เราจะเริ่มทำความเข้าใจสิ่งที่เราต้องการเรียนรู้ก่อนการเข้าไปอ่านเอกสารตำรา และหรือพร้อมๆกับการสอบถามจากผู้อื่น
ในชีวิตประจำวันของเรา เมื่อเราต้องการเรียนรู้เกี่ยวกับอะไรสักอย่าง เรามักจะเริ่มต้นด้วยการไปทำความรู้จักกับสิ่งที่เราจะเรียน แล้วก็ไปศึกษาถึงข้อมูลที่มี และไปถามคนที่เคยใช้หรือคนที่เคยรู้จักมาก่อน
ตามหลักการของ ๓ ครู คือ
ครูธรรมชาติ ครูเครื่อง และ ครูคน
กล่าวคือ เราจะเริ่มทำความเข้าใจสิ่งที่เราต้องการเรียนรู้ก่อนการเข้าไปอ่านเอกสารตำรา และหรือพร้อมๆกับการสอบถามจากผู้อื่น
ยกตัวอย่างง่ายๆ สมมุติว่า
เราซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์มา ๑ เครื่อง พร้อมคู่มือ คนส่วนใหญ่จะไม่เริ่มต้นจากการอ่านจากคู่มือ แต่จะเริ่มจากการลองเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ กดปุ่มต่างๆ ให้เข้าใจถึงกลไกที่เป็นอยู่ จนถึงขั้นที่เริ่มไม่เข้าใจว่า ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ก็จะใช้วิธีการอ่านจากคู่มือที่ให้มา หรือสอบถามคนที่เคยใช้คอมพิวเตอร์มาก่อน
นี่คือ หลักการเรียนอย่างเป็นธรรมชาติ ที่คนส่วนใหญ่ก็เป็นเช่นนี้
แต่ระบบการเรียนการสอนในสถาบันการศึกษาในปัจจุบัน พบว่า มีการสอนทฤษฎี ไปจนสิ้นสุดทุกอย่างแล้ว จึงเริ่มให้นักศึกษาไปฝึกงาน หรือไปดูตัวอย่าง ซึ่งไม่สามารถจะทำให้นักศึกษาเรียนรู้ได้อย่างต่อเนื่อง หรือเชื่อมโยงเป็นเรื่องเดียวกัน เพราะเป็นการเรียนแบบผิดธรรมชาติ
เรื่องนี้ ผมได้พยายามอธิบาย ให้อาจารย์และบุคลากรในสถาบันการศึกษาฟัง เขาก็เถียงกันอย่างเอาเป็นเอาตายว่า คนจะเรียนรู้ได้ ต้องเริ่มต้นที่ทฤษฎีให้จบก่อน แล้วจึงไปสู่ภาคปฏิบัติ จึงจะเรียนรู้ได้ดี
ซึ่ง ผมไม่เห็นด้วย อันเนื่องมาจากตัวอย่างของการเรียนวิธีการใช้คอมพิวเตอร์ ที่ผมยกตัวอย่างไว้ข้างต้นว่า
เราจะต้องมีการเห็นของจริง มีคู่มือ ลองทำ ลองใช้ ทดสอบ จนทำต่อไปไม่ได้ แล้วจึงเริ่มมาอ่านคู่มือหรือถามคนที่เคยทำมาก่อน แต่ส่วนใหญ่เราก็จะถามก่อนอ่านเสมอ
นี่เป็นภาวการณ์เรียนปกติของคนทั่วไป
ผมจึงเสนอว่า นักศึกษาที่เข้ามาเรียนในหลักสูตรใดๆ ก็ตาม น่าจะต้อง สัมผัสโลกแห่งความเป็นจริง ในงาน หรือกิจกรรมที่เขาจะต้องเผชิญเสียก่อน หรืออย่างน้อยก็ต้องมีประสบการณ์มาก่อนในเรื่องนั้น ๆ จึงจะเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เช่น การเรียนด้านเกษตรกรรม นักศึกษาจำเป็นจะต้องรู้จักระบบการเกษตร ปัญหา ขีดจำกัด และสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบันอย่างกว้างๆ พอเป็นแนวในการวางแนวคิด การศึกษา และการค้นคว้า ที่ตรงประเด็นกับวิชาการ และการปฏิบัติอย่างสอดคล้องกัน เป็นขั้นๆ แบบเดียวกับการลองใช้คอมพิวเตอร์ที่ผมยกตัวอย่างไว้ข้างต้น
หลังจาก ๑๐ ปีผ่านไป ผมได้มีโอกาสที่จะลองทำกิจกรรมนี้ แม้จะไม่สมบูรณ์นัก แต่ก็พอมีลู่ทางทำได้ ที่แรงต้านทานของบุคลากรสถาบันการศึกษาลดลง ปล่อยให้ผมทำตามแนวคิดดังกล่าวข้างต้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การพานักศึกษาชั้นปีที่ ๑ ในหลักสูตรเกษตรศาสตร์ ไปศึกษาระบบการผลิต การบริโภค และการตลาด ของข้าวอินทรีย์ และพืชเกษตรอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อจะให้นักศึกษาได้มีกรอบแนวความคิดในการศึกษาวิชาต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง และมีแนวคิดที่เหมาะสมในการวางแนวทางในการพัฒนาตนเอง ไปตามแนวของวัตถุประสงค์ของหลักสูตร
สำหรับในปีการศึกษา ๒๕๕๑ นี้ ผมได้ขอความอนุเคราะห์จากวัดป่าสวนธรรมร่วมใจ อำเภอป่าติ้ว จังหวัดยโสธร ในการเป็นแหล่งเรียนรู้ของนักศึกษาชั้นปีที่ ๑ ที่นอกจากจะได้เห็นตัวอย่างการจัดการระบบเกษตรอินทรีย์และข้าวคุณธรรมแล้ว ยังจะได้ศึกษาพัฒนาจิตของตนเองให้เหมาะสมกับการเป็นคนที่ดีของสังคม มีความภาคภูมิใจ และพร้อมที่จะเสียสละทำงานเพื่อประเทศชาติ
นั่นคือ กิจกรรมหนึ่งที่อยู่ในแผนการสอนเพื่อการเรียนรู้แบบธรรมชาติ มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ภายใต้กรอบเวลา แผนงาน และงบประมาณที่มี
อีกกิจกรรมหนึ่ง ที่ผมกำลังเริ่มใน ๒-๓ วันนี้ ก็คือ การนำนักศึกษาที่เรียนวิชา การจัดการทรัพยากรที่ดินแบบบูรณาการ จำนวน ๑๐๐ กว่าคน ไปดูงานและร่วมกิจกรรม การทำนาของผมที่แปลงสาธิตเกษตรอินทรีย์ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น เพื่อเปิดโอกาสให้นักศึกษาได้เห็นของจริงว่า การทำเกษตรอินทรีย์ การจัดการทรัพยากรดิน น้ำ พืช สัตว์ และระบบนิเวศน์แบบบูรณาการนั้น มีตัวอย่างที่เป็นของจริงอย่างไรบ้าง
กิจกรรมนี้ จะเริ่มในวันเสาร์ที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๕๑ เป็นต้นไป
การรวมพลและกำหนดแผนงานในตอนเช้า
การเริ่มงานด้วยการดูสภาพการกินของหอย และเก็บมาทำปุ๋ยน้ำหมัก
การเตรียมกล้าโดยการถอนแยกจากแปลงที่ ๑
การนำกล้ามาปักดำซ่อมข้าวที่หอยกินเสียหาย
นอกจากนี้ ผมจะมีนักศึกษาชั้นปีที่ ๔ และนักศึกษาปริญญาโท จำนวนประมาณ ๑๕-๒๐ คน ไปร่วมกิจกรรม การทำนาเพื่อการเรียนรู้ การทำปัญหาพิเศษ และการวิจัย ในพื้นที่นาจริง ๆ แบบไม่มีข้อสมมุติให้อืดอัดในกระบวนการศึกษา
ผมถือว่า วิธีการเรียนแบบนี้ จะทำให้ผู้เรียนได้สัมผัสระบบการผลิต สภาพแวดล้อม ระบบทรัพยากร และระบบการจัดการที่เป็นจริง ในทุกบริบท มีผลได้ผลเสีย อย่างชัดเจนในระดับพื้นที่ เช่นเดียวกับเกษตรกรทั่วไปทำอยู่ในปัจจุบัน
นักศึกษารุ่นนี้ จะเริ่มต้นจากการ หว่านข้าว ดูแลน้ำ ถอนกล้า ปักดำ ติดตามผล จนถึงขั้นตอนการเก็บเกี่ยว การบริโภค และการแปรรูปผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ที่คาดว่า จะทำให้นักศึกษา มีความรู้ ความเข้าใจ เพื่อการเรียนทฤษฎีที่เข้าใจได้ง่าย และมีประสิทธิภาพในการเรียนรู้มากยิ่งขึ้น
ผมจึงหวังว่า วิธีการเรียนรู้แบบธรรมชาตินี้ จะเป็นวิธีที่ยอมรับได้ในสถาบันการศึกษา เพื่อเสริมการเรียนภาคทฤษฎี ที่บังคับทั้งทางตรงและทางอ้อม ให้นักศึกษาท่องจำไปสอบแบบจำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ก็สอบผ่านไป พอจบก็จำอะไรไม่ได้เลย
แต่การเรียนแบบวิธีธรรมชาติ ตามแนวที่ผมวางไว้นี้ น่าจะช่วยให้เกิดความรู้และความเข้าใจ ฝังอยู่ในความรู้สึก และจิตวิญญาณของผู้เรียน เป็นความรู้ที่เป็นจริงที่สามารถนำไปสู่การพัฒนาปัญญาและความสามารถได้ ในระยะต่อๆไป และอาจจะเป็นต้นแบบของระบบการจัดการเรียนรู้แบบ KM ธรรมชาติ ที่พยายามนำเสนอมาตลอดในระยะ ๒-๓ ปีที่ผ่านมา
นี่คือ แผนงาน และแผนปฏิบัติ
ท่านใดมีข้อเสนอแนะ ขอขอบคุณล่วงหน้า มา ณ ที่นี้ด้วยครับ