Praepattra
ผู้ช่วยศาตราจารย์ Praepattra Kiaochaoum

ตอนที่ ๒ ความลี้ลับแห่งขุนเขา


พระครูปลัดวีระนนท์ วีรนนฺโท : เจ้าอาวาสวัดป่าเจริญราช http://www.veeranon.com/

ออกเดินธุดงค์ครั้งแรกในชีวิต


พระหนุ่มออกเดินทางจากจังหวัดร้อยเอ็ดมุ่งหน้าสู่จังหวัดกาฬสินธ์ุ หากถามว่าท่านรู้ได้อย่างไรว่าจะต้องเดินไปทางไหนนั้น ก็มิสามารถจะชี้แจงได้เพียงแต่อาศัยความรู้สึกลึกๆเป็นตัวชี้ทาง บางทีท่านเองก็รู้สึกงงๆเช่นกัน

พอเดินทางไปถึงจังหวัดกาฬสินธ์ุบริเวณอำเภอกุสินารายณ์ ท่านเองก็รู้สึกว่าตัวเองเหมือนกับรถยนต์ ซึ่งใช้เวลาในการเดินทาง ๕ วัน

พระหนุ่มคิดเปรียบเทียบไปว่าชีวิตของเราทุกคนก็เสมือนรถที่แล่นไปข้างหน้าอยู่ตลอดเวลาทุกนาที หากชีวิตขับเคลื่อนอยู่ไม่หยุดนิ่ง น้ำมันแห่งชีวิตก็จะค่อยๆหมดลงไปเรื่อยๆ

ในขณะเดียวกันคนทั่วไปก็มักจะหลงเพลิดเพลินอยู่กับสิ่งล่อตาล่อใจภายนอกร่างกาย จนลืมนึกถึงคุณค่าของชีวิตที่มีอยู่ในขณะนั้น ๆ โดยปกติแล้วสิ่งไหนที่อยู่ใกล้ตัวเรา เรามักจะไม่เห็นคุณค่าของสิ่งนั้นมากนัก เหมือนกับขนตาที่อยู่ติดกับตา จึงทำให้เรามองไม่เห็นขนตาตัวเอง ชีวิตของมนุษย์มีคุณค่าสูงส่งมากมายมหาศาลตามความประพฤติที่ดีงามของตัวเอง ขึ้นอยู่กับว่าเราสามารถส่งเสริมคุณค่าให้กับตัวเราเองได้มากน้อยเพียงใด เราจึงจะสามารถใช้ชีวิตให้คุ้มค่ากับการที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์

มนุษย์ที่จะมีคุณค่าได้ก็ต้องสร้างตัวเองให้มีคุณค่ามีทั้งคุณค่าภายนอกและคุณค่าภายใน จึงจะเรียกว่าคุณค่าของความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ โดยการอาศัยวิธีฝึกตนเองให้มีศักยภาพที่สูงค่า โดยวิธีประพฤติปฏิบัติทั้งทางกายและทางจิตให้มีศักยภาพเสมอกันก็จะเรียกว่าศักยภาพของความเป็นมนุษย์ สมรรถภาพของรถยนต์ก็คล้ายๆกัน คือ ทนทานต่อสิ่งที่มากระทบได้นานและมั่นคงนั่นเอง


เปรียบมนุษย์เหมือนรถบรรทุก

 

     การเดินธุดงค์ไปตามหาหลวงปู่มั่นก็เช่นเดียวกัน ต้องเดินลัดเลาะ ตัดไปตามป่าเขาน้อยเขาใหญ่ มองดูตัวเองก็ไม่ต่างกับรถบรรทุกของที่หนัก เพราะเวลาเดินไปข้าวของต่างๆ ก็อยู่บนไหล่ของเรา และถ้ามีตัวเราอยู่ ความหนัก ความวิตกกังวลก็มีมากขึ้น เพราะเราไม่อยากแบกเอาของที่หนักไปด้วย แต่พอมานึกถึงประโยชน์ที่จะใช้ก็ต้องทนแบกต่อไป โดยเฉพาะการแบกขันธ์ห้าสุดแสนที่จะหนัก แต่ก็วางลงได้ยากมากๆเช่นกัน

     ในระยะเวลาประมาณวันที่ ๑๕ ของการออกเดินธุดงค์พระหนุ่มก็เดินมุ่งหน้าไปยังอำเภอกุสินารายณ์ จังหวัดกาฬสินธ์ุ

การเดินธุดงค์ไปเส้นทางภูพานในระยะนั้น ต้นไม้ใหญ่ๆก็ยังมีให้เห็นอยู่มากพอสมควร ในช่วงเวลากลางวันก็พอจะเห็นผู้คนที่ไปหาของป่าบ้าง แต่สำหรับเวลากลางคืนกลับเป็นสถานที่อันสงบเยือกเย็นไม่มีแม้แต่เสียงนกร้อง แต่ในบางครั้งพอมีเสียงสัตว์ป่าร้องหาเพื่อน ก็ทำให้พระหนุ่มต้องหันไปมองซ้ายมองขวาแต่ก็พบเห็นเพียงแต่ต้นไม้ ถ้าเป็นช่วงเวลาข้างขึ้นก็จะเห็นแต่เงาต้นไม้ใหญ่ ดูไปก็รู้สึกวังเวงเปล่าเปลี่ยวยิ่งนัก

ขุมสมบัติในป่า


     มีอยู่ค่ำคืนหนึ่งขณะที่พระหนุ่มกำลังเดินจงกรมอยู่นั้นก็ปรากฏมีผู้เฒ่าชาย ดูลักษณะการพูดจาแล้วเหมือนเป็นคนเผ่าผู้ไท ซึ่งเป็นคนไทยเผ่าหนึ่งที่อาศัยอยู่บริเวณจังหวัดกาฬสินธ์ุ  จังหวัดอุดรธานี  บริเวณอำเภอวังสามหมอและจังหวัดสกลนครอยู่แถวตามแนวเทือกเขาภูพานอดีตเป็นพื้นที่สีแดง เดินตรงเข้ามาหาพระหนุ่มแล้วเอ่ยถามว่า "ท่านมาทำอะไรแถวนี้"

พระหนุ่มตอบกลับไปว่า "มาธุดงค์ปฏิบัติธรรม"

คนเผ่าผู้ไทจึงถามต่อว่า"ท่านมาคนเดียวท่านไม่กลัวหรือ"

"กลัวอะไรหรือโยม" พระหนุ่มถามกลับ

ก็ได้คำตอบว่า "นักศึกษาเข้าป่ามาตายแถวนี้เยอะมาก"

ท่านจึงตอบว่า "ไม่เป็นไรหรอกโยม ต่างคนต่างอยู่ เราไม่เบียดเบียนกัน อาตมาว่าทางใครทางมันนะ อาตมาทำหน้าที่ของพระ นักศึกษาก็ทำหน้าที่ของนักศึกษา"

ผู้เฒ่าจึงถามอีกว่า"ท่านไม่กลัวพวกคอมมิวนิสต์หรือ"

"ไม่กลัวหรอกโยม เพราะเขาไม่ใช่โจรและเขาก็เป็นคนไทยเหมือนอาตมา เขายังมีความรู้มากอีกด้วย ศึกษาหาความรู้จากมหาวิทยาลัยคงจะเป็นคนที่มีเหตุผลพอสมควร"

พระหนุ่มชี้แจง แล้วผู้เฒ่าผู้ไทคนนั้นพูดขึ้นว่า "ท่านอยากได้ทรัพย์สมบัติไหม โยมเห็นอยู่ที่ถ้ำนั้นเยอะแยะเลย"

พระหนุ่มแกล้งตอบว่า "อาตมาอยากได้สมบัติเหมือนกันที่อาตมามาเดินธุดงค์ครั้งนี้ก็หวังว่าจะได้สมบัติเอาไปไว้กินไว้ใช้"

ผู้เฒ่าจึงบอกว่า "ถ้าท่านอยากได้ โยมจะพาไปเอาสมบัติ ย่ามของท่านไม่พอใส่หรอก" แล้วเขาก็เดินนำหน้าพาไป ท่านก็เดินตามไป

ผู้เฒ่าคนนั้นก็หันกลับมาดูแล้วพูดว่า "อ้าว! แล้วท่านไม่เอาอะไรไปใส่หรือ"

ผู้ออกธุดงค์จึงบอกว่า "ไม่หรอกโยมอาตมาไปดูเฉยๆ อาตมาไม่อยากได้สมบัติที่เป็นสิ่งของ"

แล้วเขาก็ถามขึ้นว่า "ท่านอยากได้สมบัติอะไร"

พระหนุ่มตอบว่า"นิพพานสมบัติ รู้จักไหมโยม อาตมาออกธุดงค์เพื่อหานิพพานสมบัติของพระพุทธองค์ สมบัตินี้ไม่หนัก สมบัติที่หนัก อาตมาไม่เอา โยมเก็บเอาไว้เอง เถอะ"

ขณะที่เดินไปผู้เฒ่าบอกว่า "ผมปวดท้อง" แกก็เดินหลบไปหลังพุ่มไม้ และหายตัวไปทันทีพระหนุ่มก็ไม่เคยเห็นผู้เฒ่านั้นอีกเลย

     เมื่อเดินทางต่อไปจนถึงภูอธิษฐาน ซึ่งเป็นภูเขาลูกหนึ่งที่อยู่บนภูเขาภูพาน บริเวณยอดตรงกลาง มีหนองน้ำอยู่บนนั้นมีความกว้างใหญ่ประมาณสัก ๔ ไร่ หนองน้ำนี้จะมีสัตว์หลากหลายชนิดมาดื่มกินน้ำที่หนองน้ำแห่งนี้ โดยเฉพาะช่วงเวลาประมาณ ๔-๕ โมงเย็น พระหนุ่มเดินทางมาเจอหนองน้ำนี้โดยความบังเอิญ ขณะที่เดินอยู่ได้เห็นโยมผู้เฒ่าอายุประมาณ ๗๐ ปีกำลังฟันไม้อยู่

ท่านจึงเข้าไปถามว่า "โยมแถวนี้มีน้ำหรือไม่"

โยมผู้เฒ่าคนนั้นก็ชี้ไปทางทิศเหนือ ท่านก็เลยเดินไปตามทางที่โยมเขาชี้บอก พอได้น้ำแล้ว ขากลับขึ้นมา คิดว่าจะถามทางเดินกลับสักหน่อย แต่ไม่รู้โยมหายไปไหนเสียแล้ว และไม่เห็นแม้แต่รอยตัดไม้ท่านก็เลยขอบคุณเขาตรงนั้น แล้วออกเดินทางต่อไป

ปรากฏว่าหลงติดอยู่ในเขาภูพาน เดินวนไปวนมาอยู่ ๑๐ วัน จึงตั้งจิตอธิษฐานว่า

"ถ้าอาตมามีบุญจะได้บำรุงส่งเสริมพระพุทธศาสนาต่อไป  ก็ขอให้เจอทางเดินทางออกจากที่ตรงนี้เพื่อไปให้ถึงหลวงปู่มั่นด้วยเถิด"

    

เมื่ออธิษฐานจิตจบแล้ว ก็เดินมาเจอทางใหม่ที่อยู่ใกล้กันนิดเดียว นับว่าเป็นเรื่องอัศจรรย์อย่างยิ่ง การเดินทางในป่านั้นจิตคิดไปเรื่องอื่นไม่ได้ เพียงแค่ได้น้ำดื่มแล้วดีใจก็ถูกลงโทษเสียแล้ว

เมื่อเดินออกจากภูพานไปได้ ๗ วัน พระหนุ่มจึงไปถึงวัดของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต วัดป่าสุทธาวาส อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร เพื่อพิสูจน์ว่าหลวงปู่มั่นมีตัวตนจริงหรือไม่ จะได้รู้ว่าตัวเองเป็นคนบ้าหรือเปล่า ซึ่งเมื่อได้เห็นภาพถ่ายหลวงปู่มั่นที่วัดก็ทำให้พระหนุ่มปีติใจอย่างยิ่ง เพราะเป็นรูปที่เหมือนหลวงปู่มั่นที่มาสอนกรรมฐานให้ท่านในนิมิตนั่นเอง


ฝูงงูมาฟังธรรม


     พอตกตอนกลางคืนพระหนุ่มเดินจงกรมอยู่ในป่าตั้งแต่เวลา ๑๘.๐๐ - ๒๒.๐๐ น. ก็นั่งสมาธิต่อ พอนั่งไปได้สัก ๑๐ นาทีรู้สึกเหมือนมีลมพัดมาที่มือประมาณ ๔-๕ ครั้ง ดั่งมีคนมาเป่าลมใส่มืออย่างตั้งใจและเสียงดังมากขึ้น ท่านจึงลืมตาขึ้นมา เพราะคิดว่ามีพระมาเรียก แต่ภาพที่ปรากฏนั้นคือ งูหลายตัวกำลังชูหัวขึ้นเต็มไปหมดอยู่ข้างหน้า ลำตัวใหญ่ประมาณเท่ากระป๋องนมลักษณะลำตัวสีดำขลับยาวขนาดประมาณ ๑ วา

พระหนุ่มรู้สึกตกใจเล็กน้อย แล้วพูดว่า "จะมาฟังธรรมหรือ"

งูก็ส่ายหัวไปมาพระหนุ่มจึงพูดว่า "ขออภัยที่มานั่งขวางทางเดินพวกท่าน"งูจึงผงกหัวเป็นการตอบรับ

พระหนุ่มจึงขยับออกจากที่นั่งเดิมออกไปประมาณ ๑ วา แล้วพูดกับเหล่าอสรพิษว่า "อาตมาขอนั่งอยู่ตรงนี้ก็แล้วกัน ขวางทางไหม"

คราวนี้พวกมันไม่ผงกหัวแต่มันคอยจ้องมองพระหนุ่ม ไม่ยอมขยับไปไหน

พระหนุ่มจึงบอกว่า "เดี๋ยวอาตมาจะเทศน์ให้ฟัง" ว่าแล้วท่านก็พูดธรรมะให้ฝูงงูฟัง เทศน์ได้สัก ๑๐ นาที งูค่อยๆนอนราบกับพื้นดิน

พระหนุ่มจึงพูดว่า "คนที่ชอบนอนฟังเทศน์ตายแล้วไปเกิดเป็นงู ๕๐๐ ชาติ" พวกมันต่างก็พากันยกหัวขึ้น แต่เพียงสักพักเดียวมันเอาหัวลงราบกับพื้นดินอีกเหมือนเดิม

     โดยปกติแล้วพอตกกลางคืน  เมื่อเวลาเดินจงกรมพระหนุ่มจะจุดเทียนเล่มใหญ่ตั้งไว้ทางเดินจงกรมทั้งด้านหัวและท้าย ถ้าครั้งใดมีเทียนเล่มเดียวก็จุดเล่มเดียวถ้าเทียนขนาดเท่ากับเทียนจำนำพรรษาก็สามารถทำให้สว่างมองเห็นชัดเจนได้

พระหนุ่มคิดว่าคนที่ชอบนอนฟังธรรมและมักสะลึมสะลือเวลาฟังธรรม อดีตชาติคงเคยเป็นงูมาเกิดแน่นอน

     ขณะที่พระหนุ่มพูดธรรมะให้งูฟัง สังเกตว่างูหลับ ท่านจึงนั่งสมาธิเทศน์อีกสักพักหนึ่ง แล้วนั่งสมาธิต่อไปอีกประมาณ ๓ ชั่วโมง พอลืมตามาปรากฏว่างูหายไปไหนหมดแล้ว ทำให้ท่านรู้สึกแปลกใจธรรมชาติของสัตว์ป่า  บางครั้งเหมือนมันจะรู้เรื่อง บางครั้งเหมือนมันจะไม่รู้เรื่อง  แต่ก็เป็นเรื่องธรรมดาของสัตว์ เพราะจะเอาอะไรแน่นอนไม่ได้ ขึ้นอยู่กับความรู้สึกสัญชาติญาณของมัน



โปรดติดตามตอนต่อไป

 

ตอนที่ ๑ ศิษย์เอกหลวงปู่พิมพา

http://gotoknow.org/blog/prapastory/381886

 

หมายเลขบันทึก: 381897เขียนเมื่อ 5 สิงหาคม 2010 09:35 น. ()แก้ไขเมื่อ 24 มิถุนายน 2012 01:45 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

อ่านแล้ว...ชอบมาก...

จะรออ่านตอนต่อไปนะคะ

ขอหลายๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เรื่องนะคะ.....

ชื่นชม ชื่นชมคะ


สนุกมากเลยค่ะแถมให้ข้อคิดอีกเยอะมากสอนความไม่ประมาทความไม่เห็นแก่ได้  จะรออ่านตอนต่อไปนะค่ะ ชอบมากค่ะ 

 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท