การไม่เรียนน่าจะมีความทุกข์น้อยลงไหมครับ??????


บางคน ที่มีบทเรียนมากมาย ทำงานพลาดแล้วพลาดอีก ทั้งรู้ด้วยตัวเอง พรายกระซิบ และคนอื่นบอก ก็ยังไม่เรียนนั้น การเรียนอาจทำให้เขาเป็นทุกข์มากขึ้นหรือเปล่า

  ที่ผ่านมา ผมมีบทเรียนให้เรียนได้ทุกวัน

ผมก็ทำตามกระแส โดยการเรียนไปเรื่อยๆ

ยิ่งเรียนยิ่งมากขึ้นทุกวันๆ เหมือนกันครับ

ดูไม่มีทีท่าว่าจะเรียนจบสักที

ทุกวันที่ทำงาน ในทุกระบบ ก็มีบทเรียน และมีความรู้ที่ได้ เพิ่มรวดเร็วแบบทวีคูณไปเรื่อยๆเลยครับ (แต่ของเก่า ก็เลือกลืมบ้างเหมือนกันแหละ)

และ ผมก็แปลกใจในสมองคนเรา ทำไมไม่เต็มสักที

ผมจะได้มีข้ออ้างที่จะเลิกเรียน เหมือนคนบางคนที่ไม่ยอมเรียนบ้างครับ

คงจะสบายดีกว่า (หรือเปล่าครับ????) 

ว่า

การเรียนพอแล้ว หรือไม่เรียนนั้น มันมีความสุขมากขนาดไหน

ข้อนี้ไม่รวมถึงคนที่ตายแล้วนะครับ  ที่การเรียนคงเหลือในระดับ จิตวิญญาณ

ว่า

ที่คนสัญญากับเราไว้ตอนมีชีวิตอยู่ ยังจะรักษาสัญญาตอนเราตายไปแล้ว อยู่อีกหรือไม่

ที่ผมคิดว่า ยังไงๆ วิญญาณ ก็น่าจะยังมีการเรียนต่อในอีกมิติหนึ่งครับ

 

แต่ บางคน ที่ยังมีชีวิตอยู่ ที่มีบทเรียนมากมาย ทำงานพลาดแล้วพลาดอีก ทั้งรู้ด้วยตัวเอง พรายกระซิบ และคนอื่นบอก (ทั้งโดยตรงและโดยอ้อม)

 

(เช่น ระบบการศึกษา ระบบการพัฒนา ระบบการเมือง การปกครอง ระบบสังคมทาส ระบบปลาใหญ่กินปลาเล็ก และการใช้สิ่งเสพติดสารพัดชนิด)

 

ก็ยังไม่เรียน นั้น

 

การเรียนอาจทำให้เขาเป็นทุกข์มากขึ้นหรือเปล่า

เขาเลยเลือก ไม่เรียน ดีกว่า

ทำไมๆๆๆๆๆๆๆๆๆ   และ ทำไม

ช่วยบอกหน่อยครับ คิดว่าทำบุญก็ได้ครับ

     
หมายเลขบันทึก: 165824เขียนเมื่อ 18 กุมภาพันธ์ 2008 00:57 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 22:46 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (20)
  • คนพร้อมจะเรียนรู้ทุกคนแหละครับ
  • คุณอำนวยต้องมีความรักและเป็นผู้สร้างบรรยากาศให้คนเรียนรู้สึกปลอดภัย  อบอุ่น  มั่นคง  แล้วเขาจะเริ่มเรีนรู้ด้วยตัวเขาเอง
  • ไม่รู้ครูอาจารย์นี่เป็นคุณอำนวยด้วยรึเปล่า ? ( หรือไม่ใช่ ? )
  • เขาไม่เรียนอาจเป็นเพราะบรรยากาศเป็นพิษ  อิอิ
  • ผู้ที่ต้อง "เข้าเรียน" ในนามของ "นักเรียน นักศึกษา" แบบพ่อแม่ "จ้าง" ให้เรียน นี่น่าสมเพท และน่าเห็นใจ
  • และพวกที่ทำงานแบบ "ไม่อยากทำ" แต่ "อยากได้เงิน อยากได้ตำแหน่ง หน้าตา" ก็น่าสงสาร

ทีนี้ พวกที่ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง

๑. สมัครมาเรียน

๒. อาสามาทำงาน

แต่ไม่เรียนนี่สิ

อะไรกันแน่ครับ

หรือว่า การเรียน ไม่มีประโยชน์กับการทำงานของเขา

หรือว่า ทำให้เขาทุกข์ไปเปล่าๆ

อยากฟังคนที่ไม่ยอมเรียน หรือ ไม่คิดที่จะเรียน (วัดจาก พลาดแล้วพลาดอีก ก็ยังทำเหมือนเดิมๆ) แต่อยากทำงาน เดินหน้าอย่างเดียว

มีไหม

ถ้ามี

ทำไมๆๆๆๆๆๆ

 

ก็คงไม่มีความสุขเลยไม่มาเรียน ส่วนคนมาเรียนก็คงมีความสุข หลายมุมมอง

 

