สวัสดีครับ คุณวรรธนชัย ครับ... บันทึกคุณเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวดีครับ หลากหลายรสชาต....ที่กล่าวมา เรื่องของพ่อแม่-ลูก นี้คงต้องคุยกันอีกยาวถ้าไม่มีหลักคิด ครับ......ผมขอแสดงความคิดเห็นว่า พุทธศาสนา กล่าวถึง ทิศ๖ ครับ คือหน้าที่ของเราต่อบิดามารดากระทำใน ๕ อย่าง (กตัญญูกตเวทีครับ )มี ๓ เรื่องที่คุณวรรธนชัยกล่าวดัวย เพิ่มคือ ดูแลกิจการของท่านไม่ตกต่ำ และ ทำบุญอุทิศให้เมื่อล่วงลับไปแล้วครับ
และหน้าที่ต่อกุลบุตรกุลธิดา เลี้ยงดูเขาด้วยเมตตา ให้เจริญว้ย ให้การศึกษา ให้สืบทอดกิจการ ให้คำแนะนำเรื่องคู่ครอง และมอบหน้าที่ของวงศ์ตระกูลให้ทำต่อครับ......(อาจจะไม่สำคัญ หรือไม่เกี่ยวกับบันทึกก็ได้)
แต่โดยความเห็นส่วนตัวของผม แล้ว ถ้ากุลบุตรกุลธิดา สำนึกในบุญคุณ ควรจะกระทำตามคำกลอนที่คุณวรรธนชัยกล่าวมาเป็นอย่างน้อย อย่างมากคือ รักษาวงศ์ตระกูล(ไม่ทำตัวเหลวไหล) ให้การดูแลหมั่นมาเยี่ยมถามหา เมื่อท่านล่วงลับไปแล้ว ให้รำลึกถึงทำบุญอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลไปให้ครับ
แต่ถ้าไม่ทำ ก็จะขาดธรรมะ เรื่องกตัญญูกตเวที ซึ่งเป็นเครื่องหมายของคนดีครับ.......
ถ้าคิดจะหวังพึ่งลูกหลาน หรือคิดแค่เพราะว่า กลัวมีลูกไม่ทันใช้ นั้น เสี่ยงมาก
- ลูกตาย
- ลูกพิการ ลูกป่วย พ่อแม่ต้องมาเลี้ยงลูกจนตาย
- ลูกเป็นบ้า
- ลูกยากจน ไม่มีปัญญาเลี้ยง
- ลูกติดคุก
- ลูกบวชไม่สึก
ฯลฯ
"รัฐควรใช้มาตรการทางภาษีแทรกแชงการไม่ทำหน้าที่ของลูกในข้อนี้" รู้สึกว่าสิงค์โปรมีกฎหมายเอาผิด ลูกไม่เลี้ยงดูพ่อแม่ แต่นั้น ก็อาจยิ่งทำให้อัตราการเกิดที่รัฐบาลอยากให้เพิ่ม ยิ่งลดลงนะ เพราะคงต้องเลี้ยงดูพ่อแม่จนตัวเองไม่มีปัญญามีลูก
ส่วนเมืองจีน ที่บอกว่าลูกคนเดี๋ยวกลายเป็นจักรพรรดิน้อย เพราะมีพอ่แม่ปู่ย่าตายายเอาใจนั้น อีกหน่อยอาจตรงกันข้าม คือลูกคนเดียวอาจต้องเลี้ยงดูทั้งพ่อแม่ปู่ย่าตายาย