วันนี้..คุณกราบเท้าคุณพ่อคุณแม่หรือยัง ?


ถ้ายัง รีบ ๆ ไปกราบตั้งแต่ตอนนี้ จะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจในภายหลัง ถ้าคุณกราบท่านไม่ทัน :)

ผมสอนหนังสือในมหาวิทยาลัยมาจะครบ 4 ปี ซึ่งถือว่า น้อยมาก เมื่อเทียบกับครูหลาย ๆ คน ที่มีโอกาสเข้ามาอ่านบันทึกนี้

ผมเลือกจะทำหน้าที่ในการเป็นครูให้ได้ดีที่สุด

"คนเป็นครู" ไม่ใช่สอนแต่หนังสือ ให้แต่ความรู้ ... "คนเป็นครู" ต้องสอนให้เด็กรู้จักผิดชอบชั่วดี รู้จักตนเองว่า สิ่งใดเป็นสิ่งที่ดีงาม สิ่งใดเป็นสิ่งที่ไม่ดี ไม่ควรเข้าใกล้

 

ในปีแรก ๆ ของการสอน ผมถือว่า เป็นครูที่ใหม่ต่อเทคนิควิธีการสอน ดังนั้น ผมจึงสอนโดยมุ่งไปที่ "ความแม่นยำ" ของเนื้อหาในวิชาที่รับผิดชอบ

ในปีที่สอง ที่สามของการสอน ผมมองเห็นอะไรหลายสิ่งที่นักศึกษาที่เขามี เขาเป็น เขาแปลก มีพฤติกรรมหลาย ๆ อย่างที่เป็นเรื่องไม่ถูกต้องในสายตาของผม

 

ยกตัวอย่าง เช่น

  • การสูบบุหรี่เป็น สูบไปเรื่อยอีกต่างหาก ดูเหมือนมันจะดูเท่ห์ .. หรือ
  • ตกเย็น วันว่างเสาร์-อาทิตย์ ก็นั่งกินเหล้ากับเพื่อน ๆ ด้วยความที่คิดว่า มันดูดี มีชาติตระกูล แสดงความร่ำรวย มีเงินมีทองมาเลี้ยงเพื่อนฝูง หรือ เอาเงินพ่อแม่มาแชร์ค่าเหล้ากับเพื่อน .. หรือ
  • เวลาเรียนก็เอาตัวรอดจากการเรียนโดยการลอกแบบฝึกหัดเพื่อน ลอกข้อสอบเพื่อน ไม่ต้องคิดเอง สบาย ๆ คิดว่า แค่นี้ก็จบแล้ว หรือเอาเปรียบเพื่อนในการทำงานกลุ่ม โดยการให้แต่เงิน แต่ตัวเองไม่ช่วยเหลือเพื่อน ๆ ในกลุ่ม
  • หายออกจากบ้านไปอยู่กับเพื่อน โดยไม่ยอมบอกพ่อแม่ พ่อแม่ต้องตามหากันจ้าล่ะหวั่น
  • ติดยาบ้า ค้ายาบ้า ถูกตำรวจจับก็มีหลายคน
  • การท้องก่อนแต่ง ท้องในวัยเรียนก็มี (แต่ไม่เปิดเผย)
  • อีกมากมาย ฯลฯ

 

ประมาณปลายปี 2549 .. ผมได้นั่งดูรายการตีสิบ คุณวิทวัส สุนทรวิเนตร ได้เชิญคุณหมอนักพูดท่านหนึ่งมาสัมภาษณ์ในหัวข้อว่า "พูดอย่างไรคนถึงได้ร้องไห้เป็นร้อยเป็นพัน"

คุณหมอท่านนั้น คือ พ.อ.นพ.พงษ์ศักดิ์ ตั้งคณา .. นอกจากเป็นนักพูดแล้วยังดำรงตำแหน่ง "รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์" อีกด้วย

การสัมภาษณ์คุณหมอใช้เวลาออกอากาศถึง 2 ครั้ง .. ก่อนมานั่งดูตอนนี้ ผมได้มีโอกาสดูโฆษณาก่อนแล้ว บังเอิญช่วงนั้น เครื่องคอมฯ ที่บ้านผมได้ติดตั้ง TV TUNER and Capture Card พอดี แต่เสาอากาศใช้เสาหนวดกุ้งอยู่ ผมสามารถบันทึกรายการนี้ได้ แต่ความชัดเจนยังไม่ค่อยชัดมากนัก พอดูได้

 

เรื่องราวและเนื้อหาที่คุณหมอได้บรรยายนั้นเป็นเรื่องปัญหาที่เกิดกับวัยรุ่นทั้งหมด ยกตัวอย่าง เช่น

  • ปัญหาการสูบบุหรี่
  • ปัญหาการดื่มสุรา
  • ปัญหาการเสพยาเสพติด
  • ปัญหาการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควร
  • ปัญหาการทำแท้ง
  • ความกตัญญูต่อพ่อแม่

 

ถ้าคุณอ่านมาถึงตรงนี้จะเห็นว่า อุ้ย เป็นเรื่องธรรมดา ครูที่โรงเรียนเขาก็สอนกัน

แต่ .. อย่าเพิ่งคิดอย่างนั้นครับ ถ้ายังไม่ได้ดูจริง ๆ

การเปลี่ยนพฤติกรรมที่ไม่ดีของนักเรียนเป็นเรื่องยากในสมัยนี้ครับ เนื่องจากยุคนี้มีสิ่งเร้าที่ไม่ดีเกิดขึ้นมากมาย การห้ามโน้นห้ามนี้มากเกินไป เด็กเขาจะไม่ฟังครับ

ภูมิคุ้มกันที่ดีที่สุด คือ เกราะที่จะอยู่ในตัวเองครับ

ครู หรือ พ่อแม่ ต้องสร้างเกราะให้เขา ที่ตัวเขา ...