ครับ

การ"เข้าห้องเรียน" ก็อย่างหนึ่ง

และไม่ค่อยจะเกียวกับการเรียนครับ

คนเข้าเรียนแต่ไม่เรียน มาจดไปท่องเฉยๆก็อาจจะมี

คนที่ไม่เข้าเรียน ก็เรียนได้ เช่นกัน

ฉะนั้น การวัดผลที่ผมใช้ เน้นไปที่การเรียน มากกว่าการเข้าห้องเรียนครับ

ไม่นานก็จะเห็นครับ

ทีนี้ คำถามที่ผมตั้งไว้คือ "การเรียน" (เพื่อพัฒนาตนเอง) นั้น เป็นสิ่งที่ทำให้ผู้เรียน "ทุกข์" มากกว่า "ไม่เรียน" (แม้จะเข้าห้องเรียนก็ตาม) ที่เขาเรียกกันว่า

"ดื้อตาใส"

ถึงเวลาก็มาเรียน นั่งจ้อง ดูเหมือนจะสนใจ แต่ไม่เรียน ยังทำพลาดแบบเดิมๆ

จึงตั้งคำถามว่า

"การเรียน" ทำให้ทุกข์ มากกว่าเดิม หรือ อย่างไร

อยากฟังจริงๆครับ

 

อาจารย์คะ

คำถามนี้ น่าสนใจนะคะ

ดิฉันอ่านแล้ว ขออนุญาต ออกความเห็นนิดหน่อยค่ะ

สมัยกรีก โสเครติสแกมีวิธีการสอนปรัชญาที่แหวกแนวไม่เหมือนใครและไม่มีใครสอนเหมือน คือแกสอนโดยวิธีการถาม ถามไปเรื่อย จนสามารถตะล่อมให้คนเรียนรู้และเข้าใจในบทเรียนได้ คำถามจะเป็นการยั่งให้คิดกระตุ้นให้ใช้เหตุผลใช้ตรรกะ

ทีนี้ ถ้าเรา จะใช้วิธีนี้สอนเด็กๆจะชอบไหมคะ

ถ้าเด็กใฝ่รู้ น่าจะชอบ แต่ถ้าเด็กเกๆ อาจไม่ชอบ เพราะ ต้องเตรียมอ่านมาก่อน ไม่งั้น ตอบไม่ได้

แต่เดี๋ยวนี้ ได้ข่าวว่า ตอบไม่ได้ ก็ไม่อายแล้ว

ก็เพราะไม่รู้จึงมาเรียนไง

หรือเราจะกลับกันว่า ให้นักเรียน ถามครูเอาไหม ใครไม่มีคำถามมาถาม ถูกหักคะแนน วิธีนี้อ.จ.ว่า จะได้ผลไหมคะ

พอดี วันหยุด พลิกๆหนังสือศาสนาอ่าน

จะขอลอกมาให้นะคะ

นักศึกษาจะบรรลุถึงปัญญา คือความหลุดพ้นอย่างแท้จริงในขั้นสุดท้าย ในทางพระพุทธศาสนานั้นมีอยู่ 5 ทาง (วิธี) คือ

1.ฟังคำสอนแล้วเข้าใจ

2.สอนคำสอนแล้วผู้สอนเข้าใจ

3.ท่องคำสอนแล้วเกิดความเข้าใจ

4.คิดตริตรองคำสอนแล้วเข้าใจ

5.ทำสมาธิแล้วคิดตริตรองแล้วเข้าใจ

 

 

เป็นทุกข์แน่นอนถ้าจุดประสงค์ของการมาเรียนไม่ใช่เพื่อต้องการที่จะอยากรู้ เพราะจุดประสงค์ที่มาเรียนและทำให้เกิดทุกข์คือ เรียนเพราะเป็นวิชาบังคับ เรียนเพราะช่วยดึงเกรด เรียนเพราะเพื่อนพามาลงไม่มีไรทำมันว่าง ถ้าเป็นอย่างที่ผมว่ามาทุกข์เลยครับ

เรียนให้เป็นสุข เรียนด้วยความอยากรู้จริงๆ ได้เนื้อหาที่ต้องการจะรู้จริงๆ สุขแน่นอนครับ

ปล.ว่าที่ด้อยประสบการณ์ปี3

เรียนท่านอาจารย์ครับ

  1. จากงานวิจัยพบว่า "ผลสัมฤทธิ์ในการเรียนของผู้เรียนทั่วโลกจะลดต่ำลงเรื่อย ๆ ครับ"  ด้วยแนวโน้มนี้อาจทำให้ท่านอาจารย์พบเห็นผู้เรียนที่ไม่อยากจะเรียนมากขึ้นก็ได้นะครับ
  2. เมื่อองค์ความรู้เกิดใหม่และมีความเป็นพลวัตรมากขึ้น ๆ เรื่อย ๆ เช่น bLog, Prof.google เป็นต้น ผู้เรียนจึงเรียน "วิธีเรียน" ไม่เน้นสะสม เพราะมันเก่าเร็ว ในบางสาขาวิชา ครู ต้องเปลี่ยนบทบาทมาเป็นโค้ช เช่น Computer Science การสอนที่ประสบความสำเร็จคือ ศิษย์ต้องเก่งกว่าอาจารย์นะครับ
  3. ประเด็นการวัดผล ผมชอบแบบ มสธ. ครับ
  4. ผมชอบ ความคิดเห็น ลลปรร. ของพี่ P 5. Sasinanda มากครับ ผมคิดว่า ในอนาคตความรู้ทางโลกยิ่งจะมีความเป็นพลวัตรมากยิ่ง ๆ ขึ้น เรียนเท่าไรก็ไม่มีวันหมด  ผมว่า เราควรสอนให้ความรู้ทางธรรมเพิ่มเติมแก่ผู้เรียนทุกคนให้รู้ ให้เข้าใจ และให้เห็นนิพพาน น่าจะเป็นการเสริมฐานแห่งอนาคตที่ดีไม่น้อยนะครับ

ด้วยจิตคารวะ

 

เรียนถามท่านอาจารย์ค่ะ การเรียนการสอนที่ผู้เรียนตื่นตัวอยากได้ความรู้อยากพัฒนา แต่อาจารย์เป็นพิษ ไม่มีภาวะผู้นำ จน นศ.ไม่อยากมาเรียนเลยค่ะ ขอรบกวนขอคำแนะนำในการแก้ไขปัญาหานี้ด้วยค่ะ   ขอขอบพระคุณค่ะ

ประเด็นเริ่มจะไปไกลจากที่ผมตั้งโจทย์ไว้มากเลยครับ

และมีหลายอย่างที่น่าจะนำมาวิเคราะห์ในแต่ละประเด็นที่ถาม หรือ การหารือในแต่ละประเด็น

ก่อนจะไปถึงจุดนั้น ผมอยากจะขอให้เรามาหาคำถามตั้งต้นที่ว่า

การ "ไม่เรียน" นั้น มีความสุขมากกว่าการ "เรียน" หรือไม่

คำนี้ตั้งประเด็น "วัดใจ" คนที่ มีบทเรียนมากมาย แต่ "ไม่เรียน"

เช่น

  • การติดยาเสพติด
  • การมีวิถีชีวิตที่ไม่เกิดประโยชน์ ต่อตนเอง สังคม และผู้อื่น
  • การทำสิ่งที่เสียหายต่อตนเอง และผู้อื่น
  • ฯลฯ

ข้อคำถามนี้ ไม่เกี่ยวกับการ เข้าเรียน เรียนในห้องเรียน หรือ ไม่เข้าเรียน มีคนสอน หรือไม่มีคนสอน

เพราะ เราสามารถเรียนได้โดยไม่ต้องมีคนสอนก็ได้

เรียนจากดิน จากน้ำ จากป่า จากสัตว์ จากสิ่งแวดล้อม ฯลฯ

แต่คนจำนวนหนึ่ง หรือส่วนมาก ก็ไม่แน่ใจ "ไม่ยอมเรียน"

ยังทำ ผิดพลาด แบบเดิมๆ ทั้งที่ ผิด ก็เป็นครูให้เรียนอยู่แล้ว

ทำไมๆๆๆๆๆๆๆๆ

Pคร้บ

เป็นพระคุณมากครับที่นำพุทธธรรมมาฝาก

ผมตั้งสมมติฐานเดิมไว้ว่า

การเรียนต้องการ

  • ฐานความรู้เดิมที่สามารถรับความรู้ใหม่ได้
  • ความสนใจและตั้งใจในการพัฒนาตนเอง
  • ความรับผิดชอบต่อตนเอง สังคม และผู้อื่น
  • ความสามารถในการฟัง รับรู้ และกรองความรู้ใหม่
  • ความสามารถในการประมวลความรู้ใหม่ เข้ากับความรู้เดิม
  • และสุดท้ายน่าจะเป็น ความสามารถในการนำข้อมูลที่ได้ ไปสู่การเป็นความรู้ ปัญญา และความสามารถ

จึงจะทำให้เขามีความสุขกับการเรียน

ไม่งั้นก็คงคิดไม่ออกว่าจะเรียนไปทำไม

และ ถ้าจะต้องเรียน คงจะทุกข์ ในกระบวนการ

แต่เมื่อเรียนแล้วน่าจะทำให้ผู้เรียนทุกข์น้อยลงนะ

อันนี้ผมไม่แน่ใจ แต่คิดว่าน่าจะเป็นอย่างนี้ครับ

ทีนี้คนที่ยังไม่เรียน ก็อาจจะมองว่าการเรียนเป็นทุกข์ครับ

เช่น คนติดยา ถ้าจะต้องเรียนเพื่อเลิกยา แค่คิดก็น่าจะทุกข์แล้ว

ผมไม่แน่ใจ จึงอยากฟังคนที่มีประสบการณ์ และหรือ มองต่างมุมครับ

อาจารย์คะ

การที่เขาไม่มีความสุขกับการเรียน

ก็เป็นเรื่องที่เขาขาดปัญญา ที่จะมองในภาพรวมของชีวิตเขา ว่า เขาจะต้องเรียนไปทำไมมั๊งคะ

ถ้ารู้วิชาเป็นส่วนๆ มันยังรู้ไม่จริง

และเราก็ต้องการการสังเคราะห์ความรู้ที่เรียนไป เพื่อการใช้งานต่อไปค่ะ

ไม่ทราบว่า ครูบาอาจารย์ ต้องแสดงการเชื่อมโยงความรู้และปัญญาในภาพรวมให้ลูกศิษย์เข้าใจด้วยไหมคะ

 

 

ถ้าพูดถึงการเรียนในห้องเรียน (ที่ผมไม่ค่อยอยากเน้น เพราะมันผิดธรรมชาติมากๆ) ก็คงมีปัจจัยจากผู้สอนมาเกี่ยวข้องมากเลยครับ

 

บางท่านก็แยกส่วน หรือนอกเรื่องไปเลยก็มี

การสอนแบบองค์รวมนั้นจะทำได้กับคนที่สนใจจริงๆเท่านั้น

ผมลองสอนแบบแยกส่วน นักศึกษาจะรับได้ง่าย แต่เรียนรู้น้อย บางคนไม่ยอมเรียน แต่ขอท่องไว้สอบเป็นหลัก สอบแล้วทิ้งเลย

การสอนแบบองค์รวม ผู้สอนต้องเตรียมตัวมาก และใช้ได้กับคนเรียนที่พร้อมเท่านั้น

พวกที่ไม่พร้อมจะงง ว่าอะไรเป็นอะไร และจะว่าสอนนอกเรื่องไปเลย

ผมพยายามดีงคนทั้งสองกลุ่ม ก็ได้บ้างเสียบ้างครับ

จะเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งก็เสียดายครับ

เพราะ มีข้อดีและด้อยทั้งสองทางครับ

 

ไม่ง่ายเลยครับ กับการสอนห้องใหญ่ และมีผู้เรียนหลายแบบปนกัน จะแยกก็ไม่ได้อีกต่างหาก

จึงเป็นฉะนี้แล

แต่การเรียนนอกห้องเรียนผมว่า ผู้เรียนน่าจะมีอิสระมากกว่า

แต่ก็อาจมีคนไม่ยอมเรียน แม้ในสภาพที่อิสระ

นี่แหละครับ คำถามที่ผมตั้งไว้แต่ต้น

ยังรอคนตอบอยู่ครับ

เข้ามาอีกทีค่ะ

ก็ที่เขาไม่ยอมเรียน แม้ในสภาพอิสระ เพราะ เขาไม่รู้ว่า เรียนไปแล้ว จะได้อะไร จะมีประโยชน์อะไรกับชีวิตเขาไงคะ

ถ้าอาจารย์เจอบัวใต้น้ำอย่างนี้ ก็เครียดตายสิคะ

แล้วอาจารย์จะแก้ไขอย่างไรล่ะคะ

Pครับ

ตรงนี้แหละครับคือ climax ของประเด็น

ผมขอยกประสบการณ์ตรงมาแจงนิดหนึ่งครับ

  • บางคนอ้างว่า "การศึกษาต่ำ" เลยไม่คิดจะเรียน
  • บางคนบอกไม่ใช่หน้าที่ เลยไม่เรียน
  • บางคนบอกว่าสมองไม่พอเรียน

ผมทำงานกับชาวบ้านมานาน

เมื่อมองด้วยใจเป็นธรรม และอาศัยหลักธรรมะตัดสินแล้วพบว่า

คนส่วนใหญ่เรียนได้ โดยไม่มีข้อจำกัดของระดับการศึกษา หรือการรู้หนังสือ

 

ที่ไม่เรียน มีขึดจำกัดอบ่างน้อยสองเรื่อง

  • อวิชชา และ
  • มิจฉาทิฐิ

เราจึงต้องแกะตรงนี้ออกก่อน

ไม่งั้นเดินหน้าไม่ได้

และต้องยอมเสียเวลาตรงนี้มากๆครับ

ถ้าเวลาจำกัดจะทำได้ยาก

การแกะต้องใช้เวลาและต่อเนื่อง

ปกติผมจะต้องคุยอย่างน้อย ๓ ชั่วโมงขึ้นไป

ถ้าไม่มีเวลาจะแกะสองตัวนี้ออกยากมาก

แม้มีเวลาก็ยังยากกับบางคนครับ

ผมไม่อึดอัดหรอกครับ

ผมเดินตามรอยท่านพุทธทาส

"ได้แค่ไหน ยินดีแค่นั้นครับ"

 

ขอบคุณที่ติดตามสม่ำเสมอครับ

  • อวิชชา และ
  • มิจฉาทิฐิ

ค่ะชอบคุยกับอาจารย์ค่ะ

สรุปสั้นๆตามความเห็นส่วนตัวคือ

 ก่อนที่จะปฎิรุปการศึกษาที่เป็นเรื่องใหญ่โต ให้ปฎิรูปความคิด ความเห็นของคนก่อนก็แล้วก่อน   ถ้า วินิจฉัยเสียๆแล้ว จะเดินหน้ากันอย่างไรค่ะ งานหนักค่ะ

ตอนนี้ก็ติดอยู่สองตัวนี้แหละเป็นหลัก

แต่ก็ยังมี

  • โมหะ

ที่ถ้าอยู่ในคนที่ที่มีอำนาจละก็ บรรลัย เลยครับ

มองคนอื่นที่เห็นต่างเป็นศัตรูไปเลย

ทำให้เกิด

  • โทสะ ต่อไปอีก

หรือบางคน อาจมี

  • โลภะ

ยิ่งหาจุดจบไม่ได้เลยครับ

 

ไม่ยอมเรียนแน่นอน ถ้าไม่ได้อย่างที่ "กิเลส" สั่งมา

แม้ได้ก็ไม่เรียนเหมือนเดิมแหละครับ

เฮ้อ.........

เรียนอาจารย์แสวงที่เคารพ

ผมเพิ่งจะได้มีโอกาสเข้ามาอ่านข้อคิดและความเห็นของอาจารย์เมื่อไม่กี่วันนี้เอง ที่ผมติดตามอ่านก็เพราะมีคนบอกผมว่า ที่กระดานของอาจารย์มีความรู้ในการทำนาให้อ่าน เนื่องจากผมอยากทำนา และต้องการทำนาในที่ดินของผมเองเท่านั้น เพราะผมสงสัียว่า ทำไมชาวนาไทยส่วนใหญ่จึงทนทำนาในลักษณะที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน แม้จะมีชาวนาอีกหลายๆคนทำนาในลักษณะที่แตกต่างออกไปจนประสบผลสำเร็จ หลุดพ้นจากวังวนของหนี้สินและสภาพความยากลำบากที่ชาวนาทั่วๆไปยังคงเวียนว่ายอยู่ เมื่อผมอ่านมาเรื่อยๆจึงพบกระทู้แสดงความคิดเห็นของอาจารย์ในเรื่องการเรียน ที่ว่าทำไมคนที่เรียนมามากมาย ก็ยังคงทำผิดพลาดและไม่เคยที่จะเรียนรู้เพื่อแก้ไขความผิดพลาดหรือความไม่รู้ของตนเองอันเนื่องจากอวิชชา และต้องการให้คนที่ไม่รักเรียนมาแสดงความคิดเห็นให้อาจารย์ทราบบ้าง

ผมจึงขอแสดงความคิดเห็นให้อาจาย์ทราบถึงทัศนะของผม เนื่องจากผมในสมัยที่เป็นนักเรียนผมเป็นนักเรียนที่เข้าไปเรียนในโรงเรียนไหนก็ถูกไล่ออกเสมอมา ทั้งนี้สาเหตุหลักก็คือ ผมไม่ศรัทธาในบุคคลผู้อ้างตัวว่าเป็นครู ในชีวิตของผมตอนผมเรียนหนังสือในโรงเรียนแม้ต่อมาเมื่อผมเรียนในระดับอุดมศึกษา ผมก็ไม่เคยได้พบใครที่เป็นครูอย่างแท้จริง มีแต่คนที่ท่องจำเอาความรู้ที่มีบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรมาเล่าให้ฟังแล้วก็รับเอาค่าตอบแทนไป

สาเหตุที่ผมกลับไปเรียนก็เพราะ วันหนึ่งเมื่อผมเกิดเบื่อการเกเรสำมะเลเทเมาชั่วขณะ ผมเลยกลับบ้าน ก็พบว่าแม่ผมนั่งร้องไห้อยู่ ผมถามแม่ผมว่าร้องไห้ทำไม ใครทำแม่ แม่ผมตอบผมว่า ตัวผมนั่นแหละที่ทำให้แม่ต้องร้องไห้ ทำไมผมจึงทำตัวแบบนี้ ไม่เรียนหนังสือ คบแต่คนที่ชักชวนไปในทางเลว เข้าโรงเรียนไหนก็ทำให้แม่ต้องขายหน้า ถูกไล่ออกตลอด ขายหน้าครู ขายหน้าเพื่อนบ้าน ทำไมไม่รู้จักปรับปรุงตัวเองให้เป็นคนดีอย่างกับคนอื่นเขาเสียบ้าง ผมไม่ตอบแม่ผม ผมกลับเดินออกจากบ้าน ผมเสียใจที่ทำเห็นแม่ต้องร้องไห้ แล้วผมก็ไปนั่งทบทวนตัวเองว่าทำไมผมจึงเป็นเช่นที่เป็นอยู่ในขณะนั้น ผมคิดไตร่ตรองด้วยความเข้าใจและความรู้ที่มีในตอนนั้นว่า เป็นเพราะครูที่ผมพบเห็นมา จากความที่ผมคิดว่าบุคคลพวกนั้นไม่ใช่ครูแท้ แต่แอบอ้างว่าเป็นครู เมื่อผมไม่เคารพ ก็หาเรื่องลงโทษผม กลั่นแกล้งผม แม้เมื่อเรียนในระดับเตรียมอุดมก็ยังถูกเรียกไปตีต่อหน้านักเรียนทั้งโรงเรียนที่เสาธงเวลาเข้าแถวร้องเพลงชาติ และเป็นนักเรียนในระดับเตรียมอุดมคนเดียวของโรงเรียนที่ถูกลงโทษต่อหน้าสาธารณะ จนถึงปัจจุบันยังไม่มีนักเรียนในระดับนี้ผู้ใดมาร่วมเป็นผู้รับโทษเช่นผม ทั้งที่ผ่านมาในขณะที่ผมยังไม่รู้จักคิด ก็ชมผมว่าเรียนดี เรียนเก่ง แจกรางวัลประจำปีให้ผมในฐานะนักเรียนดีของโรงเรียน ทั้งๆที่คนพวกนั้นต่างหากที่ปฏิบัติตนไม่สมกับที่แอบอ้างว่าตนเองเป็นครูให้ผมพบเห็นในหลายๆโอกาส จนผมเองขาดศรัทธาและไม่เคารพเชื่อฟังอีก

ผมจึงตัดสินใจกลับไปเรียนหนังสือ โดยพยายามหาหนังสือมาอ่านและไปสมัครสอบระดับเตรียมอุดมศึกษา (มัธยม ๘) ในขณะนั้นยังไม่มีการศึกษานอกโรงเรียน ผมสอบผ่านและไปสอบเพื่อเข้ามหาวิทยาลัย โดยเสียเวลาไปเปล่า 2 ปีเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ในคณะสัตวบาล เพราะสมัยผมเด็กผมฝังใจกับภาพยนต์คาวบอย พระเอกขี่ม้าต้อนฝูงวัว ตัดสินกันอย่างลูกผู้ชาย

แต่เป็นผู้มึคุณธรรมไม่ยอมสยบให้แก่อธรรม เนื่องจากผมทิ้งการเรียนไปหลายปี การกลับมาสอบเทียบความรู้ก็ทำอย่างเร่งรีบ ขาดพื้นฐานความเข้าใจทางวิทยาศาสตร์ ผมจึงสอบเข้าเรียนไม่ได้ สุดท้ายผมต้องเบนเข็มไปเรียนทางสังคมวิทยา โดยปีต่อมาผมก็สามารถเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยได้

เมื่อเข้าเรียนมหาวิทยาลัยแล้วผมก็ไปพบกับคนที่อ้างตัวว่าเป็นอาจารย์ ซึ่งก็ทำให้ผมรู้สึกระอากับการประพฤติปฏิบัติ อันทำให้ตอกย้ำความรู้สึกของผมว่า ในโลกนี้ไม่มีครูอย่างแท้จริง มีแต่ครูเทียม หลังจากนั้นผมไม่เข้าห้องเรียนอีกเลย ทำให้ในขณะเรียนผมไม่เคยเห็นหน้าและรู้จักอาจารยที่เป็นผู้สอนในภาคที่ 2 ของปีที่ 1จนกระทั่งเรียนจบอีกเลย ผมเอาเวลาไปรับจ้างทำงานเพราะไม่ต้องการเป็นภาระแก่แม่ผม ทั้งที่แม่ก็ยินดี เพราะดีใจที่ผมกลับมาเรียนจนสามารถเข้ามหาวิทยาลัยได้ โดยหาหนังสือมาอ่านเอาเองและไปสอบโดยใช้ความรู้รอบตัวจากการตีความเอาเองของผมเมื่ออ่านหนังสือ และจากประสบการในการเป็นลูกจ้างทำงาน ผมจบปริญญาตรีโดยใช้เวลา 4 ปีครึ่ง

เหตุที่ผมต้องชี้แจงมายาวเช่นนี้ ก็เพื่อให้อาจารย์ได้ทราบถึงภูมิหลังว่าเหตุใดผมจึงไม่เรียนหนังสือ ต่อมาเมื่อผมมีอายุมากขึ้น ผมจึงเข้าใจว่าไม่ใช่แต่ครูเท่านั้นที่เป็นผู้ผิด ตัวผมเองก็เป็นผู้ผิดด้วย เพราะผมไม่ได้เรียนรู้ที่จะให้อภัยในความผิดพลาดของคนอื่น เห็นแต่ความผิดของผู้อื่นแต่ไม่เห็นความผิดของตนเอง

ต่อมาเมื่อผมศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้ามากขึ้น และได้ฟังพระนักเทศน์กล่าวว่า พระพุทธเจ้าเป็นยอดครู เพราะทรงสอนในสิ่งที่พระองค์ทรงปฏิบัติ ที่ไม่ทรงปฏิบัติก็ไม่ทรงสอน พระรูปนั้นย้ำว่า พระพุทธเจ้าทรงทำเช่นนี้ สอนเช่นไรก็ปฏิบัติเช่นนั้น ปฏิบัติเช่นไรก็สอนเช่นนั้น ผมได้เก็บมาคิดและสุดท้ายก็ยอมรับกับตัวเองว่า ในโลกนี้ยังมีครูแท้อยู่ ได้แก่พระพุทธเจ้านั่นเอง และในวันนั้นที่ผมยอมรับในครู ผมได้จุดธูปขออโหสิต่อครูในอดีตทุกคนที่ผมกระด้างกระเดื่อง ไม่เคารพ ไม่เชื่อฟังคำสั่งสอน และนินทาว่าร้ายเสริมด้วยการด่าทอครู

ในความติดของผม คนทุกคนมีความอยากเรียนรู้เป็นคุณสมบัติประจำตัวตามธรรมชาติอยู่แล้ว แต่สาเหตุที่ไม่ยอมเรียน ก็เพราะความหลงผิด เพราะด้วยสติปัญญาของผู้ศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้า ผมเชื่อว่าสามารถจะบรรลุธรรมได้ทุกคน สามารถจะเป็นพระอรหันต์ทั้งนั้น แต่ทำไมจึงมีผู้ที่ศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้าอีกจำนวนมากมาย ทั้งที่รู้อยู่ว่า อะไรเป็นทุกข์ อะไรเป็นสาเหตุแห่งทุกข์ และทางดับทุกข์มีอยู่อย่างไร ก็ยังคงหลงอยู่กับกิเลศไม่ยอมเปลื้องทุกข์ให้แก่ตัวเอง ปลดปล่อยตัวเองจากโซ่ตรวนแห่งทุกข์

พระอรหันต์ทั้งหลายก็คงมีความรู้สึกต่อคนทั่วๆไปเช่นเดียวกับที่อาจารย์มีความรู้สึกกับการเรียนการศึกษาของคนไทยในปัจจุบันนี้

ตัวผมเอง ก็เช่นเดียวกัน เมื่อเรียนมากยิ่งขึ้นก็ยิ่งพบว่า ยิ่งเรียนยิ่งทุกข์ สู้ไม่เรียนรู้ดีกว่า เพราะไม่เป็นทุกข์ เพราะการไม่เรียนทำให้เราไม่รู้ถึงทุกข์ ง่ายๆ สบายดี ไม่ต้องพากเพียรซึ่งลำบาก อยูไปวันๆ ให้เป็นภาระของรัฐที่จะต้องเลี้ยงดูดีกว่า เพราะผู้แสวงหาอำนาจรัฐและใช้อำนาจรัฐ ก็มิได้ดีไปกว่าคนทั่วๆไป ยิ่งเรียนรู้มากก็ยิ่งเบียดเบียนคนอื่นๆมากขึ้นเป็นเงาตามตัว แอบอ้างว่าเข้ามารับใช้ประชาชน เพื่อประโยชน์ของประชาชน โดยมีประชาชนเป็นผู้สนับสนุน แต่ถ้าลองไม่กราบไหว้ท่าน ไม่อ่อนน้อมต่อท่าน ยินยอมให้ท่านแสวงหาประโยชน์เพื่อตัวเองและพวกพ้องละก็ เป็นถูกกลั่นแกล้ง เบียดเบียนจนไม่มีพื้นที่จะอยู่ สุดท้ายก็ต้องยอมรับว่า เราดันเกิดมาอาศัยเขาอยู่ ก็ต้องกล้ำกลืนฝืนทนสภาวะเช่นนี้ไปจนตาย

หากฝืนต่อสู้ก็อาจจะชนะได้เฉพาะคราวนั้น แต่เป็นการชนะแต่เพียงวันนี้ และในที่สุด ก็จะมีคนในกลุ่มของเราเองนั่นแหละที่จะกลายเป็นผู้ที่แสวงหาอำนาจและใช้อำนาจที่มีเบียดเบียนพวกเดียวกันเองในอนาคต

ผมจึงสรุปว่า แม้กระทั่งตัวเอง ในที่สุดก็ได้เรียนมามากจนถึงวันนี้ ก็ยังคงหลงระเริงกับอวิชชา กับสิ่งเร้าอื่นๆอีกมากมาย โดยยังคงประมาทไม่มุ่งมันที่จะปลดเปลื้องตัวเองให้พ้นกิเลส ให้พ้นจากความทุกข์อย่างสิ้นเชิง

ผมไม่ทราบว่าการแสดงความเห็นของผมจะตรงกับความต้องการของอาจารย์และจะเป็นข้อมูลให้อาจารย์ได้เพียงใด เพราะล่าช้ากว่าความต้องการทราบของอาจารย์ไปปีกว่า

ด้วยความเคารพ

สันติสุข บุลยเลิศ

สุดยอดเลยครับ

ไม่เคยมีใครอธิบายได้ละเอียดละออขนาดนี้ครับ

แต่ผมคิดว่า ท่านเรียนแล้ว และรู้แล้วครับ

ที่ผ่านมาเป็นกระบวนการเรียนของท่าน

ลองผิดลองถูกไปเรื่อยๆ จนพบเส้นทางของตัวเอง

นี่แหละครับ ที่เรียกว่า "การเรียน"

แต่ที่ผมพูดถึงคนไม่เรียนนั้น ไม่โดนหรือเฉี่ยวท่านเลยครับ

ผมหมายถึงคนที่พลาดแล้วพลาดอีก ก็ยังไม่รู้ว่าพลาดเพราะอะไร สาเหตุคืออะไร มีทางที่จะทำให้ไม่พลาดไหม หรือมีวิธีการที่จะทำให้ไม่พลาดอย่างไรบ้าง (นี่ผมนำอริยสัจ ๔ มาแจงเลยครับ)

แค่หลักธรรมเบื้องต้นของพระพุทธเจ้าก็ได้

ไม่ต้องไปเรียนลึกๆ

แค่นี้ก็น่าจะแก้ปัญหาได้มากมายแล้ว

แต่...... ทำไมเขาจึงไม่เรียนกัน

หรือว่า การเรียนเพื่อแก้ปัญหาเหล่านั้นทำให้เขาทุกข์มากขึ้นหรืออย่างไร

นี่คือสิ่งที่ผมไม่เข้าใจ และเป็นประเด็นคำถามที่ตั้งไว้ครับ

อยากฟังจริงๆครับ ว่าทำไมๆๆๆๆๆๆ

ทำไมจึงไม่เรียน

เรียน อาจารย์แสวงที่เคารพ

ผมได้ส่งอีเมลหาอาจารย์แล้วท้าวความมายังเรื่องนี้ด้วย โดยยังไม่ได้อ่านที่อาจารย์ได้แสดงความคิดเห็นไว้ก่อนแล้ว จึงต้องขออภัยอาจารย์ไว้ ณ ที่นี้ด้วย

ผมขอแสดงความเห็นเพิ่มเติมต่อการถามของอาจารย์อีกดังนี้:-

ในขณะที่ผมมีความเคียดแค้นครูและแสดงปฏิกริยาเป็นปฏิปักษ์ต่อการกระทำของครูในทุกวิถีทาง ในขณะนั้นผมไม่เคยคิดที่จะย้อนมาพิจารณาการกระทำของผมเลย ผมกลับมีความภาคภูมิใจที่ทำให้ครูเกิดความโกรธเคือง และไม่เคยคิดที่จะเรียนในเวลานั้น ผมกลับคิดว่าการกระทำของผมในขณะนั้นเป็นสิ่งที่ดีในความรู้สึกของผม ผมได้โต้ตอบคนที่ผมไม่เคารพนับถือ จนกระทั่งผมหลงผิดไปคิดว่า คนอย่างเราต่างหากที่เป็นคนที่สังคมควรจะยกย่อง เพราะคนที่ทำตัวเลวในสายตาของคนอื่นนั้น เป็นคนที่เสียสละตนเอง กระทำความเลวเพื่อให้สังคมได้รับรู้ว่าความเลวแตกต่างจากความดีอย่างไร หากในโลกนี้ตั้งแต่โบราณไม่มีผู้ที่กล้าหาญอุทิศและเสียสละตนเองกระทำความเลวแล้ว สังคมจะแยกแยะว่า อะไรคือความดีและอะไรคือความชั่วได้ เพราะถ้าทุกคนปฏิบัติตนด้วยความดีเหมือนกันหมด สังคมก็ไม่มีทางรู่ว่าสิ่งใดดีหรือไม่ดี เพราะไม่มีอะไรจะมาวัดหรือเปรียบเทียบให้เข้าใจระหว่างความดี ความเลวได้

อีกประการหนึ่ง ในขณะที่เกิดความผิดพลาดขึ้นจากการกระทำของตนเอง ในช่วงเวลานั้นก็มักจะเกิดความเศร้า ความโกรธ ยิ่งมีความคิดเห็นว่าความผิดพลาดของตนเองเกิดจากการกระทำหรือการละเว้นการกระทำของบุคคลอื่น ก็ยิ่งไม่คิดที่จะย้อนกลับมาดูสาเหตุของความผิดพลาดที่เกิดจากการกระทำของตนเอง มีแต่ความโกรธแค้น และก่นสาปแช่งบุคคลอื่นๆ ไม่เห็นความผิดของตนเอง เห็นแต่ความผิดของผู้อื่น

นี้จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมคนที่ผิดพลาดแล้วจึงไม่เรียนรู้ถึงความผิดพลาดของตนเอง ไม่ยอมเรียนเพื่อกลับมาทำสิ่งที่ถูกต้อง เ่ช่นเดียวกับตัวผม ถ้าผมไม่กลับมาเห็นแม่ผมร้องไห้ และแม่บอกว่าเป็นเพราะตัวผมที่เป็นสาเหตุ ผมคงไม่มีโอกาสเป็นตัวผมในปัจจุบัน ชีวิตของผมคงจบลงในคุกหรืออาจถูกตำรวจวิสามัญฆาตกรรม เพราะผมคงได้ใช้ชีวิตกระทำความเลวด้วยความหลงผิดไปเรื่อยๆ

ด้วยความเคารพ

สันติสุข

คนที่น่านับถือที่สุด คือ

คนที่สอนตัวเองได้ครับ

นี่คือสิ่งผมเรียนรู้มาครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท