เมื่อตัดสิ่งรบกวนในใจ ความดีงามก็เกิดขึ้นมา
เมื่อเช้าวานต้องออกไปติดต่อเรื่องรถที่ส่งซ่อม อนุทิน [คลิ๊ก] ระหว่างเดินออกจากหมู่บ้านไปที่ถนน พยายามตัดสิ่งรบกวนในใจ และนึกถึงการเดินทาง แวะพูดคุยซักถามลุงยามของหมู่บ้านเรื่องการเดินทาง ตัดสินใจเรียกแท๊กซี่ เพราะคิดว่าการไปถึงศูนย์บริการเร็ว การเข้าสู่ระบบตรวจเช็คก็คงจะเร็วขึ้น แท๊กซี่ที่เพิ่งเลี้ยวรถออกมาจากหมู่บ้านเดียวกันส่งยิ้มมาให้ เราก็ยิ้มตอบพร้อมบอกสถานที่ ..
ภาพของคนขับแท๊กซี่ใส่เสื้อยืดสีขาว (ไม่ได้ใส่ยูนิฟอร์ม) ผมเกรียน ดูยังเด็กน้อย แต่คนขับบอกว่า "ผมจะ ๓๐ แล้วครับ" วิธีพูดคุยกันตลอดทางบอกได้ถึงความสุภาพอ่อนน้อมถ่อมตนของคนขับ "ผมเรียนหนังสือไม่สูงแต่อยากจะให้ลูกได้เรียนดีๆ ผมอยากให้เค้าได้เรียนในโรงเรียนที่ดี (เอ่ยชื่อโรงเรียนรัฐ ระดับมัธยมที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในอำเภอพุทธมณฑล อาจจะแนวหน้าของประเทศ) ตอนนี้ลูกผมอยู่อนุบาล ๑ แล้วครับ " ฟังแล้วต้องยิ้มในความเป็นคนอารมณ์ดี ดูอิ่มในความเป็นอยู่ และความตั้งใจที่ดี .. บทสนทนาจบลงเมื่อถึงที่หมาย ๑๔๕ บาทคือจำนวนเงินที่จะต้องจ่าย และยื่นให้ ๑๖๐ บาท แต่เค้ากลับหยิบเพียงแค่ ๑๔๐ บาท เราไม่ยอม แต่คนขับบอกว่า "คนหมู่บ้านเดียวกันครับ" และส่งยิ้ม จึงต้องยอมจำนนในความมีน้ำใจอันดีงามที่คนขับหยิบยื่นให้ และกล่าวขอบคุณ ..
เมื่อเดินจากริมถนนจนถึงอาคารศูนย์บริการ พนักงานต้อนรับส่งเสียงเรียกและมองไปทางยาม ยามก็ชี้นิ้วต่อไปที่ด้านหน้าศูนย์บริการ มองไปตามมือของพี่ยามก็พบคนขับแท๊กซี่เมื่อสักครู่เดินถือแบงค์ที่จ่ายไปพร้อมบอกว่า "เมื่อกี๊พี่ส่งเงินมาให้ผม ๒๔๐ บาทครับ พี่ลองตรวจเช็คดูนะครับ" แล้วก็เดินจากไปขึ้นรถ โดยไม่รอให้เราเปิดกระเป๋าเพื่อตรวจเช็ดจำนวนเงินก่อน พอเราเปิดกระเป๋าออกดู เออ จริงด้วย สงสัยจะงงๆ และหยิบให้เกินไป ตอนแลกแบงค์กันในตอนแรก ..
ระหว่างรอให้ข้อมูลในเบื้องต้น และตรวจเช็ครถ ซึ่งได้รับการบริการที่ดีมากๆ จึงนั่งคิดทบทวน ถ้าเมื่อเช้าเราไม่สามารถตัดสิ่งรบกวนที่ทำให้อารมณ์ขุ่นมัวในใจไปได้ ขึ้นรถแท๊กซี่คงไม่มีบรรยากาศที่อยากจะพูดคุยกับใคร ใบหน้าคงบูดเบี้ยว คิ้วขมวดไม่น่ามอง กัลยาณมิตรน่ารักๆ อย่างลุงยาม น้องคนขับแท๊กซี่ ก็คงจะมองไม่เห็น ..
ขอบคุณ ลุงยาม น้องคนขับแท๊กซี่ หรือแม้แต่พี่เจ้าของร้านซ่อมมอเตอร์ไซต์ที่รถไปจอดนิ่งสนิทอยู่หน้าร้านเมื่อวันเกิดเหตุ ที่แวะเวียนให้คำปรึกษาจนปิดร้านไป และพี่สาวคนสวยเจ้าของร้านตัดผมที่ไปขอเข้าห้องน้ำในยามคับขัน ^^"
-------------------------------------------
บันทึกที่เกี่ยวข้อง
Ignite : เวทีจุดประกายร่วมเปลี่ยนประเทศไทยด้วยพลังสร้างสรรค์เชิงบวกของปัจเจก http://gotoknow.org/blog/civil-learning/402822 โดย ผศ.ดร.วิรัตน์ คำศรีจันทร์
พอได้เดินและทำให้ชีวิตช้าลง ความงดงามหลายอย่างที่ไม่เคยได้สัมผัสก็ได้ผ่านเข้ามาให้เห็นเลยนะครับ นำเรื่องราวการผจญภัยอันเป็นที่มาของสิ่งที่ทำให้อาจารย์ณัฐพัชร์ต้องมาหัวหกก้นขวิดต่ออีกอย่างในบันทกนี้นะครับ ๗๗.Ignite : เวทีจุดประกายร่วมเปลี่ยนประเทศไทยด้วยพลังสร้างสรรค์เชิงบวกของปัจเจก
แวะมาอ่านเรื่องราวดีดี มองในแง่บวก ขอบคุณครับ...
สวัสดีคะ อาจารย์ ดร.วิรัตน์
อาจารย์ครับ อ่านแล้วเห็นมิตรภาพที่ดีงาม ผมมาจากบันทึกอาจารย์ดร.วิรัตน์ครับ เลยมาอ่านต่อที่นี่ ฮ่าๆ
สวัสดีคะ คุณPhornphon
สวัสดีค่ะ
มีความสุขเสมอที่ได้อ่านเรื่องราวของคนดีในสังคม แต่ยายคิมว่าขึ้นอยู่กับเราเองว่าจะสามารถมองเห็นคุณค่าหรือไม่ ทำให้นึกถึงคำสอนของคุณปู่ "คนดีย่อมมองเห็นความดีของผู้อื่น"
ทั้งบันทึกของคุณณัฐพัชร์ และอาจารย์ วิรัตน์ คำศรีจันทร์
ที่ได้เล่าเรื่องความดีของคนอื่น ทำให้คนดีมีกำลังใจ เป็นการดูแลคนดีในสังคมจริง ๆค่ะ
สวัสดีคะ อาจารย์ขจิต : อาจารย์ไม่น่าพลาดบรรยากาศรอบวงถุงลูกชิ้นปิ้ง ริมถนนด้วยกันเลยนะคะ อิอิ .. ตอนนี้ขำได้คะ แต่ตอนนั้นขำไม่ออกเท่าไหร่ ^^" แต่ถือว่าโชคดีคะที่มีพี่ๆ มีเพื่อนไปร่วมชะตากรรมด้วยกัน อ้าวว ^^"
สวัสดีคะ พี่ครูคิม
อาจารย์วิรัตน์ค๊ะ
ผมเชื่ออยู่อย่างหนึ่งครับ คุณ ณัฐพัชร์
...
คนที่มีจิตใจดีงาม ย่อมพบสิ่งดีงามในชีวิตเสมอ ๆ
...
แม้นจะทุกข์ หรือลำบากเพียงใด ก็จะมีสิ่งเติมเต็มให้ชื่นใจและมีกำลังใจอยู่ตลอดเวลา
...
ด้วยความระลึกถึง ครับ
สวัสดีค่ะพี่ณัฐ สบายดีไหมคะ ฝั่งบ้านพี่น้ำท่วมไหม ส่งกำลังใจด้วยความคิดถึงค่ะ ;)
สวัสดีคะ คุณแสงแห่งความดี
สวัสดีคะ คุณน้องปู
อรุณสวัสดิ์ค่ะ
อ่านเรื่องนี้ยามเช้า
เรื่องราวชวนให้สดชื่น อิ่มใจเชียวค่ะ
แม้แต่คนที่ไม่เคยรู้จัก ก็มีน้ำใจให้กัน
^_^
อรุณสวัสดิ์คะ พี่ณัฐรดา :