ตั้งแต่ประเทศไทยได้กำหนดคำว่า “ค่าโง่” ใช้กันในหลายวงการ ตั้งแต่การพนัน การทำงาน จนถึงการหลงเชื่อคนอื่นจนเกิดความเสียหายในด้านต่างๆอย่างมากมาย และต่อเนื่อง อย่างไม่มีทีท่าว่าจะเบาบางลงแต่อย่างใด
ทำให้เกิด “ค่าโง่ซ้อนค่าโง่” ที่ไม่น่าจะเกิดผลดีกับส่วนรวมมากนัก นอกเหนือไปจากผลประโยชน์ส่วนบุคคลบางคนเท่านั้น
ยกตัวอย่างง่ายๆ
1. การผลิตกระดาษเปื้อนหมึก(ที่แทบใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้)เพียงเพื่ออ้างว่าตัวเองเก่ง หรือไว้ให้คนอื่นอ้างกันไปอ้างกันมา หรือทำเพื่อแจกคนอื่น รับรองคนอื่นที่ไม่มีความรู้ความสามารถ ว่าเป็นผู้มีความรู้ (แต่จริงๆอาจไม่มี) ก็ถือว่าสังคมต้องจ่ายค่าโง่ในระดับที่ ๑ เพราะสิ้นเปลืองทรัพยากร แบบไม่ได้อะไรเป็นแก่นสาร
2. การให้รางวัล ค่าตอบแทน เงินเดือน กับคนเหล่านั้น เพื่อสมนาคุณที่ “ผลิตกระดาษเปื้อนหมึก” หรือมีไว้ซึ่ง “กระดาษเปื้อนหมึก” เป็นการจ่ายค่าโง่ระดับที่ ๒ หรือ ยกกำลังสอง
3. การยกย่องนับถือคนที่มีหรือผลิตกระดาษเปื้อนหมึกมาก แบบใช้อะไรไม่ได้ ถือว่าเป็นการจ่ายค่าโง่ระดับที่ ๓ หรือ ยกกำลังสาม
4. การเก็บรักษาผลงานหรือกระดาษเปื้อนหมึกของคนเหล่านั้นไว้ ที่ทำให้มีค่าใช้จ่ายที่ไม่ควรต้องทำ ถือว่าเป็นการจ่ายค่าโง่ระดับที่ ๔ หรือยกกำลังสี่
5. การอ้างอิงผลงานแบบกระดาษเปื้อนหมึก ให้ดูมีความสำคัญ ทั้งๆที่ไม่มีแก่นสารอะไร ถือว่าเป็นการจ่ายค่าโง่ระดับที่ ๕ หรือยกกำลังห้า
6. การส่งเสริมหรือไม่ห้ามปรามคนที่ผลิตกระดาษเปื้อนหมึกเหล่านั้น ถือว่าเป็นการจ่ายค่าโง่ระดับที่ ๖ หรือกำลังหก เพราะจะทำให้คนรุ่นหลังเจริญรอยตามในสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ และอาจทำให้เกิดผลเสียอื่นตามมาได้อีกด้วย
คิดง่ายๆแค่นี้ก็ยังเป็นผลเสียและการจ่ายค่าโง่ถึงหกระดับ
รวมเป็นค่าโง่ยกกำลังหก
และผมคิดว่าลองนึกดูดีๆ น่าจะมีมากกว่านี้
แต่แค่นี้สังคมก็ยังยินดีจ่ายแบบเต็มๆ
ยังมีอีกหลายเรื่องเหลือเกิน ถ้าเราไม่จ่ายค่าโง่เหล่านี้ เราน่าจะมีงบประมาณมาพัฒนาในสิ่งที่เป็นประโยชน์ได้ดีกว่านี้แนนอน
ผมก็ได้แต่ฝันไปเรื่อยๆ เผื่อจะมีคนมองเห็นว่าความฝันของผมจะมีประโยชน์ต่อการสร้างสรรค์สังคมบ้าง
เน้นการอยู่กับความจริง และเลิกจ่ายค่าโง่กันดีกว่าครับ สังคมจะได้ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าขึ้นมาอีกสักนิด
เรายิ่งเป็นประเทศยากจนอยู่ (ไม่ใช่หรือครับ)
ขอบคุณครับ
สวัสดีครับท่าน ดร.แสวง
แหะ แหะ ว่าจะรวมเล่มหนังสือสักเล่ม
ไม่รงไม่รวมแล้วหละครับอาจารย์
เป็นแนวไหนครับกระดาษเปื้อนหมึก หนังสือ ตำราความรู้ หรือ ผผลงานทางวิชาการอันเคว้งคว้าง บนหองาช้างอันสูงส่ง
ไม่เข้าใจครับ
ก็ความรู้ที่ไม่มีชีวิต นั่นแหละครับ
ใครบันทึกไว้ก็แค่กระดาษเปื้อนหมีกเท่านั้น
แล้วถ้าเป็นแบบนั้นห้องสมุดมีไวทำไมครับ
เอาไว้เก็บบันทึกความรู้ที่มีชีวิต มีประโยชน์
นอกนั้นเป็นขยะที่ยังไม่ได้ทิ้งครับ
ในห้องสมุดอะไรคือความรู้ที่มีชีวิตครับ วีดีโอ วีดีทัศน์ หรอครับ
ไม่ใช่ครับ
เป็นความรู้ที่ใช้ได้จริงๆนะครับ
เช่น ธรรมะ ก็ใช่ครับ เกษตรธรรมชาติก็ใช่ มีมากมายครับ ที่ไม่ใช่ก็มาก ต้องอาศัยความรู้พื้นฐานแยกแยะครับ นี่แหละคือกับดักคนที่ความรู้ไม่พอใช้ ให้เข้ามาติดอยู่ในค่ายกลนี้
เรียนไปสักพักจะเข้าใจ บอกตอนนี้ยังเข้าใจยาก
หรือหลงไปติดในค่ายกลซะแล้วก็ไม่ทราบ
ที่ถามมาก็ฟังดูแปลกๆอยู่ครับ
มันก็จริงนะครับ แต่คงไม่ได้หมายถึง ตำรา หรือบันทึกที่มีประโยชน์หรอกนะครับ เพราะผมคิดว่าตั้งแต่มนุษย์เริ่มมีความคิดและเริ่มผลิตโน้นนี่มาหมายที่ทั้งมีประโยชน์และไม่มีประโยชน์ มากกว่า 50 เปอร์เซนต์ (ความคิดส่วงนตัวนะครับ ไม่มีอะไรมาอ้างอิงได้) ได้สูญหายไปจากโลกนี้ การมีข้อมูลที่สามารถสืบค้นได้ก็จะเปนการดีนะครับ เผื่อวันใดวันนึงปราญเกิดตายไปใครจะสานต่อละครับ ว่ามัย
ต้องบันทึกครับ
แต่ประเด็นอยู่ที่ "ความรู้ปลอมๆ" กลับได้รับการบันทึกมากกว่า
คนอ่านที่ระดับสติ ปัญญาไม่ถึงก็จะพลอยหลงทางตามไปนะซีครับ
มีมากเสียด้วย
ลงคะแนนเมื่อไหร่ เขาชนะเสียงข้างมากทุกทีไป
ผมยังชอบพูดเล่นๆว่า
"ถ้ามีการลงคะแนนเลือกพระพุทธเจ้า เราอาจจะได้คนศาสนาอื่นมาเป็นศาสดาก็ได้นะครับ"
เพราะจำนวนเสียงแพ้มาแต่ตอนตั้งเกณฑ์รับผู้สมควรได้รับการเสนอชื่อตั้งแต่แรกแล้วครับ
นี่แหละที่มาของความโง่ต่างระดับ และโจรย่อมยกย่องโจรครับ
ถ้าโจรมีคะแนนเสียงมากกว่า บัณฑิตที่ไหนจะไปชนะได้ ในระบบเสียงข้างมากลากไป พวกใครพวกมัน (Peer review)
จริงไหมครับ
ถึงเลยคะอาจารย์
ทุกเรื่อง