ก่อนจะช่วยคนอื่น เราต้องยืนให้ได้เสียก่อน


แต่ก่อนหน้านี้ ผมไม่กล้าแม่แต่จะไปเยี่ยมญาติพี่น้อง

ความคิดเรื่องนี้ผมมีปัญหาและประสบการณ์มาตั้งแต่ทำงานใหม่ๆ

ที่เกิดจากความคาดหวังของสังคม เครือญาติ และญาติพี่น้อง ที่ไม่ทราบความเป็นจริง และขีดจำกัดของตัวเรา ทำให้มีความคาดหวังในตัวเราค่อนข้างสูงกว่าความสามารถที่เราจะทำได้

ท่านที่ติดตามอ่านบันทึกของผม จะทราบได้ดีว่า

ผมมาจากครอบครัวชาวนายากจน ที่ผมต้องไปอยู่วัดทั้งหมด ๗ ปี เพื่อลดค่าใช้จ่าย แต่ทางครอบครัวก็ได้รวมทุนกัน แล้วแต่ใครจะช่วยได้ ช่วยส่งผมเรียนจนจบปริญญาตรี

หลังจากจบปริญญาตรี ผมก็ไม่เคยได้รับเงินใดๆจากครอบครัวแม้แต่บาทเดียว

(มีแต่ว่าเมื่อไหร่ ผมจะจ่ายคืนให้ครอบครัวบ้าง)

ที่ต่อมา ผมก็ได้รับทุนการศึกษาระดับปริญญาโทจากทบวงมหาวิทยาลัย ที่มีตำแหน่งติดตัวมาตั้งแต่สมัยเรียน ได้รับเงินค่าใช้จ่ายเดือนละ ๑๔๐๐ บาท ที่ใช้พอดีๆ และต้องเสียเงินค่าจัดทำวิทยานิพนธ์ และการสอบ

พอจบการศึกษา ก็มาเข้าทำงานที่มหาวิทยาลัยขอนแก่นแบบไม่ต้องสอบแข่งกับใคร

วันเริ่มทำงานวันแรก ในมหาวิทยาลัยขอนแก่น เมื่อเดือนมกราคม ๒๕๒๐

  • ผมไม่มีเงินหรือทุนใดๆ เหลือเลย
  • มีเพียงเสื้อผ้าไม่กี่ชุด
  • หม้อหุงข้าว ๑ ใบ
  • โคมไฟดูหนังสือ ๑ ดวง
  • จาน ถ้วย ช้อน ๒-๓ ชิ้น
  • มีจักรยานถีบเก่าๆ หนึ่งคัน ที่มีมาตั้งแต่สมัยเรียน

ผมไม่มีแม้เงินซื้อข้าว อาหาร หรือ ของใช้ใดๆ

เพราะผมมีเงินติดตัวเหลือจากค่ารถเดินทางมาขอนแก่น เพียง ๑๗ บาท

ที่ผมไม่กล้าใช้ แม้แต่ซื้ออาหารที่โรงอาหารมหาวิทยาลัยจานละ ๒ บาท ก็แพงมากสำหรับผมในขณะนั้น

ผมคิดว่าเงิน ๑๗ บาท ผมต้องเก็บไว้ใช้เวลาฉุกเฉินจริงๆเท่านั้น

บังเอิญโชคดี ทางมหาวิทยาลัยจัดให้พักในหอนักศึกษา (หอ ๑๗) ที่ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ

แผนการเอาตัวรอดให้ได้ อย่างน้อยก็เดือนแรก ก่อนที่เงินเดือนจะออก หรือยืมเงินแทนเงินเดือนได้

ผมต้องจัดการชีวิตที่รัดกุมมาก

โดยไปซื้อข้าวสาร ๑ ถัง ไข่ไก่ ๙๐ ฟอง (แบบจ่ายเงินทีหลัง) มาหุงรับประทานเอง ๓ มื้อ ไข่มื้อละฟอง

ทำอย่างนี้เป็นเวลา ๑ เดือน เรียกได้ว่า “เบื่อไข่ไปหลายปี”

ผมก็ได้รับเงินเดือนเดือนแรก ๒๒๓๐ บาท ทุกอย่างก็เริ่มคลี่คลายไปได้ และผมก็ใช้เงินเดือนเดือนแรกซื้อพัดลมไฟฟ้าตั้งโต๊ะ ๑ ตัว เพราะอากาศร้อนมาก ในห้องพักไม่มีพัดลมจะอบอ้าวมาก

หลังจากนั้นก็ค่อยๆเก็บหอมรอมริบมาเรื่อยๆ จนสามารถ

  • ซื้อรถมอเตอร์ไซค์มือสองคันแรก ประมาณ ๖ เดือนต่อมา
  • ซื้อทีวีขาวดำ เครื่องแรก หลังจากทำงาน ๑๔ เดือน
  • ซื้อที่ดินแปลงแรก ๒ งาน หลังทำงาน ๒ ปี
  • ซื้อรถยนต์มือสองคันแรกหลังจากทำงาน ๘ ปี
  • ซื้อรถยนต์ป้ายแดงคันแรก (กระบะ) หลังจากทำงาน ๑๓ ปี
  • สร้างบ้านไม้ (หลังปัจจุบัน) ที่ออกแบบเอง ควบคุมการก่อสร้างเอง หลังจากทำงาน ๑๕ ปี
  • ซื้อที่นาแปลงแรก ๔ ไร่ ๓ งาน หลังจากทำงาน ๒๘ ปี

จนกระทั่งปัจจุบัน ผมสามารถเอาตัวรอดได้ในทุกมิติของทางโลก มีที่ดิน มีบ้าน มีนา มีสวน มีรถ และของใช้อำนวยความสะดวกทุกอย่างที่ต้องการ โดยไม่มีหนี้

และสามารถรับภาระทางครอบครัว ทำงานให้กับชุมชนและสังคมได้อย่างไม่มีข้อกังวล

แต่ก่อนหน้านี้ ผมไม่กล้าแม่แต่จะไปเยี่ยมญาติพี่น้อง

เพราะผมไม่มีรถของตนเอง ต้องนั่งรถหลายต่อ เดินทางไปมายาก ไม่มีเงินค่าใช้จ่าย ไม่มีเงินซื้อของฝาก

และญาติๆ ก็มักคาดหวังว่าเราจะให้ของ ให้เงิน หรือช่วยเหลือญาติพี่น้องในหมู่บ้าน ทั้งเรื่องการเรียน ที่พักพิง การทำงาน และการสอบแข่งขันใดๆ ที่เกี่ยวกับมหาวิทยาลัยขอนแก่น

ที่ผมพยายามอธิบาย

และพูดอย่างไรเขาก็ไม่เชื่อ ว่าผมช่วยเขาไม่ได้ แต่กลับมองว่าผมเป็นคนไม่มีน้ำใจ

ในช่วงแรกๆ ต่อๆมา ผมจึงต้องทำตัวห่างเหินจากญาติพี่น้อง จากเพื่อน จากสังคม

จนกระทั่งผมเริ่มจะมีแรงพอที่จะช่วยเขาได้ ก็ค่อยๆเปิดตัว จนกระทั่งเปิดตัวเต็มที่ประมาณ ๑๖ ปี หลังจากการทำงาน ที่ผมมีรถ มีทรัพย์สิน มีเงิน พอที่จะใช้จ่ายในการเดินทางโดยทางครอบครัวไม่ถึงกับเดือดร้อน

ในช่วงแรกๆ ก่อนที่ผมจะรอดได้จริงๆ ผมพยายามจะช่วยญาติพี่น้องบางคน แต่ผมกลับพบว่า ผมทำให้เขาลำบากมากกว่าเดิม ที่ผมยังรู้สึกผิดมาจนถึงวันนี้