ตอนหนึ่ง คุณหมอกล่าวว่า "เด็กเดี๋ยวนี้ เขาเกเร เขาดื้อ ถ้ามีใครมาบอกให้เขาเปลี่ยน เขาไม่ยอมเปลี่ยนหรอก แต่ถ้ามีคนที่มีเหตุผลดีกว่ามาพูดให้ฟัง แล้วเขาเชื่อ เขาจะเปลี่ยน ... เหมือนหน้าเขาเปื้อนดินหม้อ ถ้ามีคนมาบอกว่า หน้าเธอเลอะดินหม้อนะ เขาไม่เชื่อหรอก แต่ถ้าเรายกกระจกขึ้นให้เขาส่อง เขาเห็นหน้าเขาเลอะ เขาจะเช็ดดินหม้อออกเอง"

 

จากการดูผ่านไป 1 รอบ ... ทำให้ผมค้นพบว่า คำพูดที่คุณหมอได้กล่าวไว้นั้น เป็นจริง ... คุณหมอเลือกใช้วิธีการพูดโน้มน้าวใจ บวกกับ สื่อวีดิทัศน์ที่แสดงถึงโทษจริง ๆ ... เวลาเราพูด เราต้องพูดให้หัวเราะก่อน หลังจากนั้น เราจึงพูดให้ร้องไห้ เมื่อร้องไห้แล้วเด็กจะเปลี่ยนพฤติกรรม น้ำตาที่ไหล คือ น้ำตาแห่งความดี ความกตัญญู ... นี่คือ หลักการของคุณหมอ

 

ซึ่งตรงกับหลักการสอนของผมพอดีว่า ผมมักจะไม่ชอบสอนแต่เนื้อหา ความรู้เท่านั้น แต่ผมชอบสอดแทรกคุณธรรม จริยธรรม การดำเนินชีวิตที่ดีให้เด็กเขาไปด้วย แต่ผมเองก็ได้แต่สอน แต่ผลที่ได้ ผมยังประมาณเอาเองว่า ร้อยละ 5 เท่านั้นที่ฟังผม แล้วเปลี่ยนพฤติกรรมที่ไม่ดี

 

เมื่อผมค้นพบ การออกอากาศของคุณหมอ ... ผมจึงอยากทดลองใช้ "วีดิทัศน์การบรรยายของคุณหมอพงษ์ศักดิ์" ว่า ผลการใช้เป็นสื่อสอดแทรกคุณธรรม จริยธรรม จะเป็นอย่างไรบ้าง ?

 

ผมใช้สื่อนี้มาแล้ว 1 ปีการศึกษา .. นักศึกษาที่ใช้ทุกห้องที่ผมสอน มีทั้งนักศึกษาภาคปกติ ระดับปริญญาตรี นักศึกษาผู้ใหญ่มีงานทำแล้วจากระดับประกาศนียบัตรบัณฑิต นักศึกษาผู้ใหญ่ ครูสอนเด็กเล็กของมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต เป็นต้น ประมาณได้ว่า น่าจะสัก 1,000 คนใน 1 ปีนี้

 

วิธีการใช้สื่อของผม คือ

  1. นำเข้าสู่บทเรียนว่า วันนี้ผมจะฉายเทปรายการตีสิบนะ วิทยากรคือใคร เวลาดูให้ตั้งใจฟัง ตั้งใจดูอย่างไร เวลามีภาพหวาดเสียว อย่าหลบตา ใหตั้งใจดูดี ๆ เวลาเครียด อย่ากดปากกา (พฤติกรรมนี้ ผมนั่งสังเกตอยู่) ฯลฯ
  2. ผมจะแจ้งแบบทดสอบให้เขาไว้เขียน .. ผมจะแจ้งว่า แบบทดสอบนี้ ให้เขียนได้หลังจากดูเทปรายการนี้ เสร็จแล้ว แต่ระหว่างการชม ถ้าใครต้องการ Note อะไร ให้เขียนด้านหลังแบบทดสอบได้
  3. แล้วผมจะเปิด Notebook ผ่าน LCD Projector เหมือนฉายภาพยนตร์สักเรื่อง ประมาณ 1 ชั่วโมง
  4. ระหว่างการชม ผมจะสังเกตพฤติกรรมของพวกเขา หัวเราะ ร้องไห้ ปกปิดอารมณ์ ทำเป็นคุยกับเพื่อน
  5. เมื่อเทปรายการจบ ก็ให้ลงมือเขียนแบบทดสอบ โดยผมจะแจ้งว่า ให้นักศึกษาเขียนจากความรู้สึกแรกหลังจากที่ดูจบ เป็นความรู้สึกจากหัวใจจริง ๆ ส่วนเนื้อหาความรู้ครูไม่ค่อยสนใจ ... ส่วนใหญ่จะใช้เวลาเขียนอย่างน้อยครึ่งชั่วโมง
  6. ผมจะทำการตรวจแบบทดสอบ ดูว่า เขามีความตระหนัก หันมามองตัวเอง ทำความรู้จักตนเองมากขึ้นไหม ผมเรียกมันว่า "ความตระหนักรู้" เขายอมรับไหมว่า เขาได้ร้องไห้ ซาบซึ้งจริง โดยไม่โกหก หรือเสแสร้ง ... ถ้าพบว่า เขามี ผมจะให้คะแนนเขามาก ถึง เกือบเต็ม และคะแนนนี้คือส่วนหนึ่งของวิชาผม มีผลต่อเกรดในวิชาที่ผมสอนทุกวิชา เพื่อให้เขาตั้งใจดู ตั้งใจเขียน (เป็นเทคนิคครับ)

