หลังผ่านพ้นวันหยุดพักผ่อนยาวในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา ผู้เขียนใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการทบทวนกิจกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นใน OM Workshop อีกครั้ง โดยการนั่งฟังเทปเสียงและดูภาพถ่ายกิจกรรมที่บันทึกไว้ทั้งหมดอย่างละเอียด เพื่อเตรียมตัวพูดคุยหารือกับ “คุณหมอฉายศรี” เกี่ยวกับการดำเนินงานในขั้นตอนต่อไปของโครงการ KM- NCD Network
ผู้เขียนพบว่า มีประเด็นที่เป็นสาระสำคัญซึ่งเกิดขึ้นในแต่ละช่วงกิจกรรมที่ยังไม่ได้บันทึกรายละเอียดไว้ใน blog ก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งรายละเอียดเรื่อง “ปัจจัยความสำเร็จ” ของการดำเนินงานลดเสี่ยง ลดโรคไม่ติดต่อในชุมชน ที่สะกัดได้จาก “เรื่องเล่าความสำเร็จ”
“เรื่องเล่าความสำเร็จ” (Success Story Telling – SST) เป็นหนึ่งในกิจกรรมของ OM Workshop ครั้งนี้ โดย “คุณธวัช หมัดเต๊ะ” บอกว่า ก่อนที่เราจะวางแผนการทำงานร่วมกันด้วย OM น่าจะมีการแลกเปลี่ยนแบ่งปันประสบการณ์การทำงานในพื้นที่ของแต่ละคนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมาก และถ้าผู้เข้าร่วม ws ทุกคนนำประสบการณ์การทำงานของตนเองมาแลกเปลี่ยนแบ่งปันกัน ก็จะได้ “ความรู้จากการปฏิบัติ” เกิดขึ้นมากมาย
ช่วงกิจกรรมนี้เราแบ่งผู้เข้าร่วมออกเป็น 4 กลุ่ม กลุ่มละประมาณ 8-10 คน โจทย์ คือ ให้ทุกคน “เล่าเรื่องความสำเร็จ” จากประสบการณ์การทำงานในมุมของการป้องกัน ลดปัจจัยเสี่ยง ลดการเกิดโรคไม่ติดต่อในชุมชน ซึ่งเป็นกิจกรรม/เหตการณ์ที่เกิดขึ้นจริง โดยให้เล่าว่า “ทำอะไร ทำไมจึงทำ ทำอย่างไร สำเร็จอย่างไร และมีใครเกี่ยวข้องบ้าง”
กติกาของกิจกรรมนี้ คือ “One Meeting: 1 คนเล่า คนที่เหลือฟัง” ฟังด้วยสมองและหัวใจ สบตา สังเกตอารมณ์ของผู้เล่า ไม่แนะนำ ไม่ตัดสิน เพราะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและผ่านไปแล้ว เมื่อเล่าครบทุกคนแล้วให้ช่วยกันสรุปว่า “หัวใจของความสำเร็จ” หรือ “คุณค่า” ของเรื่องเล่าทุกเรื่องที่ได้ฟังในกลุ่มคืออะไร
“ปัจจัยแห่งความสำเร็จ” ของการดำเนินงานลดเสี่ยง ลดโรคไม่ติดต่อในชุมชน ที่สะกัดได้จาก “เรื่องเล่าความสำเร็จ” ที่ทุกคนร่วมแลกเปลี่ยนแบ่งปันกัน มีดังนี้
1. ผู้บริหารมี “วิสัยทัศน์” และให้การสนับสนุน
2. การทำงานเป็นทีม ด้วยทีมงานที่เข้มแข็ง ทำงานด้วยใจ และมีเป้าหมายร่วมกัน
3. เข้าใจ เข้าถึงปัญหา บนหลักฐานวิชาการและสถานการณ์ของพื้นที่
4. มีหลักฐานข้อมูลของพื้นที่ในการนำเสนอเพื่อผลักดันนโยบาย
5. แรงบันดาลใจ / แรงจูงใจ / ความคิด ความฝัน
6. การประสานงานเชิงรุกในแนวราบ
7. ความร่วมมือของภาคีเครือข่าย
8. การแลกเปลี่ยนเรียนรู้
9. กลยุทธ์การสื่อสารเพื่อให้ชุมชนเกิดความตระหนัก เน้นการสื่อสารเรื่องผลกระทบต่อบุคคลและชุมชน
10. การมีส่วนร่วมของชุมชน / ชุมชนเป็นเจ้าของ
· ได้ใจชุมชน
· ชุมชนตระหนักว่าเป็นปัญหาของชุมชนเอง
· เปิดโอกาสให้ชุมชนเข้าร่วมแก้ปัญหา
· เสริมพลัง/เพิ่มศักยภาพชุมชน
· มีข้อมูลของชุมชน
· มีข้อตกลงร่วมที่เป็น “มาตรการ” ของชุมชน
· ชุมชนมีกระบวนการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง
· มีการติดตามประเมินการเรียนรู้ของชุมชน โดยชุมชนเอง
11. การให้คำปรึกษาโดยผู้เชี่ยวชาญจากสหสาขาวิชา
12. “ต้นแบบ” ที่ดี
13. เชื่อมโยงกับตัวชี้วัดของท้องถิ่น
14. การติดตามสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง
จาก “ปัจจัยแห่งความสำเร็จ” ที่สะกัดได้จาก “เรื่องเล่า” เป็นจุดตั้งต้นที่นำมาสู่โจทย์ต่อไป คือ การวาด “ภาพฝัน” เกี่ยวกับงานลดเสี่ยง ลดโรค ชุมชนจัดการตนเองของสังคมไทยว่าควรเป็นอย่างไร โดยเริ่มต้นด้วยประเด็นที่สะกัดจาก “เรื่องเล่าความสำเร็จ” แล้วต่อยอดด้วยภาพฝันของสมาชิกทุกคนในกลุ่ม เพื่อเติมเต็มให้เป็นภาพฝันของงานลดเสี่ยง ลดโรคไม่ติดต่อในชุมชนที่สมบูรณ์ ดังนี้
กลุ่ม 1 : ใจประสานงาน
ชุมชม ประกอบด้วย บ้าน วัด โรงเรียน เทศบาล/อบต. ผู้นำและคนในชุมชน ร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ หมอ พยาบาล ตำรวจ ฯลฯ มีส่วนร่วมในกระบวนการทำงานเพื่อลดเสี่ยง ลดโรค โดยทุกคนต้องเอา “ใจ” มาประสานงาน ประสานความร่วมมือกันทั้งชุมชน จึงจะเกิดเป็นภาพชุมชนลดเสี่ยง ลดโรคที่สวยงามตามที่ฝันได้
กลุ่ม 2 : ชุมชนตระหนัก คนทำงานมีแรงบันดาลใจ
ทำอย่างไรถึงจะลดเสี่ยง ลดโรคในชุมชนได้ ?
· ชุมชน/คนที่อยู่ในชุมชนต้องเกิดความตระหนักด้วยตนเองก่อนว่ามันเป็นปัญหาที่เขาควรจะใส่ใจ
· คนทำงานเกิดแรงบันดาลใจ
เช่น ชุมชนของเรา มีคนอ้วน สูบบุหรี่ ดื่มเหล้า นักซิ่ง/สิงห์มอเตอร์ไซด์ พอเกิดปัญหาตรงนี้ ก็นำปัญหาเข้าสู่ “เวทีประชาคม” แล้วก็มานั่งคุยหารือกันว่าจากปัญหาเหล่านี้ ควรจะต้องมีการกำหนดมาตรการในชุมชนขึ้นมาว่าจะทำอย่างไรให้เป็นชุมชนลดเสี่ยง ลดโรคได้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าไม่มีหน่วยงานสนับสนุนในลักษณะของ “เครือข่าย” ที่วาดภาพไว้เป็นใยแมงมุมเพื่อให้เห็นว่ามันจะเกิด Node ขึ้นมาเยอะมาก แสดงว่าเครือข่ายของเราจะต้องมีอยู่ทั่วประเทศ
เมื่อเกิดมาตรการหรือข้อกำหนดขึ้นมา ก็นำสู่การปฏิบัติ เช่น มีชมรมออกกำลังกาย/กีฬาต่างๆ ชมรมปลูกผักปลอดสารพิษ ฯลฯ เพื่อทำให้สภาพแวดล้อมเหมาะสมสำหรับการที่จะทำให้ชุมชนลดเสี่ยงและลดโรคได้
กลุ่ม 3 : “อยู่ดีมีสุข” บนพื้นฐานปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
ฝันอยากให้ประชาชนในชุมชน “อยู่ดีมีสุข” บนพื้นฐานปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โดยจะมีผู้สนับสนุนทุกระดับตั้งแต่ระดับกระทรวง กรม เขต จังหวัด จนถึงพื้นที่ ร่วมกันผลักดันนโยบายลงไปเพื่อที่จะให้ประชาชนทุกคนเป็น “เจ้าของ” สุขภาพด้วยตนเอง ให้ชุมชนคิดและแก้ไขปัญหาด้วยตนเองได้ มีมาตรการหรือกฎระเบียบของชุมชน เช่น มาตรการรณรงค์ไม่ให้ชาวบ้านซื้อกับข้าวจาก “รถพุ่มพวง” ให้ทำกับข้าวกินเอง มีการจัดตั้ง “ศูนย์เรียนรู้” และมี “แกนนำ” ในการดำเนินงานเรื่องนี้ โดยใช้วัฒนธรรมของชุมชนเป็นฐานในการกำหนดมาตรการต่างๆ ที่เป็นข้อตกลงร่วมกันของชุมชน
กลุ่ม 4 : ร้อยหัวใจ ร่วมมือ รวมพลัง สร้างเครือข่าย
ความคาดหวัง คือ ชุมชนที่เราจะไปทำงานจะต้องมีการร่วมกันสร้างเครือข่าย รวมพลังในชุมชนให้เข้มแข็ง เพื่อที่จะลดโรคเรื้อรังต่างๆ ให้หมู่บ้าน/ชุมชนปลอดโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง หัวใจและหลอดเลือด
วิธีการ คือ รวมพลังคนจากทุกภาคส่วนที่อยู่ในชุมชนไม่ว่าจะเป็นหมู่บ้าน วัด โรงเรียน อบต. ฯลฯ โดยการ “จับมือกัน” ใช้ “หัวใจร้อยกัน” ร่วมมือกันทำงานโดยใช้ “หัวใจนำ” แล้วก็นำวิธีการ กลยุทธ์ต่างๆ เช่น KM หรือ OM ฯลฯ เข้าไปปรับประยุกต์ใช้เพื่อให้ชาวบ้านมีพลังเพิ่มขึ้น ให้เขาเกิดแนวคิดว่า “ทำอย่างไร เขาจะลดปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ในหมู่บ้าน/ชุมชนของเขาได้” เช่น เริ่มตั้งแต่เด็กแบเบาะต้องให้กินนมแม่ ปลูกผักปลอดสารพิษไว้กินในหมู่บ้าน ร้านค้าต้องตระหนักในการที่จะไม่ขายเหล้า บุหรี่ให้กับกลุ่มเด็กและเยาวชน วัดเป็นศูนย์รวมจิตใจช่วยให้ชาวบ้านไม่เครียด ในขณะที่ชาวบ้านก็ทำบุญตักบาตรโดยเพิ่มผักผลไม้ให้มากขึ้นเพื่อที่ “พระ” จะได้ไม่เสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน ความดันฯ
ผลลัพธ์ คือ หมู่บ้านนี้จะเป็น “หมู่บ้านสีเขียว” ที่เต็มไปด้วยต้นไม้ พืชผัก ผลไม้ มีการรณรงค์ให้กินปลา กินผักผลไม้ให้มากที่สุด คนในชุมชนก็จะปลอดภัยไม่มีโรคเรื้อรัง
ปลาทูแม่กลอง
28 เมษายน 2552
ไม่มีความเห็น