วันนี้ กลับเข้าประจำการที่สำนักป่ามหาชีวาลัยแล้วครับท่าน นั่งรถไฟขบวนกระตุกเส้นเอ็นให้ตื่นตัวทุกๆชั่วโมงที่แวะสถานี ขึ้นรถ4ทุ่ม มาถึงตี4 เช้านี้มีประชุมอบรมกันอีก ตั้งใจจะชวนคุยในช่วงเปิดเสวนาในหัวข้อ “อย่าปล่อยให้ความโง่ลอยนวล” ในระดับชาวบ้านจะคิดอ่านการบริหารความไม่รู้ได้ในระดับไหนอย่างไร เพราะตัวป่วนในวิถีไทยปัจจุบันก็คือความโง่มากกว่าความฉลาด ความฉลาดหายไปไหนรึ! เออถูกดองเค็มไว้ตั้งแต่สมัยผู้ใหญ่ลีโน่นแน๊ะ ทางการเขาสั่งมาว่า..สั่งไปสั่งมาไร้สาระจนเกิดวิกฤติศรัทธา เพราะคนสั่งก็ไม่รู้เหมือนกัน มีหน้าที่สั่งก็สั่งส่งเดช ชาวบ้านนิทาลับหลังว่า..ลูกอีช่..สั่ง.
(นักศึกษาบูรณาการศาสตร์ได้ออกไปสัมผัสบทเรียนในชีวิตจริงของสังคมชนบท ว่าเขากำลังเคลื่อนไหวเรื่องอะไร)
ตามยุทธศาสตร์ใหม่ เข้าใจว่าจะลดละการสั่งให้น้อยลง สั่งเท่าที่จำเป็น แล้วให้มาเรียนรู้ร่วมกัน ตามศัพท์นักพัฒนาเรียกว่า “เรียนรู้แบบบูรณาการ” ภาษาชาวบ้านเข้าใจว่า “จับเข่าคุยกัน” วัฒนธรรมราชการไม่มีการจับเข่าคุย กรณีนี้ก็ต้องค่อยๆปรับกระบวนการเข้าหากัน ช่วงแรกเริ่มอาจจะพบกันครึ่งทาง นั่งล้อมวงแล้วก็นับ1-2-3 ทุกคนยื่นมือมาทดลองจับเข่าของกันและกันดู แล้วอธิบายว่ารู้สึกอย่างไร แตกต่างจากนั่งใครนั่งมันบ้างไหม ที่พูดนี่มาจากทฤษฎีสัมพันธภาพฉบับลูกทุ่งนะครับ
ปัญหาอยู่ที่ใครจะลงมือทำ ถ้าอาจารย์ไม่ยอมเหนื่อยยาก ถ้านโยบายไม่นำไปสู่การปฏิบัติ เรื่องนี้ก็คงไม่ต่างกับสุนัขเห่าเครื่องบิน..การเริ่มต้นที่ใจ จะนำไปสู่การไว้วางใจ เชื่อใจ เห็นใจ รวมพลังใจเป็นหนึ่งเดียว แล้วจะเอายังไงกันก็ได้ จะชวนพัฒนาไปในทิศทางไหนก็ย่อมได้..บางทีการย้อนกลับมาดูประเพณีท้องถิ่นบ้าง อาจจะพบทางออกในการที่จะจูนใจเพื่อให้เกิดความร่วมมือกันได้ ลองพิจารณาก๊วนชาวบล็อกแต่แห่งดูเถอะ กลุ่มเหล่านี้ทำงานอิงระบบกันทั้งนั้น เชื่อมโยงกันด้วยใจ ไม่มานั่งรอขออนุมัติรถของสถาบัน ไม่ต้องเขียนเบิกค่าเดินทาง ค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าที่พักก็มาเจอะเจอกันได้
วิธีการอิงระบบที่ว่านี้ใช่ว่าใครก็ทำได้ ถ้าไม่มีจิตเป็นกุศล ไม่มีมิติทางสังคม ถึงจะเข้ามาอยู่ในวงจรG2K. ก็เก้ๆกังๆยังลีลาที่จะแง้มประตูใจ อาจจะต้องฝึกฝนจิตใจไปสักระยะหนึ่งถึงจะเข้าไปสู่วิญาณของมนุษย์สายพันธุ์KM. บางทีอาจจะเป็นเพราะตั้งวัตถุประสงค์แตกต่างกัน เรื่องนี้ไม่ว่ากัน ตามอัธยาศัยเถิดนะ ใครทำอะไรก็ได้อันนั้น ทำแค่ไหนก็รับไปแค่นั้น มีความรักให้คนอื่นแค่หางเต่า แต่ไปคาดหวังว่าทั้งโลกจะมอบความรักให้ตนเอง มันก็เกินไป อันนี้เรียกว่า “ค้ากำไรความรักเกินควร” สรุปว่า เรื่องนิยามความรู้ไม่มีจำกัด สามารถคิดเขียนได้เรื่อยๆ ยกตัวอย่าง เช่น..
เรียน ท่านพี่สุทธินันท์
เฮ้อ เรียนท่านครูบาฯ ที่เคารพ
ผมติดใจตรงคำที่ว่า "ค้ากำไรความรักเกินควร" นั่นแหละครับ เพราะผมเป็นคนแบบนั้นจริงๆ
บางทีเราอบรมนักเรียน ฟูมฟัก และขัดเกลาเขา เราก็คาดหวังว่า ความรักความเมตตาที่เรามีให้ น่าจะได้รับการตอบสนองจากเด็กๆ ทั้งหลายบ้าง ผ่านการสื่อสาร การพุดคุย ปรึกษาหารือ หรือฟังพวกแกเล่าเรื่องราวอะไรต่อมิอะไรก็ได้
ทั้งๆที่ผมก็ไม่ค่อยจะทำแบบนี้กับครูของผม หรือ พ่อแม่ของผมเลย ใช่ครับ ผมต้องเปลี่ยนพฤติกรมแล้วละครับ ต้องใช้การสื่อสารเชิงลึก จับเข่าคุยกับเด็กนักเรียนมากขึ้น จะค่อยไส่งให้น้อยลง และขัดเกลาตัวเองให้มากขึ้นครับ
ผมจะพยายามต่อไป ขอบคุณครับ
สวัสดีค่ะครูบาฯ เป็นข้อคิดที่สำคัญมาก "อย่าปล่อยให้ความโง่ลอยนวล" การที่รู้ว่ายังโง่อยู่ในเรื่องอะไรแล้วความรู้จะแก้ได้ ก็ต้องตั้งคำถามเป็นตั้งแต่แรกว่า เรายังไม่รู้อะไร หากรู้แล้วมันจะแก้ปัญหาให้เราได้อย่างไร แล้วต้องไปหาความรู้จากที่ไหน
ส่วนมากมักปล่อยให้ความโง่ลอยนวล เพราะไม่มีการมองเข้ามาในตัวเองแบบที่มีจิตอยากพัฒนาตน ครูบาอาจารย์คงทำหน้าที่แค่สอนอย่างเดียวไม่ได้ ต้องสร้างแรงบันดาลใจ และเหตุปัจจัย ที่จะให้ผู้เรียนรู้จักตั้งคำถาม หาไม่แล้วก็เข้าแนวเดิมคือ "โง่เข้ามา แล้วโง่ออกไป"
ตัวเองได้เรียนรู้พลังแห่งการเปลี่ยนแปลงที่มาจากการตั้งคำถามจากบรรดาปราชญ์ของแผ่นดินเช่นครูบาฯ นั่นเองค่ะ
ครูบาคะ
ชอบประโยคที่ว่า "การเริ่มต้นที่ใจ จะนำไปสู่การไว้วางใจ เชื่อใจ เห็นใจ รวมพลังใจเป็นหนึ่งเดียว แล้วจะเอายังไงกันก็ได้ จะชวนพัฒนาไปในทิศทางไหนก็ย่อมได้" เห็นด้วยอย่างมาก อย่างน้อยก็ใจรักในสิ่งนั้น สุขใจที่จะพัฒนา
สวัสดีครับ ครูบา
ผมเข้ามาขออนุญาติ นำข้อความดีๆบางตอนไปรวมใน http://gotoknow.org/blog/mrschuai/98057 ขออนุญาติครับผม
คำหนึ่งคำที่อยากกล่าวมากที่สุด? ขอขอบคุณครูบาสุทธินันท์ อ.อุทัย อ.พันดา อ.ประสงค์..(ทรัพย์)และพี่กิ่งคนเก่ง ที่ช่วยให้กบได้ออกนอกกะลา ผมอาจจะทะลึ่งไปนิดแต่ก็น่ารักครับ