ผมได้เคยพยายามทำความเข้าใจ ถึงที่มาของคำ ความหมาย วิวัฒนาการ และความเป็นอยู่ของระบบการศึกษา ที่แปลว่า "การพัฒนาตนเอง" ทั้งโดยตรง แบบเลียบๆคียงๆ และโดยอ้อม มาหลายครั้ง อย่างน้อยก็ในรอบสองปีที่ผ่านมา
และยิ่งมาพิจารณาว่า
เนื้อหาสาระที่เราทำกันอยู่เพื่อพัฒนา "คน" และกำลังสมองของชาตินั้น เรากำลังทำอะไรกันอยู่ในรูปแบบใด ตรงกับเป้าหมายที่เราวางไว้หรือไม่
ผลการวิเคราะห์แบบแยกส่วน
พบว่า
"นักเรียน" ในปัจจุบัน ส่วนใหญ่ มักเป็นเพียง "นักท่องตำราไปสอบ" ไม่ค่อยมีเวลามาสนใจ หรือ "โอกาส" ที่จะเรียนรู้ แบบ "นักเรียน" อะไรมากนัก
ตราบใดที่พอจะจำได้และนำไปตอบในการสอบให้ "ผ่าน" ก็เพียงพอ และ "หมดแรง" แล้ว
เพราะเรื่องที่จะท่องไปสอบก็มีมากมายเหลือเกิน ทั้งหลายวิชา และแต่ละวิชามีสาระและเนื้อหามากมาย
เกินกว่าที่จะ
ถ้าจะให้ "เรียนรู้" ไปด้วยนั้น
แม้หลายเรื่องที่ดูเหมือนจะมีประโยชน์ต่อตัวผู้เรียนโดยตรง แต่
ผู้สอนก็อาจจะมิได้ชี้นำ หรือแสดงให้ดู หรืเป็นตัวอย่าง ในการใช้ความรู้ที่ตัวเองสอน ว่าแต่ละเรื่องที่ท่านสอนนั้น สามารถนำไปใช้ประโยชน์ให้เห็นเป็นตัวอย่างได้อย่างไร
เพราะ "ผู้สอน" ที่ "ผู้เรียน" ไป "เรียน" ด้วยนั้น ก็ยังอาจไม่ใช่ "ครู" ที่หมายถึง ผู้ที่ทำเป็นตัวอย่างให้ "ผู้เรียน" ทำตาม หรือ "ใช้เป็นเยี่ยงอย่าง"
ทั้งนี้ก็ด้วยเหตุผลหลายประการ
ตั้งแต่
แล้วผู้สอนเหล่านั้น ก็มาทำตัวเสมือนหนึ่ง เป็น "ครู" ทั้งๆที่ไม่สามารถเป็น "ต้นแบบ" กับใครได้
เมื่อไม่เคยเรียนมาก่อน ก็ไม่ได้เรียนรู้ ไม่ได้พัฒนาตนเอง ในนามของ "นักศีกษา" (นักพัฒนาตนเอง) แต่ต้องมาสอน
จึงต้องท่องมาสอน (แบบดียวกับผู้เรียน "ท่องไปสอบ") หรือ ถ่ายเอกสารตำราที่เป็นความรู้ของคนอื่น มาแจกบ้าง ขายบ้าง
จึงเป็น "ครู" ตัวอย่างในการ "ท่องจำ" เพื่อให้ผ่านการ "ประเมิน" ยากจะมีโอกาสได้เป็น "ครู" แห่งการเรียนรู้ แบบแม่ปูกับลูกปู
และ "ผู้สอน" ที่ทำหน้าที่ "ครู" เหล่านี้ก็อยู่ในภาวะกดดัน ทั้งทางเศรษฐกิจ และสังคม ที่จะต้องทำหน้าที่ "ครู" ตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด แทบกระดิกตัวไม่ได้
ดังนั้น จึงเป็น ระบบการสอน โดยผู้สอน ที่ไม่มีโอกาสที่จะทำตัวเป็น "ครู"
ทำให้แทบไม่มีการ "เรียน" จึงไม่สนับสนุนให้เกิด "การเรียนรู้" และส่งผลให้ ไม่มี "นักเรียน" และ "นักศึกษา"
ทำให้ผู้ที่ "จบการศึกษา" เป็นผู้มีความสามารถในการผ่านการวัดผล "การท่องไปสอบ"
แล้วเราคาดหวังว่าจะมี "ระบบการศึกษา" แบบไหนกัน เราต้องการคนในรุ่นลูกหลานแบบไหนมาพัฒนาประเทศของเราต่อไป
นักท่องตำราไปสอบ นักลอกตำราหรือความรู้ของคนอื่นไปตอบข้อสอบ
เท่านั้นเอง
หรือ เราต้องการ "นักเรียน" "ครู" "นักศึกษา" ที่สามารถเรียนรู้ และพัฒนาตนเองและระบบ "การศึกษา" ได้อย่างต่อเนื่อง
อะไร คือเป้าหมายที่เราอยากเห็น ก็พุ่งเป้าไปที่นั่น อย่าวอกแวก ออกนอกทาง ไม่ช้าไม่นาน เรามีโอกาสไปถึงเป้าหมายแน่นนอน
ขอฝากไว้ให้คิดครับ
สวัสดีรอบเย็นครับท่านคุณครู ดร.แสวง
ผมเพิ่งกลับจากสรุปประเด็นวิจัยทางการศีกษาของชาติ
สรุปว่า มีแต่การศึกษาทัศนคติเป็นหลัก ไม่มีอะไรใหม่
จึงเรียกได้ว่า
งานวิจัยก็ "บอด" สนิท
ผมเลยพยายามดึงงานกลุ่มอิ่นเข้าไปโยง
โดยเฉพาะ เศรษฐกิจพอเพียง ภูมิปัญญาไทย และหลักสูตรท้องถิ่น
ไม่งั้นไม่มีทางออกเลยละครับ
สวัสดีครับ อาจารย์ ดร. แสวง รวยสูงเนิน
ขอบคุณครับ อาจารย์ ... เป็นครูนี่ ยากจริง ๆ นะครับ
ครับ
ที่จริงง่ายนิดเดียวครับ
แค่วางคัมภีร์ไว้ ไม่ต้องแบกมาสอน หรือ จำมาเล่า ก็จะเริ่มเป็นครูที่ดีได้แล้ว
สิ่งที่ "ครู" ทำไม่ถูก ก็เป็นบทเรียน อย่าถือเป็นเยี่ยงอย่าง
สิ่งที่ "ครู" ทำดี ก็เป็นตัวอย่าง ไว้ทำตาม
เท่านั้นเอง ก็เป็น "ครู" ได้แล้ว
แล้วผู้เรียน ก็จะเริ่มเรียน และเรียนรู้ ได้เลย
ใช่ค่ะ เราต้องศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง ต้องรู้จักตัวเองก่อน
ครับ
ผมเคยใช้แบบการรอให้ครบ และให้คะแนน I ไว้ก่อน
ก็มีผู้เรียนจำนวนหนึ่งสนใจที่จะทำงานจนบรรลุเป้าหมาย
แต่มีจำนวนมาก "ทิ้งเลย" จนต้องมาให้ D หรือ F แทนค่า I
เรื่องนี้ยังหาทางแก้ไขไม่ได้ครับ
เพราะ เราไม่มี "นักเรียน" ครับ
อย่างว่าแหละครับ
ไม่มีของจริงสักอย่างรึ ครับ
แหมน่าเห็นใจ
ถามว่ามีไว้ทำไม ใครก็ไม่อยากตอบคำถามนี้ เพราะถือว่ารู้อยู่แก่ใจ ตามสันดานไทยแท้
สวัสดีครับแวะมาอ่านครับ
ครับ ของปลอมล้วนๆ
เหมือนพระเครื่องในตลาดพระเครื่องเลยครับ
เดินสิบร้านจะหาของแท้ๆ ยากจริงๆ มีแต่ทำมากับมือแท้ๆ ทั้งนั้นเลยครับ