เท่าที่ติดตามดูจากเอกสารและสื่อต่างๆ มีผู้อธิบายว่า ในต่างประเทศเขาเปลี่ยนการเรียนการสอนไปมากแล้ว ประเทศเยอรมัน จีน เกาหลี เขาจะสอนวิชาการต่างๆเฉพาะช่วงเช้า3-4ชั่วโมง ช่วงบ่ายปล่อยให้เด็กๆนักศึกษาออกไปหาความรู้ในโลกแห่งความจริง เป็นการเปิดห้องเรียนสู่โลกกว้างอย่างแท้จริง ..เขาคิด และเขาทำกันอย่างจริงจัง ไม่ได้คิดเล่นๆ ทำเล่นๆ ถ้าจะทำอย่างหวังผลควรพิจารณาประเด็นอะไรบ้าง
เรียน หนีโรงเรียน เกเร ป่วนสังคม พวกนี้มีปัญหากับการเรียนในหลักสูตรปกติ ควรที่ฝ่ายวางระบบการศึกษาเลิกข่มขืนให้เรียนแบบไม่ดูตาม้าตาเรือเสียที เห็นควรปรับหลักสูตรใหม่ขึ้นมารองรับเป็นการเฉพาะ ให้เรียนวิชาสามัญ30% ไปเรียนวิชาวิถีไทยในท้องถิ่น ในสังคมไทยทั่วไป70% โดยมีการปรับเอาเทคโนโลยีและวิทยาการที่เหมาะสมมาร่วมกระบวนการเรียน โตขึ้นเขาจะได้มีความผูกพัน มีความรู้ ความเข้าใจ พอที่จะรับงานในครอบครัว งานในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นกรรมการหมู่บ้าน เป็นนายกองค์การบริหารส่วนตำบล เป็นคนท้องถิ่นที่ได้รับการเติมเต็มเรื่องมิติชุมชน ถ้าเรียนจบม.ศ.3ไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยชีวิตเป็นการเพิ่มเติมศักยภาพให้สูงขึ้นได้
2.กระบวนการหลักสูตรท้องถิ่น ไม่ควรจะอยู่ที่เด็ก ที่ครู ที่กรรมการสถานศึกษา หรือเขตพื้นที่ฯ แต่ควรจะเฉลี่ยอยู่ในสังคมไทยทุกหมู่เหล่า และควรกำหนดไว้ในนโยบายการศึกษาในระดับที่มีความสำคัญไม่ด้อยกว่าด้านอื่นๆ สุดท้ายถามว่าจะทำอย่างไร
- ในระดับสถาบันอุดมศึกษา ประมาณว่ามีเด็กโดดห้องเรียน30% ถ้าภาควิชาต่างๆ จัดสัดส่วนการเรียนการสอนภาคทฤษฎีให้สอดรับกับภาคปฏิบัติมากขึ้น แทนที่หลักสูตรต่างๆจะเน้นการสอนแบบอัดทฤษฎีเต็มเวลา จนนึกไม่ออกว่าจะเอาเวลาที่ไหนมาจัดการเรียนภาคสนาม เรื่องนี้ต้องผ่าหลักสูตร ปรับเนื้อหาวิชาการในตำรา มาเป็นการสร้างเนื้อหาที่เป็นจริงในสังคม เอาเวลาที่เด็กโดดเรียนนั่นมาจัดการเรียน ที่เด็กโดดเรียนเป็นตัวสะท้อนให้เห็นว่า เด็กเบื่อการสอนแบบน้ำลายท่วมทุ่ง แต่อาจารย์ก็ยังไม่ยอมเปลี่ยน เด็กนักศึกษาจึงเปลี่ยนพฤติกรรมการเรียนด้วยตนเอง
- ควรมีนโยบายร้อยรัดเป็นแนวทางเดียวกัน ปรับเป้าหมายในการสร้างสังคมอัตคัดปัญญา หรือสังคมแห่งการรับรู้มาเป็นสังคมสร้างผู้เรียนรู้ ตราบใดที่ไม่มีไม่ถึงจุดนี้ หลักสูตรทิ้งถิ่น ทิ้งชุมชน ลอยเพสังคม จะขยายวงกว้างต่อไป
ถามว่า จะเริ่มศึกษาแนวคิดการเรียนแบบอิงระบบ หรือKM.ธรรมชาติแบบผสมผสานนี้ได้อย่างไร ขอแนะนำเข้าไปในBlog ของG2K ที่สนามสาธารณะการเรียนรู้แห่งนี้ เปิดกว้างให้ค้นหาตนเอง ค้นหาคนอื่น ถ้ามีคำถาม ก็จะมีผู้หาคำตอบให้
เข้าไปแล้วตาลาย.. เนื้อหามากมายเหลือเกิน อ๋อ! เรื่องนี้ไม่ยาก ลองแว๊ปไปที่Blog ความรู้เพื่อชีวิต โดย.ดร.แสวง รวยสูงเนิน หรือจะท่องเน๊ทไปชมBlogสมาชิกท่านอื่น หรือจะไปแวะBlogเสวนาวิสาสะกับกลุ่มคนแซ่เฮ ก็น่าจะเป็นการเริ่มต้นที่จะทำความเข้าใจเรื่องหลักสูตรท้องถิ่นได้อย่างสนุก
หมายเหตุ :พรุ่งนี้ มีการประชุมสมัชชาคุณภาพการศึกษา ณ ห้องแกรด์ไดมอนด์ บอลรูม อิมเพค เมืองทองธานี งานนี้นอกจากมีนิทรรศการของหน่วยงานต่างๆแล้ว ยังมีการจัดประชุมกลุ่มย่อยหัวข้อต่างๆที่น่าสนใจ เช่น
ผมอยู่ในห้องประชุม 5 เวลา 13.00-16.00 น.
เรื่อง หนทางสู่การผลิตบัณฑิตในฝัน มีวิทยากร ดังนี้
ภาคผู้ใช้บัณฑิต : ผู้บริหารปูนซิเมนต์ไทย จำกัด มหาชน
ภาคผู้ผลิตบัณฑิต :ศ.นพ. อดุย์ วิริยเวชกุล อธิการบดีมหาวิทยาลัย มมส.
ภาคสังคม : ครูบาสุทธินันท์ ปรัชญพฤทธิ์ จากกลุ่มคนแซ่เฮ
ภาคนักวิชาการผู้ทรงคุณวุฒิ : ศ.ดร.ธรรมศักดิ์ สมมาตย์ ม.เกษตรศาสตร์
ภาคนิสิตนักศึกษา : ผู้แทนนิสิตจากเครือข่ายบัณฑิตอุดมคติไทย
ผู้ดำเนินรายการ : ศ.นพ. วุฒิชัย ธนาพงศธร
หนทางสู่การผลิตบัณฑิตในฝัน
ท่านครับ มันสำคัญว่าใครฝัน ?
แล้วเอาไงล่ะ จะเอาฝันใครเป็นตัวตั้ง
ล้านเปอร์เซนต์ คนเขียนก็เอาฝันของตนเอง อาจจะอ้างว่าเอามาจากการมีส่วนร่วมคนนั้น กลุ่มนี้ เอาไว้กัน..
นายศีลาบ้านพังแดง มุกดาหารก็ฝันว่า จะทำงานอย่างไรได้เงินทองมาให้ลูกเรียนหนังสือที่ มมส.และ มข.ได้ จะทำอย่างไรจึงจะไม่ต้องไปขายแรงงาน อยู่บ้านแล้วทำงานมีรายได้ พอเพียงส่งลูกเรียนหนังสือ ได้ไหม
ลุงอ่าง บ้านพรานอ้นมุกดาหาร ก็ฝันว่า จะทำอย่างไรจึงจะทำการเกษตรได้ผลผลิตมากพอที่จะเอาไปขายได้ราคามาใช้หนี้สินกองทุนเงินล้านน่ะ ให้หมด ให้สิ้นเสียที แล้วหน่วยงานราชการที่มาส่งเสริมปลูกหญ้าเพื่อเอาเมล็ดพันธ์ไปขายต่อน่ะ เมื่อไหร่จะมาซื้อเอาไปตามราคาที่ตกลงกันโดยวาจาเมื่อปีที่แล้ว เล่า
บัณฑิตที่สถาบันสูงส่งนั้นน่ะสร้างคนมารับผิดชอบความต้องการเหล่านี้ได้ไหม
เห็นกี่คนกี่คนก็วิ่งเข้าเมืองไม่เห็นหาง ปล่อยให้ชนบท อีพ่ออีแม่เผชิญหน้ากับพ่อค้าที่เข้ามาหว่านล้อม ให้ซื้อนั่น ขายนี่ คำพูดของเขาอย่างกับว่าซื้อแล้วจะรวยวันพรุ่งนี้ ใช้แล้วผลผลิตจะล้นยุ้งล้นฉาง มีบัณฑิตเข้าไปช่วยวิเคราะห์ เจาะลึกให้เห็นแก่นแท้ของธุรกิจที่หากินกับชาวบ้านบ้างไหม
แม้แต่ตัวมันเองยังตกไปในหลุมพลางระบบธุรกิจที่บ้าคลั่งเงินตรา โดยอ้างว่าบ้านเราเป็นประชาธิปไตย ใครๆมีสิทธิที่จะทำมาค้าขายอะไรก็ได้ที่ไม่ผิดกฏหมาย
บันฑิตอันพึงประสงค์เป็นบัณฑิตที่ไม่รู้จักประเทศไทยจริง เวลาตั้งคำถามบัณฑิตว่า ลองเอากระดาษไปหนึ่งแผ่น แล้วลองวาดรูปชนบทให้ดูหน่อยซิว่า ชนบทในทัศนะของเขานั้นมีหน้าตาเป็นอย่างไรบ้าง วาดรูปมาให้หมด
พบว่า ชนบทที่บัณฑิตวาดนั้น มีแต่บ้าน ถนน รถยนต์ เสาทีวี มือถือ ภูเขาสองลูก พระอาทิตย์ขึ้น นกสองตัว.......อาจจะมีควาย มีวัว....แต่ร้อยทั้งร้อย ไม่มีผู้เฒ่าผู้แก่ ไม่มีวัฒนธรรมประเพณี ไม่มีความคิดความเชื่อ วัด พระ และคุณธรรม
ดังนั้นบัณฑิตที่เราได้มาจากสถาบันก็เพียงเป็นเด็กที่ในหัวเขามีแต่ การบริโภคผลผลิตสินค้าของกลุ่มทุน ธุรกิจ บริโภคสินค้าสำเร็จรูปที่เสนอขายบนทีวี ใช้ภาษาที่คิดว่า เท่ห์ระเบิด มองไม่เห็นคุณค่าของการเดินไปทำบุญที่วัด แต่จะต้องก้าวขาออกไปร่วมงานวาเลนไทน์ หรือวันฮาโลวีน
คิดไม่เป็น : คนที่ทำงานกับผม จบมาจากสถาบันอุดมศึกษามีชื่อ ทำงานตามคำสั่ง คิดไม่เป็น บอกอย่างหนึ่งก็ทำอย่างหนึ่ง อีกหลายอย่างที่เป็นเรื่องต่อเนื่องกันนั้นคิดไม่เป็น คิดไม่ออก เอ้าคิดซะว่าเป็นน้องใหม่ต้องสอนงาน แต่ เอ เวลาผ่านไปเป็นปีแล้วนะ เบอร์โทรศัพท์ที่ใช้เกือนทุกวันยังต้องค้นให้ทั่วไปหมดว่าจดไว้ตรงไหน
ตรงข้าม เด็กโรงเรียนบ้านแก่งนาง มาช่วยแม่ขายผัก ขายสักพักเดียวคิดเลขในใจคล่องปรื๊อ รู้จักทอนเงินเอง รู้จักต่อรอง รู้จักพูดบอกคุณสมบัติของผักของตัวเองให้ลูกค้าได้ .....นี่ไม่ใช่บัณฑิต แค่เด็กบ้านนอกเท่านั้น
หากสังคมนี้มีเพียงพ่อค้า นักธุรกิจ โลกดิจิตอล ก็ไปอย่างหนึ่ง
แต่ประเทศไทยมีชนบท มีชาวนาชาวไร่ ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ เอาเขาไปไหน การเรียนการสอนพูดถึงอะไรของเขาบ้าง...
เอ้าผมบ่นซะยาวเลยครับ ขออภัยครับ เปล่าหรอก คิดถึงบัณฑิตในฝันน่ะครับ
ครูบาคะ
เข้ามาเก็บรับซับความรู้ค่ะ..
มีเพื่อนนักศึกษาคนหนึ่งเล่าด้วยความน้อยอกน้อยใจ ว่า เรียนจบแล้ว จะไปบวช ถามว่าทำไม...เขาตอบว่าจะไปขออโหสิอาจารย์และภาวนาว่าชาตินี้ไม่ต้องเจอกันอีก...นี่คือเรื่องจริงที่กลืนน้ำลายยังติดคอค่ะ
ขอบคุณมากครับ ได้แนวคิดหลากมุมมอง ขออีกๆๆๆ
..อยากจะเห็นการผลิตบัณฑิตในโลกความจริง
เราฝันมาเยอะแล้ว อย่างโรงเรียนในฝัน เลอะเทอะ จนคนฝันแทบบ้า มีคนฆ่าตัวตาย อิอิ
ครูบาครับ
กราบสามครั้งครับ
ผมเขียนให้แล้วนะครับ ตามอ่านได้ที่นี่นะครับ
เก้าข้อ บัณฑิตที่สังคมไทยควรผลิต
ขอแค่เก้าข้อพอครับ
กราบครับ
สวัสดีครับครูบา
การศึกษาทุกวันนี้พยายามที่จะบรรจุทุกอย่างให้เด็ก สุดท้ายเด็กที่จบการศึกษาออกมากลายเป็นเป็ดครับ
เด็กที่เห็นจะแบ่งได้เป็น ๓ กลุ่ม กลุ่มเรียนเก่ง กลุ่มเรียนปานกลาง กลุ่มเรียนอ่อน แต่กลุ่มที่อยู่ในสังคมได้อย่างสบาย คือกลุ่มเรียนปานกลางครับ
ส่วนครูอาจารย์ทุกวันนี้ วุฒิภาวะทางอารมณ์ยังไม่ได้ ยิ่งเรียนสูง บางท่านยิ่งอารมณ์อ่อนไหว ผลกรรมก็ตกกระทบที่เด็กครับ
แผนการศึกษาชาติก็เห็นเปลี่ยนไปตามผู้บริหารระดับสูงตลอดครับ
ผู้บริหารส่วนหนึ่งยังติดยึดกับยศฐา บรรดาศักดิ์ มากกว่าบริหารจัดการสถานศึกษาของตัวเองครับ
วงการศึกษาไทยยังไม่มีพลังพอที่จะต่อสู้กับสิ่งที่เป็นพลังบีบอัดที่ทำให้การศึกษาไทยไม่ก้าวหน้า แคระเกร็นครับ
ก็ต้องรอดูพลังที่จะสามารถสลายพลังมืดเหล่านั้นได้...คิดว่าคงจะเห็นในช่วงอายุของพวกเรานิดหน่อยก็ยังดีครับ
ขอบคุณครับที่มีโอกาสออกความเห็นครับ
สวัสดีครับผม
คงต้องผสมผสานทั้งศาสตร์และศิลป์เข้าด้วยกัน คุณครูที่มุ่งแต่ศาสาตร์ วาดภาพแต่ในตำรา หามีปัญญาไม่
เราไม่ทิ้งศาสตร์ แต่ศิลปในการสอน การนำเสนอเนื้อหา ที่ไม่ต้องยึดติดแต่ในห้องเรียนเหลี่ยมๆ โต๊ะเก้าอี้เรียงเป็นแถวๆ ไม่สร้างปัญญาการเรียนรู้สักเท่าไร คงต้องไปดูภายนอกห้องเรียนแล้วนำมาเล่าเรื่องอย่างที่ชาวบล็อกเขาทำกัน
หลักสูตรท้องถิ่น ต้องสอดคล้องต่อภูมิสังคม อย่าคิดแต่เหมือนๆกัน เพราะแต่ละท้องถิ่นชุมชนต้องการปัญญาที่แตกต่างกัน เมืองน้ำต้องหนักไปทางจัดการน้ำ เมืองดินแล้งต้องการจัดการดิน เมืองคนนักต้องการจัดการคน
อย่าว่าแต่เด็กเลยระบบการสอนแบบปัจจุบันมันน่าเบื่อทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ เราเอาของจริงมาสอนก่อนได้ใหม แล้วค่อยไปสู่ตำรา ปัญหาเวลานี้เอาตำรานำแล้วปัญญาตาม ปัญญาเลยไปติดอยู่ที่ตัวหนังสือหมด เรียนม่งแต่เอาชนะคะแนน ห่างไกลการแก้ปัญหาชีวิตไปทุกที
การวิจัยทุกวันนี้ก็ดีแต่มัดรวมเล่ม ขอสนับสนุนประชาพิจัยของมหาวิทยาลัยชีวิต เรียนจากไกล้ตัวจับต้องได้ไปสู่ของใหญ่ที่ไกลตัว บางคนบอกผมว่าอาจารย์บางส่วนทุกวันนี้ไม่เคยปฏิบัติเลยในชีวิต ดำรงอยู่ได้ภายในห้องเรียน พอออกนอกห้องอาจารย์เองเอาชีวิตแทบไม่รอด
การเรียนการสอนทั้งในและนอกพื้นที่ห้องเรียนต้องสร้างให้มีปฏิสัมพันธ์กันมากขึ้น ครูที่ดีไม่จำเป็นต้องสิงห์สถิตย์อยู่แต่ในห้องเรียน พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยายหมู หมา กา ไก่ ก็เป็นครูเรียนรู้ชีวิตเราได้หมด ผมเองก็มีครูหมาๆสอนอยู่ทุกวัน เพียงแต่เตือนตนเองเสมออย่าเป็นคนหมาๆก็แล้วกัน ฮิฮิแล
ขอบคุณมากครับ
พ่อครูบาฯครับ
ถือเป็นสุดยอดบันทึกที่รวบรวมสุดยอดครูบาอาจารย์ มาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเพื่อการศึกษาไทย
สะท้อนจากตนเอง สำหรับในโลกให้ความซับซ้อนมีปัจจัยหลายอย่างมันเปลี่ยนไป ในส่วนตัวผมคิดว่ามิติทางด้านสังคมและครอบครัว ก็เป็นพื้นฐานที่สำคัญในการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับเด็กได้
โชคดีที่ข้ามพ้นและปนเปื้อน ผ่านมาได้ แต่คนอื่น และเด็กรุ่นหลัง คงต้องการการแก้ปัญหาที่ผสมผสานในหลายๆมิติ ไปพร้อมๆกันด้วย
คงเป็นปัจจัยอีกด้านที่ละเลยไม่ได้
เออ โรงเรียนสอนพ่อแม่ นี่ก็สำคัญนะ
ใครจะเปิดโรงเรียนนี้ละ จะไปสมัครเรียน หมายเลข 1
กราบสวัสดีครับพ่อครูบาฯ