หยิบหนังสือ The Google Story มาอ่านอีกที ก็พบประเด็นที่น่าคิดครับ ในบทที่สาม มีเรื่องบรรยายไว้ว่า บิล เกตส์ บริจาคเงินหกล้านเหรียญสร้างตึกให้สแตนฟอร์ด ตึกนี้ชื่อว่า William Gates Computer Science
ในพิธีเปิด James Gibbons คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ได้ทำนายว่า
within 18 months "something will happen here, and there will be some place, some office, some corner, where people will point and say 'Yeah, that's where they worked on the blank in 1996 and 1997. And you know, it was a big deal.' "
Big deal ที่เกิดขึ้นคือ Google ครับ อาคารนี้เป็นสถานที่ที่ Larry Page พบกับ Sergey Brin ผู้ก่อตั้ง Google ทั้งสอง ซึ่งทั้งคู่ถูก assign ให้ไปใช้ห้อง Gates 360 (ร่วมกับนักศึกษาอีกสี่คน) ต่อมาทั้งคู่พัฒนา PageRank™ ขึ้น และเป็นจุดเริ่มต้นของตำนานอินเทอร์เน็ตอีกเรื่องหนึ่ง
ไม่ใช่ว่าทุกคนจะประสบความสำเร็จแบบ Page และ Brin แต่สแตนฟอร์ดก็สร้างบรรยากาศให้เกิดการแลกเปลี่ยนต่อยอดความรู้ไปได้ นี่ช่างต่างกับการเรียนระดับสูงในเมืองไทยเสียเหลือเกิน การเรียน course work กลายเป็นเรื่องหลัก ต่อให้ไม่มี communication loss ในการสอน ความรู้ที่ได้มา ก็มีแนวโน้มที่จะไม่ได้อะไรเกินไปกว่าที่ได้รับการถ่ายทอด
ในมหาวิทยาลัยไทย มีลักษณะของ "โต๊ะ" ให้นักศึกษานั่งกัน แต่กิจกรรมที่เห็นโดยมากมักออกแนวบันเทิงเสียมากกว่า ถ้าเป็นเรื่องเรียนก็เป็นการทบทวน -- จะทำอะไรได้มากกว่านั้นในที่โล่งล่ะครับ
เคยได้รับเกียรติไปเป็นอาจารย์พิเศษสองสามสถาบัน พบว่าบรรยากาศในห้องเรียนนั้น นักศึกษาไม่คุ้นกับการที่จะต้องคอยตอบคำถามเราเสียเลย ผลคือ ทำให้เหนื่อยและไม่สนุกด้วยเลย ถ้ากล้าถาม กล้าแสดงความเห็น มันจะสนุกกว่ากันมากนะคะ (แต่ก็เป็นไปได้ว่า เขาไม่คุ้นกับเรามากพอที่จะต่อปากต่อคำได้ด้วย)
อย่างไรก็ตาม สมัยเรียน ตั้งแต่ระดับมัธยมขึ้นมา จะเป็นคนที่ชอบถามครูค่ะ ถามดะ ถามลองวิชาก็มี ถามเพราะอยากรู้อยากเห็นจริงๆ ก็มากนัก การถาม มันทำให้คนสอนรู้ว่า เราต้องการรู้อะไรด้วย และที่สำคัญ สนุกทั้งคนเรียนและคนสอน
สวัสดีครับอาจารย์
ขออนุญาตินำบทความไปรวมในตะกอนครับ
http://gotoknow.org/blog/mrschuai/99502
ขอบคูณมากครับ
เห็นด้วยเรื่องข้อสังเกตเกี่ยวกับความไม่ค่อยกล้าถามครับ
ถ้าบริษัทที่ร่ำรวยในตลาดหลักทรัพย์ แบ่งเศษเงินมาเจือจานการศึกษาบ้างก็ดีนะครับ คิดเป็นค่าใช้จ่ายได้และหักภาษีได้สองเท่า
เช่นบริจาค 10 ล้าน เป็นค่าใช้จ่ายได้ 100% จะจ่ายภาษีน้อยลง 3 ล้าน และเรียกคืนได้ตอนสิ้นปีอีก 3 ล้าน เหลือออกเอง 4 ล้าน -- กลายเป็นบริษัทออก 40% รัฐสมทบ 60% บริษัทเลือกได้ว่าจะช่วยที่ไหน แต่ต้องแบก cashflow นิดหน่อยครับ
ไม่ใช่ว่าทุกคนจะประสบความสำเร็จแบบ Page และ Brin แต่สแตนฟอร์ดก็สร้างบรรยากาศให้เกิดการแลกเปลี่ยนต่อยอดความรู้ไปได้ นี่ช่างต่างกับการเรียนระดับสูงในเมืองไทยเสียเหลือเกิน การเรียน course work กลายเป็นเรื่องหลัก ต่อให้ไม่มี communication loss ในการสอน ความรู้ที่ได้มา ก็มีแนวโน้มที่จะไม่ได้อะไรเกินไปกว่าที่ได้รับการถ่ายทอด
ในมหาวิทยาลัยไทย มีลักษณะของ "โต๊ะ" ให้นักศึกษานั่งกัน แต่กิจกรรมที่เห็นโดยมากมักออกแนวบันเทิงเสียมากกว่า ถ้าเป็นเรื่องเรียนก็เป็นการทบทวน -- จะทำอะไรได้มากกว่านั้นในที่โล่งล่ะครับ
In an interview with Time magazine, I don't remember if it's Page or Brin who gave credit to elementary study in a Montessori school system that shaped his creativity/thinking process. But I thought just by reading that, every parent should send his/her kids to Montessori school. There are a few Montessori schools in Thailand too.
Incidentally - perhaps long overdue, at today's Harvard 2007 Commencement, the university has finally bestowed upon Bill Gates - their one and only "most successful/richest dropout", an honorary degree, here's Gates' commencement speech.
สวัสดีครับพี่
สวัสดีค่ะ คุณConductor
ดิฉันนำเรื่องที่จะเขียนเป็นข้อคิดเห็นต่อในบันทึกนี้ไปเขียนเป็นบันทึกที่นี่นะคะ..
ขอบคุณค่ะ
ขอบคุณคุณ Bluebonnet มากเลยครับ ตอนจะเขียนบันทึกโรงเรียนกับความต้องการของเด็ก นึกอยู่ตั้งนานก็นึกไม่ออก เคยอ่านผ่านตานานมาแล้ว
ความคิดเกี่ยวกับ Montessori ตั้งอยู่บนทฤษฎีความคิดที่ว่า เด็กพัฒนาและคิดแตกต่างจากผู้ใหญ่ พวกเขาไม่ใช่ผู้ใหญ่ในร่างน้อยๆ
สัมฤทธิผลในระบบ Montessori ไม่ได้มุ่งเป้าไปที่การวัดผลตามทฤษฎีการศึกษา แต่เน้นที่การพัฒนาศักยภาพของเด็กเป็นสำคัญ วัดที่พัฒนาการทักษะของชีวิตซึ่งแสดงออกด้วยการปฏิบัติ
การศึกษาแบบ Montessori เน้นที่เด็กแต่ละคน -- สังเกต และยอมรับความสามารถของเด็กแต่ละคน ซึ่งค่อนข้างต่างกับการจัดการศึกษาทั่วไป ซึ่งมองความต้องการของชั้น(และครู)เป็นหลัก
เมื่อพัฒนาการของเด็กเป็นเป้าประสงค์ การศึกษาจึงเต็มไปด้วยความเพลิดเพลิน ช่วยให้เด็กค้นพบตัวเองได้เร็วขึ้น มีความเคารพตัวเอง มีความเป็นตัวของตัวเอง กล้าที่จะยอมรับผู้อื่น (ต้องนับถือตัวเองก่อนที่จะยอมรับผู้อื่นได้โดยไม่รู้สึกว่าตัวด้อยค่าลง คนไทยไม่ค่อยชื่นชมผู้อื่นมากนัก เพราะไม่ค่อยนับถือตัวเองเท่าไหร่ กลัวว่าชมไปแล้วตนจะด้อยค่าลง)
แต่การจัดการศึกษาแบบนี้สำหรับชั้นสูงๆ ผมคิดว่าทำได้ยากในเมืองไทยครับ มันเข้ากันไม่ได้กับการสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย น่าจะเหมาะสำหรับเด็กเล็กมากกว่า