มหัศจรรย์...ฝันรู้ตัว (Lucid Dreaming)


ในความฝันรู้ตัวนั้น เราจะเห็นสิ่งต่างๆ อย่างชัดเจนแจ่มแจ๋วราวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตจริง

ในบรรดาความฝันทั้งมวลนั้น มีความฝันแบบหนึ่งที่น่าประทับใจเหลือเกิน ประทับใจไม่แพ้ฝันร้าย หรือฝันแล้วเป็นจริงเลยทีเดียว ความฝันที่ว่านี้เชื่อว่า คุณผู้อ่านหลายท่านน่าจะเคยมีประสบการณ์มาบ้างแล้ว นั่นคือ ในระหว่างที่คุณกำลังฝันอยู่นั้น ฉับพลันคุณก็รู้สึกขึ้นมาว่า เอ๊ะ! อย่างนี้มันเป็นไปไม่ได้นี่หว่า เราต้องฝันอยู่แน่ๆ

ความฝันแบบนี้แหละที่ฝรั่งเรียกว่า lucid dreaming แปลตรงตัวแบบราชบัณฑิตยสถานว่า ความฝันชัดเจน (คำว่า lucid แปลว่า แจ่มชัด) อย่างไรก็ดี ผู้เชี่ยวชาญที่ศึกษาเรื่องนี้ยอมรับว่า คำๆ นี้ไม่ค่อยตรงเท่าใดนัก เพราะสาระสำคัญอยู่ที่ว่า ผู้ฝันต้องรู้ว่าตัวเองกำลังฝันอยู่ จึงน่าจะเรียกว่า concious dreaming ซะมากกว่า ในบทความนี้ ผมจึงขอใช้คำว่า ความฝันรู้ตัว ก็แล้วกัน

ลองมาดูตัวอย่างประสบการณ์ความฝันรู้ตัวของชายคนหนึ่ง ซึ่งใช้ชื่อย่อว่า ดี ดับเบิลยู (D.W.) และอาศัยอยู่ที่เอลค์ริเวอร์ (Elk River) มลรัฐมินเนโซตา สหรัฐอเมริกา ดังนี้ :

ผมกำลังยืนอยู่ในที่โล่ง ในขณะที่ภรรยาของผมชี้ไปที่ดวงอาทิตย์ซึ่งกำลังลับขอบฟ้า ผมมองตามไปในทิศทางที่เธอชี้ และคิดว่า “แปลกจริง ไม่เคยเห็นท้องฟ้ามีสีสันอย่างนี้มาก่อนเลย”

จากนั้นก็นึกขึ้นได้ว่า “นี่เรากำลังฝันอยู่แน่ๆ!” ผมไม่เคยเห็นสีสันที่สวยสดงดงามและชัดเจนเช่นนั้นมาก่อน แถมยังรู้สึกเป็นอิสระอย่างน่าตื่นเต้นยิ่ง จนทำให้ผมเริ่มออกวิ่งไปในทุ่งข้าวสาลีสีทองอร่ามตา พร้อมๆ กับโบกมือและตะโกนสุดเสียงว่า “ผมกำลังฝัน! ผมกำลังฝัน!”

ทันใดนั้น ผมก็เริ่มสูญเสียความฝันนั้นไป

(ข้อความบางส่วนจากหนังสือ Exploring the World of Lucid Dreaming หน้า 2)

ในความฝันรู้ตัวนั้น เราจะเห็นสิ่งต่างๆ อย่างชัดเจนแจ่มแจ๋วราวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตจริง ดังตัวอย่างในข้อความข้างต้นที่บอกว่า

“ไม่เคยเห็นสีสันที่สวยสดงดงามและชัดเจนเช่นนั้นมาก่อน”

นี่คือเหตุผลที่ทำให้จิตแพทย์ชาวดัชต์ ชื่อ เฟรเดริก ฟาน อีเด็น (Frederik van Eeden) บัญญัติคำว่า lucid dreaming ในหนังสือชื่อ A Study of Dreams ของเขาที่ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1913

