Logophobia (โรคกลัวความรู้) กำลังระบาดในสังคมไทย?????


(“ไร้”) สาระบันเทิง ได้กลายเป็นเครื่องปิดกั้นโอกาสในการเรียนรู้ในด้านอื่นๆ อีกมากมาย อย่างน่าเสียดาย

 

ในช่วง ๒ วันที่ผ่านมา ผมมีโอกาสได้เข้าร่วมประชุม สัมมนาทางวิชาการ ที่กรุงเทพ  แบบมีผู้ออกค่าใช้จ่ายให้ แต่ต้องพักห้องคู่ กับผู้เข้าร่วมประชุมอีกท่านหนึ่ง

 

ผมได้ถามเขาว่า เขามีหน้าที่การงานอะไร

 

ได้คำตอบว่า เป็น เจ้าหน้าที่ประสานมวลชน ที่ผมไม่ทราบว่าหมายความว่าอะไร

 

ผมพยายามถามต่อแต่ก็ไม่ได้ใจความอะไร ก็เลยเลิกถาม แต่คอยสังเกตพฤติกรรมเขามากกว่า

 

ผมพบว่า เขาจะชอบดูรายการ กีฬา เป็นชีวิตจิตใจ ทั้งๆที่เขาก็ไม่มีทีท่าว่าจะเป็น นักวิ่ง เหมือนคุณหมอนักวิ่ง หรือ นักกีฬา แต่ประการใด

 

หลังจากพยายามติดตาม สังเกตการณ์ ผมก็ยังคิดไม่ออกว่าเขาจะดูรายการ กีฬา ต่างๆ ไปทำไม

 

และทำให้ผมนึกถึงคำพูดของอาจารย์ แฮนดี้ ว่า

 

จะรู้ไปทำไม (วะ)???

 

ผมสังเกตว่าพอรายการทีวีอื่นที่มีสาระหน่อย ที่ผมสนใจดู เขาจะลดความสนใจทันที

 

ผมก็เลยมารวบรวมประสบการณ์ที่พบว่า เมื่อมีรายการกีฬา โดยเฉพาะ ฟุตบอล ระดับโลก ถนนแทบจะไม่มีรถวิ่ง (ก็ดีเหมือนกันแฮะ-พึ่งนึกออกว่า เราประหยัดน้ำมันกันวิธีนี้เอง  มั้ง??)

 

ผมยอมรับว่ารายการกีฬาบางรายการ อาจช่วยให้ผู้ชมบางคน รัก กีฬา และ การออกกำลังกาย

 

แต่  ผมก็สังเกตว่า คนอีกจำนวนมาก ไม่ได้เชื่อมโยงการดู รายการกีฬา  กีฬา กับการออกกำลังกาย

 

 

แต่กลับใช้รายการดังกล่าวเป็น (ไร้) สาระบันเทิง และกลายเป็นเครื่องปิดกั้นโอกาสในการเรียนรู้ในด้านอื่นๆ อีกมากมาย อย่างน่าเสียดาย  (แม้จะเรียนรู้จากรายการกีฬาเหล่านั้นบ้างก็คงไม่มาก)

 

และยังกลับไปเชื่อมกับ การพนัน และ ยาเสพติด อีกต่างหาก

 

นอกจากนี้ผมยังโยงประสบการณ์ไปถึง

·       การเล่นเกมคอมพิวเตอร์ของเด็กสมัยใหม่

·       การดื่มแอลกอฮอล์และเสพสารเสพติดต่างๆ

·       การฟังเพลง หรือร้องเพลง ทั้งวัน ของคนบางคน

·       การคุยกันแต่เรื่องที่ไม่เป็นประโยชน์กับใครในวงเหล้า หรือวงกาแฟ ก็แล้วแต่

·       ฯลฯ

 

