ผมสังเกตว่า หนังสือ KM ของโนนากะเน้นที่เป้าหมายสุดท้ายที่ organizational knowledge creation ไม่ใช่หยุดอยู่แค่การสร้างความรู้จุกจิกเล็ก ๆ น้อย ๆ โดยที่เล่มแรกชื่อว่า "The Knowledge Creating Company. How Japanese Companies Create the Dynamics of Innovation" เล่มนี้ออกมาในปี 1995
เล่มที่ 2 ชื่อว่า "Enabling Knowledge Creation. How to Unloce the Mystery of Tacit Knowledge and Release the Power of Innovation" ออกมาในปี 2000
เล่มที่ 3 "Knowledge Creation and Management. New Challenges for Managers" 2006
เวลานี้วงการ KM ของประเทศไทยเข้าใจเรื่อง "ความรู้ฝังลึก" และการสร้างความรู้เล็ก ๆ โดยคนเล็กคนน้อย ดีทีเดียว แต่แค่นี้ไม่พอ ถ้า KM ไทยหยุดอยู่แค่นี้ก็จะขับเคลื่อนสังคมไทยได้ไม่มาก KM ประเทศไทยต้องก้าวหน้าไปในระดับ "สร้างความรู้ใหญ่" ที่เป็นระดับองค์กร ระดับชุมชนหรือสังคม
โชคดี ผมไปพบในหนังสือของโนนากะเล่มที่ 3 หน้า 268 เขียนเรื่อง Knowledge - Building ไว้สั้น ๆ แต่ให้หลักคิดเรื่องการสร้างความรู้ที่ลึกมาก ผมจึงสรุปกึ่งแปลมาฝาก
มีการสร้างความรู้ขึ้นภายในองค์กรหรือภายในบริษัทในภาพรวม เมื่อทุกหน่วยงานขององค์กรเกิดความเข้าใจใหม่ (new understanding) ความเข้าใจอย่างทะลุปรุโปร่งนี้อาจเกิดขึ้นโดยการกระทำอย่างเอาจริงเอาจังเพื่อเรียนรู้เรื่องบางเรื่อง เช่น ผ่านการทดลองหรืออาจเป็นผลพลอยได้จากกิจกรรมที่มีเป้าหมายอย่างอื่น
ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้แบบใดก็ตาม ต้องการ feedback และความสามารถในการประเมินผลลัพธ์ของการกระทำนั้น แม้ว่าประสบการณ์และทางเลือกเปิดโอกาสให้มีการเรียนรู้ แต่ความรู้ที่แท้จริงจะเกิดขึ้นเมื่อมีการทบทวนไตร่ตรอง (reflection) และการทำความเข้าใจเชิงนามธรรม (abstraction) เท่านั้น
ความรู้ใหม่เกิดขึ้นเมื่อสมาชิกขององค์กรเกิดความเข้าใจเชิงเหตุผลระหว่างการกระทำ (โครงการ การปฏิบัติงาน) กับผลที่เกิดขึ้น เมื่อความเข้าใจของปัจเจกมีการแลกเปลี่ยนกับเพื่อนร่วมงาน ก็จะเกิดเป็นเครื่องมือเรียนรู้ด้วยตนเองหรือเรียนรู้ร่วมกันในกลุ่มผู้ร่วมงาน วิธีการลองผิดลองถูกแบบนี้บางกรณีอาจไม่ถูกต้อง แต่เมื่อเวลาผ่านไป มีการสั่งสมประสบการณ์มากเข้าก็จะรู้กันเองว่าวิธีการใดใช้ได้ วิธีการใดใช้ไม่ได้ และเกิดเป็น "บันทึกคู่มือปฏิบัติการเรื่อง..." ขึ้น
คู่มือนี้ บอกผู้ปฏิบัติว่าจะต้องทำอย่างไรในบริบทที่แตกต่างกัน ถ้ามีความชัดเจนมาก เราเรียก "คู่มือ" ถ้ายังไม่ค่อยชัดเจนเราเรียก "แนวทาง" มาตรฐานการปฏิบัติงาน (Standard Operating Procedure) เป็นตัวอย่างของคู่มือที่แสดงความรู้ที่ชัดเจน การมีความรู้ที่ชัดเจนเช่นนี้จะทำให้องค์กรสามารถตอบสนองต่อโอกาสหรือสิ่งท้าทายได้ดีขึ้น
ตัวอย่างจริง
บริษัท Dr. Reddy's Laboratories ในอินเดีย ผลิตยาชื่อสามัญ (generic drug) ต้องการขยายกิจการเข้าตลาดโลก แต่ติดที่กฎหมายสิทธิบัตร ได้ศึกษาช่องทางข้อยกเว้นทางกฎหมายว่าด้วยสิทธิทางปัญญาของสหรัฐ แล้วทดลองฟ้องศาลเพื่อต่อสู้ให้มีสิทธิผลิตยาชื่อสามัญออกจำหน่ายได้ เมื่อประสบผลสำเร็จในตัวยาหนึ่ง ก็ขยายการต่อสู้ไปยังยาตัวอื่น ๆ จนเกิดความรู้ความเข้าใจและทักษะทางกฎหมาย เพื่อต่อสู้กับกฎหมายสิทธิบัตร
ในกรณีตัวอย่างนี้ เป็นการสร้างความรู้เกี่ยวกับการต่อสู้กับกฎหมายสิทธิบัตรในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นความรู้ระดับ "ความเป็นความตาย" ของบริษัท Dr. Reddy's Laboratories
Ref. Bala Chakravarthy & Sue McEvily. Knowledge Management and Corporate Renewal. ในหนังสือของโนนากะ เล่มที่ 3 หน้า 254 - 274.
วิจารณ์ พานิช
3 มิ.ย.50
ผมมารับงาน KM ของโรงพยาบาล เราก็คุยกันหลายอย่าง และกำหนดเป้าหมายของการทำ KM ของโรงพยาบาลไว้ ๓ ข้อคือ เพื่อให้เจ้าหน้าที่มีความรู้ที่เหมาะสมใช้ เพื่อให้มีการถ่ายทอดความรู้ระหว่างเจ้าหน้าที่ และผู้เกี่ยวข้องมีความสุข
สิ่งที่เป็นเป้าหมายใหญ่อันดับแรกคือการสร้างแนวปฏิบัติที่ห้องฉุกเฉินโรงพยาบาลเพราะเป็นจุดเสี่ยงที่สุดจุดหนึ่งใน รพ. เนื่องจากผู้ปฏิบัติงานเป็นมือแรก จะมีประสบการณ์การทำงานน้อย ความรู้ที่จะสร้างที่นี้จึงเป็น explicit knowledge เมื่อสร้างไปก็จะประเมินผลจากความรู้สึกของผู้ใช้ และผลการรักษา และให้ข้อมูลย้อนกลับแก่กลุ่มงานต่างๆ เพื่อให้มีการปรับปรุงคลังความรู้นี้ ทั้งในด้านคุณภาพความเหมาะสมของแนวทางปฏิบัติ และความครอบคลุมโรคต่างๆให้มากขึ้น จนมือใหม่ทำงานได้อย่างดีและสบายใจ
ส่วนเป้าหมายการถ่ายทอดความรู้ ประสบการณ์ทักษะระหว่างเจ้าหน้าที่ จะเป็นการถ่ายทอดระหว่างผู้ทำงานเช่นการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย, ระหว่างผู้มีประสบการณ์มากกับผู้อ่อนประสบการณ์
เป้าหมายความสุขเป็นอะไรที่จะมีนวัตกรรมหลากหลายออกมา
บทความนี้ของอาจารย์ช่วยให้สามารถอธิบายสิ่งที่เราจะทำกันได้ง่ายขึ้นเลยครับ
ความรู้ใหม่เกิดขึ้นเมื่อสมาชิกขององค์กรเกิดความเข้าใจเชิงเหตุผลระหว่างการกระทำ (โครงการ การปฏิบัติงาน) กับผลที่เกิดขึ้น
คู่มือนี้ บอกผู้ปฏิบัติว่าจะต้องทำอย่างไรในบริบทที่แตกต่างกัน ถ้ามีความชัดเจนมาก เราเรียก "คู่มือ" ถ้ายังไม่ค่อยชัดเจนเราเรียก "แนวทาง"
ได้แนวทางปฎิบัติที่เป็นรูปธรรม เห็นภาพชัดขึ้นมาก ขอบคุณคะ