 

ผลของการใช้สื่อ

  • จากการอ่านงานของนักศึกษาเป็นพันคน ผมพบว่า ... นักศึกษาทุกคนเกิดความตระหนักรู้เกิดขึ้นจริง ๆ โดยมาจากงานเขียน การเสแสร้ง การโกหก ผมเชื่อว่า ผมไม่พบ
  • คนที่ไม่ให้ความสนใจมาก จะเขียนออกมาในรูปของการมุ่งไปที่เนื้อหา เขียนสั้น ๆ เขียนไปเรื่อย แบบนี้มีไม่มาก เหมือนพวกบัวขึ้นมาจากน้ำตมนิดหน่อย หรือไม่ก็เป็นลักษณะของการปกปิดอารมณ์ ไม่อยากให้ใครได้รู้ว่า คิดอะไรอยู่ ก็มี
  • ส่วนคนที่ให้ความสนใจนั้น จะเขียนตามที่รู้สึกจริง ๆ ถึงแม้ว่า การเรียบเรียงเนื้อหาของบางคนยังไม่ค่อยดีนัก เนื่องจากการขาดทักษะการเขียน แต่ผมเชื่อว่า เขารู้สึก และตระหนักรู้จริง ๆ
  • ยิ่งไปกว่านั้น บางคนเขียนเลยว่า หนูดู แล้วหนูร้องไห้ออกมา หนูคิดถึงพ่อกับแม่หนู ถ้าออกมาแบบนี้ คือ เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของผมแล้ว

 

เดี๋ยวผมจะเอาข้อเขียนของนักศึกษาที่เพิ่งดูไป 1 คนนะครับ (ดูเมื่อวันที่ 8 ก.พ.51 นี้เอง)

 

เป็นข้อเขียนของนักศึกษาผู้หญิงคนหนึ่งที่เรียนกับผม ลายมืออาจจะอ่านยากไปหน่อย เขียนผิดหลายที่ แต่นั่นไม่ใช่เป้าประสงค์ของผม ผมให้คะแนนงานชิ้นนี้ เต็มครับ .. จากความตระหนักรู้ที่เกิดขึ้น

ผมจะลองยกตัวอย่างออกมาให้บางคำบางประโยคนะครับ เพื่อท่านอ่านไม่ออกในข้อเขียนที่ยกมานี้

 

" ... ดิฉันเป็นคนหนึ่งที่ได้รับจากแม่ โดยไม่มีพ่อ แม่ของดิฉันเลี้ยงดิฉันกับพี่สาว น้องสาว มาด้วยตัวเอง ท่านเป็นที่รักของพวกเรา ถึงแม้ว่า ตอนที่ท่านมีชีวิตอยู่ พวกเรายังไม่ได้ดูแลท่าน ดิฉันรู้สึกเสียใจมาตลอด ดิฉันคิดเสมอว่า ทำไมท่านไม่อยู่กับเราให้นานกว่านี้ให้เราได้ตอบแทนท่านบ้าง เหมือนกับที่ท่านเคยให้เรา แต่มันคงจะเป็นไปได้ยาก ... "

" ... การดูวีดิทัศน์การคลอดลูก ดิฉันเป็นคนหนึ่งที่ร้องไห้ เหมือนกับการได้บรรยายจากพระรูปหนึ่งเหมือนกับคุณหมอ ... "

" ... การที่คนเราจะก้าวหน้าได้นั้น เราต้องเป็นคนที่รักพ่อแม่ ใครที่กราบเท้าพ่อแม่นั้นจะประสบกับความเจริญ รุ่งเรือง ดิฉันเป็นคนหนึ่งที่ไม่เคยกราบเท้าแม่ให้แม่เห็น เพราะดิฉันเป็นคนขี้อาย แอบกราบตอนท่านหลับเท่านั้น และได้กราบอีกครั้งตอนที่ท่านเสียชีวิตแล้ว มันเป็นอะไรที่ดิฉันรู้สึกว่า ไม่ยุติธรรม ดิฉันยังไม่ได้ทำอะไรให้ท่านดีใจ หรือมีความสุขเท่าไหร่ แต่คนเราจะคิดได้ก็ต่อเมื่อสายไปแล้วเท่านั้น ... "

 

เป็นอย่างไรบ้างครับ ... อ่านความรู้สึกของลูกศิษย์ผมคนนี้ รู้สึกเหมือนผมไหม .. มีอะไรมาจุกอยู่ที่อก พูดอะไรไม่ออก ... แบบนี้เขาตระหนักรู้หรือยังครับ ?

