ความจริงทางการศึกษาที่ปัญหานั้นแก้ไม่ได้


ทุนทางร่างกาย ทุนทางจิตใจ ทุนความรู้ ทุนปัญญาที่ได้ร่ำเรียนมา ก็ถูกเจียด ถูกเบียดบังไปจากการจัดการเรียนการสอน เพื่อไปร่างแผน ไปทำเอกสาร ในการวางมาตรฐานอุดมศึกษาของ "อนาคต"

การคิดว่าปัญหานั้นได้ การวางร่าง วางแผนก็เป็นแบบหนึ่ง แต่ถ้าหากยอมรับว่าปัญหานั้นแก่ไม่ได้ ความรู้สึกนี้ก็จะนำไปให้เข้าใกล้กับแนวทางที่จะแก้ไขปัญหาอย่างแท้จริง

การยอมรับว่าทำอะไรไม่ได้นั้น จะทำให้เราสามารถกลับมาสำรวจ "กำลัง" ที่แท้จริงของตนเอง ว่าตอนนี้ปัญหานั้นเป็นอย่างไร กำลังที่เรามีนั้นสามารถจัดการกับปัญหาได้มากน้อยสักเพียงไหน

แต่ถ้าหากว่าเรายังติดอยู่กับคำว่า แก้ได้ แก้ได้ เมื่อนั้นเราก็ยังคงติดอยู่กับความฝัน ฝันที่จะต้องสรรหา ไขว่คว้า ทุ่มเททรัพยากรในอนาคต แล้วหวัว่าสิ่งที่เราจะได้มาในอนาคตนั้นจะสามารถแก้ไขปัญหาได้

เมื่อเราอยู่กับความหวังในความฝัน เราก็จะหลงลืม พลั้งเผลอการแก้ไขปัญหาในปัจจุบัน

เพราะอย่าลืมว่า เด็กนักศึกษาที่กำลังเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยในวันนี้เป็นคนจริง ๆ ไม่ใช่ "ตุ๊กตา" เราจะมาหวังอย่างเดียวไม่ได้ว่าอีกห้าปีหรือสิบปีข้างหน้ามหาวิทยาลัยจะมีคุณภาพจะดีอย่างแท้จริง

เพราะทุกวันนี้มหาวิทยาลัยไม่ได้ปิด ไม่ได้หยุดรอกระบวนการผลิตนั้น

ถ้าเราหวังแต่ว่าจะไปพัฒนาอนาคต แล้วเด็กที่กำลังเรียนอยู่นี้ก็จะถูกทิ้งให้ร่อแร่

อาจารย์มักจะถูกดึงจากห้องเรียนที่เป็นความจริงในปัจจุบันให้ไปประชุมเพื่อไปสร้างความฝันในอนาคต

ทุนทางร่างกาย ทุนทางจิตใจ ทุนความรู้ ทุนปัญญาที่ได้ร่ำเรียนมา ก็ถูกเจียด ถูกเบียดบังไปจากการจัดการเรียนการสอน เพื่อไปร่างแผน ไปทำเอกสาร ในการวางมาตรฐานอุดมศึกษาของ "อนาคต"

หากเรายอมรับปัญหาว่าปัญหาการศึกษานี้แก้ไม่ได้ เราก็จะกลับมาตั้งหน้า ตั้งตาสอนนักศึกษาให้มีคุณภาพกัน

ทุ่มเทแรงกาย แรงใจ สติ ปัญญาสอนนักศึกษากันร้อยทั้งร้อย

ฐานแห่งความมั่นทางการศึกษามาจากห้องเรียน ห้องเรียนที่มีครูและนักเรียนอยู่ด้วยกัน

วันนี้ครูของเราเดินออกจากห้องเรียนเพื่อไปห้องประชุมมากน้อยแค่ไหน เวลาของอาจารย์ที่จะทำงานเอกสารแล้วต้องวางการวางแผนการนั้นมีมากน้อยเพียงใด

การยอมรับปัญหาเพื่อจัดสรรทรัพยากรให้กับลูกศิษย์ในปัจจุบันจึงเป็นหนทางที่จะสร้างความฝันในวันนี้ให้เป็นจริง...


ที่มาจากบันทึก เงินกับทิศทางทางการศึกษา

หมายเลขบันทึก: 342242เขียนเมื่อ 6 มีนาคม 2010 07:35 น. ()แก้ไขเมื่อ 15 เมษายน 2012 02:55 น. ()สัญญาอนุญาต: ไม่สงวนสิทธิ์ใดๆจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

...เรื่องครูติดประชุม..ไม่มีการเรียน..เห็นมากใน รร.นอกกรุงค่ะ...(ถามเด็กว่าทำไมไม่ไปเรียน..ครูติดประชุม..เจ้าค่ะ)

อาจารย์มักจะถูกดึงจากห้องเรียนที่เป็นความจริงในปัจจุบันให้ไปประชุมเพื่อไปสร้างความฝันในอนาคต

ดูเหมือนว่า ความจริงมันเป็นอะไรที่ยอมรับได้ยากจังเลยนะคะ ณ ปัจจุบันเรามักจะถูกผลักดันด้วย ระบบและสิ่งแวดล้อมให้ทำสิ่งต่าง ๆ ขณะที่จิตใจเราไม่เข้มแข็งพอ เราจุรู้สึกว่าถูกบีบคั้นให้ทำสิ่งต่าง ๆ ให้ทันเวลา ให้ตามเวลาโดยเฉพาะการจัดประชุมและเอกสารต่าง ๆ การคลุกอยู่กับสิ่งเหล่านี้ ทำให้เราขาดโอกาสในการ ทำงานอย่างเต็มที่ ทำหน้าที่รองมากกว่าหน้าที่หลัก ผลที่ปรากฏออกมาก็เลย เป็นเช่นนี้แล

ปัญหาที่สำคัญที่สุดในชีวิตนี้ก็คือ "ปัญหาที่ไม่รู้ว่าปัญหามันคืออะไร...!!!"

เช่นเดียวกับการแก้ไขปัญหาที่ยากที่สุด ก็คือ เราไม่ยอมรับว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่นั้นมันเป็น "ปัญหา"

การจะแก้ไขปัญหาได้นั้น คือ เราจะต้องยอมรับสิ่งที่เรากำลังจะแก้ว่าเป็นปัญหา

คนเรานั้นไม่รู้จักยอมรับปัญหา จึงได้แต่ตั้งตา ตั้งหน้าทำอะไรต่ออะไรกันไปเรื่อย

การยอมรับความจริงจึงเป็นจุดเริ่มต้นของการแก้ไขปัญหาที่แท้จริง

สำหรับยอมรับว่าแก้ปัญหาไม่ได้นั้น ไม่ใช่เรื่องของการยอมแพ้ ท้อถอย หรือว่าจะงอมือ งอเท้าแล้วไม่ทำอะไรเลย

แต่การยอมรับว่าปัญหานั้นแก้ไม่ได้ จะทำให้เราเริ่มวิเคราะห์ให้ลึกหรือแยกส่วนออกไปได้ว่าอะไรที่แก้ได้ และอะไรที่แก้ไม่ได้

เมื่อเราสามารถแบ่งกลุ่มปัญหาออกได้อย่างชัดเจน เราก็จะสามารถเรียงลำดับความสำคัญของปัญหาก่อนและหลังได้อย่างถูกต้อง

เมื่อเรารู้ว่าอะไรแก้ได้ ด้วยทรัพยากร คน เงิน กำลังที่มี เราก็พึงที่จะใช้ทรัพยากรที่มีอยู่นั้นแก้ปัญหาที่แก้ได้ก่อน

แต่ถ้าหากเรายังดิ้นหัวชนฝาว่าอะไรก็แก้ได้ แก้ได้ เราก็จะทุ่มเททรัพยากรลงไปอย่างกระจัดกระจาย ซึ่งมิต่างอะไรกับการตำน้ำพริกแล้วละลายลงในแม่น้ำ

การทำใจให้ยอมรับสถานการณ์ของปัญหาจุดเป็นสิ่งสำคัญที่ทุก ๆ คนต้องเริ่มทำเป็นจุดแรก ค่อย ๆ แก้ปมปัญหาไปทีละเปาะ ทีละเปาะ ตามกำลัง ตามแรงที่มี

"ต้องเอากำลังใจก่อน"

การแก้ปัญหาด้วยคนหมู่มากนั้น ถ้าหากจะหวังการแก้ปัญหาทั้งระบบ ต้องใช้เวลานานมากจึงจะเห็นผล เมื่อทำไปนานเข้า นานเข้า คนทำก็ท้อ เพราะไม่ได้เห็นหัว เห็นหาง หรือเห็นผลงานที่ทำไปสักที

ดังนั้น จะต้องเอากำลังใจจากความสำเร็จเล็ก ๆ นั้นค่อย ๆ หลอมรวมกันเป็นพลังที่จะสางปมการศึกษาในภาพใหญ่

การแก้ไขปัญหาแบบ "บนลงล่าง" คือการแก้ไขจากนโยบายลงมาสู่ผู้ปฏิบัตินั้น เราก็แก้กันมาหลายสิบปีแล้ว คนทำเขาก็ท้อแท้กันหมดแล้ว หากแต่จะทำแบบเดิมนั้น ก็รังแต่จะให้เกิดความเบื่อหน่ายในจิตในใจของผู้ปฏิบัติมากขึ้น

การให้ปุ๋ยทางใบกับต้นไม้ที่ระบบรากไม่แข็งแรง ก็รังแต่จะสร้างภาระครั้นเมื่อต้นไม้ใหญ่ขึ้น หรือโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อลมพายุโถมกระหน่ำ

แต่การลงไปแก้ไขปัญหาใต้ดินนั้น ผู้บริหารการศึกษามักไม่ชอบ เพราะไม่เห็นดอก ออกผล กล่าวคือ "ไม่เห็นผลงาน" จับเนื้อ ต้องตัวไม่ได้ สู้ไปฉีดใบ เร่งดอก แล้วเกิดผลงานใหม่ ๆ ตามวาระของตนที่ได้ดำรงอยู่จักดีกว่า

การแก้ไขปัญหาในวันนี้จึงกล่าวได้แต่เพียงว่า ต้องการคนที่ "เสียสละ" อย่างแท้จริง

เสียสละผลประโยชน์ส่วนตัวเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม

ถ้าหากแวดวงการศึกษามีหัวหรือผู้นำดี เป็นคนดี เป็นคนเสียสละ ขึ้นมาทำงานในวาระเต็ม ๆ สักวาระหนึ่ง เราน่าจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีกว่านี้มาก

เมื่อได้ผู้นำดี ผู้นำคนนั้นจะเห็นคุณค่าของรากฝอยน้อย ๆ อย่างพวกเรา ที่จะคอยหล่อเลี้ยงและสร้างความมั่นคงให้กับลำต้น

ต้นไม้คือการศึกษาไทยนี้คงไม่ต้องมองไปถึงรากแก้ว เพราะรากแก้วของบ้านเรานั้นไม่ดี ถูกตัด ถูกตอนไปหมดแล้ว

เพราะคนไทยเหยียบย่ำภูมิปัญญาการศึกษาของไทย เมื่อล้าหลัง ไม่ทันสมัย

เราไปปักชำ ตอนกิ่งการศึกษามาจากเมืองนอก การศึกษาบ้านเราจึงไม่มีรากแก้ว มีแต่รากฝอยน้อย ๆ กระจัดจายหาอาหารอยู่ในพื้นดินที่แตกระแหง

ไส้เดือน กิ่งกือที่จะมาช่วยพรวนดินให้ก็ไม่ค่อยจะมี

คอยที่ถือจอบ ถือเสียบมาพรวนดินให้ก็จ้างมาทำงานแบบรายวัน พรวนรู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง บางคนแทนที่จะช่วยให้ดินดีขึ้น กลับไปตัดรากฝอยน้อย ๆ ออกซะหมด คนทำงานดี ๆ ก็ท้อแท้ ปล่อยให้แต่วัชพืชที่เกาะกินน้ำเลี้ยงของลำต้นเจริญเติบโต

หรือนักการศึกษาบางคนเห็นความสำคัญของรากฝอย ก็ได้แต่นำวิตามินเร่งรากมารดให้ อัดฉีดเงินเข้ามา แต่ไม่อัดฉีดปัญญาให้กับคนดูแลสวน คนดูแลสวนก็รดปุ๋ยใหญ่เลย รากเน่าหมด

เน่าเพราะผลประโยชน์มันท่วม ทำโน่นก็ได้เงิน ทำนี่ก็มีเงิน เงินจึงมาล้างจริยธรรมคุณธรรมในหัวใจ

แทนที่จะชอนไชออกไปหาอาหารยังที่ไกล ๆ เพราะสร้างรากฐานคือความแข็งแรงให้ต้นไม้ ก็กลับงอมือ งอน้ำ รอปุ๋ยอยู่ใต้โคนต้นเนี่ยแหละ เดี๋ยวก็มีคนมาใส่ให้ ออกไปไกลเดี๋ยวเข้าใส่ไม่ถึง

ก็ไม่ถึงจริง ๆ คนที่เจริญเติบโตได้ในทุกวันนี้ส่วนใหญ่ก็เป็นคนที่อยู่ใกล้นาย "ใกล้มากมีสิทธิมาก..."

ส่วน "ครู" แท้ ๆ ที่อยู่ "ไกลปืนเที่ยง" นั้นก็ได้แต่รอฟ้า รอฝน รอผลจากที่คนในเมืองนั้นตัดป่าไม้ไปทำเฟอร์นิเจอร์ แล้วฝนจะตกลงมาได้จากที่ไหน ตกลงมาก็มีแต่มลพิษ ครูดีในชนบทจึงต้องอยู่กันตามมีตามเกิด ถ้าอยากเข้าเมืองก็ต้องดิ้นรนเข้าหาผู้ใหญ่ที่ใหญ่ ๆ กัน

ระบบของสังคมไทยเป็นแบบนี้แล้ว เราจะแก้ไขอย่างไร จะให้คนดีต่อสู้ไปแล้วผู้ใหญ่ก็มีแต่ "น้ำคำ" ที่คอยให้กำลังใจกันหรือ

ต้องทำอะไรให้เป็นรูปธรรมกันหน่อยมั๊ง...!!!

เม็ดเงินที่อัดฉีดลงมา ก็เข้ามหาวิทยาลัยใหญ่ ๆ เกินครึ่ง (เกือบทั้งหมด) 

ครูเล็ก ครูน้อย ครูประถม ครูมัธยม ก็ต้องคอยฟ้า คอยฝนจากอาจารย์มหาวิทยาลัย (ใหญ่ ๆ)

ครูน้อย ๆ เขาก็มีชีวิต มีครอบครัว ต้องดิ้นรน ขวนขวาย จะไปโทษเข้าก็ไม่ได้ที่เขาจะต้องทำตำแหน่งเพื่อ "เอาชีวิตรอด"

เมื่อชีวิตของบุคลากรทางการศึกษาเป็นมากกว่า Double Standard จะไปหวังอะไรที่จะให้การศึกษาไทยพัฒนาในทางที่ดีขึ้น

ถ้าดีก็จะดีแต่ระดับบน ที่มีฟ้า มีฝน พร้อมทั้งเทศบาลอัดฉีด "น้ำเงิน" ลงมาให้

แต่ครูส่วนใหญ่ทั้งประเทศต้องอดอยาก ตรากตรำ พอเขาไปกู้ก็ว่า "ครูสร้างหนี้" ก็คนไม่มีจะให้ทำอย่างไร...?

ปัจจุบันเรามุ่งหวังกับอาจารย์มหาวิทยาลัยกันมาก ทั้งเงินค่าสอน ค่าตำแหน่ง งบประมาณการวิจัย แถมยังมีค่าตรวจผลงานทางวิชาการของครูประถมและมัธยมเข้าไปอีก ทำให้ชีวิตสบาย ๆ เพราะมีรายได้แบบทับถม

คนที่สบายมาก มักดิ้นรนและขวนขวายน้อย คนที่ดิ้นรนน้อย สมองก็ใช้เพื่อการพัฒนาชีวิตน้อย ความสบายในชีวิตนี้เองจึงเป็นอุปสรรคสำคัญของการศึกษา

เมื่อสบายมาก ระบบสมองก็จะพัฒนาน้อยลงมากหรือแทบจะไม่พัฒนาเลย

และยิ่งความสบายมาผนวกกับกิเลสด้วยแล้ว ก็จะยิ่งทำให้สมองนั้นทำงานไปแต่ในทางที่เสื่อม คือ รู้จักแต่จะหาผลประโยชน์เพื่อซื้อความสบายให้ตนเอง

ถ้าแน่จริงต้องให้บุคลากรทางการศึกษา "ลำบาก" อย่างเสมอภาค มิใช่ให้โอกาสคนสบายมากดขี่คนที่ลำบาก

ครูที่ดีเป็นได้เพียง "ปูชนียบุคคล" ต้องอยู่บนหิ้งไม่มีสิทธิที่จะเป็นเดินห้าง

ถ้าผู้บริหารการศึกษายังไม่กระจายรายได้และอำนาจ ก็เป็นการยากที่จะพัฒนาระบบการศึกษาของไทย... 

        ไม่ใช่แต่อาจารย์ในมหาวิทยาลัยเท่านั้นค่ะที่ถูกดึงออกนอกห้องเรียน ครูในโรงเรียนประถมศึกษาซึ่งถือว่าเป็นครูที่ว่านอนสอนง่ายที่สุดก็ถูกดึงออกจากห้องเรียนเช่นกัน    ไม่ใช่จากการประชุม   การไปราชการหรือการอบรมเพื่อพัฒนาตนให้ครบชั่วโมงตามมาตรฐานการจัดการศึกษาเท่านั้น   การมอบหมายงานพิเศษต่างๆ ให้ครูมากมายทำให้ครูต้องเอาเวลาที่สอนเด็กนั่นแหละค่ะไปทำงานที่ได้รับมอบหมาย งานอะไรหรือค่ะ งานการเงิน งานบริหารวิชาการ งานธุรการ งานวิทยากรภายนอก (เพราะต้องสร้างความมาตรฐานให้กับตนเอง เพื่อประกอบการขอเลื่อนตำแหน่ง) ครูบางคนในหนึ่งเดือนไปราชการหลายวัน ครูที่อยู่ในโรงเรียนต้องสอนแทน ถามว่าถ้าครู 1 คน / 1 ห้องเรียนก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าอีกคนไปราชการ อีกคนที่เหลือก็กลายเป็นครู 1 คน / 2 ห้องเรียน แล้วคุณภาพที่ต้องการนั้นได้มาจากไหนค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท