นี่ไงชนบท


หนึ่ง..

 

เมื่อต้องจัดฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ใหม่ด้านพัฒนาชนบท แม้แต่ได้รับเชิญไปฝึกอบรมวิศวกรหรือผู้ที่มีพื้นฐานวิชาชีพด้านอื่นๆก็เช่นกัน ผมมักใช้เครื่องมือทดสอบความคิดรวบยอดชิ้นหนึ่งครับ..

 

โดยตั้งโจทย์ว่า ... ให้ทุกท่านเอากระดาษ A4 เอาปากกาหรือดินสอมา แล้วให้ลองใช้เวลาสัก 5 นาที ทบทวนเรื่องราวของชนบทที่ท่านรู้จัก  แล้ววาดภาพชนบทเท่าที่ท่านรู้จักออกมาให้ละเอียดที่สุดเท่าที่จะทำได้

 

เมื่อหมดเวลาให้ทุกคนจับกลุ่ม 5 คน เอารูปที่วาดนั้นมาดูร่วมกัน ซึ่งจะพบว่าคนนั้นมีสิ่งนั้นไม่มีสิ่งนี้ คนนี้มีสิ่งนี้ไม่มีสิ่งนั้น แล้วให้ทั้ง 5 คนวาดใหม่ โดยให้มีองค์ประกอบรวมทั้งหมด ..ให้เวลา 5 นาที   เอาภาพที่ได้จากกลุ่มมาติดบนกระดาน ให้ตัวแทนมาบรรยายภาพที่มีองค์ประกอบแทนเรื่องราวชนบทมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ให้ทุกคนทราบ

 

สิ่งที่พบมากที่สุดคือ ภาพนั้นมักจะมีภูเขาสองลูก มีดวงอาทิตย์ มีนกบินสองสามตัว มีต้นไม้ มีกระต๊อบ มีลำธาร มีทุ่งนา มีวัว ควาย เป็ด ไก่ .... แต่ส่วนใหญ่ไม่มี วัด พระ ภาพประเพณีต่างๆ.... สรุปแล้วมักจะได้ภาพชนบทที่เป็นลักษณะทางกายภาพเสียส่วนใหญ่  ส่วนลักษณะชนบทที่เป็นตัวแทนวัฒนธรรม ประเพณี และเรื่องราวที่คนในสังคมมีต่อกันนั้น มักไม่มีรวมอยู่ในภาพเหล่านั้น

 

สอง..

 

หลายครั้งที่ต้องเดินทางไปตามเมืองใหญ่ แม้กรุงเทพฯ จะพักตามโรงแรมระดับกลางๆ บางครั้งที่มีโอกาสพักระดับ 5 ดาว สุดเริด... วุ้ย..ค่าเช่าต่อคืนนั้นมากกว่าเงินเดือนของคนในสำนักงานบางตำแหน่งอีก ???? ทุกอย่างในโรงแรมต้องเยี่ยมไปหมด  ราคาทุกอย่างต่อรองไม่ได้ ต้องเป็นไปตามกฎที่ทางโรงแรมออกมา กำหนดขึ้นใช้กับผู้มาพักทุกคน..  แม้โรงแรม 4 ดาว 3 ดาวก็เถอะ น้ำขวดที่อยู่ในตู้เย็นนั้นหากเผลอไปดื่มเข้าละก็ บางทีคุณต้องจ่ายเป็นราคาแพงสองถึงสามเท่าราคาจริง.. เวลาเช็คบิลล์ แม้แต่เศษสตางค์ก็ต้องเป็นไปตามนั้น ไม่มีลดหย่อนผ่อนคลาย.. มันแพงฉิบ.. โรงแรมบางแห่งสภาพห้องก็อย่างงั้นๆ แต่ราคา 1,200-1,500 บาท จะเล่น internetซะหน่อยก็คิดเงิน จะกินกาแฟก็คิดเงิน .... พนักงานยกมือไหว้ พูดจายิ้มแย้มแจ่มใส แต่บาทเดียวก็ไม่ลดราคา เป็นเมืองสำหรับผู้มีเงินจริงๆ... นี่ถ้าพักสามวันห้าวันหมดตูดแน่ๆเลย..

 

สาม...

 

เมื่อผมเดินทางถึงเมืองหงสา น้องพาไปพักที่  วิลลา สีสุพัน ของเอื้อย สีสุพัน (ศรีสุพรรณ) สาวใหญ่ หน้าตายิ้มแย้ม  พูดจาไพเราะ บอกให้ไปพักห้องเบอร์ 01 และ 02 ซึ่งเป็นห้องที่มีทีวี พัดลม แอร์ฯ โต๊ะแต่งตัว ห้องน้ำในตัว โต๊ะทำงานเล็กๆ..เตียงนอนเดี่ยวใหญ่โตเพียงพอสำหรับสองคนนอน  สองห้องนี้ ดีที่สุด ห้องอื่นๆเป็นพัดลม ไม่มีทีวี ไม่มีแอร์ฯ

 

 

 

ทุกเช้า เอื้อยจะถามว่าจะทานอะไร ก็จะจัดให้ ยกเว้นไม่มีจริงๆก็บอก  และทุกครั้งที่ทานอาหารไม่ว่ามื้อไหนๆ ก็จะมีกล้วยหวีงามมาวางไว้ให้หยิบกินได้โดยไม่คิดเงิน  อาหารมื้อเย็นซึ่งเป็นมื้อใหญ่  เอื้อยจะจัดรายการให้เรียบร้อย ยกเว้นว่าจะอยากกินอะไรก็สั่งเป็นพิเศษ

  

วันหนึ่งเรานั่งทานมื้อเช้า ผมสั่งกาแฟลาวผสมโสม  กลิ่นแปลกๆ รสก็ไม่เข้มข้นตามที่ผมชอบ  แต่ก็คิดว่ามาเมืองลาวก็ต้องลองชิมของเขาดู...

 

เอื้อยมีลูกกี่คน อยู่ที่ไหน ทำไมไม่เห็นมาช่วยเอื้อยเลย...ผมยิงคำถาม..

มีลูก สามคน..คนโตมีครอบครัวอยู่เวียงจัน คนรองเรียนหนังสือที่เมืองหลวงพระบาง คนสุดท้องทำกิจการอยู่โน่นไง เอื้อยชี้มือไปที่ร้านไกลๆโน้น..  เลิกกะสามีนานแล้วตั้งแต่ลูกยังเล็กๆ  หาเงินเลี้ยงลูกมาแสนยาก  หาบของขายก็เอา...เอื้อยพูดไปน้ำตาผู้เป็นภรรยาของสามีที่เลิกกันไปก็หลั่งออกมา... เรารักเขาอยู่  แต่เขาไปมีคนใหม่ ก็อยู่หมู่บ้านใกล้ๆนี่แหละ กว่าจะมาถึงวันนี้ ตรงนี้ ยากลำบากแสนเข็ญ  แต่ก็กัดฟันสู้มา  ผู้หญิงอย่างฉันทำทุกอย่างได้... บ้านที่เวียงจันก็มี เวลาอดีตสามีไปเวียงจันฉันให้เขาไปพัก หากฉันอยู่ฉันก็หลบไปพักบ้านเพื่อน ให้เขาพักกับภรรยาใหม่ของเขา  เขาเจ็บไข้ได้ป่วย ฉันก็ยังดูแลเขา เพราะเขาไม่มีเงินทองรักษาตัวเองในบางครั้ง..

 

เมืองไทยนั้นฉันไปมาหมดทุกที่ทุกแห่ง ฉันเป็นตัวแทนของเมืองหงสาเอาผลิตภัณฑ์พื้นบ้านไปขาย ไปแสดงในนามของรัฐบาลลาว ส่วนใหญ่ก็เป็นผ้าพื้นบ้าน

 

บ้านหลังนี้ฉันทำเป็นเฮือนพัก  ออกแบบเอง  ผู้หญิงอย่างฉันออกแบบเอง ไม่ได้ฉากได้มุมหรอกเพราะฉันไม่มีความรู้.. แม้เธอจะพูดไป น้ำตาหยดไป ใบหน้าเธอก็ยิ้ม  ยิ้มสู้ชีวิตจริงๆ……

 

เย็นวันนั้น เรากินข้าวกับน้ำพริกผักสด ผักลวก  ไข่เจียวนุ่มๆจานใหญ่ ต้มยำแซบ...น้องที่ไปร่วมงานเธอเอ่ยกับเอื้อยว่า ช่วยคิดค่าใช้จ่ายทั้งหมดตั้งแต่วันที่มาด้วย..เราพบว่า ราคาค่าห้องเดิมนั้นราคา 250 บาท แต่เมื่อติดแอร์ มีทีวี ขอขยับขึ้นเป็น 350 บาท แต่ทางหน่วยงานผมมีคนมาพักบ่อยยัง advance เงินมาให้ในราคาเดิม ..เมื่อเธอทราบ เธอก็ลดราคาให้เท่าเดิม... อาหารที่กินทุกมื้อจนพุงกาง เป็นเวลา 3-4 วันนั้น ไม่ถึงพันบาท

 

คนงานในครัวและคนทำความสะอาดห้องทั้งหมดนั้น เป็นสาวชาวบ้านที่เรียก แม่ฮ้าง (สามีทิ้ง)ทั้งนั้น มาทำงานกับเอื้อย สีสุพัน และทุกคนก็ยิ้มแย้มแจ่มใส

 

 

 

 

เช้าวันถัดมา เอื้อยเล่าให้ฟังว่า...  อาจารย์ขึ้นไปนอนแล้ว ฉันได้ยินคนคุยกันที่เรือนไม้ท่ารถไปไชยบุรีนั่น ฉันสงสัยว่าใครมาทำอะไรที่นั่น  ผิดปกติ กลางคืนจะไม่มีใครมานั่งคุยแบบนั้น จึงเดินไปดู พบ 2-3 คน คนป่วยผู้เป็นแม่ เอากลับมาจาก อ.เฉลิมพระเกียรติฝั่งไทย หมอบอกว่ารักษาไม่หายแล้วให้กลับบ้านเถอะ (เธอเป็นโรคร้าย)  แต่รถมาถึงค่ำ บ้านอยู่บนดอยไกลโน้นกลับไม่ทันแล้ววันนี้ เลยจะพักที่เรือนไม้ท่ารถนี้   เอื้อยบอกผมต่อไปว่า  3 แม่ลูกไม่มีอะไรติดตัวมาเลย มุ้งก็ไม่มี ผ้าห่มก็ไม่มี ... เธอจึงเชิญให้ขึ้นไปนอนในโรงแรมของเธอ โดยไม่คิดเงิน  3 แม่ลูกขอบใจ แต่ไม่ไปนอนหรอก รบกวน.. เอื้อยจึงมาเอาน้ำอาหารไปให้ เอามุ้ง ผ้าห่มไปให้ ....

 

 

 

ผมฟังเอื้อยเล่าให้ฟังแล้ว...คิดในใจว่า เอื้อยสีสุพันท่านนี้น้ำใจเธอ จิตใจเธอ เหลือล้นจริงๆ แม้ว่าในเมืองหงสานี้ เธอจะเป็นคนหนึ่งที่ปัจจุบันมีฐานะระดับนำคนหนึ่งในเมืองนี้เพราะมีกิจการที่มั่นคงและเจริญก้าวหน้า  แต่เธอช่างแตกต่างจากคนในเมืองใหญ่ที่อื่นเสียจริงๆ

 

คิดว่าเรื่องราวทำนองนี้พบมากมายในชนบท แต่รายละเอียดเหล่านี้ไม่ได้ถูกวาดจำลองใส่ไปในภาพของ..เรื่องที่หนึ่ง  และจะไม่พบสาระความงามของชีวิตแบบนี้ที่โรงแรมระดับ 5 ดาวที่โอ่โถงและแพงลิบนั่น..ในเรื่องที่สอง  แต่เรื่องราวที่สามนั้นพบได้ในท้องถิ่นที่เป็นชนบททั่วไป โดยเฉพาะที่หงสา เพราะยังเป็นเมืองที่มีลักษณะปิดมากกว่าเมืองอื่นๆ

 

นี่ไงชนบท...

หมายเลขบันทึก: 209914เขียนเมื่อ 19 กันยายน 2008 13:01 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 19:35 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (8)
  • ยังคงสภาพเดิมๆอยู่ ดีมากครับ
  • ถ้าหากความเจริญเข้ามาน่าจะคงสภาพนี้ไว้จะดีมากครับ

ครูเสือ สุขภาพดีอยู่นะครับ น้องสาวก็คงสบายดีนะครับ เงียบไปเลยจริงๆ ไม่ทราบว่าไปทำอะไรมาถึงหายไปนานขนาดนี้

อย่างไรก็ตาม ดีใจที่ได้พบปะกันอีกครับ

สวัสดีครับ พี่บางทราย

         ได้เห็นมุมมองที่หลากหลาย แต่มีแก่นสาระอันเดียวกัน เป็นบันทึกที่มีคุณค่ามากจริงๆ ครับ

         เรื่องแรกนี่เข้าใจได้ครับ เหมือนคนใช้คอมพิวเตอร์จะเห็นแต่ฮาร์ดแวร์และภาพที่ปรากฏ แต่จริงๆ แล้วตัวซอฟต์แวร์และกระแสสัญญาณต่างๆ กำลังทำงานกันอย่างขะมักเขม้น...แต่แทบไม่มีใครคิดถึงมันเลย

         คิดในมุมกลับกัน สมมติว่าเราขอให้ใครวาดภาพสังคมเมืองบ้าง ก็อาจจะเต็มไปด้วยตึก ถนนหนทาง รถติด หมอกควัน ฯลฯ โดยที่ขาด "จิตวิญญาณ" ของความเป็นเมือง นั่นคือ กฏหมาย ระเบียบปฏิบัติทางสังคม วิธีคิดของผู้คน ฯลฯ

         เป็นไปได้ไหมครับพี่บางทราย? ^__^

         ไว้จะมาอ่านอีกครั้ง...และคิดต่อครับ ขอตัวไปแว่บใหญ่ (ผมจะไปช่วยงานพี่ ศน.อ้วน ที่เชียงใหม่ 3 วันครับ)

สวัสดีครับอาจารย์บัญชา ผมชอบเมฆครับ อิอิ

เป็นไปได้แน่นอนครับ เพราะคนเราเอาสิ่งที่เห็นชัดๆก่อน ที่เป็นรูปธรรมก่อน ผมเองก็เป็นเช่นนั้นเพราะไม่ได้ถูกฝึกมา

มันมีเกมส์ หนึ่งที่เราใช้เช่นกันบ่อยๆ อาจารย์อาจจะทราบแล้วก็ได้ คือ รูปตารางสี่เหลี่ยมจตุรัสขนาด 4X4 (ไม่ใช่ 4WD นะครับ อิอิ) เอาให้ทุกคนดูแล้วให้ทุกกคนนับรูปสี่เหลี่ยมจตุรัสทุกขนาดว่ามีจำนวนเท่าไหร่....

ไม่น่าเชื่อว่า แม้แต่นักศึกษาแพทย์ที่เขามีสมองที่ปราดเปรื่อง ก็นับไม่ครบ แต่ใกล้เคียงมากที่สุด

เพื่อสรุปว่าสายตาเรานั้นมองเห็นสิ่งต่างๆได้ไม่เท่ากัน(สมอง) อะไรที่ซับซ้อน ยิ่งไปใหญ่เลย ทั้งๆที่เห็นกับตาที่นับได้ไม่ครบ ส่วนมากนับขาด แต่ที่เกินก็มี

เมื่อได้คำตอบแล้วลองให้มาอภิปรายกันว่าทำไมจึงนับรูปสี่เหลี่ยนจตุรัสได้ไม่เท่ากัน น่าสนใจครับ ทุกคนมีเหตุมีผล

หากเราเปลี่ยนโจทย์จากตารางสี่เหลี่ยมจตุรัส เป็นความจริงอะไรสักอย่างในสังคม การเข้าถึงความจริงที่สุดนั้นยิ่งแตกต่างไปใหญ่  ความจริงในชุมชน ความจริงในตัวคน ฯลฯ นับออกมาได้ไม่เท่ากัน  ดังนั้นหากเราต้องการนับรูปสี่เหลี่ยมให้ไกล้เคียงมากที่สุด ต้องฝึกฝน ปฏิบัติ ต้องสร้างเครื่องมือการนับ อาจต้องใช้เวลาบ้าง ใช้หลักเกณฑ์ เช่นเดียวกันการเข้าถึงความจริงใดๆก็ต้องมีแนวทาง มีหลักเกณฑ์ ฝึกฝน ปฏิบัติ

ผมมักใช้เกมส์นี้กับคนที่จะเข้าไปเก็บข้อมูลในชุมชนครับ เพราะหากคนที่เข้าไปเป็นคนเมืองก็ต้องเรียนรู้สังคมชนบท เข้าใจภาษา วัฒนธรรม วิธีปฏิบัติ ความหมายต่างๆ สัญลักษณ์ต่างๆ บางทีเห็นแต่ไม่เข้าใจ และยิ่งร้ายบางทีตีความหมายผิดไปเลยก็พบบ่อยๆครับ

ซึ่งผมเคยบันทึกไว้ เรื่อง นักศึกษาปริญญาโทออกแบบสอบถามไถมชาวบ้านว่า ลุงรู้จักคำว่า เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ตามหลักศาสนาไหม ช่วยอธิบายหน่อย เด็กต้องการสรุปว่าคนชนบทเข้าใจพุทธศาสนามากน้อยแค่ไหน แล้วพบว่าลุงป้าอธิบายไม่ได้ หรืออธิบายแบบไม่รู้เรื่อง แต่ระหว่างนั้น ชาวบ้านเอาน้ำมาเย็นมาให้ดื่ม เอาขนมนมเนยมาเลี้ยงดู เมื่อถึงกลางวันก็เรียกทานข้าวด้วยกัน..ฯลฯ ผลสรุปเด้กบอกว่า ชาวบ้านไม่เข้าใจพุทธศาสนา..??

ชาวบ้านไม่สามารถอธิบายในวิธีการพูดแบบเราคนเมือง คนนอก แต่ชาวบ้านปฏิบัติเลย ไม่ต้องอธิบายได้หรอก ปฏิบัติเลย การปฏิบติบัตินั่นแหละเข้าใจถ่องแท้  อย่างนี้เป็นต้น...

 

อ้าวผมไม่ได้เทศน์นะครับอาจารย์ อิอิ

ขอบคุณครับอาจารย์

สวัสดีครับ พี่บางทราบ

        ตอบให้ละเอียดเลย ชอบมากๆ ครับ โดยเฉพาะตัวอย่างเรื่อง "ชาวบ้านไม่รู้จัก เมตตา กรุณา ฯลฯ" นี่โดนมากๆ

        เห็นพี่บางทรายจะไปร่วมงาน GotoKnow สัญจร ด้วย ดีใจจังครับ หวังว่าจะมีเวลาได้คุยกันครับ ^__^

        นำภาพเมฆจากเพื่อนๆ สมาชิกชมรมคนรักมวลเมฆ มาฝากด้วยครับ ตอนนี้หน้าฝน มีเมฆแปลกตาเยอะแยะไปหมด (คลิกที่ภาพได้เลยครับ)

 

เมฆฉลามยักษ์...บุกเชียงใหม่ (ฝีมือคุณธารเมฆ)

 

เมฆลายปลาแมคเคอเรล (ฝีมือพี่อึ่งอ๊อบ)

 

ไว้พบกันที่ขอนแก่นครับ! ^__^

 

อ.บัญชาครับ แล้วเจอกันที่ขอนแก่นครับอาจารย์ อิอิ เมฆสวย ผมก็ชอบเมฆเหมือนกัน

เห็นป้ายบ้านโพนสะอาด คุ้นๆ เอ อ่านถูกไหมคะเนี่ย

ให้ระลึกถึงเมืองลาวมากๆ ค่ะ แต่เอโพนสะอาดนี้อยู่หงสา

ยังไม่เคยไปเลยทางฝั่งหงสา อยากไปๆ  อีก ...

อ่านเรื่องเมตตา ฯ ของคุณลุงแล้ว อึ้งค่ะ ... จริงๆด้วยนะคะเนี่ย

เก่งทฤษฎีกับปฏิบัติ มันต่างกัน ... คนรุ่นใหม่ละอายใจ ...

ฝันดีนะคะ ... ขอบคุณค่ะรุ่นพี่ท่านบางทราย

 

 

อิอิ น้องปู หลานปู เหลนปู เจ้าขา...อ่านถูกแล้วครับ

อยากไปหงสา เตรียมตัวไว้เน้อ หนาวนี้เราจะไปเที่ยวกันครับ พี่เปลี่ยน ลูกช้างอีกเชือกทำงานอยู่ที่นั่นครับ

ปูสบายดีนะครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท