ลงมารับประทานอาหารเวลา 07:30 น ต้องไปต่อคิวยาวเหยียดสัก 15 นาที เดินไปข้างหน้าแถวเพื่อสอบถามว่าทำไมต้องยืนรอ ได้คำตอบมาว่า เพราะที่นั่งเต็ม ห้าดาวพันธ์ไหนเนี่ย ฉันยืนกินได้ไหม เพราะไม่ทันเวลาแล้ว โชคดีเป็นของโรงแรมเพราะขณะที่กำลังจะวีน คิวมันไหลปี๊ดๆ อย่างรวดเร็ว รีบเร่งทานแบบรักษาเวลาและวางช้อนก่อน 3 นาทีของเวลานัดหมาย คือ 08:00 น ปรากฏว่าคนในคณะฯอีก 6-7 คนเพิ่งทยอยมาถึง
เพื่อนบอกว่าไม่ต้องเร่งแล้ว เพราะยังต้องรอพวกนี้อยู่ จริงๆ แล้วหากต้องอด คุณก็ต้องอด เพื่อรักษาเวลาให้
ได้ เราใช้เวลาละเลียดอาหารต่ออีก 5 นาที จึงไปที่รถ ใครจะล่าช้าก็ช่างแต่อย่าให้เป็นเราแล้วกัน อายน่ะ
เช้านี้ คณะเราเที่ยวย้อนรอยละครดังเรื่อง เจ้าหญิงวุ่นวายกับเจ้าชายเย็นชา ที่พระราชวังเคียงบ็อก สร้างเมื่อปี
คศ 1394 เป็นพระราชวังเก่าแก่ที่สุดของราชวงค์โซซอน ตำหนักต่างๆ สร้างด้วยไม้อย่างประณีต และมีอาณา
บริเวณเชื่อมติดต่อกัน นอกจากนั้นยังสร้างพระที่นั่งคืนจองชอนเป็นที่ว่าราชการอีกด้วย
ต่อจากนั้นเดินลัดเลาะไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์คติชนพื้นเมือง ซึ่งอยู่ใกล้ๆกัน มีการแสดงเรื่องราวของวิถีชีวิต
ของชาวเกาหลีตั้งแต่ยุคโบราณโดยผ่านห้องแสดงหุ่นจำลอง พร้อมเครื่องมือ เครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน
ชาวเกาหลีจะจัดแสดงเรื่องราวตั้งแต่ก่อนเกิด คือจัดบรรยากาศให้เกิดจิตพิศวาสโดยเนรมิตภูมิทัศน์ให้งดงาม
อบอุ่น และโรแมนติก ตามมาด้วยการเกิด การใช้ชีวิตในวัยเด็ก ประเพณีการแต่งงาน จุดมุ่งหมายของชีวิต
วัยทำงาน ความต้องการของวัยชรา และช่วงสุดท้ายของชีวิตมนุษย์ ชาวเกาหลีจะนับอายุตั้งแต่อยู่ในท้อง
ดังนั้นคนเกาหลีจะอายุมากกว่าชนชาติอื่นๆ 1 ปี การจัดแสดงพิพิธภัณฑ์ดูไม่แตกต่างจากที่อื่นๆ ทั่วโลก
ระหว่างทางเดินกลับไปที่จอดรถเห็นนักศึกษาทหารหลายนายแต่งเครื่องแบบสุภาพเดินมาเป็นกลุ่มๆ
นักท่องเที่ยวหลายคนยกกล้องกดชัตเตอร์ รวมทั้งเราด้วยนึกแปลกใจว่าทำไมนักศึกษาทหารเกาหลีเหล่านี้
ผิวพรรณค่อนข้างคล้ำ จมูกก็โด่งพอประมาณมาตรฐานเพื่อนบ้านพี่ไทย แถมรูปร่างยังมีขนาดใกล้เคียง
หนุ่มไทยอีกด้วย พี่แอ๊ด 1 ในสาวงามของกลุ่มเรา กล่าวว่า พวกหน้าหล่อๆ เขาไปเป็นดารากันหมดน่ะซิ
พวกนี้คงฝึกกันหนักตากแดดตากลมมากไปหน่อย เดินไปอีกสองสามช่วงอาคารสวนกับกลุ่มนักศึกษาทหารได้
ยินเสียงพูดคุยด้วยภาษาไทยชัดเจน บางคนกล่าวด้วยความภาคภูมิใจที่มีคนถ่ายภาพพวกเขาว่า วันนี้กูเท่ห์
จริงๆ ปัทโธ่….นึกว่าใครน้องๆทหารชาวไทยของเรานั่นเอง ขาเม้าท์เล่าอย่างสนุกปากว่า เกาหลีแท้ๆ
แบบoriginal หน้าค่อนไปทางแบนแถมจืดอีกต่างหาก ตาเรียวเล็ก หากเป็นผู้หญิงจมูกก็ไม่ค่อยโด่งนัก
ไอ้ที่เห็นน่ารักและสวยเริ่ดสแมนแตนอยู่นั่นน่ะ 90% ผ่านการตกแต่งทำศัลยกรรมกันทั้งเมือง
ไกด์พาคณะขึ้นรถบัสชม ชองวาแดหรือบลูเฮ้าส์ ทำเนียบของ ลี เมียง บัค ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน
ซึ่งเป็นคนที่ 8 ของเกาหลีใต้ เป็นที่สังเกตว่า ที่เรียกว่า บลูเฮ้าส์ เพราะหลังคาอาคารเป็นสีน้ำเงิน แต่บางคนอาจ
จะหมายถึงบรรยากาศที่มองดูเยือกเย็นน่าเกรงขาม และที่สหรัฐอเมริกาเราเรียกว่า ทำเนียบขาว
( White House) เพราะตัวอาคารทาสีขาว เท็จจริงแค่ไหนก็ต้องแล้วแต่มุมมองและวิธีคิด และถ่ายรูปหมู่เป็นที่
ระลึกที่ อนุสาวรีย์รูปนกฟีนิกซ์ เป็นสัญญลักษณ์สื่อถึงความเป็นอมตะ บริเวณตรงจุดนี้ถือว่าเป็นจุดที่มีฮวงจุ้ย
ที่ดีที่สุดของกรุงโซล มีวงเวียนน้ำพุด้านหน้าและด้านหลังเป็นภูเขารูปหัวมังกร
อาหารกลางวันคือ พิปัมพัพ พูลโกกิ นำข้าวสวยมาผสมกับเนื้อหมูหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ผักปรุงรสและไข่
คลุกกับโคซูจัง ( ซอสพริกรสเผ็ด) ในหม้อกระทะร้อน อาจเรียกว่า ข้าวยำก็ได้ พร้อมสุกี้ทะเลหม้อใหญ่ อาหาร
เกาหลีส่วนใหญ่ผู้รับประทานจะต้องปรุงเองบนกระทะร้อนๆ ควันโขมงขึ้นศรีษะหากไม่สระผมก็ต้องนอน
ดมกลิ่นกันทั้งคืน หลังรับประทานอาหารกลางวัน คณะของเราเฮโลกันเข้าร้าน Skin Food เพื่อช้อปเครื่อง
ประทินผิว และร้านค้าอีกหลายสิบร้านในตลาดทงแทมุน ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย มีสินค้า
หลากหลายประเภทตั้งแต่ศรีษะจรดปลายเท้า เพลิดเพลินกับการเลือกดูสินค้าอันตระการตาคล้ายๆกับ
ประตูน้ำคอมเพล็กซ์ และ แพลตตินั่ม ประตูน้ำ ของบ้านเรา เกาหลีใต้ได้ชื่อว่าเป็นผู้นำแฟชั่นตัวจริง ก่อนรับ
ประทานอาหารเย็นแวะเดินชมคลองชองเกซอน ซึ่งเป็นคลองเก่าแก่มีอายุกว่า 600 ปี ทอดผ่านใจกลางเมือง
หลวงยาวถึง 6 กิโลเมตร น้ำใสมองเห็นก้อนกรวดและดินด้านล่างอย่างชัดเจน ปัจจุบันใช้เป็นสถานที่จัด
กิจกรรมต่างๆ
วันนี้เรารับประทานอาหารเย็นไวขึ้น เพื่อไปดู Hi Jump Show ในเวลา สองทุ่ม สำหรับอาหารเย็นมื้อ
นี้คือซัมเคทัง หรือไก่ตุ๋นโสม เป็นอาหารตำหรับชาววังบำรุงสุขภาพ บริการท่านละ 1 ตัวบรรจุอยู่ในหม้อ
เหล็กร้อน ภายในตัวไก่จะยัดไส้ด้วยข้าวและของบำรุงต่างๆ เช่น เม็ดพุทราแห้ง รากโสม เก๋ากี้ มีพริกไทยดำ
และเกลือให้ปรุงรส และเหล้าดองโสมหรือ เรียกว่า อิมซัมจุ เสริฟ์บนโต๊ะให้ด้วย ไกด์แนะนำให้ใส่เหล้าดอง
ลงไปในหม้อไก่ตุ๋นจะช่วยเพิ่มความกลมกล่อมของรสชาติให้นุ่มนวลมากขึ้น เครื่องเคียงเป็น หัวไชเท้าดองที่
เรียกว่า กักตุกีและเส้นขนมจีนหนานุ่มแบบเกาหลี อร่อยสมคำร่ำลือจริงๆ
Hi Jump Show ให้ความบันเทิงเป็นเวลา 1.30 ชั่วโมง ค่าตั๋วประมาณ 1500 บาท ก็นับว่าคุ้มค่า
ดูตื่นตาตื่นใจทุกนาที เสนอเป็นละครสั้นๆแต่เน้นการแอ๊คชั่น ทั้งตีลังกา ม้วนตัว เตะ- ต่อย ในสไตล์เกาหลี
คล้ายคลึงกับการดูหนังจีนกำลังภายใน มีการดึงผู้ชมขึ้นไปมีส่วนร่วมเล็กๆน้อยๆ เป็นหนุ่มฮ่องกง 1 คนและ
สาวน้อยน่ารักอีก 1 คนเขาสัมภาษณ์ว่ามาจากประเทศไหน เธอตอบว่า Thailand นับว่าเป็นตัวแทน
ประเทศไทยที่ช่วยเชิดหน้า-ชูตาได้มากทีเดียว เพราะบุคลิกลักษณะ ดูดี เด่นกว่าดาราเกาหลีบางคนเสียอีกแน่ะ
อากาศยังคงความหนาวเหน็บเช่นเดิม แทบจะไม่อยากก้าวขาออกเดินเลยทีเดียว กลับไปพักโรงแรมเดิมที่จัด
ให้อยู่ในระดับ 5 ดาว ค่ะ
ไม่มีความเห็น