ปลายทางสู่ ‘วังเวียง’


‘วังเวียง’ สวรรค์บนดินที่สัมผัสได้แม้ยังมีลมหายใจ - (โดย ปริญญา ทองประภา)

</a>

เพียงหนึ่งวันก่อนออกเดินทางที่เราเปลี่ยนจุดหมายปลายทางสู่ ‘วังเวียง’ จากหมอชิตสามารถเลือกที่จะไปต่อรถที่อุดร หรือหนองคายก็ได้เพราะทั้งสองจังหวัดมีรถโดยสารประจำทางระหว่างประเทศไปถึง กำแพงนครเวียงจันทร์ได้เลย การไปหนองคายมีรถโดยสารให้เลือกหลายแบบ ป.2 ราคา 350บาท ป.1 ราคา 450บาท หรือรถนอน VIP วันละ 2 เที่ยว 20:30 น. และ 22:30 น. ราคา 700 บาท ใช้เวลาเดินมาณประมาณ 8-10 ช.ม. แล้วแต่สภาพการจราจร จาก บขส.หนองคายสามารถเลือกเดินทางไปกำแพงนครเวียงจันทร์โดยรถโดยสารประจำทางระหว่างประเทศได้ในราคา 60 บาท เที่ยวแรกรถออก 07:30 เที่ยวสุดท้าย 18:00 หรือเลือกที่จะไปขึ้นรถ ที่หน้าด่านตรวจคนเข้าเมืองก็ได้ โดยใช้บริการรถตุ๊กๆ ราคาคนละ 40 บาท แล้วไปไปติดต่อทำเรื่องผ่านแดนซึ่งจะเปิดให้บริการตั้งแต่ 06:00 น. บัตรผ่านแดนชั่วคราวสามารถพักในประเทศลาวได้ 3 วัน 2 คืน แต่ถ้าเป็น Passport สามารถอยู่ในประเทศลาวได้ 1 เดือนโดยไม่ต้องใช้ VISA จากหน้าด่านไทยมีรถโดยสารข้ามสพานมิตรภาพไทย-ลาว ไปส่งถึงถึงด่านตรวจประเทศลาว ราคา 20 บาท ใช้เวลาเดินทางไม่กี่นาทีก็ถึง ที่ด่านตรวจคนขาเข้าก็ไม่ยุ่งยากเพียงแต่กรอกฟอร์มผ่านแดน ยื่นให้เจ้าหน้าที่แล้ว ไปจ่ายค่าธรรมเนียม 20 บาท จากด่านตรวจประเทศลาวมีรถไว้คอยบริการมากมาย ทั้งรถตู้เช่า รถสามล้อ หรือรถโดยสารประจำประจำทางราคาเพียง 20 บาทไปส่งถึงตลาดเซ้าระยะทาง 22ก.ม.

นี่เป็นการมาครั้งแรกตั้งใจลองเที่ยวแบบ backpacker ที่นักท่องเที่ยวยุโรปนิยมกัน พอมาถึงตลาดเซ้าก็ไปหาซื้อ Sim-Card มือถือประเทศลาวแล้วลองโทรทักทายเพื่อนชาวลาว เลยเปลี่ยนเป็นการเที่ยวแบบ home stay แทนโดยมีเพื่อน 'ไกสอน' เป็นไกด์พิเศษส่วนตัวนำเที่ยวตลอดเส้นทาง ไกสอนพาไปที่บ้านที่อาศัยอยู่กับพี่สาวชื่อ 'พอนไซ' แล้วก็พาไปเดินซื้ออาหารที่ตลาดสดใกล้บ้าน บอกไกสอนว่าอยากกินอาหารลาวแท้ๆ ไกสอนเลือกซื้ออาหารและผักสดหลายอย่างจนหิ้วกันเต็มสองมือ จ่ายไปทั้งหมดเกือบ 25,000 กีบไม่อยากเชื่อว่าคิดเป็นเงินบาทไม่ถึง 100บาท หลังอาหารเช้า เราไปเดินที่ตลาดเซ้าที่นี่มีของขายมากมายหลายอย่างตั้งแต่เครื่องใช้ไฟฟ้า โทรศัพท์มือถือ ซีดี หนังสือ เสื้อผ้า ของฝากมากมาย รวมถึงทองและเครื่องเงินด้วย จากที่นี่เราไปแคมของ(ริมแม่น้ำโขง) มีร้านอาหารเรียงราย น้ำของแห้งลงไปเยอะทำให้เกิดหาดทรายจากฝั่งลาวลงไป ตอนเย็นจะมีคนลงไปนั่งเล่นเดินเล่น เล่นกีฬาก็เยอะมีร้านค้าลงไปขายของด้วย

</span>

จากแคมของสามาถมองเห็นจังหวัดหนองคายซึ่งอยู่คนละฝั่งแม่น้ำได้อย่างชัดเจน จากแคมของเราเดินไป ‘หํพิพิทะพันแห่งซาด’(Lao National Museum) ผ่าน ‘หํวัดทะนะทำแห่งซาด’(Lao National Culture Hall) ซึ่งกำลังมีพิธีรับมอบปริญญาบัตรพอดี มีบัณฑิตแต่งชุดครุยสวมทับผ้าซิ่นสวยๆ เราเข้าชม ‘หํพิพิทะพันแห่งซาด’ ได้ยังไม่ถึงครึ่งก็ได้เวลาต้องไปขึ้นรถไปวังเวียงซึ่งรถจะออกเที่ยวสุดท้ายเวลาบ่าย 2 โมง เป็นรถ VIP นอกจากคนขับแล้วไกสอนเป็นคนลาวคนเดียวที่นั่งมาในรถ ค่าโดยสารค่อนข้างแพง 60,000 กีบต่อคน เทียบกับรถสองแถวแค่คนละ 25,000 กีบเองแต่เราเลือกที่จะใช้บริการเพราะคิดว่าน่าจะไปถึงเร็วกว่ารถสองแถวที่จอดรับส่งผู้โดยสารตลอดเส้นทาง แต่ผลกลับตรงกันข้ามเพราะ รถ VIP ขับช้ามากๆ ไปถึงช้ากว่ารถอื่นๆทั้งหมด ใช้เวลาเดินทาง 4 ชั่วโมงเต็ม ระหว่าทางเป็นถนนราดยางสภาพดีพอใช้ ถนนค่อนข้างแคบรถสวนมาทีไรเสียววูบๆ ถนนค่อยๆไต่ระดับสูงขึ้นเรื่อยๆ อากาศก็เริ่มเย็นลงเรื่อยๆ ระยะทาง 156 ก.ม. เรามาถึงวังเวียงก็ 6 โมงเย็นพอดี

บรรยากาศโดยรอบมืดแล้ว อากาศเย็นมาก ไกสอนโทรบอก 'สีสะหมอน' น้องสาวอีกคนให้มารับ เราไปกินข้าวที่ร้านอาหารลาว-ไทย ริมสนามบินเก่า เน้นอาหารลาวแท้เหมือนเดิม แต่ ไกสอนบอกว่าสู้ฝีมือแม่ทำไม่ได้ ที่นี่ไกสอนแนะนำให้รู้จักกับ 'เป้ม' สามีของ 'สีสะหมอน' และ 'พอนวิไล' น้องสาวคนสุดท้อง เรากินข้าวและเบียร์ลาวพอสมควรแก่เวลาก็ ไปบ้านไกสอนซึ่งอยู่ไม่ไกลจากร้านอาหาร อยู่ติดกับสนามบินเก่าเหมือนกัน ที่บ้านก็พบกับ 'วิวอน' พี่สาวของไกสอน กับแม่และหลานอีกสองคนกำลังนั่งดูโทรภาพอยู่ ส่วนพ่อไม่อยู่บ้านพึ่งจะออกไปนอนที่นาเฝ้าหมูเป็ดไก่ที่เลี้ยงไว้แบบเศรษฐกิจพอเพียง ที่ไม่คอยสบายใจเท่าที่ควรคือคนลาวชอบดูทีวีไทย ดูทุกอย่างทั้งข่าวสาร รายการเกมส์โชว์ โดยเฉพาะละครไทยดูกันมาก หลังจากพูดคุยสอบถามสาระทุกข์สุกดิบกันพอสมควรก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน ก่อนอาบน้ำต้องย้อมใจด้วยเบียร์ลาวอีกซักขวด เพราะน้ำเย็นมาก


เช้าวันรุ่งขึ้นตื่นนอน 6 โมงเช้าอากาศเย็นมาก ดูอุณหภูมิอยู่ระหว่าง 16-17 องศาซี วังเวียงเป็นเมืองเล็กๆ รอบๆย่านที่นักท่องเที่ยวชอบพักใช้เวลาเดินไม่ถึงชั่วโมงก็ทั่วหมดแล้ว เช้าๆที่นี่จะเงียบมาก มีเพียงเจ้าของร้านอาหารที่กำลังสาระวนกับการเก็บกวาดเศษซากโดยเฉพาะขวดเบียร์ลาวที่วางเกลื่อนตามหน้าร้านและข้างทาง บ้างก็กำลังเตรียมกาแฟและอาหารเช้าสำหรับนักท่องเที่ยวที่ตื่นเช้า โดยมากจะเป็นนักท่องเที่ยวชาวเอเชีย เช่นญี่ปุ่น ฮ่องกง และไทย ซึ่งมีไม่มากนัก ส่วนนักท่องเที่ยวยุโรปจะไม่คอยเจอตอนเช้าๆ ไกสอนบอกว่าคงเป็นเพราะยังปรับตัวไม่ได้เพราะเวลาเช้าที่นี่ก็คือเวลากลางคืนของยุโรป แต่ความจริงคือตอนกลางคืนฝรั่งเหล่านี้จะไม่ยอมหลับยอมนอนกัน กินเบียร์ลาวกันจนดึกดื่น ทั้งที่ร้านอาหารและร้านเหล้าปิดตอน 5ทุ่มครึ่งตามกฏหมายกำหนด พอร้านปิดกันหมดนักท่องเที่ยวพวกนี้ก็ถือเบียร์กันคนละขวด-สองขวดเดินกันเกลื่อนตามถนนของเมืองเล็กๆ แห่งนี้เต็มไปหมดนับได้เป็นร้อยๆคน ยังกับมีงานมหกรรมถนนคนเดินตอนเที่ยงคืน พอตอนเช้าจึงหายหัวกันไปหมด

เดินถ่ายรูปพระเณรออกบิณบาตร นักเรียนขี่จักรยานไปโรงเรียน สักพักไกสอนก็พาไปซื้อกับข้าวที่ตลาดซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้าน ที่นี่มีอาหารสด-แห้ง เยอะมากรวมถึงผักสดๆที่พึ่งเก็บจากสวนผักริมแม่น้ำซองเมื่อเช้านี้เอง ไกสอนเลือกซื้อกับข้าวหลายอย่าง เช่น ปิ้งปลา ใส้อั่วหมู-ซิ้น แหนมซิ้น แจ่วบอง หมกไค และบอน มื้อนี้ได้ชิมฝีมือแม่ทำเอาะหลามไก่ และขั้วผักรวมกับซูปผักฝีมือสีสะหมอน ซึ่งเป็นอาหารประจำวังเวียง วิวอนบอกว่าถ้าไม่ได้กินนับว่ามาไม่ถึงวังเวียง อาหารมื้อนี้กินกับข้าวเหนียว พ่อก็กลับมาจากที่นา มากินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตา อาหารอร่อยมากต้องขอบคุณครอบครัวของไกสอนที่ดูแลอย่างดี หลังอาหารเช้าไกสอนพาเดินดูรอบๆแล้วไปนั่งกินกาแฟโบราณราคา 2,000 กีบ แต่ถ้าราคานักท่องเที่ยวต้องจ่ายถึง 5,000 กีบ

จากนั้นไกด์พิเศษ ‘ไกสอน อุไททิด’ ก็พาไปเที่ยวที่ ถ้ำจัง’ ต้องเดินข้ามขัวสีส้ม(สะพาน) ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสัญลักษ์ของวังเวียง ปากทางเข้าถ้ำอยู่สูงต้องเดินขึ้นบันได 147 ขั้นไม่เหนื่อยมากเป็นการออกกำลังกายตอนอากาศหนาวเย็นกำลังดี ภายในเป็นถ้ำหินงอกหินย้อยที่สวยงาม ถ้ำลึกมากแต่มีไฟฟ้าแค่ครึ่งทางและไม่อนุญาต ให้นักท่องเที่ยวเดินเข้าไปลึกๆ เพราะอาจเกิดอันตรายได้ ภายในถ้ำอากาศอบอุ่นกำลังดีมีลมพัดเข้ามาเป็นระยะๆ เจ้าหน้าที่ประจำถ้ำบอกว่าถ้าอากาศข้างนอกหนาวเย็นข้างในถ้ำจะอุ่น ตรงกันข้าวถ้าอากาศข้างนอกร้อนข้างในก็จะเย็นสบาย ที่ศาลาหน้าทางเข้าถ้ำเป็นจุดชมวิวที่อยู่สูงสามารถมองเห็นตัวเมืองวังเวียงได้เกือบทั้งหมด ภาพที่ลงตามหนังสือท่องเที่ยวจะต้องมีภาพจากมุมนี้เสมอซึ่งสามารถมองเห็นสะพานสีส้มและตัวเมืองวังเวียงเป็นฉากหลัง ข้างล่างจะมีธารน้ำเล็กไหลออกมาจากถ้ำเป็นธารน้ำสีฟ้าใส ถ้าอากาศข้างนอกหนาวเย็นน้ำที่ออกมาจากถ้ำอุ่น ตรงกันข้าวถ้าอากาศข้างนอกร้อนน้ำที่ออกมาจากถ้ำจะเย็นมาก เดือนห้า(เมษายน) จะมีคนนิยมมาลงเล่นน้ำที่นี่เยอะมากๆ

จากถ้ำจังไกสอนพาไปต่อที่ ‘ถ้ำปูคำ ซึ่งอยู่หางจากตัววังเวียงประมาณ 4-5 ก.ม. ระหว่างทางจะมีจุดที่เก็บค่าข้ามขัวและค่าเข้าชมในราคาที่ไม่แพง แต่ถ้าเป็นคนลาวจะถูกลงอีกครึ่งหนึ่ง ระหว่างทางจะผ่านทุ่งนาและภูเขา นักท่องเที่ยวฝรั่งนิยม ขี่จักรยานมากกันเอง หรือบ้างก็เช่ารถตุ๊กๆ มาก็มี ก่อนถึงทางเข้าถ้ำจะมีบ่อน้ำสีเขียวมรกต(Blue Lagoon) น้ำใสมากมองเห็นตัวปลาว่ายในน้ำเลย ที่นี่จัดทำที่ไว้ให้นักท่องเที่ยวได้กระโดดลงเล่นน้ำจากต้นไม้สูงเกือบๆ 10 เมตร ซึ่งเป็นกิจกรรมที่นักท่องเที่ยวนิยมกันมาก กลับออกมาจากเข้าชมถ้ำ นักท่องเที่ยวก็จะนิยมสั่งเบียร์ลาวมาดื่ม แล้วก็ขึ้นไปโชว์ลีลา กระโดดน้ำลงมาจากต้นไม้ พอเล่นน้ำเป็นที่พอใจก็นอนอาบแดดที่สนามหญ้าใกล้ๆ นับเป็นสวรรค์บนดินโดยแท้เชียว ภายในถ้ำเป็นโถงขนาดใหญ่และกว้างมากๆ ตรงปากทางเข้าถ้ำมีศาลาที่มีพระพุทธรูปประดิษฐาน ตั้งรับแสงธรรมชาติที่ส่องเข้ามาให้โดดเด่นเหมือนมีไฟสปอร์ทไลท์ส่อง ส่วนภายในไม่ค่อยเห็นหินงอกหินย้อย คงเป็นเพราะที่นี่ไม่มีไฟฟ้า และไฟฉายที่ให้เช่าก็สว่างไม่พอ

เราให้คนนำทางพาเข้าไปเพราะจะได้แนะนำจุดสำคัญๆ ภายในถ้ำได้ดีกว่าไปเดินเองเพราะข้างในนั้นมืดมาก ที่เหนือสิ่งอื่นใดคือการได้พบเห็น ‘ปูคำ’ ที่มาของชื่อ ‘ถ้ำปูคำ' เป็นปูน้ำจืดศักดิ์สิทธิ์ ตัวเล็ก ขายาวสีเหลืองเหมือนทองคำ ใกล้สูญพันธุ์ อาศัยอยู่ในแหล่งน้ำเล็กๆ และมืดสนิท ไม่ชอบการรบกวนจากแสงสว่าง คนนำทางบอกว่าต้องเป็นคนมีบุญเท่านั้นจึงจะได้เห็น เคยมีคนคิดจะนำ ‘ปูคำ’ ออกนอกถ้ำ แต่ไปได้ไม่ถึงปากถ้ำคนที่คิดจะนำออกไปก็เกิดอาการชักดิ้นชักงอเลือดทะลักออกปาก-จมูก

ออกจาก ‘ถ้ำปูคำ’ ไกสอนพาไปต่อที่ ‘ร้านวันไซ’ ซึ่งเป็นร้านอาหารของเพื่อนที่อยู่ข้างๆบ้าน ที่นี่เป็นร้านอาหารที่นักท่องเที่ยวนิยมมากระโดดน้ำ และเล่นวอลเลย์บอลกันมากที่สุด เห็นแล้วนึกว่าอยู่แถว ฟร์อริด้า ไกสอนสั่ง ตำข้าวเปียก’ เป็นสมตำที่ใช้เส้นก๋วยเตี๋ยวญวนแทนมะละกอ แล้วก็ พันปลา’ คล้ายๆกับแหนมเนืองของเวียตนามแต่ใช้ปลาย่างแทน เวลากินก็พันด้วยผักกาดใส่เครื่องเคียงลงไปอร่อยแบบไม่ชิมไม่ได้เลย นั่งกินเบียร์ลาวไปดูฝรั่งโชว์ลีลากระโดดน้ำไปเพลินๆ พอตกเย็นๆ ‘เป้ม’ กับ ‘สีสะหมอน’ ก็ตามมาสมทบ แต่เบียร์ลาวหมดไปหลายขวดแล้ว นั่งกินกันสักพักความมืดที่เริ่มปรกคุมพร้อมๆกับอากาศที่หนาวเย็น พอฝรั่งเริ่มกลับกันหมดเราก็กลับบ้าง ไกสอนพาไปกินสุกี้ลาวที่บ้านเพื่อน ยังไม่ทันรู้รสชาด ของสุกี้เลย เพื่อนๆกินเบียร์แบบเวียนรอบ ทุกคนต้องกินคนละเท่าๆกัน เจอเบียร์ลาวรอบที่ 3-4 ก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย

เช้าอีกวันตื่นมาตอน 07:00 น.ยังรู้สึกมึนๆ จำไม่ได้ว่าเมื่อคืนจบยังงัย หลังอาบน้ำเย็นจับใจแล้วเดินลงมาหากาแฟกิน เช้านี้แหละที่มีโอกาสได้ลิ้มลอง Sandwich และ ปาเต้ สูตรพิเศษของที่นี่ ใช้ขนมปังท่อนใหญ่ยาวและแข็งนอกเรียกว่า ‘ข้าวจี่’ ผ่ากลางแล้วใส่เครื่องลงไป Sandwich และ ปาเต้ จะต่างกันตรงเครื่องที่ที่ใส่ลงไป รสชาดต้องลองให้ได้ ปาเต้ ยังไม่ทันหมดชิ้นเลย วิวอน ก็มารับบอกว่าไกสอนรออยู่ที่บริษัทนำเที่ยวแล้ว เป็นบริษัทของเพื่อนพี่ชายของไกสอน กำลังเตรียมเรือยางเพื่อพาเราไปล่องแม่น้ำซอง คณะของเราประกอบด้วย ไกสอน วิวอน และไกด์แอร์ ซึ่งเป็นเพื่อนพี่ชายของไกสอนนั่นเอง เราออกเดินทางจากวังเวียงไปประมาณ 20 ก.ม. ก็เลี้ยวเข้าจุดนัดพบ เราเดินข้ามสะพานแม่น้ำซองไป จะเจอกับ ‘ถ้ำซ้าง’ ซึ่งมีหินรูปร่างคล้ายช้างอยู่ข้างๆ ซึ่งไกด์แอร์เล่าประวัติให้ฟังอย่างน่าสนใจ แล้วเราก็เดินข้ามทุ่งนาไปยัง ถ้ำน้ำ ที่นี่เราไม่ได้เข้าชมเพราะต้องนั่งบนห่วงยางลอยน้ำเข้าไป ประกอบกับอากาศเช้านี้ยังหนาวเหน็บอยู่เลย แต่ก็มีนักท่องเที่ยวฝรั่งกลุ่มใหญ่ที่ ยอมพลีกายใจถอดเสื้อผ้าลอยคอในน้ำเย็นเจี๊ยบอย่างสนุกสนาน

เราเลือกที่จะเดินต่อไปยัง'ถ้ำหลุบ' เป็นถ้ำหินงอกหินย้อยที่ มีหลุมขนาดใหญ่ ที่ภาษาลาว เรียกว่า'หลุบ' จากนั้นเราก็เดินมาดูอีกถ้ำ อยู่ใกล้ๆกันชื่อ 'ถ้ำหอย' เนื่องจากมีหินย้อยเป็นรูปก้นหอยอยู่บนผนังถ้ำ จำนวนมาก ถ้ำนี้มีความลึกและซับซ้อนมาก แต่เราเดินเข้าไปแค่ประมาณ 1 ก.ม. ก็กลับออกมาเพราะไกด์แอร์ บอกว่าข้างในนั้นค่อนข้างอันตราย เพราะมีทางแยกหลายทางและวกวน เคยมีชาวต่างชาติ เข้าไปและเสียชีวิตภายในถ้ำต้องใช้กองทหารกว่า 100 นายและใช้เวลานับเดือนกว่าจะหาศพเจอ โดยสภาพศพยังไม่เน่าเปื่อยเพราะข้างในอากาศเย็นมาก สาเหตุที่เสียชีวิตก็เนื่องมาจาก ทั้งสองคนมีแผนที่ของสถานที่ฝังเก็บ 'ทองคำ' อยู่ข้างในถ้ำ ตั้งแต่สมัยสงครามอินโดจีน และทั้งสองเข้าไปเพื่อนค้นหาโดยไม่มีคนนำทางเพราะกลัวว่าจะมีคนรู้เรื่องราวของ 'ทองคำ' ข้างในนั้น แต่นอกจากจะหาทองไม่เจอแล้วยังต้องเอาชีวิตมาทิ้งที่นี่อีก

ออกจาก 'ถ้ำหอย' เราเดินกลับมาที่บ้านถ้ำช้าง ที่ร้านขายเฝอ เล็กๆอยู่ริมแม่น้ำซึ่งก็เป็นเพื่อนของ วิวอน สมัยเรียนมัธยมปลาย เราสั่งเฝอมากินกันคนละถ้วย แล้วเดินข้ามน้ำซอง กลับไปขึ้นรถ เพื่อไปยังจุดล่องเรือยาง ซึ่งอยู่ถัดไปอีกหน่อย เราไม่สามารถล่องเรือจากจุดนี้ได้ เพราะน้ำชองช่วงนี้ตื้นเขินเกินไป จากจุดเริ่มต้นเราใช้เวลาล่องเรือชื่นชมความงามของธรรมชาติอันบริสุทธิ์ สองข้างทาง กว่า 3 ชั่วโมงระหว่างทางเราแวะพักที่จุดกระโดดน้ำข้างแม่น้ำที่มีฝรั่งกลุ่มใหญ่กำลังกระโดดน้ำโชว์ลีลากันอย่างสนุกสนาน ที่นี่ไกสอนของลองโดดดูบ้าง ปรากฏว่าติดใจใหญ่ เลยโดดอีกหลายรอบ ระหว่างพักไกด์แอร์ จี่หนังวัวให้กินโดยการโยนหนังวัวทั้งมัดเข้ากองไฟแล้วเผาจนไหม้เกรียม นำออกมาทุบกับก้อนหินแล้วใช้มีดขูดเอาส่วนที่ไหม้ไฟสีดำๆออก เคี้ยวเหนียวๆหนึบๆอร่อยดี มีคนเคยลอง จริงๆ

เรามาถึงจุดหมายปลายทางของการล่องเรือยางที่ด้านหลังของ ที่พักชื่อ 'สายซอง' รถของเพื่อนพี่ชายไกสอนมารอรับอยู่ก่อนแล้ว เราช่วยกันยกเรือยางกลับขึ้นฝั่งแล้ว มานั่งกินข้าวดูพระอาทิตย์ตกดินที่ริมน้ำซอง ได้บรรยากาศที่สวยงามเป็นไฮไลท์ ของวันนี้เลยทีเดียว แต่การเดินทางยังไม่จบแค่นี้ วิวอน พาขี่รถเครื่องฝ่าอากาศที่หนาวเย็น ไปที่นาซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านมากนัก นั่งคุยกับ พ่อ-แม่ เรื่องการทำเกษตรแบบเศรษฐกิจพอเพียงสักพัก เราก็นั่งรถเครื่องกลับมากินข้าวที่บ้าน พร้อมหน้าพร้อมตา ก่อนที่พ่อจะกลับไปนอนที่นา ส่วนไกสอนกับวิวอน เราไปกินเหล้าปั่นที่ร้านของเพื่อนไกสอน เป็นน้ำผลไม้นานาชนิด ปั่นใส่เหล้าฝีมือของเพื่อนไกสอน อร่อยและแปลกดี ระหว่างที่นังกินเหล้าปั่นและสนทนา รอบกองไฟ ก็มีนักท่องเที่ยวฝรั่งเดินเข้าออกร้านอยู่บ่อยๆ บ้างก็ว่าที่นี่เปิดเพลงเพราะกว่าร้านข้างๆ บ้างก็มาหาเครื่องดื่มชนิดพิเศษ บ้างก็เดินหลงทางผ่านมา กระทั่ง 23:30 น. ร้านทุกร้านในวังเวียงต้องปิดทำการทั้งหมด แม้ลูกค้าเต็มร้าน จะร้องขอยังงัยก็ไม่สามารถเปิดต่อได้ เพราะกฏของที่นี่เข็มงวดมาก พอเราเดินออกมาจากร้านก็พบกับฝรั่งนับร้อย เดินกันเต็มถนนหนทางไปหมดเพราะ ร้านเหล้าปิดแล้ว แต่คนยังไม่ยอมปิด ต่างถือเบียร์ลาวคนละขวด-สองขวดเดินพูดคุยทักทายกันเสียงดัง เต็มถนนในเมือเล็กๆแห่งนี้

เช้านี้ตกลงกับไกสอนไว้ว่าเราจะออกเดินทางแต่เช้า 07:00 น. ก่อนเวลาเล็กน้อยก็ออกมานั่งกินกาแฟ สักพัก วิวอนก็ออกมารับเพื่อไปส่งที่คิวรถ ที่อยู่สนามบินเก่า เช้านี้อากาศยังหนาวเย็นเหมือนทุกๆวัน เราออกเดินทางด้วยรถสองแถวเวลา 07:20 น. ผ่านทิวเขาสลับซับซ้อน ผ่านอากาศหนาวเย็น มีสายหมอกเป็นช่วงๆ ช่วงไหนผ่านหมู่บ้านประมงก็จะมีปลานานาชนิดทั้งสด-แห้ง วางขายสองข้างทาง ช่วงไหนที่เป็นหมู่บ้านเลี้ยงเป็ดไก่ก็จะมีเป็ดไก่ว่างขายสองข้างทางเช่นเดียวกัน รถสองแถวพาเราจอดรับ-ส่งผู้โดยสารจากหมู่บ้านโน้นมาหมู่บ้านนี้ ตลอดระยะทาง 156 ก.ม. เรามาถึงตัวกำแพงนครเวียงจันก็ประมาณ10 โมงกว่า ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมง น้อยกว่าขาไปที่เดินทางด้วยรถ VIP ซะอีก

จากคิวรถสายเหนือ ไกสอนพานั่งรถตุ๊กๆมาที่ตลาดเซ้า แล้วค่อยนั่งตุ๊กๆ ไปชมวิวทิวทัศน์บริเวณ 'ประตูไซ' ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมขนาดใหญ่ตั้งอยู่บนวงเวียนกลางถนนล้านซ้าง รูปแบบสถาปัตยกรรมได้รับอิทธิพลจากประตูชัยในปารีส ประเทศฝรั่งเศษ ซึ่งเป็นเจ้าอาณานิคมในสมัยนั้น แต่ในรายละเอียดของสถาปัตยกรรมยังคงลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์ในแบบของลาวโดยแท้ และมีโอกาสได้เดินขึ้นไปบน 'ประตูไซ' ซึ่งสามารถชมวิวทิวทัศน์ของ กำแพงนครเวียงจันทร์เกือบทั้งหมดรวมไปถึงจังหวัดหนองคายที่อยู่ถึงริมโขง แบบรอบทิศทางเลย

จาก'ประตูไซ' เราไปนมัสการ 'พระธาตุหลวง' ศาสนสถานที่สำคัญที่สุดของล

าว ซึ่งเป็นทั้งเอกลักษณ์ประจำชาติ และแทนความเป็นเอกราชอำนาจอธิปไตยของประเทศ ทั้งยังมีความหมายต่อจิตใจอย่างใหญ่หลวงของชาวลาว สามารถมองเห็นองค์พระธาตุสีทองอร่ามงดงามแต่ไกล เล่ากันว่าภายในพระธาตุบรรจุพระอุรังคธาตุของพระพุทธเจ้า ที่พระภิกษุลาว อัญเชิญมาจากประเทศอินเดียตั้งแต่ พ.ศ. 236 เดิมนั้นองค์พระธาตุหลวงสร้างด้วยหินทรงโอคว่ำ และมีกำแพ

งล้อมรอบทั้ง 4 ด้าน ต่อมาสมเด็จพระไชยเชษฐาธิราชได้ทรงโปรดฯ ให้ทรงสร้างพระเจดีย์องค์ใหม่ครอบองค์เดิม และทรงโปรดฯให้สร้างวัดล้อมรอบทั้ง 4 ด้านของพระธาตุหลวง แต่บัจจุบันมีให้เห็นเพียง 2 ด้านเท่านั้นคือ วัดพระธาตุหลวงเหนือ และวัดพระธาตุหลวงใต้ จากนั้นไกสอนก็พานั่งรถตุ๊กๆ กลับไปที่บ้านพบกับ พอนไซ รออยู่แล้วเรานั่งคุยกันพักใหญ่ ไกสอนก็มาส่งขึ้นรถที่ คิวรถใกล้ตลาดเช้า ซึ่งมีรถกลับหนองคาย เที่ยวสุดท้ายออกเวลา 18:00 น. วียง’ ทริป

‘วังเวียง’ สวรรค์บนดินที่สัมผัสได้แม้ยังมีลมหายใจ - (โดย ปริญญา ทองประภา)

หมายเลขบันทึก: 151998เขียนเมื่อ 7 ธันวาคม 2007 12:29 น. ()แก้ไขเมื่อ 1 พฤษภาคม 2016 13:04 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (12)

ถ้าไปใกล้ๆเดินทาง 3-4 ชม.อย่าลืมชวนน้า...หมูนะ  จะพาหลานๆไปเที่ยวด้วย....

สวยจัง  อยากไปมามานแล้วหละค่ะ วังเวียง เนี่ย...แต่ยังหาจังหวะไม่ได้เลย

ประมาณปลายเดือนธันวาคมจะไปเยี่ยมหลานที่ศรีราชา น้ารินว่างหรือเปล่า...ช่วยเป็นไกด์พาเที่ยวหน่อย

สวยจังวังเวียง  แต่ขอไปหลวงพระบางก่อนได้ป่ะ  เป้าหมายนี้ตั้งไว้นานมากกกกกก  จะมีโอกาสได้ไปไม๊เนี่ย เพื่อน ๆ

ชาลี,

ไปหลวงพระบางทางรถต้องผ่านวังเวียง แต่ถ้าไปเครื่องบินคงต้องโดดล่มลงเอง .....

c u there (หลวงพระบาง)......

ค่าใช้จ่ายไม่แพงอย่างที่คิด

1. ค่ารถจากหนองคาย-กำแพงนครเวียงจันทร์ 55 บาท + ค่าธรรมเนียมอีก 5 บาท + ค่าผ่านด่าน สปป.ลาว 20บาท รวม 80 บาท

2. ค่ารถจากนครเวียงจันทร์ไปวังเวียง

- รถสองแถว 25,000 กีบ

- รถปรับอากาศ VIP 60,000 กีบ

เลือกเองรถสองแถวถึงก่อน

3. ค่าที่พักมีหลายราคา ห้องพัดลมมาตรฐานมีห้องน้ำในตัว+เครื่องทำน้ำอุ่น คืนละ 50,000 กีบ (โอเคแล้วไม่ต้องแอร์หรอกแค่พัดลมก็ยังไม่ต้องเปิดเลย)

4. ตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆต้องจ่ายค่าธรรมเนียม ราคาไม่เท่ากัน ระหว่าง 3,000-1,0000 กีบ

5. แพ็คเก็จทัวร์ที่วังเวียงมีต้องแบบครึ่งวันและเต็มวัน ราคาตั้งแต่ 100,000  - 150,000 กีบ 

6. อาหารตามร้านอาหารมีราคาตั้งแต่ 9000 - 50,000

7. เสื้อยื้ดอักษรลาวซื้อเป็นของฝากตัวละ 28,000 กีบ

8. ที่สำคัญที่สุด เบยลาว(เบียร์ลาว)ตามร้านอาหารขวดละ 10,000 กีบ

** มีเงิน 1,000,000 อยู่ได้เป็นอาทิตย์ **

** บัตรเครติดใช้ไม่ได้ที่วังเวียง มี ATM 1ตู้แต่ผมลองกดแล้ว บัตรผมใช้ไม่ได้**

** 282 กีบเท่ากับ 1 บาท **

เด๋วน้องจะตามรอยพี่รินทร์ไป  "ลาว"  เจ้า

 

ปล. อัตราแลกเปลี่ยนเงิน  ยัง  1 บาท / 282 กีบ  อยู่เป่าอะ ?

สวัสดีคะ

น่าสนใจนะคะ เล่าเรื่องจนอยากไปเที่ยว

P

สวัสดีครับคุณ ประกาย

 

ต้องหาโอกาสไปเที่ยวให้ได้นะครับ

บรรยากาศดีมากๆครับ

ไปมาเมื่อ ปลายมกรา 53 นะอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่

244-245 กีบ/บาท เสียดายไปได้แค่เวียงจันทน์

ทริปหน้าไม่พลาดวังเวียง

โฮ คุณโมจิ

เล่นเดินทางล่วงหน้า ข้ามปีเลยอ่ะ ปี53แน่ะ หุหุหุ

แสดงว่าช่วงนั้นกีบแข็ง

เอ รึจาเรียกว่าบาทอ่อนค่าดีครับ

เหอะๆๆๆๆ

คราวหน้าไปให้ถึงวังเวียง แล้วไปต่อถึงหลวงพระบาง เลยนะครับ

อ่านบันทึกคุณรินทร์แล้ววันหยุดช่วงเข้าพรรษานี้

อาจต้องหาเรื่องไปเยี่ยมวังเวียนงอีกสักที

เรื่องเล่าและภาพถ่าย จูงใจได้ดีจริงๆ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท