จากบันทึก ภาค 5 ในที่สุดก็ถึงภาคจบซะที อิอิ
เช้าวันที่ 18 ต.ค. 52 เราตื่นกันแต่เช้าเพื่อจะเก็บบรรยากาศทะเลหัวหินค่ะ แต่รอกันไปรอกันมา พระอาทิตย์รีบขึ้นก่อนที่พวกเราจะเดินไปถึงชายหาดซะแล้ว 555
แอบเห็นเมฆกระต่ายน้อยด้วยนะคะเนี่ย ต้องรีบรายงานพี่ชิวซะแร้วววว 555
เราเดินกันไปเรื่อยๆ เพื่อที่จะข้ามไปถ่ายรูปกะเรือลำนั้นค่ะ อิอิ ระหว่างทางเดินเราพบกับสิ่งนี้ แมงกะพรุนค่ะ ตัวนึงตายแล้ว อีกตัวยังมีชีวิต แต่คิดว่าคงได้รับบาดเจ็บด้วยค่ะ พวกเราเลยช่วยกัน CPR เอ้ย!! ม่ใช่ค่ะ ช่วยกันหาวิธีให้น้องแมงกะพรุนกลับลงทะเลไปได้เหมือนเดิม แต่ดูเหมือนจะช่วยไม่ค่อยได้เท่าไหร่ เนอะ เฮ้อ!!! สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
รูปนี้สังเกตน้องหมาให้ดีนะค้า 555 แย่งซีนกันเห็นๆ
หุหุหุ ลอยเลยเป็นไงล่า...555
เห็นภาพครอบครัวใหญ่ๆใส่บาตรริมทะเลแบบนี้รู้สึกดีจังเลยนะคะ
ในที่สุดพวกเราก็ตัดสินใจลุยน้ำข้ามมาที่เรือลำนั้นจนได้ค่ะ เย้!!!
โดดหมู่ 555
รูปนี้โดดเดี่ยวค่า ^___^
หัวหินจริงๆนะคะ อิอิ
ในที่สุดเรือลำนี้ก็เป็นของพวกเรา 555
"สุมหัว" อิอิ
เมื่อเราถ่ายรูปกันจนเต็มอิ่มแล้ว ท้องก็ชักจะเริ่มหิวซะแล้วค่ะ เมนูเช้านี้เราฝากท้องกันที่ 7/11 ค่า
แล้วก็ออกเดินทางกันต่อจุดหมายต่อไปคือวัดห้วยมงคลค่ะ เป็นที่สุดท้ายของทริปนี้ที่เราจะแวะนะคะ ใกล้จะได้กลับบ้านแล้ว อิอิ
วัดห้วยมงคล...เป็นที่ประดิษฐานรูปเหมือน หลวงปู่ทวดองค์ใหญ่ที่สุดในโลก แต่เดิมใช้ชื่อว่า “วัดห้วยคต” ตั้งอยู่ในชุมชนบ้านห้วยคต ตำบลทับใต้ อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ต่อมาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชทานนามใหม่จากห้วยคต เป็น "ห้วยมงคล" ค่ะ
ประวัติหลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด
หลวงพ่อทวด หรือ สมเด็จพะโค๊ะ มีนามเดิมว่าปู เป็นบุตรนายหู นางจัน วัน เดือน ปี เกิดของเด็กชายปู บ้างว่าเป็นเดือน 4 ปีมะโรง ตรงกับ พ.ศ. 2125 บ้างว่าปี พ.ศ. 990 ฉลู สัมฤทธิศก บ้างว่า พ.ศ. 2131 โดยอนุมาน เข้าใจว่าคงเป็นปลายสมัยมหาธรรมราชา อาจเป็นปี พ.ศ. 2125 หือ 2131 ตอนเด็กชายปูยังเป็นทารก มีเรื่องเล่าเป็นปฏิหาริย์เอาไว้ว่าหลังจากนางจันเลิกอยู่ไฟก็ออกเกี่ยวข้าวทันที วันหนึ่งนางไปเก็บข้าวก็เอาบุตรให้นอนในเปลใต้ต้นหว้างูบองสลาขึ้นมานอนบนเปลนั้น มารดา บิดาเห็นตกใจ งูก็เลื้อยหายไป แต่ได้คายแก้ววิเศษเอาไว้ให้ เมื่อเด็กชายปูอายุได้ 7 ขวบ บิดาได้นำไปฝากกับท่านสมภารจวงซึ่งเป็นพี่ชายของนางจันผู้เป็นมารดา (หลวงลุง) วัดกุฏิหลวง (วัดดีหลวง) เพื่อให้เล่าเรียนหนังสือ เด็กชายปูมีความเฉลียวฉลาดมากสามารถเรียนหนังสือขอมและไทยได้อย่างรวดเร็ว ครั้นอายุได้ 10 ขวบ ก็บวชเป็นสามเณรและบิดาได้มอบแก้ววิเศษให้เป็นของประจำตัว ต่อมาสามเณรปูได้ไปศึกษาต่อกับพระชินเสนที่วัดสีหยัง (สีคูยัง) ซึ่งเป็นพระอาจารย์ที่เชี่ยวชาญและมีชื่อเสียงมากมาจากกรุงศรีอยุธยา เมื่อได้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ได้เดินทางไปศึกษาต่อที่นครศรีธรรมราช ณ สำนักพระมหาเถระปิยทัสสี ต่อมาก็ได้เข้ารับการอุปสมบท มีฉายาว่า “ราโมธมฺมิโก” แต่คนทั่วไปเรียกว่า “เจ้าสามีราม” เจ้าสามีรามได้ศึกษาอยู่ที่วัดท่าแพ วัดสีมาเมือง และวัดอื่นๆอีกหลายวัด
เมื่อเห็นว่าการศึกษาที่นครศรีธรรมราชเพียงพอ จึงได้ขอโดยสารเรือสำเภาเดินทางไปกรุงศรีอยุธยา ขณะเดินทางถึงเมืองชุมพรเกิดคลื่นลมทะเลปั่นป่วนเรือไม่สามารถแล่นฝ่าคลื่นลมไปได้ ต้องทอดสมออยู่ถึง 7 วัน ทำให้เสบียงอาหารและน้ำหมด บรรดาลูกเรือจึงตั้งข้อสงสัยว่าการที่เกิดอาเพศในครั้งนี้เป็นเพราะเจ้าสามีราม จึงตกลงใจส่งเจ้าสามีรามขึ้นเกาะ ได้นิมนต์ให้เจ้าสามีรามลงเรือมาดขณะที่นั่งอยู่ในเรือมาดนั้นท่านได้ห้อยเท้าแช่ลงไปในน้ำทะเล ก็บังเกิดอัศจรรย์น้ำทะเลบริเวณนั้นเป็นประกายแวววาวโชติช่วงเจ้าสามีราม จึงบอกให้ลูกเรือตักน้ำขึ้นมาดื่มก็รู้สึกว่าเป็นน้ำจืดจึงช่วงกันตักไว้จนเพียงพอ นายสำเภาจึงนิมนต์ให้ขึ้นสำเภาอีก และตั้งแต่นั้นเจ้าสามีรามเป็นชีต้น หรืออาจารย์ของเจ้าสำเภาอิน สืบมา
อภินิหารที่ท่านสามีรามเหยียบน้ำทะเลจืดเป็นที่โจษขานมาถึงบัดนี้และเหตุการณ์ตอนนี้เล่าเสริมพิสดารขึ้นว่า ตอนแรกนายอินเชื่อมั่นว่าพระสามีรามเป็นกาลกิณีเรือจึงต้องพายุเพราะก่อนมาไม่เคยเป็น เมื่อคลื่นลมสงบจึงคิดจะเอาเจ้าสามีรามปล่อยเกาะ แต่ครั้นเห็นปาฏิหาริย์จึงขอขมาโทษ
ในยุคนี้และสมัยนี้ เกือบจะไม่มีชาวไทยคนใดเลย ที่จะไม่เคยได้ยินชื่อหรือได้ฟังกิติศัพท์เล่าลือเกี่ยวกับ ความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อทวด เหยียบน้ำทะเลจืด ความศักดิ์สิทธิ์อันนี้ บ้างก็เป็นเรื่องของความคลาดแคล้วจากอุบัติเหตุสยองจากไฟไหม้หรือจากภัยพิบัติ นานัปการ และหลวงพ่อทวดมิใช่จะคุ้มครองเฉพาะด้านอุบัติเหตุเท่านั้น แม้แต่ในทางโชคลาภ ก็ให้ผลอย่างดีที่สุด ดังที่ได้ประจักษ์แก่ผู้เลื่อมใสมาแล้ว
(คัดลอกจากเอกสารวัดห้วยมงคล ตำบลทับใต้ อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์)
ทราบประวัติคร่าวๆกันแล้ว ไปกันเลยค่ะ ตรงทางเดินไปที่ลานหลวงปู่ทวดค่ะ
ตรงทางเดินไปก็สวย ขอเก็บภาพไว้นิดนึง 555
สังเกตดู พบว่าที่นี่มีช้างเยอะจังเลยนะคะ ตรงนี้ก็น้องช้างพ่นน้ำ
ลอดท้องช้าง
มุมนี้ขอเล่าเล็กน้อยค่ะ คือเค้าจะมีการให้โยนเหรียญเข้าปากช้าง หนึ่งก็เลยโยนกะเค้าบ้าง โยนไปครั้งแรก เข้าปากช้างเลยค่ะ (นักบาสเก่าก็งี้อ่ะ 555 เอ้ย!! ไม่ใช่ค่ะ) แต่เหรียญมันกะเด้งออกมาตกลงบนพื้นค่ะ ทีนี้ไอ้เราก็เดินก้มหน้าก้มตาตามหาเหรียญที่ตกลงมาเพื่อจะเอามาดยนใหม่ให้เข้าไปอยู่ในปากช้าง แต่ทว่าขณะที่เอื้อมมือไปหยิบเหรียญที่ตกอยู่ที่พื้นนั้น .. ก็มีมือเล็กๆเอื้อมมาคว้าเหรียญตัดหน้าไปซะงั้น และมือเล็กๆนี้ก็ตามไปเก็บเหรียญที่หล่นลงมาทุกๆเหรียญค่ะ อารมณ์ประมาณลอยกระทงอ่ะค่า ที่พอลอยไปยังไม่ทันไรก็มีมือดีมาคว่ำกระทงเพื่อหาเงินในกระทงอ่ะค่า 555
มองเห็นความยิ่งใหญ่ขององค์หลวงปู่ทวดรึยังคะ
ทำบุญรับดอกไม้ธูปเทียนมาแล้ว ขึ้นกันไปเลยค่ะ
ตรงนี้ขอบอกว่าเค้ามีทองคำเปลวจัดให้หลายใบใช่ป่าวคะ อย่าลืมปิดทองให้ครบทุกองค์ใต้ฐานของหลวงปู่ทวดองค์ใหญ่นะคะ เดินรอบๆเลยนะคะ
เก็บภาพท้องฟ้าที่วัดห้วยมงคลมาฝากค่ะ
แดดแรงมากจริงๆค่ะ สังเกตผมหนึ่งเปียกเหมือนเพิ่งอาบน้ำสระผมมาเลยค่ะ อิอิ มุมนี้มีที่นั่งพักเย็นสบายค่ะ เราเลยพักหลบร้อนกันนิดนึง ด้วยการแอ๊คชั่นถ่ายรูปกันอีกแร้วววว 555
อีกซักหลายรูป 555
เดินมาอีกหน่อยเป็นศาลาเจ้าแม่ตะเคียนทองค่ะ
เจ้าแม่ตะเคียนทองทริปนี้เราเจอที่วัดโพธิ์ปรกด้วยค่ะ
อืม..ตากล้องคงหิวจนมือสั่นค่ะ หรือไม่ก็เป็นพาร์กินสัน ภาพเลยเบลอๆ 555
ออกจากวัดห้วยมงคลก็มุ่งหน้าสู่กทม.กันเลยค่ะ
เป็นไงบ้างคะทริป จากอัมพวา .. ถึงเพลินวาน ไปแค่ 3 วัน แต่เล่ายาวถึง 6 ภาคด้วยกันทีเดียวค่า 555 จบเอาดื้อๆแบบนี้เลยนะคะ
นี่ค่ะ...ตอนนี้ชอบภาพนี้มาก...ดูดู๋...แต่ละคนซะ....อิอิ
ภาพนี้ก็มัน...ฮ่าๆๆๆ
มาอีกแล้วค่ะน้องหนึ่งขา...พี่ๆ กะว่าจะไปอุดร (งานแต่งน้องเดย์) 15 พ.ย. 52 จะมาชวนน้องหนึ่งอีกคน นี่ค่ะข้อความของพี่สุ ว่าไงตอบด้วยนะคะ
น้องครูอรวรรณ ตกลงพี่สุไปด้วยนะคะ งานแต่งงานน้องเดย์ ที่โรงแรมบ้านเชียง ไม่รู้อยู่ทางไหน ไปถามเอาข้างหน้า เป็นวันอาทิตย์ว่างอยู่แล้ว เขาเริ่มงาน 6 โมงเย็นคะ เราไปซักบ่ายหนึ่งบ่ายสอง แต่พี่สุจะถามคือ จะมาแวะบ้านพี่สุไหม ที่อำเภอกระนวน เราไปทางกุมภวาปี มันเป็นทางลัดไปอุดรคะ จะมานั่งรถกับพี่ ก็มาหาที่บ้าน หรือจะไปรถคนละคัน ก็แล้วแต่นะคะ พี่สุจะนั่งรถจิ๊บแคริบเบียน มันคล่องมือ และคล่องทางดี ไม่เอาเก๋งไป เพราะกลัวที่จอดแออัด เลี้ยวออกเลี้ยวเข้า มันไม่ทันใจกลัวมันบุบบู้บี้คะ
ตกลงเอาอย่างไร บอกผ่านทางเมลย์ก็ได้นะคะ เบอร์โทรศัพท์พี่ก็เคยให้ไว้แล้ว
ตกลงว่าไปนะคะ เดี๋ยวจะไปบอกน้องแดง บอกคนอื่นๆด้วยคะ มีอะไรบอกได้นะคะ
เมลย์ [email protected] ได้เลยคะ คนดี ไปหละ เย้วๆๆๆๆจะได้พบกันอีกแล้ว
พี่หนึ่ง
สามล่ะไม่เข้าใจเวลาlog in ทำไม ต้องพิมพ์ ฟหกด
ก่อนทุกครั้งเลยเนี่ย
เป็นการตรวจสอบว่า คนไทยหรือป่าวใช่ป้ะคะ หรือตรวจสอบทักษะ การพิมพ์สัมผัสของสาม
ซึ่งก้อแน่นอน สามใช้จิ้มดีด ไม่ได้พิมพ์ พริ้วไหวแต่อย่างใด
จะว่าไปพี่หนึ่งก้อเก็บรายละเอียดในการท่องเที่ยวได้ดีทีเดียว
หรือแอบมาsearch ข้อมูลเพิ่มเติม บอกมานะ
เพราะว่าเท่าที่ สังเกต ตอนเที่ยวอ้ะ
ถ่ายรูปอย่างบ้าคลั่งเลยนี่นา อิอิ อ้ะล้อเล่น
แต่ช่วงตอนโยนเหรียญเข้าปากช้างอ้ะ
สามโยนสามครั้งถึงจะลงอย่างสวยงาม
ตอนแรกก้อกะจะslam dunk แต่เกรงจะไม่งาม ก้อเลย โยนแบบที่คนอื่นๆเค้าทำกัน
แต่ก้อพบว่าเหรียญไม่ได้เด้งไปไหนไกล แต่เด้งมาปะทะกับหน้าผากบ้าง มือบ้าง
เหมือนหลวงปู่ทวดจะพยายามใช้ปริศนาธรรมให้สามคิดและพยายามใช้สติและปัญญาในการโยนเหรียญ
และสามก้อเดินลอดท้องช้างผิดด้วย
ซึ่งถ้าคุณป้าคนข้างๆไม่วิ่งกรี๊ดมาเตือน
ก้อคง วิ่งลอดท้องช้างด้วยความเร็ว 120kmต่อชม ไปแว้ว(เนื่องด้วยอากาศที่ร้อนเหลือเกิน)
อืม แต่ก้อถือเป็นประสบการณ์ดีๆที่น่าจดจำ
ไว้โอกาสหน้าเราไปเที่ยวกันอีกนะพี่สาว
(เอิ่มเม้นท์ซะห่างเหิน) ปกติก้อไปทุกทริปนี่เนอะ ^__^
สวัสดีค่ะอาจารย์ขจิต
เรื่องงาน ขอบคุณมากๆๆเลยค่า ^___^
ใช่แล้วค่ะ ที่นี่หลวงปู่ทวดองค์ใหญ่ที่สุดในประเทศเลยค่ะ
ยังไงมีโอกาสเมื่อไหร่แวะไปเที่ยวได้นะคะ
เห็นเค้าบอกว่าถ้าไปหน้าหนาวจะมีทุ่งทานตะวันด้วยค่ะ คงสวยน่าดูเลยค่ะ
สวัสดีค่ะพี่ครูอรวรรณ
ขอบคุณค่า อิอิ
เรื่องถ่ายรูปนี่ไม่มีใครยอมใครจริงๆค่า 555
ส่วนเรื่องไปงานแต่งน้องเดย์เหรอคะ ได้เลยค่ะ
โรงแรมบ้านเชียงหนึ่งรู้จักค่ะ พี่ครูอรวรรณจะมายังไงคะ
ให้หนึ่งไปรับป่าวคะ
อ่ะนะคะคุณน้องสามขา...
เม้นยาวกว่าบันทึกได้ไงค้า 555
พี่ก็คิดว่างั้นนะ
ถ้าไม่ใช่คนไทยเนี่ย สงสัยจะเข้า G2K ไม่ได้จริงๆ 555
เรื่องถ่ายรูปอย่างบ้าคลั่งนี่เป็นกันทั้ง 5 คนมิใช่เหรอค้า อิอิ
แบบว่า ภาพมันฟ้องอ่ะนะค้าคุณน้องขา 555
อ่านะ ก็ไปด้วยกันทุกทริป อิอิ ทำเป็นๆๆ
ปล.เมื่อไหร่จะเขียน บันทึกซักทีล่ะคะคุณน้อง รออ่านๆๆๆนะจ๊ะ
อาจารย์ขจิตคะ
หนึ่งบังคับสามแล้วค่ะ
สามบอกว่าของงี้ต้องสร้างอารมณ์ค่ะ ถึงจะเขียนได้ 555
แต่หนึ่งคอนเฟิร์มว่าสามเป็นนักเขียนที่มีพรสวรรค์มากๆค่ะ
เขียนบันทึกเมื่อไหร่เป็นอันแจ้งเกิดแน่ๆๆ อิอิอิ
หนึ่งบอกสามให้แล้วค่าว่ารีบเขียนบันทึกด่วน
เรื่องเปิดเทอมหนึ่งเปิดเทอมเสาร์นี้ล่ะค่า
เครียดเล็กน้อยกะ thesis งือๆๆๆ
ขอบคุณน้องหนึ่งมากครับ นี่ขนาดเครียดนะเนี่ย ฮ่าๆๆๆๆๆๆ
อิอิ เครียดค่าเครียด อิอิ
ของเค้าแรงจริงๆค่าอาจรย์ขจิต
หุหุหุ ดูสิคะสามเป็นตากล้องให้หนึ่งถ่ายสองครั้งเบลอสองครั้ง 555
แอบเล่านิดนึง คือพอหนึ่งถ่านรูปตรงต้นตะเคียนต้นนี้เสร็จ เราก็ผลัดกันมานั่งถ่ายรูปที่เดียวกันนี่ล่ะค่ะ
แล้วแอ๊คชั่นเราก็จะคล้ายๆกันคือจับ หรือ ชี้บริเวณที่เห็นในรูป
พอเราไปกันยังไม่ทันออกจากศาลา ก็มีคนเข้ามามุงดูตัวเลขบริเวณนี้กันเต็มเลยค่า อิอิ
เสียดายตอนเราแอ๊คชั่นถ่ายรูปทามมายไม่เห็นเลขน้อ 555
อาจารย์ขจิตคะ
สนใจค่ะๆๆๆ แต่ว่าจะทำได้รึเปล่าไม่แน่ใจ แหะๆ
คงต้องเรียนรู้อีกเยอะเลยค่ะ
ขอบพระคุณมากๆค่า ^___^
วิวสวยทุกรูปเลยนะ ครับ
น่าไปเที่ยวมากๆ
เห็นแล้วอยากไปเลยซะตอนนี้(แต่ติดอย่าเดียวไม่มีตัง)
อยากไปมั้งจังพี่Hana ถ้ามีโอกาสพาผมไปหน่อยนะครับ 555+
ทั้งอัมพวา ทั้งเพลินวานเลย ยังไม่มีโอกาสได้ไป ^^
สวัสดีค่ะ นาย ก่อเกียรติ ( กอล์ฟ ) พงศ์พันธุ์
อิอิ ใช่ค่ะ พี่ว่านะคะ เที่ยวเมืองไทยไม่ไปไม่รู้ค่ะ
ช่วงนี้จะเห็นได้ว่าพี่จะเก็บตัวเงียบๆ ไม่ไปเที่ยวไหนอีกหลายเดือนแล้วจ้า
อ้างว่าทำ thesis แต่เหตุผลเจงๆนั้น เพราะตังค์หมดแย้ววว เหมือนกัน 555
สวัสดีค่ะน้องเอิร์ท
จะไปจริงๆป่าวคะ พี่กะลังจะได้ไป OD ที่ปราณบุรี เพลินวาน และอัมพวาค่ะ
เป็นกิจกรรมของศูนย์มะเร็งอุดรฯจ้า
มี 2 รุ่น รุ่น 1 ไปช่วง 24-26 กพ.นี้
ส่วนพี่จะได้ไปรุ่น 2 ช่วงวันที่ 3-5 มี.ค.นี้จ้ะ อิอิ