สิ่งเหล่านี้ได้ลดโอกาสการ รับรู้ และ เรียนรู้ มากมาย ทั้งจงใจ และ สถานการณ์ทางสังคมและสิ่งแวดล้อมบีบบังคับ

 

และ ผมสงสัยว่าอย่างน้อยก็กลุ่มหนึ่งของคนไทยที่อยู่กับความ ไร้ สาระบันเทิง แบบนี้

 

พอจะมีอะไรที่เป็น สาระ บ้าง ก็จะหันหน้าหนี หรือแสดงความอึดอัดทันที

 

ที่ผมขอเรียกว่า โรคกลัวความรู้ (Logophobia) ครับ

และกำลังระบาดในหลายวงการ กับคนทุกวัย

 

ทำให้ทรัพยากร มนุษย์ และสิ่งที่เขาเสพอยู่ ที่เป็นทรัพยากรของประเทศ กลายเป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์ ไปอย่างทันตาเห็น

 

ใครมียาแก้บ้างครับ

 

 

 

 

หมายเลขบันทึก: 172837เขียนเมื่อ 25 มีนาคม 2008 08:59 น. ()แก้ไขเมื่อ 15 มิถุนายน 2012 11:46 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (23)

ไม่มียาแก้ครับ แต่เชื่อได้ว่าเมื่อรักษาโรคกลัวความรู้ได้ ก็อาจจะรักษาอาการข้างเคียงคือ ฉาบฉวย ผิวเผิน ไม่อดทน เห็นแต่ไม่คิด ตอบคำถามเป็นแต่ถูก-ผิดหรือข้อสอบปรนัย รับแต่ไม่รู้ ใช้แต่ไม่สร้าง ฯลฯ ได้ด้วยครับ

P

ดร. แสวง รวยสูงเนิน

 

  • ว่าโรคกลัวความรู้         ระบาด เมืองไทย
  • คล้ายว่าน่าจะขาด        ยาแก้
  • ฤาว่าเป็นธรรมชาติ       คนไทย ทั่วไป
  • แสลงความรู้โรคแพ้      ยาแก้  ไม่มี

เจริญพร

ผมสังเกตอยู่ว่าคนหลายๆ คนมีอาการเหมือนที่อาจารย์เขียนครับ คือเมื่อเห็นอะไรที่มีสาระหน่อยจะรีบหนีไปอย่างรวดเร็ว

ได้อ่านบันทึกของอาจารย์เลยรู้ว่าโรคนี้คือ "โรคกลัวความรู้" (philophobia) ซึ่งเป็นโรคระบาดที่น่ากลัวมากครับ ผมเห็นอาการของคนเป็นโรคแล้วน่าหนักใจมาก ดูเหมือนคนเป็นโรคนี้จะมีอยู่มากเสียด้วย น่ากลัวจริงๆ

สวัสดีค่ะ อ.แสวงที่เคารพ

 อ่าน Philophobia แล้วก็เกิดความเศร้าใจเล็ก ๆ เพราะไม่แน่ใจว่าตัวเองก็เป็นโรคนี้ด้วยหรือเปล่า

การเข้ากลุ่ม จะพูดคุยกับเพื่อน จะต้องมีความรู้ (อย่างดี) ในเรื่อง ดังต่อไปนี้

- รายการ/เกมส์เมื่อคืนเรื่องอะไร

- เมื่อคืน เย็น ใน นางทาส เป็นไงบ้าง

- บ้าน AF

ขอโทษค่ะ เกิดความขัดข้องมือมันกดอย่างไรไม่ทราบได้ ขอเขียนต่อนะคะ

- บ้าน AF เป็นไงบ้าง ใครเชียร์ใคร

- ดารากับข่าวคาว ใครเลิก ใครควงใคร ใครนิสัยไม่ดี

- นักการเมืองคนนี้ คนนั้น มีเบื้องหลังเบื้องหน้าอะไร

- เธอคนนั้น คนนี้ ดูสิ..แปลกจัง...ฯลฯ

 พิจารณาดูแล้ว ล้วนเป็นเรื่องนอกตัวและเรื่องของคนอื่น เคยปลงว่าเออหนอ...รู้แล้วจะได้อะไรขึ้นมากันน้า... พอจะคุยเรื่องที่เกี่ยวกับงานบ้าง...ไม่เอ้าไม่เอา...เครียด เราไม่คุยกันเรื่องงาน...อ้าว เป็นงั้นไป

..อย่างนี้แล้ว ชุมชนนักปฏิบัติ (COPs) จะเกิดได้อย่างไรกัน

สำหรับยาแก้...คิดเร็ว ๆ ตอนนี้ แนะนำว่า น่าจะลองใช้ ทฤษฎีของ Paulo Freire ในการกระตุ้นมโนธรรมสำนึก Conscientization ไปพลาง ๆ ก่อน ขออนุญาตไปทดลองใช้ยาก่อนนะคะ  แล้วจะรีบมารายงานผลค่ะ

ครับ

เรื่องนี้น่ากลัวมาก

เราหลงทางกันมากในมุกระดับ

แม้ในระดับสื่อสารมวลชน และระดับประเทศ

 

ที่เราไม่เคยพยายามจะแยกจากกันคือ

การออกกำลังกาย กีฬา ยาเพติด การพนัน ที่มีแนวโน้มจะเสียหายมากกว่าจะได้ประโยชน์

 

น่าเป็นห่วงจริงๆ

  • บ้านเราเล่นส่งเสริมอะไรแปลกๆๆ
  • เช่นประกวดนักร้อง ประกวดนายแบบ
  • ทำไมไม่ค่อยมีประกวดหาความรู้ ประกวดกันทำความดีบ้าง
  • ไม่อยากบอกว่า งบทางกีฬา ที่จัด SEA Game ที่โคราช
  • มโหฬารมาก เสียดาย ทำไมไม่ไปทุ่มด้านการศึกษามากๆๆ
  • สงสัยคนจะกลัวความรู้จริงๆๆ

ปรากฎการณ์ อินเทอร์เน็ตสีขาว...ขุ่น ถือว่าเป็นหนึ่งในผลลัพธ์จาก philophobia ด้วยไหมครับ

โรคกลัวความรู้ไม่ใช่กำลังระบาด แต่มันระบาดมานานแล้ว โดยเฉพาะเด็กๆ แต่ผมก็ชอบมากเลยน่ะครับ คลื่นลูกใหม่จะได้ตามคลื่นลูกเก่าไม่ทัน

ครับ

ผมว่าเรื่องนี้ "ลามไปทุกเรื่อง" แทบทุกมุมของชีวิต

ตั้งแต่เกิดจนตาย

ในแทบทุกวงการ

ทำให้

เราสูญเสียทรัพยากรของชาติ อันมีค่า มีต้นทุนสูง ไปกับกิจกรรม "ไร้สาระ" มากมายเหลือเกิน

 

หรือว่า......

นี่คือ เป้าหมายของชีวิตใหม่ของคนไทยในปัจจุบัน

หรือ ผมเข้าใจอะไรผิดไปไหมเนี่ย

ผมยังคิดว่า

เรายังหลงไปกับใบไม้ในป่า  แทน "ใบไม้กำมือเดียว" ที่เป็นประโยชน์ กับชีวิตและสังคมของเราเอง

อาจารย์คะ

เด็กดีๆก็มีค่ะ แต่อาจจะน้อยหน่อย เท่าที่สอบถามจากเพื่อนอาจารย์ มีประมาณ 20%ของนักเรียนทั้งหมดที่เขาสอน คือเด็กดี ก็ดีเลยนะคะ

เหมือนกับนักเรียนในห้องเรียนห้องหนึ่ง มีสอบเลขตัวเดียวได้ 9 คน

ความเห็นส่วนตัว คงเป็นเรื่องใหญ่ ที่จะต้องแก้ไข แต่ต้องเริ่มจากที่บ้าน และเริ่มจากเด็กๆค่ะ

พ่อแม่รู้ถึงเหตุการณ์นี้กันทั้งนั้น และก็พยายามกันเด็กของตัวออกมาจากสังคมที่ไม่ค่อยมีสาระอย่างสุดฤทธิ์ และคอยอบรมสั่งสอน ทำตัวอย่างให้ดีๆดู  เด็กก็จะรอดไป

เช่น ตอกย้ำ และทำตัวอย่างให้ดูว่า....ปัญหาหรืออุปสรรคในชีวิตนั้น   มันถึงขั้นทำให้เสียชีวิตหรือเปล่า ถ้าไม่ก็ถือเป็นเรื่องเล็กน้อย

ต้องสอนให้เด็ก มองโลกในแง่ดีแง่บวก ไม่ท้อและหมดหวัง วันนี้ยากพรุ่งนี้ต้องดีขึ้น แต่ต้องระมัดระวัง เราต้องมีการคิด เผื่อด้านร้ายด้วย ต้องฝึกมองเห็นหลุมพรางที่ซ่อนอยู่

ดิฉันสอนลูกมาอย่างนี้ ไม่ผิดหวังค่ะ

แต่ถ้าพ่อแม่ไม่ค่อยเอาใจใส่นัก เพราะอาจไม่มีเวลา ความเสี่ยงที่ลูกหลานจะเป็นเด็กไม่ค่อยมีสาระ ก็มีสูงค่ะ

ภาระไปตกอยู่กับครูอาจารย์  และในที่สุด เป็นตัวถ่วงของประเทศชาติด้วย น่าหนักใจค่ะ

ผมก็สอนลูกแบบเดียวกันครับ

ก็คาดว่าจะได้ผล เป็นคนดีของสังคมครับ

ขอบคุณมากครับ

สวัสดีครับ

  • ในฐานะถูกพาดพิง ก็ขอบอกว่าเห็นจริงตามบันทึกนี้
  • โรคนี้นอกจากสังเกตได้จากการเลือกบริโภคข่าวสาร สารสนเทศแล้ว ยังมีอาการอื่นๆอีกครับ เช่น ...
  • เมื่อจะนั่งลงคุยกัน เพื่อแสวงหาทางออกในเรื่องใดๆ ที่คิดจะร่วมกันสร้าง ร่วมกันทำ เพื่อเป้าหมายเดียวกัน มักจะเห็นการพูดกันไม่รู้เรื่อง พูดกันนานๆ  แต่ก็ไม่ได้ข้อสรุป  ที่เคยพบก็เหมือนต่างฝ่ายต่าง กลัวความรู้ อายที่จะยอมรับว่า ตัวเองยังไม่รู้ เป็นชาล้นถ้วยกัน ทั้งที่ล้นฝ่ายเดียว และล้นทั้งสองฝ่ายครับ
  • รู้อะไร ทำอะไรได้แล้ว ก็หลงปลื้มอยู่ว่า "นี่แหละ สุดยอด" เป็น "อมตะ นิรันดร์กาล" ปฏิเสธการเรียนรู้สิ่งใหม่ เอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอม ถ้าความรู้เป็นปลาที่ซื้อมาจากตลาด จะเน่าเฟะ เหม็นคลุ้งอย่างไรก็ไม่ได้กลิ่น ยึดมั่นเหนียวแน่น ว่าที่เคยทำสำเร็จในอดีต  พรุ่งนี้ก็จะต้องสำเร็จได้ด้วยวิธีเดิมๆ .. ในแวดวงวิชาการนี่แหละ ตัวดี
  • ฯลฯ
  • สำหรับยาแก้ คิดไม่ออกครับ แต่ถ้าเป็นวัคซีนล่ะก็คิดว่าพอมี นั่นคือจะต้องฉีดยา ชื่อ "สัมมาทิฐิ" ในเรื่องการศึกษา การเรียนรู้ การเลี้ยงดูบุตรหลาน เข้าไปสู่ ว่าที่ พ่อ-แม่ ให้หนักๆ ทุกรูปแบบที่ทำได้ ในหนัง ละคร สื่อมวลชนทุกแขนง ปลุกระดมให้เกิดความละอาย ที่จะจมอยู่กับเรื่องไร้สาระ จนเกินพอดี เอาให้ถึงขั้นที่ท่านอาจารย์พุทธทาสพร่ำสอนว่าเกิด " อตัมยตา" ให้ได้ คือ ฉลาดมองจนเห็นความไร้สาระชัดแจ้ง และตะโกนบอกตัวเอง เงียบๆในใจ แต่เสมือนสนั่นหวั่นไหว ว่า " กรู ไม่เอากับ มรึง แล้ว (โว้ย) " .. พูดคำหยาบกับตัวเอง ดีครับ ไม่บาป จะได้สะดุ้ง และกล้าเปลี่ยนแปลง
  • วัคซีนเข็มนี้ ต้องไม่ลืมฉีดให้ คุณครู ทุกระดับ อาจารย์มหาวิทยาลัย ไม่ว่าจบมาระดับไหน ต้องบังคับฉีดทุกคน เพื่อความปลอดภัยของชาติครับ .. ไม่เว้นแม้แต่ พระสงฆ์ และนักบวชในทุกศาสนา .. ฉีดปัญญาให้ท่าน  ไม่ต้องกลัวบาปครับ

ขอบคุณครับ

ว่าจะพาดและพิงอีกหลายเรื่องเลยครับ

และกำลังรอสายต่อไมค์อยู่ครับ

อิอิ

เห็นด้วยอย่างยิ่งครับท่าน....

โรคต่อไปคือแพ้ใจตัวเองครับ

การศึกษาของไทย แพ้ จีน ญี่ปุ่น เวียตนามเเพ้เรียบร้อย เขมรก็แพ้ ลาวกำลังจะแพ้

สุดท้ายแพ้ตัวเอง ครับท่าน....

เป็นประเทศกำลังพัฒนา ตลอดปี ตลอดชาติครับท่าน......

สงสาร คนไทยครับ...

สวัสดีค่ะ ท่าน ดร.แสวง

เป็นเรื่องที่ต้องพยักหน้า อย่างเศร้า ๆ จริง ๆ ค่ะ ตัวละครการเมือง

กับสภาพเศรษฐกิจ การศึกษาบ้านเรา ก็พอจะบอกได้นะคะ

...You get what you deserved...

ทำไมเราอ่านตามเว็บเค้าบอกว่า

Philophobia คือโรคกลัวความรักอ่ะ

งง จะเชื่ออัไนไหนดีเนี่ยยยย?

ใครมั่วกันแน่?

จริงด้วย น่าจะเป็น Logophobia มั้งครับ

ขอบคุณครับที่สะกิดเตือน

ดูหนัง ดูละคร (รวมทั้ง ดูคนอื่น) เพื่อมาย้อนดูตัว

โบราณว่ากันมาอย่างนั้น

คิดว่ายังไงครับ อาจารย์แสวง

ด้วยความเคารพครับ

คนผ่านมา

ดูหนัง ดูละคร (รวมทั้ง ดูคนอื่น) เพื่อมาย้อนดูตัว

โบราณว่ากันมาอย่างนั้น

คิดว่ายังไงครับ อาจารย์แสวง

ด้วยความเคารพครับ

คนผ่านมา

Philophobia คือโรคกลัวความรักคะ

อันนี้แพทย์บอกมา

ตกลงคำไหนถูกต้องครับ

ผมจะได้แก้ทีเดียวให้ถูกครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท