วันที่ ๒๙ พ.ค. ๕๐ ผมได้รับเชิญไปบรรยายเรื่อง "มหาวิทยาลัยกับการสร้างความรู้ให้แก่พื้นที่" ในสัมมนาวิชาการเครือข่ายการวิจัยบูรณาการลุ่มน้ำท่าจีน-แม่กลอง ครั้งที่ ๕ ที่มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา
ผมได้เสนอว่านักวิชาการในมหาวิทยาลัยต้องเข้าไปเป็นภาคีร่วมเรียนรู้กับชาวบ้านในพื้นที่ด้วยท่าทีที่ไม่ใช่มุ่งเข้าไปสร้างความรู้ให้แก่พื้นที่ แต่ต้องมีท่าทีเข้าไปร่วมสร้างความรู้ โดยมีความเชื่อว่าชาวบ้านมีความรู้อยู่แล้ว แต่เป็นชุดความรู้บูรณาการที่มาจากการปฏิบัติเป็นชุดความรู้ที่มีธรรมชาติคนละแบบกับความรู้ของนักวิชาการ
ผมได้เสนอว่า มหาวิทยาลัยควรใช้พื้นที่หรือชุมชน เป็น "เบ้าหลอม" ความรู้ต่างศาสตร์ จากนักวิชาการหลากหลายสาขา เพื่อนำไปสู่การ "ผสมพันธุ์ทางวิชาการ" สร้างศาสตร์ใหม่ ที่เป็นการสร้างศาสตร์จากแผ่นดินแม่ จากบริบทของพื้นที่
ผมได้เสนอ "พื้นที่หลอมศาสตร์ ที่เป็นพื้นที่ทางสังคม ๒ แนว คือ
๑. พื้นที่ทางสังคมระหว่างนักวิชาการ (หลายศาสตร์) กับชาวบ้าน
๒. พื้นที่ทางสังคมระหว่างนักวิชาการต่างศาสตร์ ซึ่งจะต้องมีการคิดค้นทดลองกระบวนการปฏิสัมพันธ์ทางวิชาการที่จะให้เกิดการ "สปาร์ค" ระหว่างศาสตร์ได้
นอกจากนั้น ผมยังได้เสนอว่า สังคมวิชาการพหุศาสตร์ ที่เชื่อมโยงกับพื้นที่ท้องถิ่น จะต้องเชื่อมโยงกับโลกวิชาการเฉพาะศาสตร์ภายในประเทศ และในวงการวิชาการนานาชาติด้วย เข้าทำนองเชื่อมโยง globalization กับ localization
ผมได้เสนอว่า นักวิชาการต้องมีเป้าหมายสร้างความรู้เพื่อคุณประโยชน์ ๒ ด้าน
๑. เพื่อการใช้ประโยชน์โดยชาวบ้าน
๒. เพื่อสร้างความรู้ให้แก่โลก ตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารวิชาการนานาชาติ ซึ่งในกรณีนี้โจทย์วิจัยจะต้องมีเป้าหมาย อธิบายปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร ต้องเป็นงานวิจัยระดับ explanatory ตอบคำถาม why? ไม่ใช่แค่ระดับ descriptive ตอบคำถามเพียงแค่ what? อย่างที่ทำกันโดยทั่วไป
ท่านที่สนใจ Ppt. ในการบรรยายดังกล่าว อ่านได้ที่นี่ ๑ และ ๒
วิจารณ์ พานิช
๒๙ พ.ค. ๕๐