บันทึกที่ผ่านมา ท่าน ว.วชิรเมธี ได้นำเข้าสู่เรื่องของ "การตัดกรรมตามแนวพุทธ" (ตัดกรรมตามแนวพุทธ (๑) ... บทนำ ... (ว.วชิรเมธี)) , "ความหมายของกรรม" (ตัดกรรมตามแนวพุทธ (๒) ... ความหมายของกรรม ... (ว.วชิรเมธี)) และ "การให้ผลของกรรม" (ตัดกรรมตามแนวพุทธ (๓) ... การให้ผลของกรรม ... (ว.วชิรเมธี))
ตอนที่ ๔ นี้ ... แม้แต่ "พระพุทธองค์ยังทรงจำนนต่อกฎแห่งกรรม" เลย ... แล้วเจ้าพิธีเป็นใคร ?
ตัดกรรมตามแนวพุทธ (๔)
พระพุทธองค์ทรงจำนนต่อกฎแห่งกรรม ... (ว.วชิรเมธี)
การตัดกรรมเป็นสิ่งที่สามารถทำได้ แต่ต้องทำตามหลักการที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสสอน ไม่ใช่ตามที่ "เจ้าพิธี" บางคนสอนแล้วเก็บเงินค่าตัดกรรมเป็นสนนราคาแพง ๆ ตัดกรรมอย่างนั้น คนรับตัดกรรมรวยล้น แต่คนไปร่วมพิธีจะมีกรรมหนัก เพราะต้องหนักอกหนักใจกับเงินที่เสียไป บางรายไปยืมเงินคนอื่นมา พอทำพิธีเสร็จแล้วอาจจะสบายใจชั่วครู่ แต่ต้องทนก้มหน้ารับกรรมใหม่ คือ อาจกลายสภาพเป็นลูกหนี้ พลอยมีชีวิตที่ต้องตกอยู่ใต้อาณัติของคนอื่น หรือไม่ตัดกรรมเสร็จแล้วก็สบายใจ จึงรี่ไปสร้างกรรมชั่วอย่างใหม่ขึ้นมาอีก แล้วพอมีเวลาก็แวะมาให้พระเกจิอาจารย์ทำพิธีตัดกรรมเสียทีหนึ่ง
การทำพิธีตัดกรรมในทางหนึ่งจึงกลายเป็นส่งเสริมให้คนกล้าทำกรรมชั่วมากขึ้นอย่างไม่รู้สึกละอายชั่วกลัวบาป ซ้ำยังส่งเสริมให้คนเดินสวนทางพุทธจริยธรรมออกไปไกลอย่างน่าห่วง
การตัดกรรมอย่างนี้จะช่วยอะไรได้ หากพูดอย่างตรงไปตรงมา การไปตัดกรรมโดยผ่านการเข้าพิธีกับ "เจ้าพิธีทั้งหลาย" เป็นการเสียค่าโง่มากกว่าการทำตามหลักพุทธศาสนา และเป็นการสร้างกรรมมากกว่าการตัดกรรม ส่วนผู้รับทำพิธีทั้งหลายก็ได้ชื่อว่า ทำในสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ได้สอน
ในพระไตรปิฎก มีพระพุทธพจน์ยืนยันเรื่องคนที่พยายามหนีกรรม แต่สุดท้ายก็ไม่อาจหนีพ้น จำต้องยอมจำนนต่ออำนาจของกฎแห่งกรรมอยู่หลายแห่ง แห่งหนึ่งมีความว่า
ไม่ว่าบนท้องฟ้า
ไม่ว่าท่ามกลางมหาสมุทร
ไม่ว่าในหุบเขา
ไม่มีสักแห่งเดียว
ที่คนทำกรรมชั่วหลบลี้อยู่
จะหนีพ้นกฎแห่งกรรม
ในพุทธประวัติ ท่านเล่าเรื่อง พระเจ้าวิฑูฑภะ กษัตริย์กรุงสาวัตถี แคว้นโกศล ยกทัพไปราวีกรุงกบิลพัสดุ์อันเป็นบ้านเกิดเมืองบิดรของพระพุทธองค์อยู่ถึงสามครั้งสามครา กว่าจะตีกรุงกบิลพัสดุ์ให้ราบเป็นหน้ากลองได้ก็ต้องใช้เวลาอยู่นานพอสมควร ที่ใช้เวลานานไม่ใช่เพราะว่ากรุงกบิลพัสดุ์มีแสนยานุภาพที่เหนือกว่าอย่างใด แต่ไปติดขัดตรงที่พระเจ้าวิฑูฑภะทรงเกรงพระทัยพระพุทธเจ้า ผู้มีศักดิ์เป็นพระญาติผู้ใหญ่ของเจ้าศากยะทั้งหลายต่างหาก
นั่นคือ ครั้งแรกที่ทรงยกกองทัพมุ่งไปยังกรุงกบิลพัสดุ์ พระพุทธองค์ทรงทราบเหตุการณ์นี้ ทรงเกรงว่า พระประยูรญาติและพลเมืองชาวศากยะจะต้องมาล้มหายตายจากสังเวยสงครามมหาภัยอย่างน่าสมเพช จึงเสด็จพุทธดำเนินไปประทับนั่งขวางทางเอาไว้ พอกองทัพยกมาแต่ไกล ใกล้จะเข้าเขตกรุงกบิลพัสดุ์ ทหารหาญเห็นพระพุทธองค์ทรงประทับขัดสมาธิอย่างสงบอยู่ใต้ต้นไทรก็ไม่กล้าเคลื่อนทัพผ่านไปด้วยเกรงพุทธบารมี แม่ทัพนายกองจึงสั่งให้ยกกองทัพกลับ
ครั้งที่สอง เมื่อสบโอกาส พระเจ้าวิฑูฑภะก็เคลื่อนทัพออกมามุ่งหน้าไปยังกรุงกบิลพัสดุ์อีก พระพุทธองค์ก็เสด็จออกมาประทับนั่งขวางทางอยู่เช่นเดิม ทหารหาญเห็นเช่นนั้นก็พากันยกกลับอีกเป็นคำรบสอง
แต่อย่างไรก็ตาม พระเจ้าวิฑูฑภะแม้จะทรงเกรงพระทัยพระองค์อยู่มาก ทว่าความแค้นในพระทัยของพระองค์ที่เจ้าศากยะเคยทำไว้ต่อพระองค์มีมากกว่า จึงไม่ทรงยอมเลิกราง่าย ๆ ครั้นกลับไปได้พักใหญ่ก็ทรงกรีธาทัพกลับมาอีกครั้ง แต่ครั้งที่สามนี้ทรงเดินทัพอย่างปลอดโปร่ง พระพุทธองค์ไม่เสด็จมาช่วยพระประยูรญาติชาวกบิลพัสดุ์เหมือนอย่างเคย เมื่อเบื้องหน้าไม่มีพระพุทธองค์มาขวางทางเดินทัพเอาไว้ เจ้าศากยะทั้งหลายพร้อมด้วยประชาชนพลเมืองจึงถูกกองทัพพระเจ้าวิฑูฑภะทำลายล้างอย่างโหดเหี้ยมจนวงศ์ศากยะสูญหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์ตราบจนบัดนี้
เหตุที่ในการยาตราทัพครั้งที่สาม พระพุทธองค์ไม่ได้เสด็จมาขวางทัพเอาไว้เหมือนสองครั้งแรก ก้เพราะทรงพิจารณาเห็นว่า ในอดีตชาติ เจ้าศากยะทั้งหลายเคยก่อกรรมชั่วเอาไว้ โดยการโปรยยาพิษลงในแม่น้ำ ทำให้ผู้ใช้น้ำต้องได้รับยาพิษล้มตายจำนวนมาก บัดนี้ถึงเวลาที่เจ้าศากยะทั้งหลายจะต้องชดใช้กรรมนั้นแล้ว ครั้งทราบความจริงว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องของ "กฎแห่งกรรม" ที่ใคร ๆ ก็ไม่อาจขัดขวาง ผ่อนปรน หรือ "ตัด" ได้ จึงทรงปลีกพระองค์ออกมาเสีย ทรงวางอุเบกขาดูความเป็นไปของพระประยูรญาติอย่างสงบ
นี่แหละ คือ กฎแห่งกรรมที่ว่า "ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว"
เมื่อกฎแห่งกรรมอันเป็นสัจธรรมอมตะนี้ถึงเวลาให้ผลแล้ว แม้แต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ายังต้องทรงยอมจำนนเปิดทางให้กฎแห่งกรรมทำงานของมันไปอย่างเที่ยงธรรม
ถามว่า เจ้าพิธีกรรมในการ "ตัดกรรม" ทั้งหลายเก่งมาจากไหน ถึงอาจหาญทำพิธีตัดกรรม ซึ่งแม้แต่พระพุทธเจ้ายังไม่ทรงสามารถทำได้มาก่อน ช่างเก่งกว่าพระพุทธเจ้าแท้ ๆ เชียว!
(โปรดติดตามอ่านตอนสุดท้าย)
......................................................................................................................................
แม้แต่พระพุทธองค์ยังทรงจำนนต่อการตัดกรรม หรือ ลบล้างกรรม แล้ว "เจ้าพิธี" เป็นใครหนอ ถึงสามารถทำเช่นนั้นได้ ... ท่านเก่งกาจกว่าพระพุทธองค์อีกงั้นหรือ ?
การทำบุญ ทำทาน สร้างกรรมดี ไม่จำเป็นต้อง "ตัดกรรม" ให้กับผู้อื่นเลย ยิ่งไปกว่านั้น หากมีการอ้างเรื่อง "กรรม" แล้วเอาเงินเขามา แค่นี้ก็เบียดเบียนเพื่อนมนุษย์คนอื่นแล้วล่ะ ... ท่านจะเลือกทำกรรมหนักต่อไป เพียงเพราะท่านมีพรวิเศษงั้นหรือครับ
ยังคงมีคนจิตใจอ่อนแอมากมายที่หลงเชื่อ หลงกิเลสเพียงตน เชื่อว่าตนเองมีดีพอที่จะไม่ถูกหลอก ลองทบทวนให้ดีอีกครั้ง อย่าเอาอัตตามาใช้ อย่าเอาอารมณ์และความรู้สึกมาถือ เราก็คือ มนุษย์ปุถุชนคนธรรมดา เรียนต่ำเรียนสูง ก็มีความเป็นมนุษย์เท่ากัน
ละ วาง ปล่อย แล้วลองพิจารณาใหม่เทอญ ...
บุญรักษา ผู้เพียรทำดี ครับ ;)
......................................................................................................................................
บันทึกที่เกี่ยวข้อง ...
- ตัดกรรมตามแนวพุทธ (๕) ... ตัดกรรมตามแนวพุทธกันอย่างไร ... (ว.วชิรเมธี)
- ตัดกรรมตามแนวพุทธ (๔) ... พระพุทธองค์ทรงจำนนต่อกฎแห่งกรรม ... (ว.วชิรเมธี)
- ตัดกรรมตามแนวพุทธ (๓) ... การให้ผลของกรรม ... (ว.วชิรเมธี)
- ตัดกรรมตามแนวพุทธ (๒) ... ความหมายของกรรม ... (ว.วชิรเมธี)
- ตัดกรรมตามแนวพุทธ (๑) ... บทนำ ... (ว.วชิรเมธี)
- เราสามารถ "ตัดกรรม" หรือ "ลบล้างกรรม" ที่เราได้เคยทำมาได้จริง ๆ หรือ ?
......................................................................................................................................
หนังสือธรรม
ว.วชิรเมธี (นามแฝง). ธรรมะศักดิ์สิทธิ์. พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพฯ: อมรินทร์ธรรมะ, ๒๕๕๒.