บางท่านที่เคยฝันรู้ตัวคงจะรู้ด้วยว่า บางครั้งเราสามารถควบคุมเนื้อหาในความฝันได้ด้วย แต่ตัวผมเองนั้น จำได้แม่นว่า มีอยู่ครั้งหนึ่งที่แม้จะรู้ทั้งรู้ว่ากำลังฝันอยู่ (เพราะเห็นสิ่งผิดปกติที่เป็นไปไม่ได้ในความฝัน) แต่กลับทำอะไรไม่ได้ แม้พยายามลืมตาตื่นขึ้นมาก็ยังไม่สำเร็จ ก็เลยต้องปล่อยเลยตามเลยไปซะงั้น

 

การฝันรู้ตัวนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด เพราะมีบันทึกเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างชัดเจนในจดหมายที่เขียนโดย เซนต์ออกัสตินแห่งฮิปโป (Saint Augustine of Hippo) ในราวปี ค.ศ. 415 หรือ พวกเงาะซีนอย (Senoi) ในมาเลเซียก็ใช้การฝันรู้ตัวในการดูแลรักษาสุขภาพจิตของตนเอง 

นอกจากนี้ พระธิเบตก็มีการฝึกที่น่าจะเรียกได้ว่าความฝันรู้ตัวมาตั้งนานแล้ว ฝรั่งเรียกการฝึกนี้ซะน่ารักว่า dream yoga แปลตรงตัวว่า โยคะความฝัน หรือ สุบินโยคะ [ขอบคุณคุณมิ แห่ง สนพ.สวนเงินมีมา สำหรับคำว่า สุบินโยคะ]

Dream Yoga

ตามประวัติระบุว่า ศาสนาพุทธในธิเบตมีการฝึกโยคะความฝัน (dream yoga) ที่เรียกว่า Zhine มานานกว่า 1,300 ปีแล้ว คำว่า Zhine ในภาษาธิเบต หมายถึง การตั้งมั่นอยู่ในความสงบ (calm abiding)

โยคะความฝันต้องการให้ผู้ฝึกได้เรียนรู้บทเรียนทางจิตวิญญาณที่สำคัญ 5 ประการ ได้แก่

  1. ความฝันสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความปรารถนาและความใส่ใจของเรา
  2. ความฝันเป็นสิ่งไม่จีรังและไม่เที่ยงแท้ เปรียบเสมือนภาพลวงตาหรือภาพหลอน
  3. การรับรู้ในชีวิตประจำวันในขณะที่เราตื่นอยู่นั้นก็เป็นสิ่งที่ไม่จริงแท้เช่นเดียวกัน
  4. ชีวิตทุกชีวิตที่ดำรงอยู่วันนี้และจากไปในวันพรุ่งนี้ก็เปรียบเสมือนดั่งความฝัน ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น
  5. การฝึกความฝันแบบรู้ตัวสามารถช่วยให้ผู้ฝึกตระหนักถึงสิ่งต่างๆ ทั้งมวล ความสมดุลอย่างสมบูรณ์ และความเป็นหนึ่งเดียวกันของสรรพสิ่ง


เคยมีนักปรัชญาบางคนให้เหตุผลว่าการฝันแบบรู้ตัวนั้นเป็นไปไม่ได้ เพราะคำว่า “ฝัน” กับ “รู้ตัว” นี่มันขัดกันเองอยู่ พูดง่ายๆ ก็คือ ขณะกำลังฝันก็คิดว่าฝันนั้นเป็นเรื่องจริง จะรู้ตัวว่าเป็นฝันได้ยังไง

แต่หากคนที่เคยฝันรู้ตัวได้ยินคำพูดแบบนี้เข้า ก็คงจะหัวเราะดังๆ แล้วบอกว่าท่านนักปรัชญาคนนี้คงจะใช้แต่ตรรกะทางภาษา ไม่เคยมีประสบการณ์ตรงเป็นแน่แท้