 

ผมเก็บแบบทดสอบนี้ไว้เกือบทั้งหมด คืนไปไม่กี่คน ... เพราะผมอยากเผยแพร่ให้เห็นว่า การสอนแบบนี้ มันมีผลต่อการรู้จักตนเอง ความมีคุณธรรม จริยธรรมของเด็กเอง เขาคือ อนาคตของชาติ ถ้าเขาคิดได้เร็วเท่าไหร่ ประเทศเราก็จะพัฒนาเร็วเท่านั้น สังคมก็จะมีแต่ความสงบสุข

ผมเชื่อว่า ... นี่เป็นวิธีการสอนที่ดีที่สุดของผม ตั้งแต่ผมสอนหนังสือมา .. ผมไม่สอนแต่เนื้อหาความรู้หรอก ผมต้องสอนสิ่งเหล่านี้ด้วย .. ครูที่เก่งจริง ต้องสอนให้เด็กเป็นคนดี ครับ

 

" ... ไม่มีใครเปลี่ยนใครได้ นอกจากเขาจะเปลี่ยนตัวของเขาเอง ... "

 

อีกตัวอย่างที่จะฝากท่านลองอ่านดูจากหนังสือไทยรัฐออนไลน์ ครับ เป็นผลจากการดูวีดิทัศน์เรื่องนี้เหมือนกัน

" สอนใจวัยรุ่น (http://www.thairath.co.th/news.php?section=entertainment05&content=18999) "

 

อืมม ... ผมมีเรื่องประทับใจอยู่เรื่องหนึ่งเหมือนกันครับ จากการทำ Research ส่วนตัวแบบนี้

 

นักศึกษาที่เป็นคนไทยภูเขาคนหนึ่ง เล่าให้ฟังในข้อเขียนของเขาว่า "แม่เขา เป็นคนอ่านหนังสือไม่ออก เวลาเขากลับบ้านไป แม่จะหยิบหนังสือพิมพ์มาให้เขา แล้วบอกว่า ช่วยอ่านให้แม่ฟังหน่อย ในทุก ๆ เช้า แต่เขาอ่านไปอย่างงั้น ๆ แบบไม่เต็มใจ เพราะรำคาญ และอยากออกไปเล่นข้างนอกเร็ว ๆ"

และเขาเล่าให้ฟังต่อว่า "แต่หลังจากที่ดูวีดิทัศน์ที่อาจารย์นำมาให้เขาดูแล้ว เขาสัญญากับตัวเองว่า ต่อไปนี้ เขาจะอ่านหนังสือพิมพ์ให้แม่ฟังทุกเช้า แม่เลี้ยงเขามาได้ทั้งชีวิต กับแค่อ่านหนังสือพิมพ์ให้แม่ฟังแค่นี้เขาทำไมจะทำไม่ได้"

 

It's TRUE. ครับ มันเป็นเรื่องจริงที่เกิดจากการดูวีดิทัศน์ของคุณหมอพงษ์ศักดิ์นี้ ครับ

 

มันเป็นความซาบซึ้งใจส่วนตัวครับ .. ยิ่งอ่านข้อเขียนของเด็กเหล่านี้ ทำให้ผมมีกำลังใจในการสอน "คน" มากขึ้นครับ มันช่วยเติมความรู้สึกดี ๆ ให้เต็มหัวใจครับ

 

บุญรักษา ทุกท่านนะครับ ...

 

วันนี้ คุณกราบเท้าพ่อกับแม่ของคุณหรือยังครับ  ถ้ายัง รีบ ๆ ไปกราบตั้งแต่ตอนนี้ จะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจในภายหลัง ถ้าคุณกราบท่านไม่ทัน :) 

 

หมายเหตุ : ผมขอเปลี่ยนชื่อเรื่องจาก "ผมสอนให้เด็กเกิดความตระหนักรู้ ด้วย วีดิทัศน์ของคุณหมอพงษ์ศักดิ์ ตั้งคณา" เป็น "วันนี้..คุณกราบเท้าคุณพ่อคุณแม่หรือยัง ?"

 

หมายเลขบันทึก: 167128เขียนเมื่อ 24 กุมภาพันธ์ 2008 19:02 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 18:48 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (23)

เห็นด้วยค่ะว่า "คนเป็นครู" ไม่ใช่สอนแต่หนังสือ ให้แต่ความรู้ ... "คนเป็นครู" ต้องสอนให้เด็กรู้จักผิดชอบชั่วดี รู้จักตนเองว่า สิ่งใดเป็นสิ่งที่ดีงาม สิ่งใดเป็นสิ่งที่ไม่ดี ไม่ควรเข้าใกล้  และ ครูที่เก่งจริง ต้องสอนให้เด็กเป็นคนดี

อ อาจองจึงเคยเขียนบทความที่ทำให้ต้อมเขียนบันทึก ต้องปั้นเด็กดีมากกว่าเด็กเก่ง

แต่ก็ต้องยอมรับว่า ไม่ได้เป็นสิ่งง่ายที่จะทำให้คนมีจิตสำนึกมากขึ้นหรือมีทัศนคติที่ดีขึ้น  เพราะเป็นสิ่งที่จะต้องปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กอยู่ในท้อง  แต่นั้นก็ไม่ได้หมายความ คนเป็นครูไม่ควรทำอะไร   ก็ยังควรทำอยู่ แต่ก็ทำเท่าที่ทำได้  แต่ทำอย่างไรจึงจะได้ผลดี ให้เขาเห็นเอง และคิดเองได้ก็น่าจะเป็นวิธีที่ดีค่ะ

 

 

มายกมือค่ะ ว่ารักแม่มาก  กราบเท้าแม่แล้วแต่มักจะกราบที่ตักมากกว่า  แต่กว่าจะนึกได้...มีที่มาค่ะ

ที่พี่หนิงเรียนพยาบาลนั้นแรกๆโดนบังคับให้เรียน  ขัดใจมาก..โกรธพ่อและแม่  (บาปๆ )

เรียนที่วิทยาลัยพยาบาลศรีมหาสารคาม  ปิดเทอมปีหนึ่งก็ได้ฝึกงานที่โรงพยาบาลขนาด 10 เตียง  ได้มีโอกาสช่วยเหลื่อพี่พยาบาลประจำการเฝ้าคลอด  ทั้งๆที่ตอนนั้นก็แค่เด็กอายุ 16 จบมัธยมปลายมาแค่ปีเดียว  ความรู้เรื่องการคลอดอะไรก็ยังไม่มีค่ะ  พิ่งเรียนแค่การตั้งครรภ์ ( ฮา... )

ปรากฏการณ์ในการช่วยคลอดครั้งนั้นติดตาพี่หนิงมาก 

โอ้...พระเจ้า  ข้างในห้องคลอดมีแต่เลือด คาว  เสียงร้องเจ็บปวด  ทรมาน...ของแม่  ส่วนข้างนอกห้องคลอดก็พบความกระวนกระวายของพ่อและญาติๆ ( มาเต็มคันรถ )

แต่พอเด็กอุแว้  ออกมา...ทุกคนยิ้ม  โลกสดใส  แม่เด็กเหมือนลืมความทรมานไปเลย

เป็นมหัศจรรย์ในชีวิตของพี่หนิงค่ะ  จากนั้นมาพี่จะไม่ค่อยดื้อไม่ค่อยซน  ถือว่าเป็นความโชคดีของพี่มากที่ได้เรียนพยาบาล  ได้ศึกษา สัจจธรรมของชีวิต  เกิด แก่ เจ็บ ตาย  เหล่านี้เพราะพ่อกับแม่ได้ให้โอกาสพี่เรียนรู้

เรียนพยาบาลไปยิ่งรู้ว่า  ได้มีโอกาสเกิดนั้น  บุญเท่าไหร่แล้ว  บางคนพ่อกับแม่ไม่ให้เกิดด้วยซ้ำ   แต่จะว่าไปการเกิดอ่ะ ชิวๆ  เพราะตอนลูกเจ็บป่วย  พ่อ-แม่ ป่วยยิ่งกว่าค่ะ  

รักพ่อกับแม่มากค่ะ

เขียนมาซะยาว  อิอิ in เนอะ

อยากจะบอกว่า...จบมาบรรจุปีแรก  พี่หนิงตำแหน่ง (จ) อยู่แผนกฉุกเฉินนะคะ  แต่ไม่รู้อะไร  ไปๆมาๆ พี่หนิงจะได้ทำคลอดฉุกเฉินซะมากกว่า 555  ดวงพาไป  จนได้เข้าไปประจำห้องคลอด

  • สวัสดีครับ
  • สมัยที่ผมเรียนที่วลัยลักษณ์มีโอกาสฟังอาจารย์หมอพูดอยู่หลายครั้ง ชอบแนวคิดเกี่ยวกับครอบครัวของอาจารย์ครับ มีบทกลอนของอาจารย์อยู่บทหนึ่งเกี่ยวกับการจัดงานวันเกิดมีประโยคที่กินใจประโยชน์หนึ่งว่า"วัดเกิดเจ้าเกือบคล้ายวันตายแม่" ฟังทีเดียวขนลุกซู่เลยครับ นับแต่นั้นมาวันเกิดผมก็คือวันธรรมดาวันหนึ่งใน 365 วันครับ ไม่มีการเลี้ยงหรืออะไรพิเศษใดๆทั้งสิ้น ส่วนบทกลอนดังกล่าว จำทั้งบทไม่ได้แล้วครับ เพราะว่าเคยจดไว้นานมากแล้ว
  • ทุกวันนี้หากผมมีโอกาส ผมก็ยังนอนหนุนตักแม่เสมอ แม้จะไม่ค่อยแสดงความรัก แต่การไม่ทำให้พ่อแม่เสียใจและผิดหวังคือการแสดงความรักอย่างหนึ่งของผม
  • ขอบคุณครับ บันทึกดีๆบันทึกนี้

สวัสดีครับ อาจารย์ต้อม กานดา รุณนะพงศา สายแก้ว

  • ขออนุญาตเรียกชื่อเล่นของอาจารย์นะครับ เป็นกันเองดี แต่ถ้าอาจารย์ไม่อนุญาต ก็แจ้งให้ทราบนะครับ
  • เป็นครูด้วยหัวใจ เหนื่อยกว่า เป็นครูด้วยหน้าที่ ครับ
  • พ่อแม่สร้างลูกออกมา แต่ครูสร้างและสรรค์ลูกของเขาให้เป็นคนดี แต่ไม่จำเป็นต้องที่หนึ่งของสังคม ดีที่โหล่ก็ยังได้
  • ผมเห็นเคยครูที่ไม่ดีในทุกระดับชั้น ... คนอื่นอาจบอกเฉย ๆ แต่หัวใจผมไม่นับถือ คงได้มีโอกาสเล่าให้ฟังในบันทึกในอนาคตบ้างครับ
  • ครู ไม่ว่าจะอยู่วิชาชีพใด ก็คือ ครู ครับ ไม่มีสาย ไม่มีคณะ ไม่มีหน่วย ...
  • ขอให้กำลังใจ คุณครูที่ชื่อว่า กานดา นะครับ

ขอบคุณอาจารย์ครับที่แวะมาให้ความคิดเห็นนะครับ :)

สวัสดีครับ พี่ DSS "work with disability" ( หนิง )

  • คนทำงานใกล้ชิดกับการคลอด ... ย่อมเห็นสัจธรรมเรื่องนี้ก่อนใครครับ ... คิดได้เร็วจะเข้าใจสัจธรรมเรื่องนี้ได้ดี แต่คิดได้ช้า อาจจะไม่ทันกาล เหมือนกันครับ
  • ขอบคุณพี่หนิงจริง ๆ ครับที่ให้ความกรุณาผม เล่าเรื่องชีวิตของพี่หนิงให้ฟัง ดีจังเลยครับ
  • ขอให้บุญกุศลที่พี่หนิงได้ทำมาทั้งชีวิต ทำให้พี่หนิงมีความสุขมาก ๆ ครับ

บุญรักษา ครับพี่ :)

สวัสดีครับ คุณ สุดทางบูรพา

  • คุณ สุดทางบูรพา คือ กลุ่มคนที่มีโอกาสได้รับฟังคำสอนของคุณหมอพงษ์ศักดิ์ .. แสดงว่า คุณ สุดทางบูรพา สามารถครองตน มีกตัญญูตามที่คุณหมอได้สอนเอาไว้จริง ๆ ครับ
  • นั่นแสดงว่า ผมเลือกใช้สื่อนี้มาสอนเรื่องดี ๆ ให้กับเด็ก ๆ น่าจะมีโอกาสได้ผลสูงนะครับ
  • กลอนบทนั้น ดูเหมือน อาจารย์นภา สุวรรณธาดา จะเป็นผู้แต่งนะครับ คุณหมอจะใช้ประกอบการบรรยายด้วย ซึ่งผมมีอยู่นะครับ แต่ยังไม่ได้มาลงไว้ คงเป็นโอกาสหน้านะครับ
  • การแสดงความรักมีหลายวิธีการครับ แต่ความเขินอาย กระดากที่จะกราบเท้าพ่อแม่ บอกรักพ่อแม่ อาจจะเป็นอุปสรรคสำคัญที่จะทำให้ท่านได้ปลื้มใจและรับรู้ได้เร็วกว่าการกระทำใด ๆ .. ขออย่าให้สายเหมือนลูกศิษย์ผมเลยนะครับ
  • ขอบคุณครับที่แวะมาให้ความเห็นดี ๆ

บุญรักษา ครับ :)

สวัสดีอีกครั้งครับ คุณ สุดทางบูรพา

:) 

สวัสดีครับอาจารย์

ซาบซึ้งมากกับบันทึกนี้

ผมกราบพ่อแม่ กราบเท้าบ้าง กราบตักบ้าง กอดพ่อบ้าง กอดแม่บ้าง ตามโอกาสสมควร แต่ผมไหว้พ่อไหว้แม่ทุกครั้งที่เจอหน้า ตั้งแต่ประกอบวิชาชีพทนายความ เพราะจู่ๆก็เกิดความรู้สึกว่า ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลเป็นใครกันนะ ที่เราเจอหน้าแล้วเรายกมือไหว้เขาทุกวัน แล้วพ่อแม่เราเองทำไมเราไม่ไหว้ หรือเราโตแล้วเราไหว้พ่อไหว้แม่ต่อหน้าคนไม่ได้หรือไร ตั้งแต่วันนั้นมาจนเป็นอัยการผู้เชี่ยวชาญผมยกมือไหว้พ่อแม่ทุกครั้งที่เจอหน้าและจะลากลับบ้าน ครับ

สวัสดีครับ ท่าน อัยการชาวเกาะ :)

  • ขออภัยท่าน อัยการชาวเกาะ  ด้วยครับที่ตอบความคิดเห็นของท่านช้าเกินไป ...
  • ยินดีมากครับที่ท่านได้แสดงความคิดเห็นให้เป็นที่ประจักษ์ว่า ไม่มีใครสมควรแก่การกราบเท้าได้เท่ากับพ่อกับแม่ของเรา
  • ขอให้คุณแม่ของท่าน อัยการชาวเกาะ  หายจากโรคภัยไข้เจ็บเร็ว ๆ นะครับ ... ด้วยความห่วงใยครับ

ขอบคุณท่านมากครับ ขณะนี้สงสัยกำลังยุ่งกับงานต้อนรับกัลยาณมิตร Gotoknow อยู่นะครับ :)

สวัสดีค่ะอาจารย์

มิมยอมรับว่าพลาดบันทึกนี้ไปจริงๆ นั่งอ่านอยู่ 2 รอบ ระหว่างที่อ่านรู้สึกขนลุกค่ะ เพราะนึกถึงตอนที่เรียนปี 3 เคยมีโอกาสได้ไปนั่งชมคุณหมอพงษ์ศักดิ์มาพูด ที่โรงแรมท๊อปแลนด์ จังหวัดพิษณุโลก  ชวนเพื่อนไปก็ไม่มีใครไปด้วยเนื่องจากว่าค่าบัตร 300 บาทซึ่งตอนนั้นมันก็มากอยู่สำหรับนักศึกษาอย่างเราๆ จนแล้วจนรอดก็ได้เพื่อนไปดูด้วย 1 คนแต่ต้องจ่ายเงินให้เพื่อนครึ่งหนึ่งสรุปมิมต้องจ่ายไป 450 บาท เพื่อนจ่าย 150 บาท (คุ้มค่ามากค่ะกับเงินที่เสียไป) จำไม่ได้แล้วว่าตอนนั้นเป็นหัวข้ออะไรค่ะ (วางมีดหมอมาจับไมด์ ประมาณนี้ค่ะมิมก็ค่อนข้างจำไม่ได้) เกี่ยวกับพระคุณของแม่ คุณหมอฉายวีดีโอตอนแม่คลอดลูกให้ดู อาจจะเป็นอันเดียวกับที่อาจารย์พูดถึงในบันทึก

คุณหมอเก่งจังเลยค่ะที่สามารถพูดให้เห็นภาพได้จริงๆ เกี่ยวกับพระคุณของแม่ ทุกคนในฮอล์เงียบหมด บางคนแอบสะอื้น บางคนก็ร้องไห้โฮ บางคนถถึงกับเอามือปิดหน้าร้องไห้ ส่วนมิมก็จะเหลือเหรอค่ะ ร้องไห้เหมือนกัน

อีกครั้งหนึ่งเคยดูทางช่อง 5 ท่านพระมหาสมปองไปพูดเรื่องพระคุณพ่อแม่ให้นักเรียนอนุบาล 3 ฟัง โดยธรรมชาติของเด็กอนุบาล ก็จะซนไม่อยู่นิ่ง แต่เชื่อไหมค่ะ เด็กเล็กๆตัวนิดเดียวนิ่งมาก นั้งหลับตาฟังอย่างตั้งใจ ช่วงที่พระมหาสมปองพูดไปนั้นเด็กก็ร้องไห้ สะอึกสะอื้น เป็นไปได้อย่างไรค่ะว่าเด็กอายุเท่านี้จะเข้าใจสิ่งที่ท่านพูด มิมนั่งดูอยู่ก็อดกลั้นความรู้สึกตัวเองไม่อยู่จนต้องร้องไห้ไปกับเด็กๆ ยิ่งดูน้องๆสะอื้น ใจแทบขาดตาม

มิมเชื่อว่าที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะว่า สามัญสำนึกของคนเราที่มีอยู่ใต้ก้นบึ้งของหัวใจนั้นมันยังไม่ได้หายไปไหน มันยังคงอยู่ แต่ที่เห็นเด็กๆ สมัยนี้ไม่ค่อยรักพ่อแม่ ชอบทำให้ท่านเสียใจนั้น ก็เพราะขาดการกระตุ้นจากสังคมรอบข้าง อาจเป็นได้จากหลายสาเหตุ

หากเราช่วยกันกระตุ้นจิตใต้สำนึก หรือสามัญสำนึกของเด็กๆ  จะเรียกว่าอะไรดีค่ะ มิมก็ไม่แน่ใจ ก็น่าจะพอช่วยได้บ้าง แต่ต้องคอยกระตุ้นให้คิดกันบ่อยๆ อย่างให้มันเลือนหายไป

ถึงแม้ว่ามิมเป็นครูอาชีวะมาได้ไม่นานแต่ก็รับรู้เข้าใจสภาพปัญหาอยู่บ้างพอสมควร ด้วยที่เราเป็นที่ไว้ใจของนักเรียน โทรมาปรึกษาเข้ามาหาบ้าง ที่สะเทือนใจสุดๆ คือนักเรียนคนนี้ขาดเรียนวิชามิมประจำในชั่วโมงนี้จึงได้เรียกมาพบ แต่คำตอบที่ได้รับคือ หนูบอกตรงๆ นะคะว่าหนูท้อง ต้องไปตรวจท้องทุกวันอังคาร รู้ไหมค่ะว่าเป็นคำตอบที่มิมไม่เคยเตรียมใจไว้เลย นั่งตัวชา พูดอะไรไม่ออก จนต้องปล่อยให้เด็กกลับไปก่อนโดยที่ยังไม่ได้พูดอะไรกับเด็กสักคำ

ยาวเกินไปแล้วค่ะสำหรับคอมเม้นส์นี้ เท่านี้ก่อนนะคะ

ขอบคุณอาจารย์ค่ะที่แนะนำสิ่งดีๆ  เป็นกำลังใจให้กันและกันต่อไปค่ะ

ขอบคุณมาก น้อง มะขามอ่อน/ครูมิม  สำหรับการแลกเปลี่ยนความรู้สึกที่มีให้กันในบันทึกนี้ ...

คุณหมอพงษ์ศักดิ์ คนเดียวกันครับ ... อาจจะต่างกรรมต่างวาระกันไปบ้าง แต่เป้าหมายของคุณหมอคือ ประเด็นเดียวกัน

ผมนำมาประกอบการสอน สอดแทรกเรื่องคุณธรรม จริยธรรมของความเป็นคน ทำให้เกิดจิตสำนึกที่ดีมากขึ้น และพี่พบว่า นักศึกษาส่วนใหญ่ที่ได้ชม ล้วนแต่มีความรู้สึกเหมือน น้อง ครูมิม ตอนที่ได้ชมเช่นกันครับ คือ ความซาบซึ้งใจ และเปลี่ยนพฤติกรรมในทางที่ดีขึ้น

ยังคงมีงานของเด็กอีกหลายชิ้นที่รู้สึกประทับใจ แต่ยังเก็บไว้นำเสนอในคราวหน้าอีกครับ

ขอบคุณมาก ๆ เลย :)

เป็นบันทึกที่ มีคุณค่าจริงๆค่ะ สมัยคุณพ่อคุณแม่ ยังมีชีวิตอยู่ ก็ไปธุ ลานอน ทุกคืนค่ะ

แต่ต่อมา มีลูกๆหอมแก้มแม่ ก่อนนอนทุกคืน เป็นแม่ลูกที่รักกันมากค่ะ

ขอบคุณ พี่ Sasinanda  ...

ความกตัญญูเป็นเครื่องหมายของคนดี จริง ๆ ครับ :)

สวัสดีครับอาจารย์Wasawat Deemarn

  • ผมไม่ค่อยได้โทรพูดคุยกับพ่อแม่แม่สักเท่าไร
  • เพราะเวลาคุยกับท่าน ท่านมักจะขอให้ลาออก โดยเฉพาะแม่
  • ท่านเป็นห่วงการเดินทางลงพื้นที่ของผมครับ
  • ผมจึงไม่อยากโทรไป ให้ท่านเป็นห่วง
  • ส่วนมากจะโทรไปบอกพี่สะไภ้ว่า ผมสบายดี
  • และส่งความคิดถึง ถึงท่านตลิดครับ
  • ขอบคุณครับ

ขอบคุณ คุณ ครูข้างถนน  ... ที่ได้เล่าประสบการณ์ให้ฟังครับ :)

  • มาชื่นชมคุณครูกระดาษทรายอีกท่าน
  • บ้านเรามีครูดีๆๆอีกมากเลย
  • ทำไมไม่ทราบว่า
  • รัฐบาลมองไม่เห็น
  • ไม่เข้าใจ
  • อิอิๆๆ

ขอบคุณ อาจารย์ ขจิต ฝอยทอง ครับ ...

ผมยังไม่ใช่ "ครูดี" อ่ะ ...

ครูดีไม่ใช่คิดอย่างเดียว ต้องลงมือกระทำด้วยไงครับ

ผมน่ะ คิดเยอะ แต่ไม่ได้ลงมืออีกมากมาย สู้ความตั้งใจของอาจารย์ ขจิต ฝอยทอง  ไม่ถึงครึ่งครับ :)

ตั้งใจสอนไม่สนใจขั้นอยู่แล้น ครับอาจารย์ :)

ขอบคุณค่ะท่านอ. เสือ แม้จะอวยพรทางอ้อม .. เกินคาดหมาย :)

* กราบผ่านเสียงตามสายค่ะ เพราะเราอยู่ไกลกันค่ะ *

* แต่โทรถึงกันแทบทุกวันค่ะ โดยเฉพาะอี๋เป็นห่วงมากค่ะ

* ชื่นชม วิธีการสอนของท่านอ. ค่ะ  .. ขอบคุณด้วยจิตคารวะ

ขอให้อ. เสือ อารมณ์ดี๊ ดี ทุกวี่วัน ... เมืองเหนือเป็นไงบ้างคะ

 

ขอโทษด้วยครับ คุณ poo ... อวยพรทางอ้อมจริง ๆ ด้วยล่ะ

แค่อยากบอกอะไรบางอย่าง ซึ่งอนุทินไม่ใช่ห้องพูดคุย หาควรพูดกันตามตรงก็คงไม่ค่อยดีเท่าไหร่

"ความกตัญญู เป็นเครื่องหมายของคนดี" ครับ ...

วันเกิดไม่ต้องฉลองอะไรหรอก แค่กราบเท้าพ่อแม่พอแล้วครับ

ใครจับความรู้สึกว่าผมเป็นคนอย่างไร ก็คงจะทราบ ๆ เหมือนคุณ poo  นั่นแหละ

ถ้าไม่เข้าใจกัน ผมคงโดนด่าเละเทะตามเคย

ขอบคุณมาก สุขภาพแข็งแรงครับ

อากาศเมืองเหนือ ร้อนมาแล้ว 4 - 5 วัน หามีฝนตกไม่ กำลังแย่เชียวล่ะ :)

อะไรกันคะ มีใครบังอาจด่าอ.เสือเละเทะได้หนอ?

..

แต่ปูไม่ค่อยทราบ นะคะ .. คิดมากก็ปวดหมอง

" ... ไม่มีใครเปลี่ยนใครได้ นอกจากเราจะเปลี่ยนตัวของเราเอง ... "

..

อีกไม่กี่วัน น้องฟ้าคง โปรยปราย ให้ชื่นใจได้บ้างกระมังคะ

จริงๆ ก็หน้าฝนแล้วนะคะ ... อากาศปรวนแปร ..

..

ฝันดี ราตรีสวัสดิ์ ขอบคุณค่ะ

วันนี้วันที่2ส.ค.2553 คุณหมอพงศักดิ์ได้มาพูด รร. สารสิทธิ์พิทยาลัย เป็นการพูดที่ทำให้คนอย่างผมมีกำลังใจในการต่อสู้

กับการเข้ามหาลัยเป็นอย่างดีครับ ขอขอบคุณจากใจของเด็กตัวเล็กๆๆคนหนึ่งนะครับที่คุณหมอได้มาจุดประทีปในใจของผม

มีกำลังใจในการสู้อย่างไม่ท้อถอย และจะไม่คิดว่าคนอย่างเราทำไม่ได้หรอกผมล้มเลิกความคิดนี้อย่างสิ้นเชิงขอขอบคุณคุณหมอมากนะครับ ....

ขอแสดงความยินดีกับการเอาชนะจิตใจของตนเองได้ครับ น้อง ไม่แสดงตน ;)

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท