... คือมือที่เลี้ยงลูกเก้าคนไม่จนอับ
ไม่มีทรัพย์กองให้ไร้ศึกษา
ใช้แรงกายแรงสองมือคือวิชา
ภูมิปัญญาพลิกแพลงเอาส่งเจ้าเรียน
มาบัดนี้...ภูมิปัญญาอีกมากมายสิ้นถ่ายทอด
คงไหม้มอดกับเถ้าถ่านในวันเปลึ่ยน
ภูมิปัญญารุ่นต่อรุ่นไม่หมุนเวียน
แข่งกันเรียน...ลืมรากเหง้าของเราเอง
29 ตุลาคม 2553
เป็นเช้าที่อากาศไม่แจ่มใสเอาเสียเลย ฉันมีความรู้สึกได้ถึงความอึมครึม ขมุกขมัวของอากาศ เวลาประมาณ 8.30 น. หญิงป้อม พี่สาวคนรอง โทรมาจากเมืองกาญจน์ ส่งข่าวเรื่องคุณพ่อที่นอนป่วยหนักอันเกิดจากการรักษาพยาบาลของโรงพยาบาล ซึ่งมีโรคแทรกซ้อนไม่จักจบสิ้น ก่อนฉันเดินทางกลับประจวบฯ พ่อมีโรคใหม่คือกระเพาะเป็นแผล ทำให้คุณหมอต้องงดอาหารและน้ำโดยสิ้นเชิง อาการของพ่อจึงทรุดหนัก พวกเราได้แต่มองพ่อด้วยความทรมานใจ และเจ็บปวดมากเมื่อเห็นหมอและพยาบาลพยายามจะยื้อลมหายใจพ่อไว้ ด้วยการกระทำต่าง ๆ นานาลงบนร่างกายอันไม่สามารถมีกริยาโต้ตอบใด ๆ มิสามารถร้องขอบอกให้หยุดกระทำได้ ลูก ๆ ได้แต่ถอยออกห่างด้วยคำสั่งของหมอให้ออกจากห้องผู้ป่วย
ฉันทนไม่ไหวจึงแอบดูว่าเขาจะทำกับพ่ออย่างไร คนยืนมองอย่างฉันยังเจ็บปวด ฉันเห็นพ่อไม่ได้ร้องครวญคราง สันนิษฐานว่าพ่อคงหมดเรี่ยวแรงที่จะร่ำร้อง ฉันตัดสินใจถามหมอว่า "ฉีดยาชา" เหรอคะ "เปล่าครับ" ให้ยานอนหลับนิดหน่อย
ขณะนี้ลูก ๆ ของพ่อกำลังพาพ่อเดินทางกลับบ้าน กลับไปหาแม่ กลับไปสู่บ้านอันอบอวลด้วยความรักความอบอุ่น บ้านที่พ่อสร้างเองด้วยน้ำมือของพ่อ
พ่อเข้าโรงพยาบาลตั้งแต่วันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๓ ถึงวันนี้ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๕๓ รวมเวลา ๒๓ วัน
บัดนี้พ่อได้กลับบ้านแล้ว หลังจากพี่ ๆ น้อง ๆ ทุกคนลงความเห็นว่า ควรให้พ่อได้กลับไปหาแม่ กลับไปใช้ชีวิตวาระสุดท้ายที่บ้าน ที่ห้อมล้อมไปด้วยความรักของทุก ๆ คน
ตอนแรกแพทย์ไม่กล้ายืนยันว่า พ่อจะสามารถกลับไปถึงบ้านได้หรือไม่ แต่ในที่สุดพ่อก็กลับถึงบ้านแล้ว ท่ามกลางผู้คนทั้งหมู่บ้านรอต้อนรับพ่อด้วยความห่วงใย ทุกคนทิ้งหน้าที่ภาระงานของตนลงชั่วคราว เพื่อไปเยี่ยมพ่อเป็นครั้งสุดท้าย ด้วยความรักและอาลัยยิ่ง พวกเราลูกหลานรู้สึกซาบซึ้งใจในน้ำจิตไมตรีของเพื่อนบ้านทุก ๆ คน ที่มาร่วมกันส่งพ่อ นำทางพ่อไปสู่สวรรค์