แต่ก็ทำให้ผมได้บทเรียนและระมัดระวังมากขึ้นในระยะต่อๆมา

สิ่งที่ผมภูมิใจในการช่วยเหลือญาติในระยะประมาณ ๒๐ ปีที่ผ่านมา ก็คือ ให้ยืมเงินแบบไม่มีดอก โดยให้คืนเงินเท่ากับเงินที่เคยจ่ายดอกเป็นรายเดือน ที่ทำให้ญาติๆ ที่มีวินัยการเงินดี สามารถหนีรอดจากการเป็นหนี้ได้ จนในปัจจุบันไม่เป็นหนี้แล้ว

แต่บางคนที่มาขอให้ผมช่วย บางคนก็เป็นหนี้สูญ ที่ส่วนใหญ่ก็ไม่กระทบมากนัก เพราะเงินที่ให้ยืมส่วนใหญ่เป็นเงินเก็บ

แต่บางคนที่ไม่มีระบบการใช้เงินที่ดี แต่พยายามให้ข้อมูลที่ไม่จริงกับผม ยืมแบบไม่คิดจะคืน และไม่ได้คืนเลยก็มีมากพอสมควร

โดยเฉพาะในระยะหลังๆ ที่ผมเริ่มประมาท จากความเชื่อมั่นในความสำเร็จที่ผ่านมา (ที่ผมก็เก็บหลักฐานการยืม แบบไม่เป็นทางการ ไว้เตือนใจตัวเอง) ก็ทำให้ผมลำบากพอสมควร โดยเฉพาะช่วงที่รายได้พิเศษของผมลดลงจากระบบการทำงานที่เปลี่ยนไป

ฉะนั้น ผมจึงได้ข้อสรุปว่า

คนลักษณะใดที่เราควรช่วย และลักษณะใดที่เราไม่ควรช่วย โดยพิจารณาจากวินัยทางการเงิน และการใช้จ่ายเงินของคนเหล่านั้น

และที่สำคัญที่สุดก็คือก่อนจะช่วยใคร เราต้องยืนให้ได้เสียก่อน”

และ การช่วยต้องไม่เกินเลยไปถึง “ทำให้เราเดือดร้อน (ถ้าไม่ได้คืน)”

กว่าจะรู้ เข้าใจ ตระหนัก และซึ้ง จนทำให้ผมรู้ว่าเมื่อไหร่ “ควร” เมื่อไหร่ “ไม่ควร” ผมก็เจ็บตัวมาพอสมควร

จึงอยากจะสะกิดเตือนพรรคพวกรุ่นหลังๆ ที่ยังไม่ตกผลึก และยังเผชิญปัญหาเรื่องนี้ว่า

อย่าใจอ่อน อย่าเห็นแก่คนอื่นมาก จนทำให้เราเดือดร้อน

ช่วยเท่าที่ช่วยได้ ช่วยไม่ได้ก็ต้อง "อุเบกขา" ไปก่อน

แบบที่พรรคพวก ชอบพูดกันเล่นๆ ว่า “เอ็นดูเขา เอ็นเราขาด”

ใครจะว่าเราใจดำ ก็ต้องเอาหูทวนลม

เพราะผมซึ้งมากๆ กับคำที่ว่า

เมื่อเราหัวเราะ (ส่วนใหญ่)ทุกคนจะหัวเราะกับเรา

แต่เมื่อเราลำบากนั้น เราร้องไห้คนเดียวจริงๆ

ผมพยายามช่วยคนอื่น จนผมตกที่นั่งลำบาก

แม้แต่คนที่เอาเงินเราไป แล้วไม่คืน ยังหัวเราะเยาะเย้ย ถากถางว่า "เราโง่เอง"

บางคนท้าให้ไปฟ้องเอา (เพราะเขารู้ว่าเราไม่มีหลักฐานที่เป็นทางการ)

แต่ผมก็ "อโหสิ" และอาจเป็นเพราะบุญเก่าผมยังพอมี ทำให้ผมได้ก้าวผ่านวิกฤตินี้มาได้แล้ว

ผมจึงไม่อยากให้ใครต้องลำบากเหมือนผม

ที่อาจรอดได้ไม่ง่ายเหมือนผม ที่ก้าวผ่านมาแล้ว

ขอให้โชคดีครับ

หมายเลขบันทึก: 397558เขียนเมื่อ 24 กันยายน 2010 01:36 น. ()แก้ไขเมื่อ 4 มิถุนายน 2012 12:31 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (20)

จริงๆครับอาจารย์ กับประโยคที่ว่า

เมื่อเราลำบาก (ก็โดนทิ้ง)ให้ร้องไห้คนเดียว

ทำให้รู้ว่า "อย่าประมาท" ครับ

ขอบพระคุณต่อความกรุณาในการนำเสนอประสบการณ์ครับอาจารย์

ครับ

ผมยอมรับว่าประมาทจริงๆ

แต่ก็มีเจตนาจะช่วยคนอื่น

แม้เขาจะหัวเราะเยาะเย้ยถากถางผมก็ไม่เป็นไร เขาคิดได้แค่นี้ ไม่มีทางเจริญหรอกครับ

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม

ผมไม่จองเวรกับเขา และคิดว่า การเรียนรู้ของผมคุ้มแล้ว จึงนำมาเผื่อแผ่ให้กับคนอื่น

ที่ผมขอให้ระวังดีๆ อย่าพลาดเหมือนผม

เหนื่อยจริงๆกับเรื่องแบบนี้

  • ให้แล้วเหมือนให้เลยครับอาจารย์
  • ชาตินี้เขาไม่ใช้ ถ้าเราไม่อโหสิ
  • ชาติหน้าเขาก็ต้องเอามาให้คืนอยู่ดี
  • อนุโมทนากับความดีของอาจารย์ครับ

อ่านแล้วชื่นชมชีวิตและการต่อสู้ของอาจารย์มากคะ
เป็นต้นแบบของคนทุกข์ยากที่เพียรพยายามคะ
ขอบคุณบันทึกดีดีเพื่อเป็นกำลังใจสำหรับคนที่ท้อแท้ชีวิตคะ

ผมคิดว่าเงิน ๑๗ บาท ผมต้องเก็บไว้ใช้เวลาฉุกเฉินจริงๆเท่านั้น

บังเอิญโชคดี ทางมหาวิทยาลัยจัดให้พักในหอนักศึกษา (หอ ๑๗) ที่ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ

 

๑๗ เป็นเลขสวย นำโชคของอาจารย์นะคะ

ขอบคุณที่เขียนบันทึกดี ๆ ให้ได้มาอ่านตั้งแต่เช้าค่ะ

ขอบคุณครับ ที่มาให้กำลังใจ

ผมคิดว่า เจตนาที่จะช่วยคนอื่นโดยไม่หวังผลตอบแทน อาจจจะเป็นกุศลที่ทำให้ผมฟื้นตัวได้ไม่ถึงกับลำบากมากนัก

ในช่วงนี้ ผมทำอะไรก็ดูสะดวกไปหมด

ผมก็ไม่แน่ใจว่าเกิดจากอะไร

อาจจะเป็นช่วงชีวิต หรือ บุญกุศลที่สั่งสมมา หรือ บุญบารมีของพระที่ผมเคารพบูชาอยู่ทุกวัน ก็ไม่แน่ใจ

หรือทุกๆอย่างรวมกันก็เป็นไปได้

แต่แม้จะตกที่นั่งลำบากอย่างไร จิตใจผมก็ไม่เศร้าหมอง

คนที่รู้จักผมแบบไม่ลึกซึ้ง จะเห็นว่าผมเป็นคนไม่ระบายความทุกข์ให้ใครฟัง

มีแต่คนบางคนที่มองผมลึกๆ จะสังเกตเห็น และเข้าใจได้

ผมจึงขอขอบคุณทุกท่านรอบๆตัวผม ที่เข้าใจผม ไม่ว่าระดับใดก็ตาม

ความเข้าใจกันเท่านั้น ที่จะทำให้เราคบกันได้ พึ่งพากันได้

ทุกคนมีปัญหาส่วนตัว แต่ผมไม่เคยนำปัญหาส่วนตัวไปทำให้คนอื่นเดือดร้อน

ผมยินดีร้องไห้คนเดียว ที่ผมทำมาตลอดชีวิตผม

และดีใจที่จะมีคนหัวเราะกับผม

ชีวิตจริงๆ ก็เป็นเช่นนี้เอง เราจะทุกข์ไปทำไม

วันหนึ่งเราก็จากโลกนี้ไป ทุกอย่างก็จะปรับเข้าสู่สมดุลย์ได้แน่นอน

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ครับ

ขอบคุณสำหรับข้อมูลและเรื่องราวดีๆ ของคุณครูครับ

การมีวินัยทางด้านการเงิน และ การรู้จักพอ เป็นรากฐานสู่ความสำเร็จในชีวิต

ถ้าเราเอากรณีตัวอย่างของผูประสบความสำเร็จในชีวิต ทั้งด้านอาชีพการงาน และครอบครัว ในปัจจุบัน ล้วนแล้วแต่มีชีวิตที่ลำบากมาก่อนในอดีต แต่พวกเค้าทุกคนก็ประสบความสำเร็จได้ในปัจจุบัน เพราะความมีวินัยทางการเงิน และ ความรู้จักพอเพียง ในการใช้ชีวิต

คุณพ่อผมและครอบครัว รวมไปจนถึงครอบครัวของคุณแม่ก็เป็นตัวอย่างให้ผมรู้จักพอเพียง ประหยัด อยู่แบบตะวันออก รักพ่อ-แม่ครับ

อยากให้คุณครูในสังคมไทยซัก 50% เรียนรู้เรื่องราวเหล่านี้ และนำไปปฏิบัติ จะได้ไม่ก่อหนี้สินมากมายจนนำไปสู่กระบวนการต่างๆ ที่ไม่เป็นผลดีต่อการศึกษาเลย ยังไงครูอาจารย์ก็หนีไม่พ้นคำว่า พ่อพิมพ์แม่พิมพ์แห่งชาติ

ถ้าเรามีแบบพิมพ์ที่ไม่ดี ภาพมันจะออกมาดีได้อย่างไร

โถๆๆๆๆ อ.แสวง ดูเป็นคนที่แกร่ง แต่ใจนั้นตรงกันข้ามเลย เข้าทำนองหุ่นให้ แต่หน้าไม่ใช่..อิอิอิ บ่ได้ซ้ำเติม แค่หยอกเอิน กระเซ้าเย้ากันตามประคนที่รักใคร่ชอบพอนับถือน้ำใจกัน

อันที่จริง คนเขารู้ธรรมชาติของอาจารย์ค่ะ รู้เขารู้เรา ก็จะช่วยปกป้องตัวเองได้ ทำอะไรก็ตามอย่าเบียดเบียนตัวเอง

ช่วยไปให้ข้อมูลที่

http://lanpanya.com/linhui08/archives/739

หรือในเฟสบุ๊ค และในโกทูด้วยค่ะ อาม่าขอร้อง

  • มาอ่าน มาชื่นชม มาเชียร์ และมาเรียนรู้ครับ
  • ในที่สุด ความแข็งแกร่งก็ปรากฏ และมันก็ไม่ได้เกิดขึ้นลอยๆ
  • วิกฤติ หรือปัญหา คือที่มาของความรู้ ความสามารถ สติปัญญา และความแข็งแกร่ง
  • สุดท้ายก็หนีไม่พ้นที่จะต้องขอบคุณ ความยากลำบาก และความยุ่งยากที่เข้ามาในชีวิต อันเป็นเครื่องช่วยพิสูจน์ว่าเรา "สอบผ่าน" ครับ

24 กันยายน 2553 ผมไม่มีเงินที่จะซื้อข้าวกินมื้อเที่ยง โทรศัพท์มือถือถูกตัดสัญญาณ ค่าชั่วโมงอินเทอร์เน็ตถูกตัด และ มีหนี้ที่เกิดจากคนที่ผมรักมากเป็นผู้ก่อให้จำนวน 300,000 บาท เพื่อเอาเงินจำนวนนี้ไปปรนเปรอกิเลสของตัวเอง และปรนเปรอเขาคนนั้น

10 เดือนที่แล้ว ผมมีเงินฝากในธนาคาร แสนกว่าบาท และ ฝากในบัญชีลูกชายอายุ 5 ขวบอีกแสนกว่าบาท สองคนรวมแล้วราวสามแสน

5 ปีที่แล้ว ผมซื้อรถยนต์ใหม่ป้ายแดงแปดแสนกว่าผ่อนสองปีหมด ด้วยลำแข้งตัวเองทั้งสิ้น

8 ปีที่แล้ว เราแต่งงานกัน

13 ปีที่แล้วเรารู้จักกัน และรักกัน

15 ปีที่แล้ว ผมไม่มีตังที่จะซื้อข้าวและน้ำกินตลอดทั้งวัน ขณะที่เรียนอยู่ที่ ม.ราม

ผมแทบไม่อยากจะเชื่อตัวเองเลยว่าวันร้ายๆนี้ จะหวนกลับมาในชีวิตผมอีกครั้งเหมือน15 ปีก่อน แต่ผมก็ต้องยอมรับว่ามันคือความจริง (ที่ตามมาหลอกหลอน)

ขอบคุณประสบการณ์ตรงของอาจารย์ ที่อย่างน้อยเป็นกำลังใจเป็นแรงหนุนใจ ให้ผมและอีกหลายๆคนที่กำลังประสบปัญหาชีวิต ได้มีแรงใจที่จะฟันฝ่ากับอุปสรรคที่กำลังถาโถมมาใส่พวกผม

ผมจะนับหนึ่งใหม่ และก้าวต่อไปเพื่ออนาคตที่ดีของลูกและของคนอีกหลายๆคนที่กำลังมองเราด้วยความสงสารและ อีกหลายๆคนที่กำลังมองเราด้วยสายตาแห่งการเยาะเย้ย

ชีวิตที่ประสพผลสำเร็จบ่อยๆ จะทำให้เราประมาท

จากเรื่องหนึ่ง ไปสู่อีกเรื่องหนึ่ง ถ้าเราเรียนข้ามเรื่อง หรือเทียบเคียงความรู้ได้ เราคงไม่ต้องพลาดซ้ำๆ และเราน่าจะเรียนรู้ได้เร็ว

ทั้งๆที่เหตุมาจากต่างกรรม ต่างเงื่อนไข หลักการก็ผลคล้ายๆกัน คือความประมาท

"เอ็นดูเขา เอ็นเราขาด"

คนบางคน เขาเกิดมาเพื่อทำลายคนที่ประมาท และอ่อนแอ

เขาทำลายคนหนึ่ง แล้วก็ทำลายคนอื่นๆต่อไปตลอดชีวิตของเขา

ในแง่ดี เขาทำให้เราต้องเข้มแข็ง และระมัดระวัง

ในแง่ร้าย เขาทำให้เราและคนอื่นๆยากลำบาก โดยไม่มีใครได้ประโยชน์อะไร

วันหนึ่ง ผมคิดว่าจะตีแผ่ชีวิตคนแบบนี้ ว่ามีที่มาและที่ไปอย่างไร

ก็คิดจะเขียนเท่าที่รู้ แต่ผมเกรงว่าคนจะมองว่าผมมองคนในแง่ร้ายเกินไป จึงยังรีรออยู่ 

อีกใจก็ไม่แน่ใจว่าจะได้ประโยชน์อะไรหรือไม่

ใครมีความเห็นอย้างไรครับ

  • ขอบคุณสำหรับเรื่องเล่าดี ๆ ที่ช่วยให้ได้คิด
  • หลายเรื่องเคยเจอมาด้วยตนเองด้วยเหมือนกันครับ โดยเฉพาะเรื่องการสอบเข้ามหาวิทยาลัย.....เขามักคิดว่าสามารถจะช่วยกันได้เหมือนสอบเข้าโรงเรียน....

IMO: you are partially correct under your situations and assumptions. But it was not generally true in all cases.

Some time even we are in danger conditions but it was only you that can help the world while a lot of persons above you in firm conditions can not do so.

In this case you have to save our world even you are in unstable conditions.

Regards,

zxc555

ผมขอมองต่างมุมเล็กน้อยครับ

ในสถานะการณ์คับขัน เราอาจต้องใช้สามัญสำนึกครับ คิดไม่ทัน อาจช่วยไปก่อน ที่อาจรอด หรือตายทั้งคู่

แต่ถ้ามีเวลาให้คิด ผมยังยืนยันคำเดิมว่า ถ้าจะตายทั้งคู่ ผมจะไม่ทุ่ม อาจจะช่วยพอเราช่วยได้ ไม่ได้ก็คือจบ

ผมจะดูผลรวมเป็นหลักว่า สุดท้ายจะจบที่ค่า "บวก" หรือ "ลบ"

แล้วเลือกที่ผลรวม "บวกกว่า" ต่อคน "ส่วนใหญ่" หรือ จำนวนมากกว่า

แล้วเลือกตามนั้นครับ

คำว่าน้ำใจ มันฝังอยู่ในการทำหน้าที่แล้ว ถึงมีมากแค่ไหนก็ทำเกินความสามารถไม่ได้ ผมก็เลยไม่ค่อยคิดเรื่องนี้ครับ

คงจะพอรับได้นะครับ

 

เป็นประสบการณ์ที่น่าชื่นชม คนมีปัญหาต้องได้แง่คิดที่ดีมากทีเดียวคะอาจารย์

ตามมาอ่านจากบันทึกล่าสุดของอาจารย์ครับ

เห็นการสู้ชีวิตของอาจารย์แล้วนับถือสุดใจเลยครับ

โดยรวมผมไม่เห็นต่างจากอาจารย์เลยครับ

แต่บางทีปัญญามันไปไม่ถึงเราก็ต้องช่วยเขาทั้งที่ยังเอาตัวเองไม่รอดอยู่ร่ำไป

บันทึกอาจารย์เตือนสติได้มากเลยครับ

หวังว่าคงจะได้อะไรติดไปบ้างนะครับ

นี่ยังไม่ได้ลงรายละเอียดนะครับ

เรื่องจริงสาหัสกว่านี้มาก ไม่อยากให้เป็นหนังโศก ก็เลยรวบรัดพอให้เห็นประเด็นสำคัญ ครับ

ขอบคุณค่ะ ดร.แสวงสำหรับข้อคิดดี ๆ ในการใช้ชิวิต ถือเสียว่าชาติที่แล้วเราเอาของเค้ามา ชาตินี้เราต้องคืนกลับให้เค้าไป เราจะได้สบายใจ มีความสุข ตั้งใจทำงานเพื่อที่จะหาเงินไปคืนหนี้จากชาติที่แล้วให้หมด จะได้ไม่ต้องตามไปชดใช้ถึงชาติหน้า

ผมก็คิดแบบนี้แหละครับ เพื่อจะได้ไม่ต้องมาจองเวรซึ่งกันและกัน

ชาติหน้าผมไม่น่าจะต้องเป็นหนี้ใครแล้วล่ะครับ

แม้จะมีก็ไม่มากครับ พอไหวครับ

 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท