[ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ กลุ่มเยาวชน
..เรื่องนี้เต็มไปด้วยความน่าเห็นใจ สะสมกันมานาน.. จนท้วมท้นใจ แต่ก็ไม่มีใครบอกได้ว่า เราจะชำระเสี้ยนที่ปักใจลูกหลานเราได้อย่างไร? มีใครบ้างที่ไม่เดือดร้อน เป็นทุกข์เรื่องลูกๆหลานๆ ยกมือขึ้น !
เมื่อก่อน นานๆครั้งเราจะได้ข่าวเด็ก สายอาชีวะ ช่างกล ยกพวกทดสอบพลังกัน แต่บัดเดี๋ยวนี้ ไม่ว่าจะมีงานในหมู่บ้านหรืองานฉลองในเทศกาลต่างๆ เด็กยกพวกถล่มกันระบาดไปทั่วทุกชุมชน เป็นเรื่องที่รู้กันว่างานไหนงานนั้น ..ตีแน่ ถึงจะป้องกันอย่างไรก็ตุบตั๊บกันจนได้ บางหมู่บ้านเลี่ยงมาจัดงานช่วงกลางวัน เปิดเพลงเต้นซิ่ง ซิ่งกันไปกันมาก็ฝุ่นตระหลบกระเจิง เป็นการคิดบัญชีหมั่นไส้ค้างเก่าของพวกวัยรุ่นเขา เหตุการณ์ขยายทำร้ายกันระบาดในหมู่เด็กสตรี นี่ก็ล่อกันนัวเนียเป็นข่าวเอิกกะเริกอยู่เสมอ เด็กสมัยนี้ไม่รู้จัก เมตตา กรุณา อุเบกขา..หนักนิดเบาหน่อยเก็บมาอาฆาตแค้น ท่านลองนึกดูเถิดถ้าลูกหลานเรามีชีวิตจิตใจหมกมุ่นอยู่กับเรื่องนี้ อนาคตจะเป็นเช่นไร สังคมสมานฉันท์อยู่ตรงไหน? จะเกิดขึ้นได้อย่างไร? โรงเรียนวิถีพุทธ โรงเรียนในฝัน อบรมลูกเสือ ค่ายพุทธบุตร ฯลฯ เพียงพอไหมที่จะเป็นต้นแบบแก้ไขวิกฤตินี้
[ ในสมัยที่วิถีสังคมชนบทปกติ เด็กเกิดมาจะได้รับการอบรมขัดเกลาจิตใจ ผ่านเพลงกล่อมลูกตั้งแต่นอนอยู่ในอู่ โตขึ้นมาอยู่ภายใต้สายตาผู้คนในชุมชนช่วยกันดูแลพี่ป้าน้าอายังอยู่กันพร้อมหน้า ชวนเด็กทำงานหรือเรียนวิถีภายในชุมชน โตขึ้นมาเข้าสู่วัยเลือดร้อน พ่อแม่พี่ป้าน้าลุงจับบวชเรียน มอบลูกหลานให้หลวงพ่ออบรมบ่มเพาะจิตใจให้รู้จักบาปบุญคุณโทษ สำนึกในสถานะของตนเอง นั่งพนมมือน้ำตาไหลพรากตอนเรียกขวัญนาค พิธีการเหล่านี้ได้บ่งบอกว่า ตัวเขานั้นมีความหมายมีความสำคัญต่อครอบครัวและสังคมนั้นๆ ไม่ใช้ปล่อยให้เป็นเด็กเหลือขอเร่ร่อนป่วนสังคม
[ ย้อนมาดูเส้นทางเดินของเด็กยุคใหม่ พ่อแม่ผู้ปกครองโยนภาระให้โรงเรียนแทบทั้งหมด โรงเรียนอ้าแขนรับ ใครจะเข้าไปช่วยก็จะมีกฎเกณฑ์มาอ้างที่จะไม่ยอมปล่อยเด็ก หรือเปิดทางให้เด็กได้มีการร่วมงานกับครอบครัวมากนัก เกิดกระแสบ้าเรียนพิเศษ พ่อแม่และครูเห็นชอบตรงกันว่า เด็กต้องติวๆๆ เรียนกันอย่างเดียวเป็นพายุบุแคม ตัวหลักสูตรปกติก็รัดรึงจนเด็กทำอะไรไม่เป็น เนื้อหาการเรียนไม่มีส่วนสัมพันธ์กับกระบวนการทางสังคมท้องถิ่น วิชางานบ้านหายไป เน้นที่วิชาการบ้านอย่างเดียว หลักสูตรส่วนมากสอนวิชาทิ้งถิ่น
[ ในเมื่อการศึกษาการพัฒนาชนบทไม่สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ทุกคนมองว่าชนบทฝืดเคือง ขาดแคลน ไม่มีงาน ไม่มีรายได้ ไม่มีอนาคต ทำให้เกิดแนวคิด วิ่งสู้ฟัด ขานรับกันทั้งระบบ ไล่ตั้งแต่นโยบายไปถึงนโยบอด ที่น่าเวทนา กลุ่มเด็กที่เรียนวิชาการไม่ถนัด จะถูกบังคับขืนใจให้เรียนหลักสูตรปกติ ยิ่งเรียนก็ยิ่งอมทุกข์ เห็นหมวดภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ เป็นยาขมหม้อใหญ่ ฝืนทนฝืนใจเรียนไม่ไหว
ตอนหลังก็ชวนกันหนีออกจากห้องเรียน ไปแสวงหาโลกใหม่ที่โดนใจมากกว่า เด็กเกลียดครูและโรงเรียน หล่นหายระหว่างทาง โรงเรียนมัธยมขนาดใหญ่ในชนบท มีเด็กกลุ่มนี้ประมาณ25-30% คิดเป็นจำนวนหลายร้อยคน/1โรง เมื่อไหร่จะยอมรับกันเสียที ทำง่ายๆ ยอมรับความจริง มองหาตัวช่วย..ไม่ต้องเกรงว่าคนอื่นจะมาเปิดดู ขี้ที่นั่งทับไว้ ..วิกฤตินี้ถ้าไม่แก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม การเดินขบวนขับไล่ผู้บริหารสถานศึกษาก็จะบาด ระเบิด ระเบย..
โรงเรียนไม่สามารถดูแล สอนเด็กเป็นคนดีได้ ถ้าไม่ร่วมมือกับกลไกทางสังคม
[ สายบริหารสถานศึกษา ก็ยังบ้าจัดฉากความเป็นเลิศทางวิชาการ ทั้งๆที่ผลการประเมินคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาไม่ผ่านหลายหมื่นโรง ..คุณครูบางส่วนเร่งทำผลงานวิชาการอีแอบ ทำให้..
เกิดสภาพการศึกษาทิ้งเด็ก เด็กทิ้งการศึกษา
เอากันให้เละไปข้างหนึ่ง เด็กเก็บกดมากเข้าก็เตลิดเปิดเปิงไปสู่ซอกลืบของวงจรมืด ค้ายา ค้าทุกอย่าง ตั้งแก๊งขโมย โจร เป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นสังคม การที่เด็กยกพวกตีกัน จึงหมายถึงลางบอกเหตุว่ามันไม่ไหวแล้ว ความรู้สึกเด็กกลุ่มนี้เน่าแล้ว ตรงจุดนี้สะท้อนได้ไหมว่า
“สังคมลอยแพเด็ก เด็กจึงไม่แยแสสังคม”
เรื่องนี้ เราจะไม่โทษใคร แต่เราควรจะช่วยกัน
ตอบว่า เรามีวิธีแก้ไขปัญหานี้แล้วหรือยัง
Key Word
: เด็กตีกัน สะท้อนถึงเด็กตีเบ้าตาระบบการศึกษาใช่หริอไม่
: บัณฑิตทิ้งถิ่น-คืนถิ่น
: ค่ายอาสาพัฒนา
: วิชาดื้อตาใส
: วิชาดูตาม้าตาเรือ
: วิชายูเทิร์นชีวิต
: วิชาจะไซโย ทำไมต้องรอลีโอก่อน
: หมวกกันน็อค กันอะไร
: กรณีศึกษาของโรงเรียนเม็กดำ การเรียนรู้ของคนหลายวัย
: กรณีศึกษาขององค์การนิสิตนักศึกษา มมส. (แผ่นดิน)
: กรณีศึกษา โคกเพชร1 (ครูวุฒิ) เรื่องงานครู , รถครู , หนี้สินครู
“ในสมัยที่วิถีสังคมชนบทปกติ เด็กเกิดมาจะได้รับการอบรมขัดเกลาจิตใจ ผ่านเพลงกล่อมลูกตั้งแต่นอนอยู่ในอู่ โตขึ้นมาอยู่ภายใต้สายตาผู้คนในชุมชนช่วยกันดูแลพี่ป้าน้าอายังอยู่กันพร้อมหน้า ชวนเด็กทำงานหรือเรียนวิถีภายในชุมชน โตขึ้นมาเข้าสู่วัยเลือดร้อน พ่อแม่พี่ป้าน้าลุงจับบวชเรียน มอบลูกหลานให้หลวงพ่ออบรมบ่มเพาะจิตใจให้รู้จักบาปบุญคุณโทษ สำนึกในสถานะของตนเอง นั่งพนมมือน้ำตาไหลพรากตอนเรียกขวัญนาค พิธีการเหล่านี้ได้บ่งบอกว่า ตัวเขานั้นมีความหมายมีความสำคัญต่อครอบครัวและสังคมนั้นๆ ไม่ใช่ปล่อยให้เป็นเด็กเหลือขอเร่ร่อนป่วนสังคม”
ตรงนี้ต่างหากที่ควรจะมองค่ะพ่อ การเรียนรู้พฤติกรรมต่าง ๆ การหล่อหลอมให้เกิดสำนึกต่าง ๆ มันต้องเริ่มมาจากตั้งแต่อยู่ในท้องแล้ว หัวใจและสมองของแม่เชื่อมโยงเข้าในสายเลือดของลูก ความรัก ความผูกพัน ความเอาใจใส่ ทะนุถนอมกล่อมเกลาสิ่งดี ๆ ของพ่อแม่ไหลเวียนถ่ายเทให้เกิดขึ้นในตัวลูกได้
หลังจากการคลอดออกมาเด็กเริ่มที่จะเรียนรู้เพิ่มขึ้นจากสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ตามวัย โดยเฉพาะในช่วงวัยแรกเกิดจนถึงอายุ 4 ขวบ เด็กจะรับทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในสิ่งแวดล้อมรอบตัว เลียนแบบพฤติกรรมของคน สัตว์ สิ่งของ หากอบรมสั่งสอนให้รู้ผิดรู้ถูกได้ก็ถือเป็นบันไดขั้นแรกของอนาคตที่ดีแล้ว
เพราะฉะนั้นสิ่งที่จะทำให้สังคมทุกวันนี้ดีขึ้นได้ อันดับแรก หรืออันดับต้น ๆ ที่จะต้องเร่งรีบพัฒนาคือสถาบันครอบครัวค่ะ โดยที่คนในครอบครัวควรรู้จักที่ กอด กันก่อนนั่นเองเพราะเป็นการถ่ายเทพลังความรัก ความผูกพัน ความอบอุ่น โดยหาคำพูดใด ๆ มาเปรียบเทียบได้ยากเหมือนกลุ่มเฮเขาทำกันไงคะ
ในความเห็นของผมนะ
ผมขอแค่ ให้ ทุกกระทรวง รับผิดชอบ การศึกษาด้วย
อย่าให้ พวก กท ศึกฯ เท่านั้น
เจ้า สื่อมวลชน นี่ตัวร้าย ไม่ช่วย ยัง ปล่อยเชื้อ "กิเลส" กระจายไป ทั่วประเทศ
เรื่องนี้ พวกเรา คนไทยทุกคนร่วมกันเป็นจำเลย ครับ
ไม่ต้องไปโทษใครทั้งนั้น โทษตัวเอง ผมเองก็หนึ่งละตัวดีนักเชียว
กราบสวัสดีปีใหม่ 2551 ครับพ่อครูบา
นิวเห็นด้วยกับคุณ สำเนียง (ความคิดเห็นที่ 1) ที่กล่าวว่า ต้องให้ "สำนึกในสถานะของตนเอง" เพื่อบ่งบอกว่าตัวเขามีความหมายหรือมีความสำคัญอย่างไรต่อครอบครัว และสังคม !!
แต่ "วิธีการ" ที่จะทำให้อนาคตของชาติเหล่านี้ สำนึกในสถานะของตนเอง ทำอย่างไรหละ !! นักการศึกษา - ผู้ปกครอง ต้องช่วยกันระดม เพื่อหาแนวทางร่วมกัน
นิวเคยได้ยินมาว่า เคยมีเด็กคนนึง ไม่เห็นความสำคัญของการเรียน ทำตัวไม่ดี ใช้ชีวิตไปวัน ๆ มั่วสุม มีเรื่องชกต่อยประจำ เรียนเข้าขั้นแย่ --> ถึงแย่มาก ... จนกระทั่งวันนึง เค้าได้รับรู้ว่า เค้ามีความสำคัญต่อใครบางคน และรุ้ว่าต้องเรียนไปเพื่ออะไร ทำเพื่อใคร .... วันนี้เด็กคนนั้นเรียนถึงระดับปริญญาเอก ในต่างประเทศ..(คิดว่าน่าจะใกล้จบแล้ว) ... ความรักเป็นสิ่งที่หล่อหลอมเค้า ให้เค้ากลับใจ และหันกลับมามองตนเอง มองความมีคุณค่าในตนเอง และการมีคุณค่าต่อสังคม จะทำให้เด็กรักตัวเอง รู้และรับผิดชอบต่อตนเอง-สังคม
ปัญหาในโรงเรียนไม่ใช่แค่เด็กตีกันค่ะ ความรับผิดชอบ น้ำใจยังไม่มี รุ่นของครูจะริน เห็นคุณครูถือของมาเรากุลีกุจอเข้าไปช่วยคุณครู แต่รุ่นนี้ เห็นครูถือของมา เดินหลบไปซะแล้ว กลัวจะได้ถือของให้คุณครู
ขอบคุณครับพ่อฯ
สำหรับการย้ำให้เรารู้ว่า ทางออก ยังไม่ถูกปิดตาย ..
กราบสวัสดีครับ
สบายดีนะครับ ตอนดูิสิเธอ นี่เขียนไว้ซักพันตอนนะครับ รับรองว่าเขียนกันไม่หมดแน่ครับ อิๆๆ
ทุกปัญหามีทางออก มีทางแก้ อยู่ที่ว่าจะแก้หรือจะออกจากปัญหานั้นหรือว่าเปลี่ยนเป็นปัญญาได้หรือไม่ หากผู้ใหญ่จะโทษเด็ก ผมว่าก็ต้องโทษผู้ใหญ่ั่นั่นหล่ะ แต่หากเด็กจะโทษผู้ใหญ่ ผมว่าก็ต้องโทษเด็กนั่นหล่ะ
ระบบดีหรือไม่ ดูที่การประท้วงของสังคม มองปัญหาที่เิกิดคือการประท้วงจากสังคมที่เป็น ระดับนักวิชาการไทย นักการศึกษาไทย วิเคราะห์เรื่องนี้ มองปรูดเดียวก็ออกครับ ว่าปัญหาอยู่ที่ไหน แต่ปัญหาคือ ใครจะทำนี่หล่ะ ใครจะร่วมเป็นเจ้าภาพ หากไม่ใช่เราทุกคน
สิ่งที่อยู่ข้างหน้าที่คนสร้างขึ้นมานั้น คนนั่นหล่ะต้องรับกรรมครับ ธรรมชาติช่วยแก้ปัญหาได้เพียงทางเดียวเท่านั้นครับ
กราบขอบพระคุณมากครับ
เ้้ม้ง