อย่างไรก็ดี ในทางวิทยาศาสตร์ ได้มีการพิสูจน์ให้เห็นกันจะๆ แล้วว่า คนที่กำลังฝันอยู่นั้นรู้ตัวว่ากำลังฝันจริง โดยในช่วงปลายของทศวรรษที่ 1970 นักปรจิตวิทยา (parapsychologist) คนหนึ่งชื่อ คีท เฮิร์น (Keith Hearne) ได้ทำการทดลองกับอาสาสมัครชื่อ อลัน วอร์สลีย์ (Alan Worsley) โดยใช้เครื่องโพลิซอมโนกราฟ (polysomnograph) ตรวจจับสัญญาณการเคลื่อนไหวของลูกนัยน์ตา กล่าวคือ ได้มีการซักซ้อมกับอลัน วอร์สลีย์ ผู้ที่จะไปผจญภัยในความฝันว่า หากรู้ตัวว่ากำลังฝันอยู่ ก็ให้ขยับลูกนัยน์ตาตามรูปแบบที่ตกลงกันเอาไว้ก่อน 

ต่อมา สตีเฟน ลาเบิร์จ (Stephen Laberge) ก็ได้ทำการทดลองในลักษณะเดียวกันนี้ โดยเป็นงานส่วนหนึ่งในวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอกของเขาที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ทั้งนี้ ลาเบิร์จไม่ได้รับทราบเกี่ยวกับการทดลองก่อนหน้านั้น เนื่องจากคีท เฮิร์น ไม่ได้ตีพิมพ์เผยแพร่ผลการศึกษาเอาไว้

Stephen Laberge

น่ารู้ด้วยว่า ดร. สตีเฟน ลาเบิร์จ คงจะหลงใหลในความฝันรู้ตัวนี้มาก เพราะนอกจากจะพัฒนาเทคนิคที่ช่วยให้สามารถฝันรู้ตัวแล้ว ยังได้ศึกษาเรื่องนี้มาอย่างต่อเนื่อง จนถึงขนาดเขียนหนังสือออกมาหลายเล่ม และตั้ง The Lucidity Institute ขึ้นมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ


      
      หนังสือ Lucid Dreaming ของ ดร. สตีเฟน ลาเบิร์จ

   

เนื้อหาของความฝันรู้ตัวส่วนใหญ่เกี่ยวกับอะไร?

จากการศึกษาพบว่า คนที่ฝันรู้ตัวมักจะชอบฝันว่าบินได้อิสระดั่งใจนึก นี่คงเป็นความต้องการที่ฝังอยู่ลึกๆ ในใจของคนเรานั่นเอง ส่วนเนื้อหาความฝันที่พบบ่อยไม่แพ้กันก็คือเรื่องพื้นฐานของมนุษย์ หรือ เซ็กซ์ นั่นเอง 
        

รู้อย่างนี้แล้ว ก็คงจะไม่แปลกใจแล้วว่า ทำไมฝรั่งถึงได้มีการจัดคอร์สเพื่อฝึกการฝันรู้ตัวกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน ออกหนังสือ ผลิตอุปกรณ์สนับสนุนต่างๆ มาเยอะแยะ เพราะผู้เชี่ยวชาญบอกว่า ความฝันรู้ตัวเรท R หรือ เรท X นี่ ไม่มีพิษมีภัย ยิ่งถ้าฝึกจนควบคุมความฝันได้แล้วละก็จะยิ่งหนุกใหญ่ จะทำอะไรตามอำเภอใจก็ได้ (ว่าเข้าไปนั่น)
        

เรื่องนี้เคยมีกรณีศึกษาหนุกๆ เล่าว่า พ่อหนุ่มคนหนึ่งฝันว่าโดนสิงโตไล่ล่า เมื่อจนตรอกก็รู้สึกตัวว่านี่มันฝัน ไม่ใช่เรื่องจริงนี่หว่า จึงตะโกนท้าทายสิงโตตัวนั้นว่า “เข้ามาเลย!” 

ปรากฏว่าสิงโตกระโจนเข้ามาหมายจะขย้ำ แต่พอปลุกปล้ำกันไปได้แค่แป๊บเดียว เจ้าสิงโตนั่นก็พลันกลายเป็นสาวสุดเซ็กซี่แทน! (อย่างไรก็ดี แหล่งข้อมูลไม่ได้แจ้งผลของการต่อสู้ครั้งนี้เอาไว้)

 

ดร. ลาเบิร์จ บอกว่า ความฝันรู้ตัวนี่ไม่ได้มีประโยชน์แค่เอาไว้หัดบิน หรือผจญภัยในแดนหฤหรรษ์เท่านั้น แต่ยังสามารถใช้ประโยชน์ได้อีกหลายอย่าง เช่น

  • หากคุณฝันร้ายซ้ำๆ กันบ่อยๆ วิธีแก้ไขที่ดีที่สุดก็คือ เผชิญหน้ากับสิ่งที่ทำให้คุณกลัวในความฝันน่าจะดีกว่า ซึ่งจะทำแบบนี้ได้ก็ควรฝันแบบรู้ตัว เพื่อให้สามารถควบคุมสถานการณ์ได้
  • หากคุณต้องไปพูดเป็นการเป็นงานต่อหน้าคนเยอะๆ แล้วยังไม่มั่นใจ ก็อาจซ้อมพูดในความฝันรู้ตัวก่อนได้
  • หากคุณมีปัญหาที่แก้ไม่ตก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทางเทคนิค หรือเรื่องทางศิลปะ ก็เป็นไปได้ว่าคุณอาจคิดหาคำตอบได้ในความฝันแบบนี้
  • หากคุณต้องการมีความรู้สึกเป็นอิสระ แบบหลุดโลก ความฝันรู้ตัวอาจจะเป็นทางออก เพราะมีหลายคนที่ฝันรู้ตัวบอกว่า ประสบการณ์ที่ได้รับนั้นราวกับประสบการณ์ทางจิตวิญญาณที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของพวกเขาตลอดไปเลยทีเดียว และความฝันรู้ตัวยังสอนด้วยว่า โลกที่เราเห็นอยู่นี้เกิดจากจิตของเราสร้างขึ้นมานั่นเอง (คล้ายๆ The Matrix อะไรทำนองนั้น)

 

สำหรับ เทคนิคในการทำให้เกิดความฝันรู้ตัว ได้บันทึกไว้ตามลิงค์ที่ให้ไว้นี้แล้ว

 

ผมโม้มาจนคิดว่าได้ที่แล้ว หวังว่าคงจะมีใครเกิดแรงบันดาลใจอยากจะลองฝันรู้ตัวในคืนนี้มั่ง เพื่อนๆ ชาว GotoKnow ท่านไหนเคยมีประสบการณ์สนุกๆ เกี่ยวกับความฝัน ก็ช่วยเล่าให้ฟังหน่อย

ส่วนผมเดี๋ยวขอไปงีบหลับฝันหวานสักแป๊บหนึ่ง...

โดยเริ่มจากฝันถึงสิงโตไล่ล่าก่อนก็แล้วกันครับ  ;-)

 


ขุมทรัพย์ทางปัญญา

ใครสนใจรายละเอียดเพิ่มเติม ขอแนะนำ


 ประวัติของบทความ

  • ตีพิมพ์ครั้งแรกใน นิตยสาร สารคดี ฉบับเดือนมกราคม 2550
  • รวมเล่มในหนังสือชื่อ จิตพิกล คนพิลึก จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์สารคดี
  • ดัดแปลงเพื่อนำลงใน GotoKnow.org เนื่องจากมีเพื่อนๆ หลายท่านสนใจประเด็นนี้

 

หมายเลขบันทึก: 91443เขียนเมื่อ 20 เมษายน 2007 15:47 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 17:56 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (15)

อาจารย์ครับ

  • จะมีงานเขียนของ Carlos Castaneda ออกมาหลายชุดที่พูดเรื่องนี้ โดยเฉพาะในเล่มหลัง ๆ เป็นการเล่าประสบการณ์ของเขาที่อยู่กับอินเดียนแดง ที่สอนเขาเรื่องนี้..
  • แต่ผมอ่านเองแล้วไม่แน่ใจว่าเป็นนิยายหรือสารคดีครับ...

ชอบครับ

เคยมีประสบการณ์เยอะทีเดียว ถ้ารู้ว่าฝัน(จะมีบางอย่างในฝันผิดปกติ แต่ผมจะรู้เนื่องจาก ผมรู้ว่า ผมนอนอยู่...ไม่งงนะครับ) หากฝันดี อย่างเช่น สิงโตไล่ล่าอย่างว่า เราก็ปล่อยมันไปเถอะครับ แต่หากฝันร้าย จะตื่นขึ้นทุกที(แต่โชคร้าย พอนอนก็ฝันร้ายต่อ เหมือนเดิม)

แต่ไม่ใช่ว่าเป็นคนนอนฝันนะครับ ที่เล่ามาน้อยมาก จนเรียกได้ ไม่ฝันเลย (หรือว่าผมจำฝันไม่ได้) น่าจะราว เดือนละครั้ง หรือหลาย ๆ เดือนครั้งเลยแหละครับ

ที่ฝันบ่อยมากนี่ก็เป็น

ฝันรู้ตัวแบบ ฝันกลางวัน ฝันล้ม ๆ แล้ง ๆ ครับ เฮ้อ!!!!~

ดร. บัญชา ธนบุญสมบัติ  .....

เคยอ่านความเห็นของ จางจื้อ หรือจวงจื้อ ปราชญ์จีนโบราณ...

จางจื้อฝันว่า ตัวเองเป็นผีเสื้อ แต่เมื่อตื่นขึ้นก็กลับกลายเป็นจางจื้อ ...เค้าจึงคิดว่า ขณะนี้ ผีเสื้อตัวนั้นกำลังฝันว่าเป็นจางจื้อ...ประมาณนี้...

ส่วนรายละเอียดอื่นๆ ก็ลืมหมดแล้ว.... 

เจริญพร

กราบนมัสการหลวงพี่พระมหาชัยวุธ

      ใช่แล้วครับหลวงพี่ จางจื๊อกล่าวไว้เช่นนั้น ถ้าจำไม่ผิดน่าจะมาจากหนังสือ ก้าวย่างบนทางคู่ มรรควิถีของจางจื๊อ หรือ หนังสือ เมธีตะวันออก

      จางจื๊อนี่เป็นนักปรัชญาจีนคนโปรดของผมด้วยครับ เข้าใจว่าหนักไปทางลัทธิเต๋า

สวัสดีครับ อาจารย์วิบุล

        Carlos Castaneda ที่เป็นศาสดาพยากรณ์หรือเปล่าครับ น่าสนใจดีครับ หนังสือชื่ออะไรเอ่ย (เดี๋ยวอาจจะต้องไปค้นเองใน Net)

สวัสดีครับ โอ - อุทัย

        ยังดีนะครับที่ฝันกลางวัน ลมๆ แล้งๆ แล้วรู้ตัว ถ้าไม่รู้ตัวนี่ เดี๋ยวหัวหน้าแล็บมาสะกิดข้างหลัง แล้วยื่นซองขาวละยุ่งเลย ;-)

Lucid dreming เป็นเรื่องที่น่าสนใจมากครับ

การนอนเป็นเวลาถึง 1 ใน 3 ของชีวิต บางคนอาจมากกว่านั้น และการฝันก็เป็นกิจกรรมที่สำคัญมากที่เดียวที่เกิดขึ้นในระหว่างการนอน แต่เรามีความรู้เกี่ยวกับมันน้อยมาก 

โดยส่วนตัว ผมคิดว่าการฝันนั้นคล้ายกระบวนการคิดค่อนข้างมาก คิดแบบไม่รู้ตัวอย่างมากๆนั่นเอง  แม้เวลาเราตื่นอยู่ หากเราจมอยู่ในความคิดมากๆ  ก็ดูคล้ายกับเราฝันในขณะตื่นอยู่นั้นเอง  อาจเรียกได้ว่า ขาดสติอย่างรุนแรง  เมื่อเรารู้ตัวหรือมีสติรู้ว่าเรากำลังคิด จิตก็เหมือนหลุดออกจากความคิด  เสมือนหนึ่งความคิดกับเราเป็นอะไรที่แยกออกจากกัน  ในทางคล้ายคลึงกัน การรู้ตัวในขณะฝัน ก็ย่อมเป็นไปได้เช่นกัน เมื่อมีสติรู้ว่าฝัน ก็เสมือนเรากับฝันแยกออกจากกัน  เพียงแต่ภาวะที่รู้ฝันหรือมีสติเกิดขึ้น ระดับของการรู้สึกตัวก็น่าจะเฉียดตื่นหรือครึ่งหลับครึ่งตื่นแล้ว คนไหนมีความชำนาญ  ก็เข้าออกได้สบาย อยากคิด อยากฝัน ก็น่าจะทำได้ แล้วก็เลือกเรื่องที่จะฝันจะคิดต่อได้ตามใจชอบ  หากไม่อยากคิดไม่อยากฝัน ก็ตื่นขึ้นซะเลย แต่ถ้าอยากคิดฝันต่อ ก็ปล่อยใจให้หลับต่อ

ประเด็นสำคัญน่าจะอยู่ที่ว่า หากฝันแล้วจำไม่ได้ ก็คงไม่แตกต่างกับ การรับประทานอาหารที่แสนอร่อยแต่ไม่มีต่อมรับรส  ดังนั้น การฝันที่เหมาะสมสำหรับ lucid dreaming ก็น่าจะเป็นความฝันครั้งท้ายๆก่อนตื่น เพราะมักเป็นความฝันที่เราพอจำมันได้ และเป็นระดับของการนอนที่ไม่ลึกจนเกินไป ดังนั้น ความฝันที่เลวร้ายที่สุด ก็คือ ฝันว่าป่วยเป็นสมองเสื่อม :-)

 

"You ever have that feeling where you're not sure if you're awake or still dreaming?"

Zen in the matrix 1 

ขอบคุณน้อง Man in Flame ครับ

เรื่อง The Matrix นี่เป็นหนังปรัชญาที่ตั้งคำถามกับเรื่อง conciousness ของเราโดยตรงเลย

  • มี เด จาวู กับ lucid dreaming ในภาพยนต์เรื่องนี้ด้วยครับ
เอ๊ะ! ตอนไหนเอ่ย สงสัยต้องกลับไปดูอีกสักรอบซะแล้ว

ปกติแล้ว --- ความฝัน เกิดขณะที่เราหลับตานอน แต่ ความหลงคิด ก็เป็น ฝันขณะที่ลืมตา

คนเรา --- หลงคิด ปรุงแต่งเรื่องราว กับ การฝันตอนนอน กระบวนของจิต เป็นแบบเดียวกัน

สติ --- ทำให้ เราออกมาจากโลกแห่งความฝัน สู่ โลกแห่งจริง

ตื่นอย่างเต็มตา --- หลุดจากโลกแห่งความฝัน ( รัก โลภ โกรธ หลง ) เหลือเพียง หลงไปแล้ว..

ฝึกสติ --- อย่างชาว พุทธะ ดูสิครับอัศจรรย์กว่าที่คิด อย่าว่าแต่ฝันแล้วรู้ตัวเลย จะไม่ทุกข์เพราะความทุกขฺอีกด้วย

ปกติเป็นคนหลับลึกค่ะ คือหลับอย่างเดียวเลยไม่ฝันอะไร นานๆหรือเวลามีเรื่องเครียด, คิดมาก, ดีใจ, เสียใจ หรือมีเรื่องอะไรมาดลให้ฝันถึงจะฝัน แต่ถ้าอยู่ๆฝันขึ้นมามักจะมีอะไรแปลกๆ เช่นฝันเดจาวู หรือฝันรู้ตัวนี่ก็เคยฝันนะคะ

รู้ตัว แต่

-บางทีก็ควบคุมตัวเองได้ เช่น ฝันร้ายอยู่ก็พยายามเรียกตัวเองให้ลืมตาตื่นก็ตื่นขึ้นมาได้ ฝันดีก็พยายามควบคุมตัวเองในฝันต่อไป -บางทีก็ควบคุมตัวเองไม่ได้ เช่น ฝันร้ายว่าทุกคนจัดงานศพให้ นอนอยู่ในโลงหน้าเมรุทุกคนกำลังเติมเอาเข้าเมรุเผาแล้ว ทั้งๆรู้ตัวว่าตัวเองฝัน แต่ก็จะควบคุมตัวเองในฝันให้ลุกขึ้นมาจากโลงก็ไม่ได้ จะควบคุมตัวบอกตัวเองให้ลืมตาตื่นขึ้นมาก็ไม่ได้ ทั้งๆที่รู้ว่าตัวเองฝัน สุดท้ายเลยปล่อยเลยตามเลย พอในฝันทุกคนกำลังเอาเราเข้าเมรุ อยู่ๆความฝันก็หายไปเอง แต่ยังไม่ตื่นนะคะ รู้แค่ว่าความฝันหายไปและจบลง รู้สึกตัวได้สักพัก ก็หลับลึกไปแบบไม่รู้ตัว รู้ตัวอีกทีก็ตื่นขึ้นมาตอนเช้าแล้ว ยังจำเรื่องในฝันได้ดีอีกด้วย แต่บางครั้งก็จำได้ลางๆจำได้ไม่หมด

#ฝันแบบรู้ตัวเรื่อยๆค่ะ บางครั้งทั้งฝันแบบรู้ตัวและเดจาวูรวมกันเลยก็มี แปลกใจมากค่ะ เป็นมาตั้งแต่เด็ก ประมาณสิบกว่าปีแล้วค่ะ จนตอนนี้ก็ยังเป็นอยู่ เห็นอยู่ ฝันอยู่...

ผมฝันรู้ตัว มาตลอดตั้งแต่เด็ก ทันทีที่รู้ว่า อยู่ในฝัน ผมจะพยายาม บินไปบนอากาศ พยายาม ทำลาย สถิติ ความเร็ว ในการบิน แต่เนื้อหาที่ควบคุมไม่ค่อยได้ในฝัน คือ สถานที่

ผมเคยฝันว่าเดินเล่นในฝัน เป็นหมู่บ้านของผมเอง ผมจะจำที่ ที่อยากไปของหมู่บ้านของผม เช่น บ้านคนที่เราชอบ เมื่อผมมองจากภาพความเป็นจริง ถนนสายหลักหมู่บ้านที่จำได้ ในฝันก็จะเดินอยู่บนถนนสายนั้น เพราะเราเห็นบ่อยและบ้านคนที่แอบชอบ ก็เก็บจำภาพเรานั้นอยู่ในความจำ ก็เข้าไปอยู่ในความฝัน เราสามารถเดินไปไหนก็ได้ แต่เรื่องอื่นๆ ที่จะทำในนั้นมีมากต้องฝันนานๆ เราอยากทำอะไรก็ได้บางทีก็ไม่อยากตื่น แต่ตื่นขึ้นมาแล้วรู้สึกนอนเต็มอิ่มมีพลังกายและใจมากครับ มันเหมือนโลกแห่งความจริงมาก แต่ภาพในฝันจะเหมือนตอนบรรยากาศตอนรุ่งสางหรือก่อนเช้า รู้สึกมีอิสระไม่อยากออกมาจากในฝันแบบนี้ถ้าเราจำภาพได้มาก เท่าไหร่สถานที่นั้นในฝันก็จะกว้างเช่นกันครับ ใครมีความคิดเห็น กับ ข้อความของผม ตอบกลับได้ตามที่นี้ครับ ฝันดีนะครับ

ผมเคยฝันว่าเดินเล่นในฝัน เป็นหมู่บ้านของผมเอง ผมจะจำที่ ที่อยากไปของหมู่บ้านของผม เช่น บ้านคนที่เราชอบ เมื่อผมมองจากภาพความเป็นจริง ถนนสายหลักหมู่บ้านที่จำได้ ในฝันก็จะเดินอยู่บนถนนสายนั้น เพราะเราเห็นบ่อยและบ้านคนที่แอบชอบ ก็เก็บจำภาพเรานั้นอยู่ในความจำ ก็เข้าไปอยู่ในความฝัน เราสามารถเดินไปไหนก็ได้ แต่เรื่องอื่นๆ ที่จะทำในนั้นมีมากต้องฝันนานๆ เราอยากทำอะไรก็ได้บางทีก็ไม่อยากตื่น แต่ตื่นขึ้นมาแล้วรู้สึกนอนเต็มอิ่มมีพลังกายและใจมากครับ มันเหมือนโลกแห่งความจริงมาก แต่ภาพในฝันจะเหมือนตอนบรรยากาศตอนรุ่งสางหรือก่อนเช้า รู้สึกมีอิสระไม่อยากออกมาจากในฝันแบบนี้ถ้าเราจำภาพได้มาก เท่าไหร่สถานที่นั้นในฝันก็จะกว้างเช่นกันครับ ใครมีความคิดเห็น กับ ข้อความของผม ตอบกลับได้ตามที่นี้ครับ ฝันดีนะครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท