข้าอาศัยอยู่ในหมู่บ้านหรือตำบลใดก็ตาม  เธอเข้าสนิทสนมสนทนาปราศัย  ถกถ้อยปรึกษากับท่านที่เป็นคหบดีบ้าง  บุตรคหบดีบ้าง  พวกคนหนุ่มที่มีความประพฤติเป็นผู้ใหญ่บ้าง  คนสูงอายุที่มีความประพฤติเป็นผู้ใหญ่บ้าง  ผู้ประกอบด้วยศรัทธา…ศีล…จาคะ…และ(ปัญญา)เธอศึกษาเยี่ยงอย่างความเพียบพร้อมด้วยศรัทธา…ศีล…จาคะ…(และ)ปัญญาของเขา…นี้เรียกว่า  กัลยามิตตตา

                (4)  สมชีวิตา เป็นอย่างไร ? คือ  กุลบุตรเป็นผู้เลี้ยงชีวิตเหมาะสม  ไม่ให้ฟุ่มเฟือยเกินไป  ไม่ให้ฝืดเคืองเกินไป  โดยรู้เข้าใจทางเพิ่มพูนและทางเสื่อมถอยแห่งโภคทรัพย์ ว่าทำอย่างนี้รายได้ของเราจึงจะเหนือรายจ่าย  และรายจ่ายของเราจึงจักไม่เหนือรายได้  เปรียบเหมือนคนชั่งหรือลูกมือคนชั่ง  ยกตราชั่งขึ้นแล้วย่อมรู้ว่าหย่อนไปเท่านั้น หรือเกินไปเท่านี้  ถ้าหากกุลบุตรนี้มีรายได้น้อย  แต่เลี้ยงชีวิตอยู่อย่างฟุ่มเฟือย  ก็จะมีผู้กล่าวหาเอาได้ว่า กุลบุตรผู้นี้ใช้สมบัติเหมือนกินมะเดื่อ  ถ้ากุลบุตรนี้มีรายได้มาก  แต่เลี้ยงชีวิตอย่างฝืดเคือง  ก็จะมีผู้กล่าวหาได้ว่า กุลบุตรผู้นี้คงจะตายอย่างคนอนาถา  แต่ด้วยเหตุที่กุลบุตรเลี้ยงชีวิตเหมาะสม…จึงเรียกว่า  สมชีวิตา

                ดูก่อนพราหมณ์  โภคะที่เกิดขึ้นโดยชอบอย่างนี้แล้ว ย่อมมีช่องทางเสื่อม(อบายมุข) 4  ประการ คือ เป็นนักเลงเที่ยวผู้หญิง  เป็นนักเลงดื่มสุรา  เป็นนักเลงเล่นการพนันและคบคนชั่วเป็นมิตร …”   

                ต่อจากนั้น พระองค์ก็ได้ตรัสประโยชน์ที่ควรบำเพ็ญเพื่อผลในภพหน้าที่เรียกว่า สัมปรายิกัตถะ  4  ประการ  คือ  สัทธาสัมปทา (ความถึงพร้อมด้วยศรัทธา) สีลสัมปทา (ความถึงพร้อมด้วยศีล)  จาคะสัมปทา(ความถึงพร้อมด้วยความเสียสละ)และปัญญาสัมปทา(ความถึงพร้อมด้วยปัญญา) แก่พราหมณ์       

                จากพระพุทธพจน์ดังกล่าวนี้  ย่อมทำให้เราเข้าใจแจ่มแจ้งในเรื่องประโยชน์สุขในปัจจุบันว่า  การจะดำเนินชีวิตให้เกิดประโยชน์สุข  มีฐานะมั่นคง  สมบูรณ์ได้นั้น  จำเป็นจะต้องมีธรรม  4  ประการ  ซึ่งโบราณท่านเรียกว่า  หัวใจเศรษฐี (อุ   อา  ก  ส)  โดยสรุปคือ 

                (1)  ขยันสรรหา  (อุฏฐานสัมปทา) ได้แก่  ขยัน มานะ บากบั่น  ต่อสู้  ไม่ย่อท้อ ไม่เกียจคร้าน  ในการทำกิจหน้าที่การงาน โดยทำงานต่าง ๆ ด้วยความชำนิชำนาญ  ด้วยความรู้ความเข้าใจ

                (2)  รักษาดี (อารักขสัมปทา)  ได้แก่  รู้จักเก็บออม คุ้มครองรักษาทรัพย์ที่หามาได้  ไม่ให้สูญหายหรือเสียหาย  ด้วยกรณีต่าง ๆ

                (3) มีกัลยาณมิตร (กัลยาณมิตตตา) ได้แก่  สมาคมกับมิตรที่ดี  เพราะมิตรดีย่อมไม่ชักนำในทางเสื่อมเสีย  และสามารถชี้แนะ ให้คติในการดำเนินชีวิตแก่ผู้อื่น

                 (4)  เลี้ยงชีวิตพอเพียง (สมชีวิตา) ได้แก่ รู้จักจับจ่าย  ใช้สอยให้เหมาะสมกับฐานะและความจำเป็น  โดยมีหลักสันโดษเป็นพื้นฐาน 

                นอกจากนี้  การที่จะให้ฐานะชีวิตมั่นคง และมีชีวิตที่เป็นสุขได้นั้น  ก็ต้องเลี่ยงอบายมุขให้ได้  ดังที่พระพุทธองค์ทรงสอนไว้ในตอนท้ายของพระพุทธพจน์ข้างต้น  เพราะอบายมุขนั้น  ล้วนเป็นส่วนเกินของชีวิตและนำพาชีวิตให้มัวเมา  จนต้องเสียหาย  เสียศูนย์และสูญเสียในที่สุด  ด้วยว่า  การเป็นนักเลงเที่ยวผู้หญิงก็ดี   เป็นนักเลงดื่มสุราก็ดี  เป็นนักเลงเล่นการพนันก็ดี  คบคนชั่วเป็นมิตรก็ดี   ล้วนเกินมาจากตัณหา  ซึ่งมีอวิชชาเป็นมูลรากและมีความทุกข์เป็นดอกผล   ทุกท่านผู้หวังความเจริญจึงควรหลีกเว้นให้ไกล  ดุจหลีกหนีอสรพิษที่มีพิษร้าย  ไม่ควรเข้าใกล้  ไม่ควรส้องเสพโดยเด็ดขาด

เราควรหันมาทำความศึกษาพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ให้ชัดเจน  เพื่อหาทางแก้ปัญหาและนำไปประพฤติปฏิบัติให้บรรลุวัตถุประสงค์   โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันที่เราได้ยินคำว่า  “เศรษฐกิจพอเพียง” หรือ “ชีวิตพอเพียง”  กันอยู่นี้  ถือเป็นช่วงโอกาสสำคัญ  ที่เราจะได้เลือกดำเนินชีวิตให้ถูกต้องเพื่อวิกฤติทางเศษฐกิจและสังคมจะได้ลดลง   ที่สำคัญหากทุกคนจับประเด็นสำคัญของการดำเนินชีวิตทั้งในแง่เป้าหมาย และวิธีการได้ คือ มีความสันติสุขเป็นเป้าหมาย มีหลักการดำเนินชีวิตที่พอเพียงตามแนวพุทธศาสนา เป็นวิธีการที่อาศัยสันโดษเป็นพื้นฐาน อาศัยทิฏฐธัมมิกัตถะ 4 เป็นกระบวนการและอาศัยการเว้นจากอบายมุขทุกชนิดเป็นกำแพงกั้นความเสื่อม   เชื่อแน่ว่า  ความสันติสุขของบุคคลและสังคมอยู่จะเป็นจริงได้อย่างยั่งยืน 

 

6.  บทสรุป

วิกฤตการณ์ต่าง ๆ ทางเศรษฐกิจและสังคมที่ผ่านมาในสังคมโลกและสังคมไทย  ถือเป็นบทเรียนอันล้ำค่าที่ชาวไทยทุกคน ควรทำความเข้าใจ  เพื่อสืบเสาะหาสาเหตุแห่งปัญหานั้น ๆ แล้วดำเนินการหาวิธีแก้ไขปัญหา  ตามหลักอริยสัจ 4  ได้แก่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ  มรรค  โดยมุ่งแก้ปัญหาที่สาเหตุแห่งทุกข์ ได้แก่ ตัณหา กล่าวคือ ความทะยานอยากหรือความต้องการที่ไม่รู้จักพอของมนุษย์  เพราะหากบรรเทาหรือหยุดอำนาจของตัณหาภายในบุคคลเสียได้ก็สามารถแก้ไขปัญหาทั้งมวลของมนุษย์ได้   ซึ่งจำเป็นต้องใช้มรรควิธี คือ ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงซึ่งเป็นแนวคิดเศรษฐกิจที่อยู่บนฐานของความรู้และคุณธรรมตามหลักพุทธศาสนามาเป็นเครื่องขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ

                แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง เป็นแนวคิดที่เกิดจากพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ที่ทรงมุ่งหมายให้สังคมไทยเป็นสังคมที่พึ่งตนเองได้  โดยพระองค์ได้ทรงมีพระราชกระแสรับสั่งอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ พ.ศ.2516  จากนั้น  พระองค์ได้ทรงปฏิบัติพระองค์เป็นแบบอย่างในแนวทางของความพอเพียงอย่างต่อเนื่อง และทรงมีพระราชดำริเกี่ยวกับ “ทฤษฎีใหม่”  เพื่อส่งเสริมให้พสกนิกรในภาคเกษตรมีชีวิตที่พอเพียงอย่างประสบผลสำเร็จ  ถึงแม้ว่าในระยะแรกภาครัฐยังไม่ได้สนใจทุ่มเทกับแนวพระราชดำริอย่างจริงจังมากนัก  จนกระทั่งเกิดปัญหาภาวะวิกฤติทางเศรษฐกิจ เมื่อปี พ.ศ. 2540  แนวคิดเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงซึ่งเป็นกระแสพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ จึงได้ถูกนำเสนออย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ปัจจุบันปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง  เติบโตและขยายผลออกไปจากภาวะที่เป็นปัญหา  จนสามารถดำรงอยู่ในสังคมไทยได้อย่างมีศักดิ์ศรีและเป็นที่ยอมรับของสังคมโลก  เพราะเป็นแนวคิดที่ได้อาศัยพื้นฐานจากวิถีชีวิตดั้งเดิมของคนไทยและแนวธรรมคำสอนในทางพุทธศาสนามาเป็นแกนสำคัญ  คือ ทางสายกลาง และความสันโดษ  ซึ่งเป็นที่มาของความพอเพียง อันหมายถึง ความพอประมาณ ความมีเหตุผล รวมถึงความจำเป็นที่จะต้องมีระบบภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีพอสมควร ต่อการมีผลกระทบใดๆ อันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทั้งภายนอกและภายใน โดยอาศัยความรอบรู้ ความรอบคอบ และความระมัดระวังอย่างยิ่งในการนำวิชาการต่างๆ มาใช้ในการวางแผนและการดำเนินการทุกขั้นตอน  ขณะเดียวกัน จะต้องเสริมสร้างพื้นฐานจิตใจของคนในชาติ ให้มีสำนึกในคุณธรรม  ความซื่อสัตย์สุจริตและให้มีความรอบรู้ที่เหมาะสม ดำเนินชีวิตด้วยความอดทน ความเพียร มีสติ ปัญญา และความรอบคอบ เพื่อให้สมดุลและพร้อมต่อการรองรับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและกว้างขวางทั้งด้านวัตถุ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรมจากโลกภายนอกได้เป็นอย่างดีซึ่งจะทำให้บรรลุเป้าหมาย คือ ศักยภาพในการพึ่งตนเองและดุลยภาพแห่งการพัฒนาที่ยั่งยืน

จากการศึกษาวิเคราะห์แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงแล้วนำมาวิเคราะห์หลักธรรมทางพุทธศาสนาประกอบกัน  พบว่า  แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงมีความสอดคล้องกับหลักธรรมทางพุทธศาสนาหลาย ๆ ประการ  จึงอาจกล่าวได้ว่าแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงเป็นส่วนหนึ่งของพุทธศาสนา  เพราะมีหลักธรรมทางพุทธศาสนาปรากฏในแนวคิด ช่วยส่งเสริม  สนับสนุน  สร้างความมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการดำเนินชีวิตตามแนวเศรษฐกิจพอเพียงได้เป็นอย่างดี

                เมื่อเป็นเช่นนี้  การส่งเสริมให้มีการเผยแผ่แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงควบคู่กับการเผยแผ่หลักธรรมทางพุทธศาสนา จึงเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อสังคมไทยเป็นอย่างยิ่ง  พุทธศาสนิกชนก็จะได้รับประโยชน์จากการนับถือศาสนาได้อย่างเต็มที่   ในอีกด้านหนึ่ง  แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงซึ่งกำลังเป็นที่แพร่หลายอยู่นี้ก็จะมีความชัดเจนในเชิงนโยบายมากขึ้น  และในทางปฏิบัติเมื่อนำพุทธศาสนามาควบคู่กันด้วยก็ยิ่งทำให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลดียิ่งขึ้นด้วย

 อ่านบทความตอนที่ 1 ได้ที่นี่ค่ะ

http://gotoknow.org/blog/praearticle/385229

 บรรณานุกรม

ญาณภัทร   ยอดแก้ว . 2552. พุทธศาสนากับแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง. บทความ, คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม.

พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโต). 2546. พุทธธรรม. พิมพ์ครั้งที่ 11. กรุงเทพฯ: มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย.

มหามกุฏราชวิทยาลัย.  2533.  มังคลัตถทีปนีแปล เล่ม 4. พิมพ์ครั้งที่ 11. กรุงเทพฯ: มหามกุฏราชวิทยาลัย.

มหามกุฏราชวิทยาลัย.  2538. สฺยามรฏฺฐสฺส  เตปิฏกํ. เล่มที่ 4,12, 20, 25, 26, 34  และ 34. พิมพ์ครั้งที่ 4. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลัย.

สำนักงานประสานงานนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติฯ. 2549. สมุดบันทึกเศรษฐกิจพอเพียง. (พิมพ์แจกในงานนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติฯเนื่องในโอกาสการจัดงานฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี). กรุงเทพฯ: บริษัท อาร์ ซี แอล จำกัด (มหาชน).

อภิชัย  พันธเสน, ศ.ดร. และคณะ. 2550. สังเคราะห์องค์ความรู้เศรษฐกิจพอเพียง. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ: สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.).

อภิชัย  พันธเสน, ศ.ดร. 2551.  การวิจัยและพัฒนาเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียง.  กรุงเทพฯ: ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาพลังแผ่นดินเชิงคุณธรรม (ศูนย์คุณธรรม)

วรรณสิทธิ  ไวทยะเสวี.  2549. คู่มือการศึกษาพระพุทธศาสนา.  กรุงเทพมหานคร: หจก.ทิพย์สุทธิ์ จำกัด. 

ศุภวุฒิ สายเชื้อ. 2546. เศรษฐศาสตร์จานร้อน : ทุนนิยมฉบับชาวบ้าน

หมายเลขบันทึก: 385231เขียนเมื่อ 16 สิงหาคม 2010 10:43 น. ()แก้ไขเมื่อ 24 มิถุนายน 2012 03:03 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (5)

ขอบคุณที่แบ่งปันนะคะ..ทั้งสองหลักเป็นทางสายกลาง..มีความรู้ความเข้าใจเป็นแกนนำ   พุทธศาสนาสร้างสรรค์พฤติกรรมและจิตใจให้ดีงาม ไม่เบียดเบียนผู้อื่นและตนเอง   สามารถส่งเสริมและสนับสนุนแนวทางปฏิบัติในการดำเนินชีวิตตามแนวเศรษฐกิจพอเพียงได้เป็นอย่างดีค่ะ

ขอบคุณที่แบ่งปันคับ ชัดเจนๆ ขอเสริมว่าเรารู้เค่หลักธรรม ก็ไม่มีประโยชน์เท่าไหร่คับ มันก็คงจะยังทำชั่วได้อยู่เรือ่ยไป น่าจะมีสมาธิมาคอยย้ำเตือน อยู่ด้วยควบคู่กับหลักธรรม ชีวิตของเราคงจะไม่หงอยเหงา แต่จะสบายใจมากขึ้น

สาธกับบทวิจัยที่มีประโยชน์นี้ครับ

ขอบคุณมากค่ะ

สำหรับทุกกำลังใจ จากการแสดงความคิดเห็น

จะพยายามเขียนต่อไปค่ะ

เป็นบทความทางศาสนาที่ลึกซึ้งครับ

อ่านเข้าใจได้

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท