สร้างผู้นำที่ Indorama (Thailand)


วันนี้ทุกคนสร้างภาวะผู้นำได้

 

สวัสดีครับลูกศิษย์ชาว Indorama (Thailand) และชาว Blog        

วันนี้ผมได้รับมอบหมายภารกิจที่สำคัญจากคณะผู้บริหารของ Indorama (Thailand) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวอินเดีย ให้ผมมาทำหน้าที่โค้ช (Coach) ให้แก่พนักงานของบริษัทซึ่งเป็นกลุ่มพนักงานระดับกลางที่มีศักยภาพที่จะพัฒนาให้เป็นผู้นำองค์กรได้ในอนาคต             โครงการนี้จะทำต่อเนื่องทุกเดือนตลอดระยะเวลา 1 ปีซึ่งผมคาดว่าเราอาจจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้นไม่มากก็น้อย และวันนี้ก็เลยถือโอกาสที่จะเปิด Blog นี้ขึ้นมาเป็นสื่อกลางสำหรับพวกเรา หวังว่า Blog นี้จะเป็นแหล่งสะสมความรู้ได้ไม่แพ้ Blog อื่น ๆ ของผมครับ                                                           

                                                   จีระ  หงส์ลดารมภ์

 

indorama5

 indorama3

Indorama2

Indorama1

 

คำสำคัญ (Tags): #indorama
หมายเลขบันทึก: 102673เขียนเมื่อ 12 มิถุนายน 2007 08:13 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 18:04 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (263)
วันเพ็ญ สุขประเสริฐ
ดิฉันได้อ่านจากหนังสือเล่มนี้แล้วและได้แนวคิดเกี่ยวกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์อยู่หลายประการรวมทั้งได้พบว่าทั้งคุณพารณและคุณจีระท่านเป็นนักทรัพยากรมนุษย์ที่ยอดเยี่ยมจริงๆ องค์กร/องค์การ จะจัดตั้งขึ้นได้ต้องประกอบด้วยคนซึ่งเป็นทรัพยากรที่สำคัญ คนเป็นปัจจัยหนึ่งในการเพิ่มผลผลิตขององค์กร ไม่ใช่เป็นเพียงต้นทุนการผลิตเท่านั้น แต่คนเป็นผลกำไรที่แท้จริงขององค์กร คนเป็นทรัพยากรที่สำคัญที่สุดขององค์กร และคนเป็นทรัพย์สินที่มีค่ามากที่สุดในการทำธุรกิจจึงต้องมีการพัฒนาคนให้มีประสิทธิภาพ เกิดการเรียนรู้ เพื่อพัฒนาธุรกิจให้เติบโตขึ้น(คนคือทรัพยากรมนุษย์) ในภาวะผู้นำ/ผู้บริหารต้องมีความศรัทธาและมุ่งมั่นในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ให้เกิดการเรียนรู้ เพื่อพัฒนาตนเองและธุรกิจขององค์กร โดยผู้นำ/ผู้บริหารจะต้องพัฒนามนุษย์โดยมุ่งเน้นการเรียนรู้ พร้อมทั้งกลยุทธ์ในการสร้างความเป็นเลิศให้องค์กรจากแรงจูงใจ การให้กำลังใจ การเปิดใจยอมรับความคิดเห็น และปัญหาต่างๆ พร้อมให้คำแนะนำและคำปรึกษา จะช่วยสร้างบรรยากาศที่ดีในการทำงาน ปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่งก็คือการทำให้ผลผลิตเพิ่มขึ้นและประสบความสำเร็จ คือ ความจงรักภักดีและมีวินัยของคนในองค์กรพยายามทำงานทุกอย่าง อย่างมีคุณภาพ(QUALITY)เน้นความมีส่วนร่วมของพนักงานให้เกิดความผูกพันกับองค์กร ฉะนั้นผู้นำ/ผู้บริหารจะต้องวางระบบเรื่องการพัฒนาบุคลากร ดั่งแนวความคิดที่ว่า "คนเป็นสมบัติที่มีค่าขององค์กร" ซึ่งผู้นำ/ผู้บริหารจะต้องทำหน้าที่ทั้งเป็นผู้ฝึกสอน และเป็นพี่เลี้ยงพัฒนาผู้ใต้บังคับบัญชาตลอดเวลา เพื่อให้เขาสามารถเรียนรู้และปลดปล่อยความรู้ความสามารถของเขาออกมาอย่างเต็มที่ ด้วยการส่งเสริมการทำงานเป็นทีมและสนับสนุนให้มีการศึกษาและพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง
ผมวิชาญ สุริยะหิรัญ ได้เข้าร่วมอบรมในวันที่ 12 มิ.ย. 50 โดย โปรแกรมพัฒนาความเป็นผู้นำอย่างมืออาชีพทำให้ผมรู้จักการเป็นผู้ฟัง คือ ฟังแล้วได้อะไร นำไปปฏิบัติอย่างไร ให้มีประสิทธิผล ไม่ควรที่จะฟังอย่างเดียว เพราะจะไม่ได้อะไรเลยถ้าไม่นำไปปฏิบัติ รวมทั้งทำให้มีการตัดสินใจในเหตุการณ์เฉพาะหน้าว่าเราควรทำอย่างไร และหลังจากที่ผมได้อ่านหนังสือทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้ สิ่งที่ได้รับจากการอ่านคือหนังสือเล่มนี้ได้กล่าวถึงบุคคลที่สำคัญที่สุดอยู่ 2 ท่าน คือ คุณพารณ และคุณจีระ ซึ่งท่านทั้ง 2 เป็นนักบริหารและนักวิชาการที่เน้นการใช้ทรัพยากรมนุษย์ให้มีความสำคัญในการพัฒนาประเทศ หรือใน การพัฒนาองค์กร และไม่ว่าบุคคลนั้นจะเป็นนักบริหารระดับประเทศหรือองค์กรธุรกิจย่อยก็สามารถจะเข้ามาเรียนรู้ได้ ทรัพยากรมนุษย์ถือว่าเป็นทรัพยากรที่มีความสำคัญเหนือกว่า ทรัพยากรอื่นใด เพราะมนุษย์สามารถเป็นได้ทั้งผู้สร้างและผู้ทำลายและนั่นคือที่มาของความคิดที่ว่า คนเป็นสมบัติที่มีค่ามากที่สุดขององค์กร ในการที่จะเพิ่มผลผลิต คนจะต้องมีความ จงรักภักดี และมีวินัย มีความเข้าใจร่วมกัน ในการที่จะให้งานนั้น สำเร็จ และบรรลุเป้าหมายได้ รวมทั้งคำพูดที่ว่าคนจะเก่งอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องดีด้วย จึงจะพาองค์กรให้ประสบความ สำเร็จและคนเก่ง คนดี จะต้องเป็นคนที่มีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล แสวงหาความรู้เพิ่มเติมตลอดเวลา คนไทยที่ฉลาดจะต้องพาตนเองไปอยู่ในองค์กรที่เขาได้เรียนรู้มากกว่าเลือกอยู่ในองค์กร ที่ได้เงินแต่ไม่สามารถเก็บเกี่ยวหรือเสริมสร้างภูมิปัญญาให้ตนเองแต่อย่างใด เพราะฉะนั้นองค์กรใดก็ตามที่ไม่มีการพัฒนา และฝึกอบรม จะไม่มีพนักงานที่มีประสิทธิภาพอยู่ร่วมงาน ด้วย และองค์กรนั้นก็จะจมอยู่กับความสำเร็จในอดีต จนไม่นึกถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตรวมทั้งจะไม่กล้าเผชิญกับปัญหาและอุปสรรคใดๆ ท้ายที่สุดนี้ ผมต้องขอชื่นชมอาจารย์ ที่ผลิตหนังสือออกมาให้ความรู้ได้มากมาย ซึ่งจะเป็นแบบอย่างที่ดีต่อผู้ที่ได้ครอบครองและได้อ่าน ผมหวังว่าอาจารย์ทั้งสองจะเป็นทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้ที่สำคัญยิ่งตลอดไป
นายสมจิตร เรืองบุญ
ผมนายสมจิตร เรืองบุญ ได้เขาอบรมในวันที่ 12 มิถุนายน 2550 ได้รับความรู้มากและได้สรุปมาเป็นหัวข้อดังนี้คือ 1.อย่างแรกเลย ผมได้รู้จักตัวเองดีขึ้นว่าเรามีจุดบกพร่องอะไรบ้าง ผมจะได้รีบแก้ไขก่อนเป็นอันดับแรกก่อนจะไปพัฒนาคนอื่น 2.อาจารย์สอนให้ผมได้มองเห็นคนระดับล่างว่าไม่ควรไปซ้ำเติมเขาในสิ่งเขาทำไม่ดี เราควรช่วยและส่งเสริมเขาโดยการแนะนำและพัฒนาเขาให้ดีให้มีค่าแก่สังคมและครอบครัว 3.ได้รู้จักการทำงานเป็นทีมและระบบการทำงานมากขึ้น ( ส่วนใหญ่คนในหมู่มากจะทำงานด้วยตัวของตนเองเป็นหลักไม่นิยมทำงานเป็นทีม ) ผมจะพยายามพัฒนาในจุดนี้ในแผนกที่ผมได้ดูแลและรับผิดชอบอยู่ 4.อาจารย์ สอนให้ผมได้รู้จักการใฝ่หาความรู้ให้มากขึ้น ในด้านต่าง ๆและนำมาใช้ในบริษัทฯ ครอบครัวและสังคม ถ้าทำได้ผมคิดว่าผมจะเป็นคนหนึ่งที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก 5.ได้รู้จักคำว่า Transformation คือการพัฒนาการทำงานจากที่เราทำอยู่เดิม จนงานและผลงานออกมาได้ดีและพัฒนาตัวเองต่อไป จึงทำให้สามารถก้าวหน้าในหน้าที่การงานยิ่งขึ้นไปและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น 6.ฝึกให้รู้จักการพูดและการกล้าแสดงออก รวมทั้งรับฟังคำคิดเห็นของคนอื่น และแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี ซึ่ง พนักงานทุกคนจะต้องทำให้ได้ ผมได้อ่านหนังสื่อ ทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้ของอาจารย์แล้ว คือได้เกล็ดความรู้มากมาย เช่น 1.การนำประสบการณ์การทำงานของ คุณพารณ มาประยุกต์ใช้ในโอกาสต่าง ๆจนประสบผลสำเร็จในหน้าที่การงานของตนเองที่ใช้ในองค์กร 2.มีความคิดริเริ่มใหม่ ๆอยู่เสมอ มีวิสัยทัศน์ มองกาลไกลได้กว้างมากยิ่งขึ้น 3.ได้รู้ถึงทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดในปัจจุบันไม่ใช่Communities หรือสินค้า แต่เป็นความรู้ 4.การจะเป็นผู้นำที่ดี คือCoach ที่ดีและเข้าใจจุดอ่อน จุดแข็งของลูกน้อง คือต้องมองลูกน้องให้ทะลุและชัดเจน ถึงจะเป็นผู้นำเขาได้ 5.สอนให้รู้ว่าการรับคนเข้าทำงานจะต้องมีประสิทธิภาพและใช้หลักเกณฑ์ของบริษัทฯ ไม่ไช่รับเด็กที่ฝากเข้ามาทำงาน คือจะทำให้องค์กรพัฒนาไปได้ช้า 6.รู้จักการทำ โครงงาน คือ ช่วยให้ผู้เรียนพัฒนากระบวนการคิดที่เป็นระบบ สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างมีหลักการ รู้จักการวางแผน และการทำงานเป็นทีมได้ 7.สอนให้รู้การพัฒนาคนไม่ใช่พัฒนาแต่พนักงานระดับสูง คือ ระดับบริหาร แต่ต้องพัฒนาทุก ๆ ระดับจนถึงระดับล่างสุด งานถึงจะออกมาอย่างมีประสิทธิภาพ ผมขอสรุปที่ผมอ่านหนังสือทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้ คือจะเน้นเรื่องการพัฒนาคนเป็นหัวใจหลัก ถ้าขาดตรงนี้ไปไม่ว่าจะทำได้ดีขนาดไหน ในองค์กรก็อาจจะไปไม่รอดและผมขอขอบคุณองค์กร ที่ได้ให้โอกาสผมได้เข้าอบรมในครั้งนี้ด้วย
Professional and Leadership Development Program is designed to be
 1 Year Program (60 Hours) which consitsts of Topics which are:
       
No. Topic Hour Date
1 Leadership Development 6 12-Jun-07
2 Team Building 6 17-Jul-07
3 Effective Communication 6 21-Aug-07
4 Problem Solving & Decision Making 6 18-Sep-07
5 Learning Organization 6 16-Oct-07
6 Cresitive Thinking (Creative + Positive Thinking) 6 20-Nov-07
7 Motivation 6 18-Dec-07
8 Public Speaking / Confidential Enhancing 6 15-Jan-08
9 Personality Development and Social skills 6 19-Feb-08
10 IQ - EQ - AQ - MQ 6 18-Mar-08
       

ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในเรื่องหลักสูตร มีหัวข้ออะไรที่จะเพิ่มเติม  

กลุ่ม 1 จะพยายามพัฒนาตัวเองให้เรียนรู้ได้มากที่สุด               ขอฟัง 2 เดือนก่อน  

กลุ่ม 2  พื้นฐานภาษาอังกฤษยังน้อยอยู่ ถ้ามีภาษาอังกฤษมาก ๆ อาจไม่ค่อยได้  

กลุ่ม 3 พนักงานไม่มีความรู้เรื่องคอมพิวเตอร์ (ดร.จีระ เสนอให้มีการฝึก)  

กลุ่ม 4  คุณสรายุทธ ได้รับทราบการทำงานที่ถูกต้องใช้สมองในการแก้ปัญหา  จบที่ชั้นไหนก็ตาม สามารถฝึกการเรียนรู้ได้เท่าเทียมกันทุกคน(ดร.จีระ บอกว่าส่วนใหญ่ใช้ทักษะในการทำงานแต่สามารถฝึกปัญญาได้ ลูกน้องดีไม่ดีอยู่ที่การตัดสินใจของแต่ละคน)   

กลุ่ม  5  ยังไม่มีอะไรแนะนำ ขอศึกษาไปก่อน  การศึกษาที่ อินโดรามา การศึกษาต่ำ บางสิ่งที่ไม่เคยเจอมา อาจคิดว่าเป็นสิ่งแปลกใหม่ อาจรับได้ยาก   ในอนาคตทั้ง 10 ข้อที่เรียนไปอาจไม่ได้อย่างคาดหวัง 100 %

                     ประเด็นที่อยากเพิ่ม คือเรื่องการฝึกคอมพิวเตอร์ และการเรียนภาษาอังกฤษ

                     วันแรกยังไม่ชนะไม่เป็นไร แต่อย่าต่อต้านความรู้

                     สิ่งที่เขาคัดเลือกมา เพราะ มีประสบการณ์มาแล้วกว่า 10 ปี เป็นโรงงานที่มีคุณภาพ และเป็นที่ยอมรับในโลก

                     คัดเลือกคนมาเรียนรู้เพราะเห็นศักยภาพ แต่ยังคิดไม่มาก ดังนั้นหลักสูตรนี้ จะเน้นให้ทุกคนคิดมากขึ้น ควรฟังแล้วคิดไปด้วยจะทำให้ประสบความสำเร็จดีขึ้น  

ประเด็นที่อยากฝาก 10 ประเด็น

1.                 วัตถุประสงค์ของการมาครั้งนี้สำคัญมากเพราะเรากำลังพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในระดับกลางของอินโดรามา ผมยังไม่เห็นมีที่ไหนที่เอาจริงกับการพัฒนาระดับกลาง           ผมคิดว่า เขาคิดทางทฤษฎีเรื่อง Transformation เป็นการผลักดันคนจากจุดหนึ่งไปจุดหนึ่ง เปลี่ยนจากการทำงานแบบเดิม มาเป็นผู้นำ ผู้บริหาร โครงการนี้เพื่อยกย่องให้คุณเป็นคนที่มีคุณภาพต่อไป ไม่ใช่ Transaction คืออยู่จุดเดิม แต่แค่ทำให้ดีขึ้น           การอยู่ในบริษัทชั้นนำข้ามโลกควรมีความเอาจริงในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์          เข้าใจเป้าหมาย และวัตถุประสงค์ของหลักสูตรนี้มีเป้าหมายต่อตัวคุณ ครอบครัว สังคม และประเทศชาติอย่างไร

2.  วันนึงคนในห้องนี้ที่ได้รับการคัดเลือกแล้วจากผมและกลุ่มอื่น จะทำหน้าที่ 2 อย่าง

            - ไปทดแทนผู้บริหารจากอินเดียในอนาคต 

            -  อยากให้คุณไปทำงานเมืองนอก     โลกเราเป็นโลกที่ไร้พรมแดน สิ่งสำคัญคือต้องทำความเข้าใจก่อนในสิ่งเหล่านี้ ความรู้อยู่ทุกจุดในโลก ถ้ามีโอกาสให้รู้จักฉกฉวย รู้จักใช้ปัญญาให้เป็น  

3. ต้องยอมรับว่า อินโดรามา ลงทุนพัฒนาบุคลากรอย่างจริงจัง นับว่าเป็นตัวอย่างที่ดี           

            - ลงทุนให้มาเรียนเป็นการลงทุนด้านการพัฒนาการเรียนรู้ ยอมลงทุนค่าเสียโอกาสในการไม่ทำงานเดือนละครั้ง           

            - ลงทุนเพื่อให้ทุกคนสามารถพัฒนาขึ้น และองค์กรก็จะพัฒนาไปได้มากขึ้นกว่าเดิม          ถ้าการลงทุนสำเร็จแล้วได้อะไร คือ ได้กำไร ได้ความสุข ได้ภาพลักษณ์ที่สนใจเรื่องคน เป็น Brand ระดับโลก          อินโดรามา คิดเรื่องการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์มาก        

            - สนใจให้คุณมีชุมชนที่น่าอยู่          (ประเทศไทย ผิดผลาดในเรื่องชอบบริโภค แต่ไม่ชอบลงทุน)          ความแตกต่างระหว่างการลงทุนกับการบริโภค          การออม คือการลงทุน           การใช้ คือการบริโภค

4. วิชานี้สำเร็จได้ ถ้าทุกคนสนใจ และสามารถไปปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตนเอง          ก่อนอื่นต้องรู้จักสำรวจตัวเอง รู้จักตัวเอง รู้จักจุดแข็งของเรา          ความรู้ที่ได้ของคนอินโดรามา ส่วนใหญ่เป็นความรู้ที่ได้จากประสบการณ์ อย่าคิดว่าความรู้มีน้อย

5. อยากให้ทำงานอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่วินาทีที่ผมเข้ามา ถึงเที่ยง ต้องถามตัวเองว่าได้อะไร แล้วตอนบ่าย ได้อะไร และระหว่างที่ไม่ได้อยู่ควรมีอารมณ์ในการแสวงหาความรู้ รู้จักทำการบ้าน และอ่านหนังสือ     สิ่งสำคัญคืออยากให้ทุกคนมีวัฒนธรรมในการเรียนรู้ 

6. อยากให้ในห้องเลือกประธานรุ่น1คน และรองประธาน2 คน

7. สำรวจดูว่าปัจจัยใดที่เป็นปัจจัยเสี่ยง ที่ทำให้การทำงานในวันนี้ไม่สำเร็จ มีอะไรบ้าง เช่น กลัว ไม่กล้าเรียน ขาดความรู้ ปัจจัยเสี่ยงที่ยิ่งใหญ่คือ ทัศนคติไม่เปิดกว้าง ไม่กล้า และกลัวในการเรียนรู้   เรียนรู้ในการเติบจุดอ่อนให้เต็ม     การนั่งด้วยกันเพื่อให้ปรึกษากัน เรียนเป็นทีม และเรียนให้ครบ

8.สำรวจดูว่าปัจจัยที่ไปสู่ความสำเร็จคืออะไร เช่นการทำงานต่อเนื่อง การมีความรู้ มีประโยชน์ต่อคุณ มีอุปนิสัยในการคิดให้เป็นอยากลอกความคิด และควรคิดให้รอบคอบ

9. ความสำเร็จที่เกิดขึ้นในห้องนี้ ไม่ได้ดีแค่ในตัวคุณ ครอบครัว อินโดรามา แต่ดีสำหรับประเทศไทยด้วย

                         คนในห้องนี้ อินโดรามา พยายาม Transform คุณจากจุดหนึ่งไปจุดหนึ่งได้ ซึ่งทำให้คุณสามารถประสบความสำเร็จ

                         ประโยชน์ คือการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในโรงงานที่ดีขึ้น

10. การทำโครงการ อินโดรามา ถ้าสำเร็จได้จะดีสำหรับตัวเรา ชุมชน สังคม ประเทศ และพวกเราจะเป็นรูปแบบที่ดีสำหรับองค์กรอื่น ๆ ถ้าสำเร็จ ก็จะสามารถไปช่วยโรงงานอื่นด้วย

11. การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เป็นสิ่งที่ยากที่สุด ต้องทำตัวเสมือนเป็นCoach, Mentor, Facilitator

12.หลักสูตรนี้ทำเรื่อง 3 เรื่องด้วยกัน คือ     

- ความรู้      

- วิธีการคิด      

- สังคมการเรียนรู้

13. สิ่งที่ยากที่สุดในห้องนี้ คือการปรับนิสัยของตัวเอง มนุษย์สิ่งที่ยากที่สุด คือ การบริหารการเปลี่ยนแปลง การปรับอุปนิสัย ต้องใช้เวลา แต่เป็นสิ่งสำคัญ

14. หลักสูตรนี้จะให้อ่านหนังสือเยอะ เมื่อผ่านไป 2 อาทิตย์ ส่งการบ้านมาที่ Blog : พัฒนาผู้นำที่ Indorama www.chiraacademy.com

15. จุดสำคัญที่สุดที่คนในห้องนี้ควรมีคือ Positioningทุนที่ใหญ่ที่สุดคือทุนทางปัญญา 

ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น 2 นาทีฟังตั้งแต่ข้อ 1-9 ได้อะไรที่จะนำไปใช้ 2 เรื่อง

กลุ่ม 1 Transformation จากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่ง ซึ่งทำให้มีความก้าวหน้าในการทำงานและสามารถพัฒนาภาวะผู้นำ        บริษัทลงทุนให้อบรมในครั้งนี้ให้แก่เรา จะตอบสนองในการพัฒนาตนเองให้บริษัทมีกำไร และมีความสุข ซึ่งทำให้เป็นการลงทุนที่คุ้มค่า

กลุ่ม 2 ได้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ คือ อย่าไปกังวล กับเรื่องต่าง ๆ ขอให้ตั้งใจ แม้ความรู้ยังน้อย ก็อย่ากังวลกับสิ่งตรงนี้ (เรียนด้วยความสนุก อย่าคิดว่าไม่มีความสามารถ)        ฟังแล้วเรียนรู้ แล้วต้องกลับไปสำรวจตัวเองเพื่อไปพัฒนาต่อไป (สำรวจตัวเอง และลดช่องว่าง)

กลุ่ม 3  ทัศนคติของเราในกลุ่มยังไม่เปิดกว้าง ฟังแล้วจะเปิดกว้างขึ้น และยอมรับมาปฏิบัติ           ปัจจัยนำสู่ความสำเร็จ คือ จะพัฒนาความรู้ที่ได้รับไปใช้ให้เกิดความต่อเนื่อง (ไปประยุกต์กับตัวเอง องค์กร ชุมชน ประเทศชาติ)  

กลุ่ม 4  ยอมรับเพื่อเรียนรู้ เพื่อที่จะเติมจุดอ่อน จะทำการเรียนรู้ และเปิดใจกว้างให้ได้อย่างเต็มที่         การอยู่บริษัทชั้นนำ เน้นการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์อย่างแท้จริงเพื่อให้ไปสู่การพัฒนาบริษัทที่ดีขึ้น (Get things done ทำให้เกิดความสำเร็จ สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบริษัท) 

กลุ่ม 5  นำความรู้ที่อาจารย์มาให้ความรู้ มาสู่การทำ Transformation  และอยากเก็บเกี่ยว ความรู้ ความสามารถของ อ.จีระ          ถ้าไม่ยอมรับความรู้ ความคิดเห็นของคนอื่น ปัญญาจะไม่เกิด รูปแบบการบริหาร รูปแบบปิรามิด ซึ่งตอนนี้ทุกท่าน่จะอยู่ประมาณช่วงกลาง ซึ่งจะมีหัวหน้า และลูกน้องใน Control

วิธีการเรียนรู้ที่ใช้จะต้องสร้างวัฒนธรรมของการเรียนรู้ ซึ่งผมเรียกว่าทฤษฎี 4L’s

Learning Methodology   เข้าใจวิธีการเรียนรู้ 

Learning Environment   สร้างบรรยากาศในการเรียนรู้

Learning Opportunities  สร้างโอกาสในการเรียนรู้

Learning Communities   สร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้

กฎของ Peter Senge

n                Personal  Mastery         รู้อะไร รู้ให้จริง

n                Mental Models               แบบอย่างทางความคิด

n                Shared Vision                 เห็นอนาคตร่วมกัน

n                Team Learning              เรียนเป็นทีม 

n                System Thinking           คิดมีเหตุผลที่สำคัญคือ อยากให้ผู้นำในห้องนี้ มองภาพใหญ่ (Big Picture) ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ 

n                รู้ว่า โอกาสและการคุกคามคืออะไร  ถ้าอยากเป็นนักบินที่ดีต้องทำอะไรบ้าง

                     ต้องเรียนรู้การขับเครื่องบินที่ดี

                     ต้องมองสภาพแวดล้อมที่ดี มองภาพใหญ่ ศึกษาก่อน

สภาพแวดล้อม      เรียนรู้โลกาภิวัตน์ และ ผลกระทบในประเทศเรื่องระหว่างประเทศ

- อยากให้มองเรื่องโลกาภิวัตน์โลกาภิวัตน์ คือ

- โลกที่เชื่อมโยงทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และวัฒนธรรม

- ต้องฉกฉวยโอกาสเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคโนโลยีทางสารสนเทศ เช่น อีเมล์เราจะใช้เทคโนโลยีเพื่อการบริหารจัดการได้อย่างไร

- เกิดการล่มสลายของระบบคอมมิวนิสต์ และสังคมนิยม จีน และ รัสเซีย ไม่เป็นคอมมิวนิสต์ แล้ว ผลคือ คู่แข่งมีมากขึ้น ดังนั้น เราต้องพัฒนาตัวเองตลอดเวลา เพื่อให้แข่งขันได้อย่างยั่งยืนสิ่งที่จะต้องศึกษาคือการทำงานของตลาด อินโดรามาอยู่ได้เพราะมีลูกค้า มีการพัฒนาสินค้า และพัฒนาคนตลอดเวลา

                      โลกแห่งการเปลี่ยนแปลงนับต่อจากนี้ไปได้แก่                                                        อิทธิพลของกระแสโลกาภิวัตน์ ( Globalization ) เช่น     
-  การค้าเสรี
WTO , FTA เช่น ไทย-จีน ไทย-ออสเตรเลีย    

-  บทบาทของจีน อินเดีย   

-  การล่มสลายของระบบคอมมิวนิสต์   

-  เศรษฐกิจยุคใหม่ ( New economy ) บทบาทของ internet และ web services    

การค้าระหว่างประเทศเกี่ยวข้องอะไรกับ อินโดรามา   

- ส่งออก   

- นำเข้า   

- พัฒนาคนดีขึ้น สินค้าเป็นที่ยอมรับมากขึ้น

ส่งออก และนำเข้าเกี่ยวข้องกับอัตราแลกเปลี่ยนอย่างไร  

- ถ้าอัตราแลกเปลี่ยนแพง (เงินบาทแข็ง) สินค้าส่งออกแพง  

- ถ้าอัตราแลกเปลี่ยนถูก (เงินบาทอ่อน) สินค้าส่งออกราคาถูก แต่แลกเป็นเงินบาทได้เยอะขึ้น 

ผลกระทบจากโลกาภิวัตน์พัฒนาการของเทคโนโลยีการสื่อสารและข่าวสาร(IT)   

-  Biotechnology    

-  Nanotechnology      

-  Out sourcing  

-   เสรีทางการศึกษา

จุดแข็ง

                      กระตุ้นให้ประเทศตื่นตัว ปรับนโยบายทั้งระดับ Marco และ Micro

                      ผู้บริโภคมีทางเลือกของคุณภาพสินค้ามากขึ้น

                      ราคามีการแข่งขันกันอย่างเสรี

                      ทำให้เกิดโลกทัศน์ที่กว้าง

                      <

นิภาพัฒน์ มิ่งมงคล
ดิฉันได้อ่านหนังสือทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้แล้วพบว่า ดร.จีระและคุณพารณ ท่านทั้งสองเป็นบุคคลที่เก่งเรื่องทรัพยากรมนุษย์เป็นอย่างยิ่ง และสอนให้บุคลากรได้ทราบถึงความสำคัญเป็น อย่างมาก ดิฉันสรุปได้ว่าคนเป็นทรัพยากรที่สำคัญขององค์กรและจะพัฒนาองค์กรให้มีคุณภาพอย่างแรกจะต้องเกิดการพัฒนาบุคลากรในองค์กรให้มีประสิทธิภาพ และเกิดความรักความ ศรัทธาในองค์กรก่อน การทำธุรกิจจึงต้องมีการพัฒนาคนควบคู่ไปด้วยกัน คนเป็นทรัพย์สินที่มีค่ามากที่สุดในองค์กร การจะเพิ่มผลผลิตขององค์กรให้ประสบความสำเร็จก็คือ ความจงรักภักดี และความมีวินัยของคนในองค์กรนั้นๆ ผู้บริหารต้องเป็นผู้ที่มีความศรัทธา และความมุ่งมั่นในการพัฒนาคน โดยมุ่งเน้นการเรียนรู้ การสร้างแรงจูงใจ การสร้างขวัญและกำลังใจให้แก่บุคลากรในองค์กร เปิดใจกว้างยอมรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะของบุคลากร เพื่อการพัฒนางานให้เกิดคุณภาพ หลักการบริหารจึงเน้นการมีส่วนร่วมของพนักงานให้เกิดความผูกพันกับบริษัทฯซึ่งมีการส่งเสริมการศึกษาเพิ่มเติมให้กับพนักงานอีกทางหนึ่ง คนเป็นสมบัติที่มีค่าที่สุดขององค์กรจึงต้องขอให้ผู้บริหารได้ทำหน้าที่เป็นทั้งผู้ฝึกสอนและพี่เลี้ยงเพื่อเป็นการพัฒนาผู้ใต้บังคับบัญชาให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นและผลที่ได้รับก็คือการที่พนักงานได้มีความรู้ความสามารถเพิ่มขึ้น และสามารถทำงานรวมทั้งการอยู่ร่วมกันเป็นทีม คนเปรียบเสมือนเสาเข็มที่แข็งแกร่ง และเป็นทรัพยากรที่สำคัญที่สุดขององค์กร ดิฉันสรุปได้ว่า การทำงานที่ดีได้นั้น จะต้องผสมผสานหลายสิ่งหลายอย่างเข้าด้วยกันได้เป็นอย่างดีไม่ว่าจะเป็นองค์กร ผู้บริหาร หรือพนักงานก็ตาม
นายศรายุทธ ยิ้มอยู่
สวัสดีครับท่านอาจารย์ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ ผมนายศรายุทธ ยิ้มอยู่ ( รองประธานรุ่นของบริษัทฯ ) ผมอ่านหนังสือ HR.CHAMPIONS ของอาจารย์แล้วได้รับทราบถึงประวัติความเป็นมาของคุณพารณ อิศรเสนา ณ.อยุธยา และของอาจารย์ผมรู้สึกตื่นเต้น และภูมิใจมากครับที่ได้เป็นลูกศิษย์อาจารย์ เพราะจากประสบการณ์ หลักสูตร วิธีการต่างๆ ของอาจารย์ทำให้ผมสนใจและชวนติดตามมากๆในหนังสือ HR.CHAMPIONS และความรู้ที่ผมได้รับจากหนังสือ คือผมได้ข้อคิดที่ว่าคนเป็นทรัพยากรที่มีคุณค่ามากที่สุดเหนื่อกว่าสิ่งใดในองค์กร ดังนั้นหากบริษัทฯ ได้พัฒนาทรัพยากรให้กับองค์กรแล้ว ย่อมเป็นผลดีมากต่อบุคคลในองค์กรเมื่อผ่านการพัฒนาแล้ว ย่อมนำความรู้และประสบการณ์ที่ได้รับจากการอบรมมาพัฒนาองค์กรให้ก้าวหน้าต่อไป อย่างเช่นบริษัทฯในเครือปูนซีเมนต์ จะเน้นที่การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เป็นสำคัญ จึงทำให้ปัจจุบันบริษัทฯดังกล่าวจึงอยู่ในระดับบริษัทฯชั้นนำของประเทศไทย และเป็นที่ยอมรับในอีกหลายๆประเทศ เพราะกลุ่มเครือปูนซีเมนต์จะเน้นที่การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์มาเป็นอันดับหนึ่ง และอีกอย่างหนึ่งซึ่งทำให้ผมได้รับความรู้และแนวคิดคือ การที่เราจะทำงานให้ประสบความสำเร็จนั้นเราจะต้องทำงานเป็นทีม และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์จะให้ได้รับความสำเร็จจะต้องพัฒนาทางด้านเศรษฐศาสตร์ จิตวิทยา การบริหารการจัดการและกลยุทธ์ และสิ่งที่จะทำให้ผู้บริหารได้รับประโยชน์จากการพัฒนาทรัพยากรในองค์กรนั้นคือบุคคลในองค์กรต้องเกิดความพึงพอใจ ความเชื่อ ความศรัทธา ในสิ่งนั้นเสียก่อนก็จะประสบความสำเร็จ ดังที่ท่านอาจารย์กล่าวว่า " การเพาะปลูกสำคัญก็จริง แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าคือการเก็บเกี่ยว " ( ผมชอบเนื้อหาประโยคนี้มากครับ ) ประการสุดท้ายที่ผมได้รับแนวคิดความรู้พร้อมทั้งผมได้นำไปสอนลูกสาวของผมคือการพัฒนาเด็กไทยเราถ้าจะให้มีความสามารถที่จะสู้กับคนในชาติอื่นได้ต้องมีความรู้คล่องแคล่วใน 3 เรื่องคือ ภาษาไทย,อังกฤษ และเทคโนโลยี โอกาสนี้ผมขอขอบคุณทางบริษัทฯและองค์กรเป็นอย่างสูง ที่เปิดโอกาสให้ผมได้พบกับอาจารย์ที่เปี่ยมด้วยความสามารถ และประสบการณ์ รวมทั้งความรู้ต่างๆ และอาจารย์ยังสอนให้รู้เกี่ยวกับการพัฒนาอย่างจริงจังที่จะไม่เลือกตำแหน่ง หน้าที่การงาน หรือเป็นคนที่อยู่ในระดับใด ผมยอมรับครับว่าอาจารย์คือแชมป์พันธุ์แท้จริงๆ และหากอาจารย์มีหนังสือดีๆแบบนี้อีก ผมใคร่ขอไว้ศึกษาหาความรู้อีกนะครับ สุดท้ายนี้ ผมหวังว่าอาจารย์และองค์กรจะมีความสุขมากๆ กับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ต่อไป เพื่อเปิดโอกาสที่จะให้ประเทศไทยพร้อมทั้งคนไทยเจริญก้าวหน้าทันต่อโลกสู้กับชาติอื่นๆได้ดียิ่งขึ้นต่อไป สวัสดีครับ
กราบเรียนอาจารย์หลังจากที่ได้อ่าน"ทรัพยากรมนุษย์"ก็พอสรุปได้ว่า มนุษย์เกิดมาเท่ากันโดยพื้นฐาน แต่การพัฒนาทรัพยากร มนุษย์จะทำให้มีความสามารถทัดเทียมกัน การลงทุนในด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์จึงจำเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งจะสะท้อนแนว ความคิดของเขากับการพัฒนาสังคมให้มีคุณค่า จากเดิม" คน" เป็นเพียงต้นทุนแต่การผลิต" คน" ต่างหากคือกำไร แต่ก่อนใน สังคมไทยให้ความสำคัญ ต่อการพัฒนาวัตถุที่เป็นรูปธรรม เพื่อนำพาความเจริญไปสู่ชุมชนต่างๆ เช่น การสร้างเขื่อน สร้างถนน สร้างโรงงานไฟฟ้า ท่าเรือ สนามบิน ตลอดจนการส่งเสริมการลงทุนและการส่งออก แต่ไม่มีการพัฒนาบุคลากรเพื่อรองรับ ความเจริญ จึงมีผลให้ทรัพยากรมนุษย์ ไม่เก่ง คิดไม่เป็น ส่งผลต่อเศรษฐกิจระยะยาวที่วางแผนไว้ ไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร ในปัจจุบันก็มีการพัฒนาผีมือแรงงาน แต่ไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร ซึ่งในปัจจุบันก็มีการพัฒนาผีมือแรงงานแต่ไม่ได้รับความ สนใจจากภาคอุตสาหกรรมเท่าที่ควรเพราะผีมือไม่เป็นที่ยอมรับ การพัฒนาบุคลากรเป็นการลงทุนของบริษัทที่ไม่ใช่ต้นทุนแต่ คนเป็นทรัพยากรที่มีความสำคัญสูงสุดที่ต้องการการเอาใจใส่ ดูแลหมั่นพัฒนาเพิ่มพูนความรู้ความสามารถอยู่ตลอดเวลา ก็เปรียบเสมือนเครื่องจักรนับวันยิ่งด้อยค่าลง แต่คนที่ได้รับการพัฒนา จะเพื่อค่าของตัวเองตลอดจากประสบการณ์ที่ได้รับ คนเราจะทำอะไรก็ตามเราจะต้องมีความเชื่อมั่น ความศัรทธา ในสิ่งที่กำลัง ทำอยู่ว่าจะเป็นประโยชน์และเป็นสิ่งที่ดีซึ่งจะนำพาเราไปสู่ความสำเร็จ และคนที่จะทำให้องค์กรประสบผลสำเร็จได้ต้องเก่ง ดี มีคุณธรรม บวกกับการมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล ทั้งกับการพิจารณาการเปลี่ยนแปลงโลกจากกระแสโลกาภิวัฒน์ ซึ่งมีผลกระทบต่อ ทรัพยากรมนุษย์ในหลายด้านฉะนั้นเราต้องตื่นตัวและพร้อมอยู่เสมอเพื่อรองรับกระแสโลกาภิวัฒน์ ส่วนการรักษาคนในองค์กร ไว้ต้องสร้างแรงจูงใจ สร้างความผูกพัน ความรักบริษัท สร้างสภาพแวดล้อมในการทำงาน และการทำงานเป็นทีมก็มีส่วนสำคัญไม่ น้อยกว่าอื่นใด
ดิฉันวราภรณ์ ระวิงทอง ได้อ่านหนังสือทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้แล้วรู้สึกว่ามีประโยชน์ต่อดิฉันเป็นอย่างมาก คุณพารณ และคุณจีระ ท่านทั้ง 2 ได้เล็งเห็นความสำคัญของทรัพยากร มนุษย์เป็นอันดับแรกมากกว่าสิ่งอื่น ดิฉันเห็นด้วยว่า คนเป็นทรัพย์สินที่มีค่ามากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นในองค์กรใด หรือว่าการทำธุรกิจใดๆ ก็จะใช้คนเป็นหลักสำคัญ รวมถึงองค์กรที่ใช้เครื่อง จักรอุตสาหกรรมใหญ่ๆก็ยังต้องใช้คนเป็นผู้ควบคุมดูแล ฉะนั้นองค์กรใดถ้ามีคน ก็จะต้องเกิดการพัฒนา และต้องพัฒนาไปเรื่อยๆ ถ้าหยุดการพัฒนาก็เหมือนเครื่องจักรที่หยุดการทำงานจะ ไม่มีค่าอะไรเลยดิฉันหาความรู้ได้จากหนังสือเล่มนี้ได้มากมาย ล้วนแต่เป็นประโยชน์ทั้งนั้น และการอ่านหนังสือก็เป็นการพัฒนาตนเองในอีกหนทางหนึ่งเช่นกัน ในหนังสือมีหลายแง่หลายมุมให้ คิดมากมาย สอนให้ศึกษาสิ่งต่างๆ ที่เรายังไม่เคยมองเห็น สอนให้เรารู้จักผู้อื่น สอนให้เรารู้จักการทำงานกันเป็นทีม สอนให้เราคิดในสิ่งใหม่ๆ สอนให้เรารู้จักการวางแผน และการแก้ไข ปัญหาในการทำงาน และแก้ไขปัญหาในสิ่งต่างๆให้ทันยุคทันสมัยตลอดเวลา ดิฉันเป็นคนหนึ่งที่อาจจะมีวิสัยทัศน์ที่ไม่กว้างไกลอะไรมากนัก แต่เมื่อได้อ่านหนังสือและเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องทรัพยากรมนุษย์แล้ว ทำให้ดิฉันรู้สึกมีความคิดและวิสัยทัศน์ได้กว้างไกลมากขึ้น รวมทั้งได้เข้าใจปัญหาและสามารถแก้ไขปัญหาได้ในระดับหนึ่ง และดิฉันยังได้เข้าใจเพื่อนร่วมงาน มากยิ่งขึ้นในการทำงานด้วยกัน ดิฉันต้องขอขอบคุณท่านอาจารย์ที่ช่วยทำให้ดิฉันเกิดความพัฒนาในตนเอง และในองค์กรที่ดิฉันปฏิบัติงานอยู่ด้วยความจริงใจเป็นอย่างยิ่ง
นางบุญช่วย จงรักษ์
ในหนังสือเล่มนี้ข้าพเจ้าได้อ่าน และได้ศึกษาแล้ว ข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นหนังสือที่ให้ความรู้และประโยชน์มีคุณค่าในหลายๆ ด้าน ยกตัวอย่างเรื่องการพัฒนามนุษย์ให้เป็นคนที่มีความสามารถ ความรู้ความเข้าใจในชีวิตของตัวเองมากขึ้น ซึ่งสอนให้พัฒนาตนเองและพัฒนาองค์อรของตนเองให้มีประสิทธิภาพและอิสระในการทำงาน มีอิสระในการตัดสินใจ รู้ถึงสิทธิและหน้าที่ที่พนักงานควรจะมีและควรจะได้รับ สอนให้มนุษย์รู้จักที่จะคิดทำในสิ่งที่ควรจะทำ และลองในสิ่งที่ควรจะลอง ศรัทธาในความเชื่อ ไม่ได้แต่คิดอย่างเดียวแต่ต้องลงมือปฏิบัติไปพร้อม ๆ กันด้วย และในหนังสือเล่มนี้ยังบอกอีกว่าให้มนุษย์มีทัศนคติที่ดีต่อตนเอง ต่อผู้อื่นและต่อสังคม บอกให้เรามีศีลธรรมในใจเกี่ยวกับการทำงานให้เป็นคนดี แสวงหาความรู้อยู่เสมอบอกให้เป็นผู้นำที่ดี ดูแลลูกน้อง สนใจและดูแลเอาใจใส่พนักงานทุกคน ให้ความสำคัญกับพนักงานเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน บอกให้มนุษย์สร้างเสริมประสบการณ์ให้ตัวเองอยู่เสมอ ให้พยายามสร้างวิสัยทัศน์ให้กับตนเอง ส่วนเรื่องทรัพยากรของมนุษย์เป็นสิ่งที่มีคุณค่ามากที่สุดชีวิตคือการลงทุนอย่างหนึ่ง ถึงแม้ว่าจะขาดทุนแต่ที่ขาดทุนนั้นให้เราคิดว่ามันเป็นกำไร เป็นประสบการณ์ และเป็นสิ่งที่คุ้มค่าที่สุดสำหรับอนาคตของเรา การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับองค์กรทุกๆ องค์กรและการที่เรามีความเชื่อมั่นในตนเองจะทำให้ตัวเราเองมีค่ามากที่สุดเช่นกัน
กาญจนาพร ยุบลพันธุ์
ดิฉันกาญจนาพร ยุบลพันธุ์ เป็นสมาชิกของอินโดรามาได้อ่านหนังสือทรัพยากรมนุษย์แล้ว ได้ความรู้คือการทำงานของคุณพารณ ที่ปุนซีเมนต์ไทยโดยการบริหารองค์กรแบบครอบครัว และเป็นพี่น้อง การทำงานเป็นทีมโดยแชร์ความคิดเห็นซึ่งกันและกัน รวมถึงสภาพแวดล้อมซึ่งสอนให้รู้ถึงการรับฟังและรับรู้เรื่องต่างๆ ทำให้รู้จักมองตัวเองให้น้อยลงมองผู้อื่นให้มากขึ้นและรู้จักการเห็นจุดอ่อนจุดเเข็งของตัวเองทำให้พัฒนาตนเอง แก้ปัญหาและตัดสินใจ และสิ่งที่ ดร.จีระ เขียนไว้ว่าคนถ้าไม่ดูแลพัฒนาก็เสื่อม หรือเสื่อมเร็วกว่าวัตถุอื่นๆ เพราะคนต้องคอยปรับปรุงตนเองอยู่เสมอ เช่นการเรียนรู้ รับฟัง มองภาพใหญ่ มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี ทำให้เราได้รับรู้อีกว่าโลกยุคโลกาภิวัฒน์ การแข่งขันที่เสรี การค้าระหว่างประเทศ (การแลกเปลี่ยนเงินตรา) เทคโนโลยีที่มีการพัฒนาไปมากขึ้นเช่น ทฤษฎี(4L,S) เข้าใจวิธีการเรียนรู้, การสร้างชุมชนเพื่อเรียนรู้ในการเป็นผู้นำที่ดีของดร.จีระ การบริหารความเป็นเลิศของคนในองค์กรของท่านพารณท่านมีปรัชญาความเชื่อในเรื่อง การมองคนแบบให้เกียรติ ไม่ว่าเขาเหล่านั้น จะมีตำแหน่งอะไร และการบริหารทรัพยากรที่สำคัญที่สุดในปัจจุบันไม่ใช่เงิน สิ่งของ หรือเครื่องจักร แต่เป็นคน ซึ่งคนต้องเป็นคนเก่งและคนดีด้วย

กราบเรียนอาจารย์ หลังจากที่ได้รับฟังการบรรยายและได้อ่านหนังสือทำให้ได้รับรู้ ประเด็นอะไรที่มันใหม่ๆ และข่าวสารที่ทันสมัยชอบตรงที่ท่านบอกว่า

มนุษย์ คือ ทรัพยากร ที่สำคัญที่สุดของโลกและทรัพยากรมนุษย์ต้องการ การพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ถูกต้องและต้องการเรียนรู้อย่างมีคุณภาพการเรียนรู้ไม่จำกัดว่าต้องเรียนเฉพาะในห้องเรียนหรือต้องจบการศึกษาที่สูง

การเป็นผู้นำต้องเปิดใจให้กว้างยอมรับ คำติชมของผู้บังคับบัญชาและผู้ใต้บังคับบัญชา ต้องเข้าถึงกับคนทุกระดับได้มีความรับผิดชอบสูงการทำงานต้องทำงานเป็นทีมจึงจะประสบผลสำเร็จ ต้องมีความคิดริเริ่ม มีทั้งทฤษฎีและปฏิบัติได้ต้องทำตัวเป็นตัวอย่างที่ดี การอยู่ในยุคโบกาภิวัฒน์ต้องทำตัวให้รับได้กับทุกสถานการ ต้องรู้ข่าวสารรอบด้าน ต้องทันเหตุการณ์

องค์ต้องเอาใจใส่ พนักงานและครอบครัวของพน้กงาน ในองค์กรอบะต้องทำความเข้าใจ กับชุมชนที่อยูรอบๆ องค์กรของเราเพื่อลดผัญหาการถูกร้องเรียน ต้องสร้างความน่าเชื่อถือให้กับลูกค้า ทำให้ลูกค้ายอมรับผลิตภัณฑ์ ขององค์

มาเรียม เหลืองอร่าม

เรียน อาจารย์

หลังจากที่ได้อ่านหนังสือทรัพยากรมนุษย์ของอาจารย์แล้ว ก็พอสรุปได้ว่า มนุษย์มีความความเท่าเทียมกันโดยพื้นฐาน แต่ความรู้ความสามารถไม่เท่ากัน จึงต้องมีการพัฒนาในด้านทรัพยากรมนุษย์ จึงจำเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งจะสะท้อนแนวความคิดของเขากับการพัฒนาให้มีคุณค่าจากเดิม "คน" เป็นเพียงต้นทุน แต่การผลิตคนต่างหากเป็นกำไร สังคมไทยให้ความสำคัญในการพัฒนาที่เป็นรูปธรรม เพื่อนำพาความเจริญไปสู่ชุมชน เช่น การสร้างเขื่อน สร้างถนน ตลอดจนการส่งเสริม การลงทุนด้านการส่งออก ซึ่งไม่มีการพัฒนาบุคคลากรเพื่อรองรับความเจริญ จึงมีผลให้ทรัพยากรมนุษย์ไม่เก่ง คิดไม่เป็น ซึ่งในปัจจุบันมีการพัฒนาฝีมือแรงงาน แต่ไม่ได้รับความสนใจจากภาคอุตสาหกรรมเท่าที่ควร เพราะฝีมือไม่เป็นที่ยอมรับ จำเป็นต้องมีการพัฒนาบุคคลากรให้มีฝีมือ เพื่อการแข่งขัน เปรียบเสมือนเครื่องจักรนับวันยิ่งด้อยค่าลง แต่คนที่ได้รับการพัฒนา จะเพิ่มค่าของตัวเองตลอดจนประสบการณ์ที่ได้รับ จะต้องมีความเชื่อมั่น ในสิ่งที่กำลังทำอยู่ และคนที่จะทำให้องค์กรประสบผลสำเร็จ ต้องเก่ง มีคุณธรรม บวกกับมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล เพื่อให้ทันโลกจากระแสโลกาภิวัฒน์ สร้างแรงจูงใจ สร้างความผูกพัน ความรักองค์กร สร้างสภาพแวดล้อมในการทำงาน และการทำงานเป็นทีม

 

มาเรียม เหลืองอร่าม

เรียนอาจารย์

หลังจากที่ได้อ่านหนังสือทรัพยากรมนุษย์ของอาจารย์แล้ว พอสรุปได้ว่า มนุษย์ทุกคนมีความเท่ากันโดยพื้นฐาน แต่ความรู้ความสามารถไม่เท่ากัน จึงต้องมีการพัฒนาในด้านทรัพยากรมนุษย์จึงจำเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งจะสะท้อนแนวความคิดของเขากับการพัฒนาให้มีคุณค่า จากเดิม "คน"เป็นเพียงต้นทุน แต่การผลิตคนต่างหากเป็นกำไร สังคมไทยให้ความสำคัญในการพัฒนาที่เป็นรูปธรรม เพื่อนำพาความเจริญไปสู่ชุมชน เช่น การสร้างเขื่อน สร้างถนน ตลอดจนการส่งเสริมการลงทุนด้านการส่งออก ซึ่งไม่มีการพัฒนาบุคคลากรเพื่อรองรับความเจริญ จึงมีผลให้ทรัพยากรมนุษย์ไม่เก่ง คิดไม่เป็น ซึ่งในปัจจุบันก็มีการพัฒนาฝีมือแรงงาน แต่ไม่ได้รับความสนใจจากภาคอุตสาหกรรมเท่าที่ควร เพราะฝีมือไม่เป็นที่ยอมรับ จำเป็นต้องมีการพัฒนาบุคลากรให้มีฝีมือ เพื่อการแข่งขันกัน เปรียบเสมือนเครื่องจักรนับวันยิ่งด้อยค่าลง แต่คนที่ได้รับการพัฒนาจะเพิ่มค่าของตัวเอง ตลอดจนประสบการณ์ที่ได้รับ จะต้องมีความเชื่อมั่น ในสิ่งที่กำลังทำอยู่ และคนที่จะทำให้องค์กรประสบความสำเร็จได้ต้องเก่ง มีคุณธรรม บวกกับการมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล เพื่อให้ทันโลกจากกระแสโลกาภิวัฒน์ สร้างแรงจูงใจ สร้างความผูกพัน รักองค์กร สร้างสภาพแวดล้อมในการทำงานให้ดีขึ้น รวมทั้งการทำงานเป็นทีม

จากการที่ได้อ่านหนังสือทรัพยากรมนุษย์พันธ์แท้ จึงได้ทราบว่า การจัดตั้งองค์กรทรัพยากรพัฒนาบุคคล เป็นสิ่งที่ยาก มีอุปสรรคมากมาย แต่แล้วก็สำเร็จไปได้ด้วยดี เพราะความคิดริเริ่มที่ดี มีความพยายาม ตั้งใจจริง และด้วยความช่วยเหลือจากบุคคลหลายๆ ฝ่าย องค์กรที่ประสบผลสำเร็จ ในเรื่องของคน ก็คือองค์กรที่มีผู้นำที่มี วิสัยทัศน์กว้างไกล สามารถใช้การสื่อสาร และถ่ายทอดวิสัยทัศน์ ให้แก่ผู้ร่วมงานได้เข้าใจ สามารถปฏิบัติตามได้สำเร็จ และเป็นต้นแบบทั้งการเป็นคนดี และคนเก่งในเวลาเดียวกัน หากองค์กรที่มีทรัพยากรมนุษย์ ที่มี IQ,EQ,AQ,TQ และ MQ สูงขึ้น การเพิ่มPRODUCTIVITY ย่อมเป็นผลที่จะตามมาอย่างแน่นอน รวมถึงการสร้างแรงจูงใจที่ดีให้เกิดขึ้นในองค์กรนั้นๆ ด้วย กรมทรัพยากรมนุษย์มองเห็นคุณค่าของมนุษย์ว่ามีค่ามากกว่าเครื่องจักร หรือทรัพย์สินเงินทอง ที่ต้องเอาใจใส่ดูแล ห่วงใยอย่างต่อเนื่อง และต้องมีการพัฒนาอย่างสม่ำเสมอ ในฐานะที่ดิฉันเป็นพนักงานคนหนึ่งในองค์กรนี้ รู้สึกภูมิใจมากที่ทางองค์กรมองเห็นคุณค่า และช่วยพัฒนาเพิ่มพูนความรู้ให้มากขึ้น รวมทั้งทำความสามารถให้มีคุณภาพมากขึ้นไปด้วย และทำให้ดิฉันรู้จักหมั่น สำรวจตนเอง ฝึกฝน ทักษะ ความคิด ตลอดเวลา รู้จักการเปิดโลกทัศน์ และรับรู้ข่าวสาร เทคโนโลยี ใหม่ๆ แม้แต่ภาษาต่างประเทศ ซึ่งใช้ในการสื่อสารก็จะต้องพัฒนา ให้มีคุณภาพ เพื่อองค์กรของเรา TRANSFORMATION หนังสือทรัพยากรมนุษย์พันธ์แท้ เป็นคู่มือแนะแนวทางให้ดิฉันได้เป็นอย่างดี ดิฉันจะนำแนวทางที่ได้มาเป็นความรู้ใหม่นี้มาพัฒนาตนเองและใช้กับเพื่อนร่วมงานเพื่อที่จะได้ทำงานกันเป็นทีมอย่างมีประสิทธิภาพ
สวัสดีครับ ท่านอาจารย์ ที่เคารพ ผมนายกิตติ แก้วพงษ์ ได้เรียนรู้จากท่าน และได้อ่านหนังสือเล่มนี้แล้วได้นำไปปฎิบัติในองค์กรของผมได้ดังนี้ 1.การเป็นผู้นำที่ดีต้องให้ลูกน้องได้ดีด้วยไม่ใช่โดดเด่นอยู่แต่เพียงผู้เดียว 2.การเป็นผู้นำต้องมองกาลไกล(ภาพใหญ่)ในการเรียนรู้และคาดการณ์ สามารถวางแนวทางได้ในอนาคต 3.ให้รู้จักจุดแข็งและจุดอ่อนของตนเองว่าเป็นอย่างไร และผมสรุปจากการได้อ่านหนังสือเล่มนี้ว่าคุณพารณและอาจารย์จีระ ได้ให้แง่คิดดีๆ แก่ผมเป็นอย่างมาก และสามารถนำไปปฎิบัติในองค์กรให้ประสบความสำเร็จได้ โดยองค์กรต้องพัฒนาคนควบคู่กันไปด้วย รวมทั้งให้มีความรู้ มีทักษะ มีความสามารถในด้านต่างๆ และการเป็นผู้นำที่ดีนั้นต้องเปิดกว้างยอมรับฟังปัญหาทุกอย่างของผู้ร่วมงาน และแก้ไขปัญหาได้ ทำอะไรก็ต้องทำให้จริง ต้องมองจากผลระยะยาวและพยายามสร้างองค์กรให้เหมือนครอบครัวเดียวกัน ลงไปเรียนรู้ร่วมกันกับพนักงานทุกระดับเพื่อเพิ่มขวัญและกำลังใจในการทำงาน ให้เกียรติกับผู้ร่วมงานทุกคนให้ได้รับความอบอุ่นตลอดเวลา และนำความรู้ความสามารถของแต่ละคนไปใช้ให้เกิดประโยชน์ และสามารถนำไปปฎิบัติและแก้ไขได้ถูกต้อง ซึ่งจะทำให้องค์กรเจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้น การทำงานทุกครั้งต้องมองทุกอย่างเป็นงานที่ท้าทาย และจะทำให้เรามีแรงบันดาลใจในการทำงานเป็นทีมซึ่งเน้นการมีส่วนร่วม ซึ่งกันและกัน สุดท้ายนี้ผมต้องขอขอบคุณอาจารย์ ที่ได้สละเวลามาให้ความรู้แก่ผมและองค์กรของผม ทำให้ผมมีการพัฒนาตัวเองมากขึ้น
ราบเรียนท่านอาจารย์ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ ดิฉัน นางสมใจ กลัดงาม ได้อ่านหนังสือของอาจารย์แล้วได้รับความรู้ และแนวคิดเกี่ยวกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์อยู่หลายประการ รวมทั้งได้ทราบถึงคุณพารณ และอาจารย์ ว่าท่านทั้งสองเป็น นักพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่ยอดเยี่ยมจริงๆ องค์กรจะตั้งขึ้นได้ต้องประกอบด้วยคนซึ่งเป็นทรัพยากรที่สำคัญ คนเป็นปัจจัยหนึ่งในการเพิ่มผลผลิต เดิม "คน"เป็นเพียงต้นทุนแต่การผลิต "คน"ต่างหากคือกำไร เราจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องดูแลบุคลากรเป็นการลงทุนของบริษัทที่ไม่ใช่ต้นทุน แต่คนเป็นทรัพยากรที่มีความสำคัญสูงสุดที่ต้องการ การเอาใจใส่ ดูแลมั่นพัฒนาเพิ่มพูนความรู้ความสามารถอยู่ตลอดเวลา ก็เปรียบเสมือนเครื่องจักรนับวันยิ่งด้อยค่าลง แต่คนที่ได้รับการพัฒนาจะเพิ่มค่าของตัวเองตลอด จากประสบการณ์ที่ได้รับ และการเป็นผู้นำจะต้องเข้าถึงจิตใจของลูกน้องเอาใจเขามาใส่ใจเรา ผู้นำจะต้องเก่งและดีด้วย คู่กันไป มีความอบอุ่น เปิดกว้างรับความคิดเห็นของลูกน้องตลอดเวลา สุดท้ายนี้ดิฉันคิดว่าในการเรียนครั้งนี้ดิฉันจะพัฒนาตนเองและลูกน้องให้มีศักยภาพให้มากยิ่งขึ้น ดิฉันจะนำแบบอย่างของคุณพารณ และของอาจารย์ มาปรับปรุงตัวเองและองค์กรให้ก้าวหน้าต่อไป
จากที่ดิฉันได้อ่านหนังสือเล่มนี้แล้วดิฉัน จึงได้รู้ว่าการเป็นผู้นำที่ดีนั้นไม่ได้เป็นง่ายเลย ต้องผ่านอุปสรรค และการทุ่มเทเป็นอย่างมาก และต้องมีการใฝ่รู้อยู่ตลอดเวลา เพื่อนำมาก พัฒนาตนเองและองค์กรให้ดียิ่งขึ้น ดิฉันยังได้แนวคิดเกี่ยวกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ที่เป็นแชมป์จริงๆ ซึ่งเป็นทรัพยากรที่สำคัญ คนเป็นปัจจัยหนึ่งในการพัฒนาองค์กร ไม่ใช่เป็นเพียงต้นทุนการผลิตเท่านั้น แต่คนเป็นกำไรที่แท้จริงขององค์กร คนเป็น ทรัพยากรที่สำคัญในการทำธุรกิจให้เติบโตขึ้น สร้างความเป็นเลิศให้องค์กร สร้างแรง จูงใจ ให้กำลังใจในการทำงาน เปิดใจยอมรับความคิดเห็นและปัญหาต่างๆ พร้อมให้คำแนะนำและสร้างบรรยากาศที่ดีในการทำงานและยังเพิ่มความจงรักภักดี และมีระเบียบวินัยของคนในองค์กร ตั้งใจทำงานทุกอย่าง ให้มีคุณภาพ เน้นการทำงานเป็นทีม ให้เกิดความผูกพันธ์กับองค์กรอย่างต่อเนื่อง ดิฉันจะนำประโยช์จากการอ่านหนังสือเล่มนี้มาปรับปรุงและปฎิบัติจริง ในชีวิตการทำงานของดิฉันให้ดียิ่งขึ้นต่อไป
นายฉัตรเทพ ศรีห่วง
ผมได้อ่านหนังสือของอาจารย์จีระ เกี่ยวกับเรื่องทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้แล้ว ได้รับประโยชน์ และความรู้เป็นอย่างมาก ที่จะนำมาพัฒนาคนและพัฒนาตนเอง จากประสบการณ์ของอาจารย์ ที่มีความมุ่งเน้นที่จะพัฒนาคนจากจุดหนึ่งขึ้นไปสู่อีกจุดหนึ่ง ดั่งคำพูดของอาจารย์ที่พูดไว้ ว่า ถ้าเราสมารถเรียนรู้ที่จะมีทักษะความเชี่ยวชาญในการจัดการกับคนแล้ว ย่อมสามารถที่จะ ดึงเอาศักยภาพของพวกเขาออกมาให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับองค์กรได้ การเรียนรู้โดยการปฏิบัติ จริงนี้ คือ ปรัชญาของศาสนาพุทธแท้ๆ เพราะถ้าเด็กได้ปฏิบัติแล้วจะซึมซับให้เข้าไปในจิต สำนึกของเขา และจะทำให้เขารู้จริง และจะติดตัวเขาไปได้นาน คนทุกคนเป็นทรัพย์สิน ที่มีค่ามากกว่าทรัพย์สินอื่นใด ในองค์กร ไม่ว่าจะเป็นเงิน หรือเครื่องจักร หรืออะไรก็ตาม คน ก็เป็นทรัพยากรที่มีคุณค่ามากที่สุด คุณภาพด้านการศึกษาเป็นปัจจัยที่สำคัญ เพราะมีส่วนต่อ คุณภาพของทรัพยากรมนุษย์โดยตรง หรือถ้าการศึกษาเป็นจุดอ่อน องค์กรจะทดแทนด้วยการสร้าง วัฒนธรรมในการเรียนรู้ การลงทุนในคุณค่าของคนนั้น จะวัดจากการศึกษา และการฝึกอบรม อย่างเดียวคงไม่ได้ แต่ต้องดูด้วยว่า คนเหล่านั้นมีความสามารถในการสร้างเพิ่มผลผลิตแค่ไหน และในการเพิ่มผลผลิต คือ คนต้องมีความจงรักภักดี มีวินัยและ มีความเข้าใจร่วมกันในการ ทำงานนั้นให้สำเร็จได้ อีกอย่างหนึ่งก็คือ คนเก่งอย่างเดียวไม่ได้ คนๆนั้นจะต้องเป็นคนที่ดี ด้วย จึงสามารถพาองค์กรให้ประสบความสำเร็จได้ และการเรียนโปรแกรมพัฒนาความเป็น ผู้นำ อย่างมืออาชีพ ในวันที่ 12 มิ.ย. 50 นั้น ทำให้ผมได้ความรู้เกี่ยวกับการเป็นผู้ฟังที่ดี การทำงาน เป็นทีมอย่างมีระบบ และการสร้างวัฒนธรรมของการเรียนรู้ให้เป็นคนที่มีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลใฝ่ หาความรู้เพิ่มเติมตลอดเวลา สรุปได้ว่าผมศรัทธาในความคิดและความมุ่งมั่นของอาจารย์ทั้งสองท่านจริงๆ ที่มีความ มุ่งมั่นจะพัฒนาคนเหล่านั้นและเป็นโอกาสของผมที่จะได้รับความรู้ที่อาจารย์จะถ่ายทอดให้อย่าง จริงจัง ขอบคุณครับ นายฉัตรเทพ ศรีห่วง

กราบเรียนท่านอาจารย์จีระ

ก่อนอื่นดิฉันต้องกราบขอบพระคุณที่ท่านอาจารย์ได้สละเวลาอันมีค่าของอาจารย์มาแนะนำประสบการณ์และความรู้แก่พวกเราชาวอินโดรามา และขอขอบคุณท่านผู้บริหารทุกท่านที่ได้จัดทำโครงการ
KPD ขึ้นมาเพื่อพัฒนาศักยภาพ ประสิทธิภาพ และความสามารถของพวกเราให้เพิ่มพูนขึ้น โดยการTRANSFOMATION มิใช่การ TRANSECTION อีกสิ่งหนึ่งคืออาจารย์ได้มาจุดประกายไฟ โดยการกระตุ้นการสร้างแรงจูงใจในการที่จะนำความรู้และประสบการณ์ของอาจารย์มาเป็นแนวทางในการพัฒนาตัวเอง และองค์กรให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป

จากการที่ดิฉันได้อ่านหนังสือทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้ ทำให้ดิฉันได้รู้จักนักปราชญ์ผู้เชี่ยวชาญทั้งสองท่าน คือคุณพารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา และดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ ที่อุทิศตนเองเพื่อสังคมในการรณรงค์เพื่อให้สังคมเห็นความสำคัญของทรัพยากรมนุษย์ ทั้งในเรื่องการดำเนินชีวิต การปฎิบัติตน รวมทั้งแนวความคิด โดยการเน้นให้องค์กรใส่ใจดูแลทรัพยาการมนุษย์ ให้ทุกคนเข้ามามีส่วนร่วมในองค์กร ซึ่งจะทำให้พวกเค้ารู้สึกรักองค์กรมากขึ้น และเน้นให้องค์กรบริหารงานโดยใช้คุณธรรม จริยธรรม ความเท่าเทียมกัน โดยเฉพาะผู้นำที่ดีจะต้องเป็นผู้มีวิสัยทัศน์กว้างไกล มีความจริงใจ มีความมุ่งมั่น ที่จะนำองค์กรไปสู่ความเจริญก้าวหน้า และนึกเสมอว่า "คนเป็นสมบัติอันมีค่ามากที่สุดขององค์กร" มิใช่เครื่องจักรยิ่งนานวันจะเสื่อมสภาพลง แต่ทรัพยากรมนุษย์ หากได้รับการฝึกฝน อบรมให้ความรู้มากขึ้นเท่าไหร่ องค์กรก็จะได้รับผลประโยชน์มากขึ้นตามไปด้วย และผู้นำที่ดีจะต้องมี 4 เก่ง คือ เก่งงาน เก่งคน เก่งคิดและเก่าเรียน พร้อมด้วยดี 4 คือ ประพฤติดี มีน้ำใจ ใฝ่หาความรู้ ควบคู่คุณธรรม

อาทิท่านพารณฯ มีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาการศึกษารูปแบบใหม่ ภายใต้แนวความคิด
CONSTRUCTIONISM อย่างเอาจริงเอาจัง เพื่อสร้างความพร้อมให้เด็กไทยก้าวสู่การเป็นพลเมืองโลก หรือ GLOBAL CITIZEN อย่างสมบูรณ์ที่สุด เพื่อให้เด็กไทยคล่องแคล่วในเรื่องภาษาไทย ภาษาอังกฤษและเทคโนลียี

และท่านดร.จีระ กล้าเกษียณตัวเองออกมาจากงานสอนอันเป็นที่รักประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในวัยเพียง 55 ปี โดยมีแนวความคิดว่าสามารถเป็นอาจารย์ได้โดยไม่จำเป็นต้องอยู่ในรั้วมหาวิทยลัย กล้าโดดออกจากกล่องทำให้ท่านสามารถขยายฐานสังคมแห่งการเรียนรู้ได้อย่างกว้างขวางมากขึ้นกว่าเดิม

อาจารย์สอนให้เปิดสมองให้กว้าง รับแนวคิดใหม่ ๆ มีการคิดนอกกรอบและนำความรู้มาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน ฝึกการคิดเป็นและวิเคราะห์เป็น หาข้อมูลข่าวสารภายนอกองค์กร รอบตัวเรา และสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นทั่วโลก รวมทั้งการรู้จักช่วยเหลือสังคม หมั่นใฝ่หาความรู้ใหม่ ๆ อยู๋ตลอดเวลา เพื่อให้เราก้าวทันโลกยุคโลกาภิวัฒน์

กราบเรียนอาจารย์จีระ

ดิฉันได้อ่านหนังสือทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้แล้ว รู้สึกประทับใจในการทำงานของท่านทั้งสองมาก คือคุณพารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา เป็นบุคคลผู้บุกเบิกการพัฒนาทรัพยกรมนุษย์ของบริษัทปูนซีเมนท์ไทยอย่างแท้จริง เป็นผู้นำที่ดีสมควรอย่างยิ่งจะนำมาเป็นแแบบอย่างในชีวิตกาทำงาน และดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ เองก็มีความมุ่งมั่นที่จะขยายความรู้ของเด็กไทยให้ก้าวไกลไปสู่อนาคต ท่านมีความพยายามและไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคทั้งหลาย และหนังสือเล่มนี้อ่านแล้วทำให้ได้แง่คิดต่างๆ ที่สำคัญและจำเป็นสำหรับคนไทยเป็นอย่างมาก ช่วยเสริมสร้างความรู้และความคิดให้แก่ตัวเราและบุคคลรอบข้าง ถ้าประเทศไทยมีผู้รอบรู้และเก่งอย่างท่านทั้งสอง แล้วนำมาปฏิบัติ และอุทิศตนเพื่อสังคมมากๆ ประเทศไทยของเราคงจะก้าวหน้าไปไกลทัดเทียมกับประเทศที่เจริญแล้ว

และหนังสือเล่มนี้ยังสอนการเป็นผู้นำที่ดี การทำงานอย่างต่อเนื่อง และการทำงานให้เป็นทีม อ่านแล้วทำให้รู้สึกไม่ย่อท้อในการทำงาน อาจารย์มาสร้างแรงจูงใจให้พวกเราเกิดความรู้สึกรักองค์กรเป็นอย่างมาก เพราะการเป็นผู้นำที่ดีได้เราต้องคิดก่อนทำอยู่เสมอ เราจะเก่งอยู่คนเดียวไม่ได้ เราต้องทำงานกันอย่างเป็นทีม งานจึงจะประสบความสำเร็จ

 

นายวีระศักดิ์ เกษร
สวัสดีครับอาจารย์ ผมนายวีระศักดิ์ เกษร ผมได้อ่านหนังสือพัฒนาทัพยากรมนุษย์ของอาจารย์แล้วได้ทราบว่าอาจารย์มีประสบการณ์ในการพัฒนา มีวิสัยทัศที่กว้างไกลทำให้คนรุ่นหลังได้ศึกษา และยังได้ทราบถึงความรู้แนวคิด วิถีทางการทำงานมาเสริมความรู้ ความสามารถให้กับตนเอง เพื่อนำมาพัฒนาตนเองให้ดียิ่งขึ้นตลอดจนการดำเนินชีวิตให้มีคุณภาพ การนำทักษะ ต่างๆ จากการคิดวิเคราะ ความมุ่งมั่นคุณธรรม ทำในสิ่งที่ถูกต้องเพื่อเป็นประโยชน์ต่อตนเอง ครอบครัว องค์กร พร้อมทั้งประเทศชาติให้เจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้นต่อไปป

กราบเรียนอาจารย์ที่เคารพ

ดิฉันรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ทางบริษัทได้จัดทำโครงการนี้ขึ้นมา เพื่อพัฒนาความรู้ของพนักงานอินโดรามา หลังจากที่ดิฉันได้อ่านหนังสือทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้แล้ว รู้สึกประทับใจในการทำงานของคุณพารณ และตัวอาจารย์เป็นอย่างมาก และได้เรียนรู้ในสิ่งที่ตัวเองไม่เคยรับรู้มาก่อนเลย อาจารย์ได้มาทำให้พวกเรารู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่ามากขึ้น มาสร้างแรงบันดาลใจให้เราตื่นตัวขึ้นเพื่อรับข่าวสารต่างๆ รอบตัวเรา แล้วนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้เป็นอย่างดี

อาจารย์มาบรรยายให้เราทราบว่า เราเป็นฟันเฟื่องอีกสิ่งหนึ่งขององค์กร ที่จะเป็นแรงขับเคลื่อนให้องค์กรเดินไปข้างหน้า ทำให้ทราบว่า คนเป็นทรัพยากรที่สำคัญที่สุดขององค์กร และต้องมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องด้วย จึงจะมีประสิทธิภาพและประสบความสำเร็จทั้งชีวิตการทำงานและชีวิตครอบครัว หนังสือของอาจารย์ได้บอกเกี่ยวกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ได้หลายด้านด้วยกัน ทั้งทางด้านการศึกษาของเด็กไทยที่ยังไม่ได้รับการพัฒนาเท่าที่ควร การนำเทคโนโลยีมาใช้ควบคู่ไปกับการทำงาน การที่เราต้องตามให้ทันโลกยุคโลกาภิวัฒน์ ต้องเปิดใจให้กว้างในการรับฟังข่าวสารต่างๆ ทั้งในองค์กร และภายนอกองค์กร ต้องทำตัวให้เป็นผู้นำที่ดี ต้องมีความมุ่งมั่น จริงใจกับการทำงาน ต้องสามารถเข้ากับบุคคลรอบข้างได้ดี เน้นการทำงานเป็นทีม งานนั้นจึงจะสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี องค์กรก็จะมีความเจริญก้าวหน้าตามไปด้วย

สวัสดีท่านอาจารย์จีระ ผมได้อ่านหนังสือของอาจารย์แล้วจึงได้ทราบว่าการที่อาจารย์ได้ก่อตั้งสถาบันพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ขึ้นมานั้น มีประโยชน์มากมายทั้งองค์กร,ห้างร้าน,และประเทศทำให้ได้รู้ว่ามนุษย์เป็นสินทรัพย์ที่มีค่าที่สุดขององค์กร ผมคิดว่าถ้าบุคลากรใน องค์กรได้รับการพัฒนาขึ้นมาภายใต้ การดูแลของสถาบันพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เพราะจะทำให้คิดเป็นมากกว่า การที่จะทำงานอย่างเดียว และได้รู้จักคิดแล้วนำไปปฎิบัติ ถ้าองค์กรใดมีบุคลากรที่มีคุณภาพแล้วผลผลิตขององค์กรนั้นก็จะดียิ่งขึ้น เพราะตามแนวความคิดของอาจารย์แล้วการดูแลบุคลากรอย่างดี จะทำให้บุคลากรเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดขององค์กร งานจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จนั้นขึ้นอยู่ที่ความสามารถของบุคลากรด้วย คือให้รู้จักมีความจงรักภักดี และความมีวินัยของคนในองค์กรด้วย
ดิฉันได้อ่านหนังสือของอาจารย์ได้ความรู้และรู้จักอาจารย์มากขึ้นโดยส่วนตัวอาจารย์เป็น คนช่างคิดและทําจริงเพื่อให้ประสพผลสําเร็จดิฉันจะนําแนวความคิดของอาจารย์มาเป็น แบบอย่างในด้านการพัฒนาคนให้รู้จักคิดและทําจริงให้เกิดประโยชน์ต่อองค์กรและสังคม รวมถึงตัวดิฉันเองด้วย ในด้านการทํางานขององค์กร จะต้องเก่งและดีงานจะประสบความ สําเร็จได้ต้องร่วมมือกันทําเป็นทีมและช่วยกันคิดช่วยกันทําทุกคนต้องรู้จักหน้าที่และความ รับผิดชอบของแต่ละคนในด้านการเรียนรู้ดั่งคําพูดของอาจารย์ที่ว่าปริญญาคือใบรองแต่ปัญ ญาคือความคิดที่ไม่หยุดนิ่งดิฉันได้ฟังคําพูดของอาจารย์ดิฉันได้นําคําพูดของอาจารย์มา เป็นแนวทางเพื่อเพิ่มพูนความรู้ให้แก่ตัวเองและสร้างความเชื่อมั่นรวมถึงผู้ร่วมงานให้กล้า คิดกล้าทําและกล้าที่จะแสดงออก สรุปคือดิฉันจะมุ่งมั่นที่จะเรียนรู้จากอาจารย์ให้ได้ มากที่สุดและจะนําความรู้ที่ได้ รับเพื่อไปสร้างประโยชน์ให้แก่องค์กรและสังคมอย่างจริงจัง
สิ่่่งที่ได้จากการอ่านหนังสือ ทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้ ซึ่งสิ่งที่ได้รับคือ แนวทางในการนำประสบการณ์ของ อาจารย์ไปพัฒนาองค์กรคือ1.    ปัจจัยสำคัญอีกอย่างหนึ่งในการทำให้การเพิ่มผลผลิตประสบความสำเร็จก็คือความจงรักภักดีและความมีวินัยของคนในองค์กร  2. ถ้าเราจะรักษาคนไว้ แต่ไม่มีการสร้างแรงจูงใจ พวกเขาจะอยู่ได้อย่างไรขวัญกำลังใจไม่มี  3. การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ พัฒนาให้เขาสามารถมีความรู้ ความสามารถและสามารถนำไปสร้างมูลเพิ่มให้กับตัวเอง สังคม และประเทศชาติได้  4. การลงทุนด้านทรัพยากรมนุษย์กลับไม่สามารถจะเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้อย่างชัดเจน ถึงได้มาก็เป็นเพียง SUPPLY SIZE ไม่มี DEMARD SIZEผู้นำจะต้องสามารถบริหารแรงจูงใจให้พนักงานรู้สึกพึงพอใจ ที่จะกลับมาอยู่กับองค์  5. ถ้าเราสามารถเรียนรู้ที่จะมีทักษะความเชี่ยวในการจัดการกับคนแล้วย่อมที่จะดึงเอาศักยภาพของพวกเขาออกมาให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับองค์กร                                         

เรียนอาจารย์ดร.จีระที่นับถือยิ่ง

ดิฉันดีใจมากที่ได้มีโอกาสได้เข้าเรียนกับอาจารย์จีระ เมื่อวันที่ 12 มิ.ย.ที่ผ่านมาค่ะ นับว่าเป็นสิ่งที่ดีและแปลกใหม่สำหรับดิฉัน แล้วก็ทำให้กล้าคิด กล้าแสดงออกมากขึ้นและมีแนวคิดใหม่ ๆ เพื่อจะนำไปพัฒนาคนและองค์กรต่อไป

ดิฉันได้อ่านหนังสือ"ทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้" ของอาจารย์แล้วทำให้ทราบว่าอาจารย์ได้ผ่านอุปสรรคในหลายด้านกว่าจะได้รับความไว้วางใจในการจัดตั้ง "สถาบันทรัพยากรมนุษย์" และดิฉันได้รู้ว่าอาจารย์พารณและอาจารย์จีระเป็นนักพัฒนาคนที่ไม่มีโอกาส กลับมามีโอกาสทำงานให้มีประสิทธิภาพด้านผลผลิตในองค์กรของตน ถ้าเราสามารถเรียนรู้ที่จะมีทักษะและความเชี่ยวชาญในการจัดการกับคนแล้ว ย่อมสามารถที่ดึงเอาศักยภาพ ของพวกเราออกมาทำให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับองค์กรได้

และดิฉันคิดว่า อาจารย์พารณและอาจารย์จีระเป็นบุคคลที่น่านับถือและเอาเป็นแบบอย่าง สิ่งที่ดิฉันได้อ่านหรือได้รู้จากอาจารย์จีระ ก็จะพยายามทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำใด้ค่ะ

ท้ายสุดดิฉันขอให้อาจารย์มีสุขภาพแข็งแรง

สวัสดีค่ะ ดิฉันชื่อนางบุญชู เทียนชัย ทรัพยากรของมนุษย์ถือเป็นทรัพยากรที่มีความสำคัญที่สุดเหนือกว่าทรัพยากรอื่นใด เนื่องจากหนังสือ ทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้จัดเป็นช่องทางสำคัญอีกช่องทางหนึ่งในการเผยแพร่ความสำคัญของทรัพยากร มนุษย์ต่อสังคม เท่าที่ดิฉันได้ศึกษาและอ่านจากหนังสือทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้นี้ ทำให้ดิฉันรู้ว่า พวกเราโชคดีมากที่มีโอกาสได้เรียนรู้วิธีการทำงานในการฝึกทักษะสำหรับการพัฒนาเกี่ยวกับทรัพยากรมนุษย์ จากหนังสือเล่มนี้ที่ปราชณ์อย่างท่านอาจารย์ทั้งสองได้พิสูจน์ด้วยชีวิต ดิฉันเห็นด้วยเป็นอย่างมาก ดิฉันได้ศึกษาและเข้าใจได้ดีกับคำว่า คน เพราะคนเป็นทรัพยากรที่สำคัญที่สุดขององค์กรและการทำ ธุรกิจ มาจนบัดนี้จะทำอะไรก็ต้องอาศัยมนุษย์ ซึ่งมนุษย์เราก็ต้องปฏิบัติตนเป็นคนดีมาตั้งแต่เกิด โดยอาศัยบิดา มารดา และญาติพี่น้อง เป็นสำคัญ ที่ให้คำแนะนำและตักเตือน หากบุคคลใดสนใจ ในเรื่องการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และบทบาทการพัฒนาขององค์กร ไม่ว่าบุคคลนั้นจะเป็นนัก บริหารระดับประเทศ หรือระดับองค์กรธุรกิจย่อมๆ ก็จะได้รับประโยชน์อย่างยิ่ง จากแนวความคิด และมุมมองของผู้ที่มีความรู้หลายๆด้าน อย่างท่านอาจารย์ทั้ง 2 คือ ท่านอาจารย์ ดร.จีระ หงส์ดารมย์และ ท่านอาจารย์พารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา ดังเช่นหัวข้อเรื่อง คำภีร์คนพันธุ์แท้ที่ดิฉันได้อ่านมา คัมภีร์ คนพันธุ์แท้เป็นช่วงที่บอกถึงแนวทางในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ตั้งแต่เรื่องปรัชญาของทรัพยากร มนุษย์ที่ว่า คนถือเป็นทรัพย์สินที่สำคัญที่สุดสำหรับทรัพยากรมนุษย์และการพัฒนามนุษย์ โดยมุ่งเน้น การเรียนรู้พร้อมทั้งกลยุทธ์ในการสร้างความเป็นเลิศให้องค์กร จากแหล่งจูงใจและประสบการณ์ ให้ผู้อ่านเข้าใจได้ดีและง่ายต่อการนำไปปฏิบัติ รวมทั้งได้รับการยอมรับนับถืออย่างกว้างขวางใน เรื่องทรัพยากรมนุษย์ทั้งทางด้านการเป็นผู้นำความคิด ผู้บุกเบิก และผู้ปฏิบัติ ทำให้ได้รับสาระครบ ถ้วน เมื่อได้อ่านจากหนังสือเล่มนี้

กราบเรียนท่านอาจารย์จีระ

ดิฉันได้อ่านหนังสือของอาจารย์แล้ว พอจะกล่าวได้ดังนี้คือ อาจารย์และคุณพารณ เป็นบุคคลที่มีคุณประโยชน์แก่สังคมอย่างมาก และได้รับการยอมรับนับถืออย่างกว้างขวาง ในเรื่องการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ทั้งด้านการเป็นผู้นำทางความคิด ผู้กล้าหาญในการปฏิบัติ ตลอดจนเป็นผู้ริเริ่มนำความคิดแปลก ๆ ใหม่มาพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้า ตลอดจนเน้นให้เห็นว่า " คนเป็นทรัพยากรที่มีคุณค่าที่สุดขององค์กร" คนเป็นผลกำไรที่จะนำมาพัฒนาบริษัทฯไปสุ่ความสำเร็จ หากบริษัทฯมีการพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ความสามารถอย่างเต็มที่ ให้ความไว้วางใจและให้ความเชื่อมั่นในศักยภาพของเค้าได้แสดงออกมาอย่างเต็มกำลังความสามารถ โดยมุ้งเน้นให้มีการคิดนอกกรอบ นอกตำรา ให้เค้าทำด้วยใจ ทำอย่างจริงจัง มีความผูกพันกับองค์กร เพื่อมุ่งหวังให้ประสบกับความสำเร็จ

แต่การบริหารคนเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยุ่งยาก ซับซ้อนและละเอียดอ่อน เพราะคนเป็นสิ่งที่มีชีวิตและจิตใจ มีเหตุผล มีอารมณ์ มีความเฉลียวฉลาดและมีความต้องการที่แตกต่างกัน หากการบริหารคนภายในองค์กรผิดพลาดหรือบริหารคนไม่ได้เป็นไปด้วยความยุติธรรม ผลกระทบในประสิทธิภาพและประสิทธิผลของงานในองค์กรก็ย่อมจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เพราะฉนั้นองค์กรต้องมีการใส่ใจดูแลหมั่นพัฒนาทรัพยากรมนุษย์อย่างจริงจังและต่อเนื่อง

 

สวัสดีครับ ลูกศิษย์ชาว Indorama ทุกท่าน ผมได้อ่านข้อสรุปของทุกท่านแล้วด้วยความยินดียิ่ง ผมรู้สึกดีใจมากที่ทุกท่านได้มีความสนใจในสิ่งที่เราได้เรียนรู้ร่วมกัน  และดีใจที่ทุกท่านสนใจหนังสือทั้ง 2 เล่ม เห็นประโยชน์และได้รับประโยชน์จากหนังสือทั้ง 2 เล่มนี้ด้วย

ทุกท่านที่ได้ส่ง Blog กลับมา ทำให้เราได้พิสูจน์แล้วว่าคนที่จบการศึกษาไม่ถึงปริญญาตรี คนที่เรียนทางสายอาชีวะ ไม่สนใจทำการบ้าน หรือไม่เก่งในเรื่อง IT ไม่เก่งเรื่อง Internet นั้นไม่จริง เพราะทุกท่านสนใจและส่งสิ่งที่ท่านได้รับจากการอ่านหนังสือกันทุกท่าน แม้จะตอบกันไม่ยาวนัก แต่หลาย ๆ คนก็จับประเด็นจากหนังสือทั้ง 2 เล่มได้เป็นอย่างดี

ในวันอังคารที่ 17 กรกฎาคม 2550  เราก็จะได้พบกันอีกเป็นครั้งที่ 2 ผมและทีมงานทุกคนหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะทำให้การเรียนรู้ของเราสนุกยิ่งขึ้นครับ

 จีระ  หงส์ลดารมภ์

ผม สมาน นนทบท ได้เข้าอบรม และได้รับหนังสือทรัพยากรมนุษย์แฟนพันธ์แท้ จากอาจารย์ไป ผมได้อ่านหนังสือเล่มนี้แล้วได้แนวความคิดที่ดีว่า คนคือทรัพยากรที่สำคัญขององค์กรต้องมีการพัฒนาจึงจะทำให้มีคุณภาพ ยิ่งพัฒนามากยิ่งทำให้องค์กรมีบุคลากรที่มีคุณภาพมาก ผลที่ตามมาก็คืองานมีคุณภาพด้วยองค์กรก็จะก้าวหน้ามีผลกำไร ซึ่งแตกต่างจากเครื่องจักรที่ระยะเวลาที่ผ่านไป เป็นระยะเวลานานๆ เครื่องจักรก็จะสึกหรอ ชำรุดมากขึ้น ผมก็เป็นหัวหน้างานคนหนึ่งที่จะนำความรู้จากการอ่านหนังสือเล่มนี้ไปใช้ในชีวิตประจำวันในการทำงานของผมคือ หัวหน้างานต้องเป็นคนเก่ง และดีด้วยจะเก่งอย่างเดียวไม่ได้ ต้องใฝ่รู้ ต้องรู้กว้าง รู้จริงทันต่อโลกโลกาภิวัตน์ อีกทั้งหัวหน้ายังต้องมีความอบอุ่น พร้อมรับฟังปัญหาของลูกน้องและเน้นการมีส่วนร่วมในการทำงานด้วย ท้ายที่สุดนี้ผมขอชมเชยว่าอาจารย์ เป็นผู้กว้าวขว้าง ทั้งในระดับชาติและระดับโลก รวมถึงมีประสบการณ์ในชีวิตมากมาย ลูกศิษย์ทั้งหลาย และรวมถึงตัวผมด้วย ก็จะได้นำไปเป็นต้นแบบในการดำเนินชีวิตและการทำงานต่อไป เพื่อให้ก้าวหน้าขึ้นไปถึงอีกระดับตามที่ได้ตั้งเป้าหมายไว้ ขอแสดงความนับถือ ( ลูกศิษย์สายอาชีวะ )
ผม อภิชาติ ดีสุภาพได้เข้ารับการอบรมเมื่อวันที่ 12มิ.ย 50 สิ่งที่ผมได้จากการอบรมในวันนั้นคือ การที่จะเป็นผู้นำที่ดีจะต้องให้คนอื่นดีด้วย ซึ่งก็หมายถึงลูกน้องที่ช่วยเราทำงานช่วย เราระดมสมอง ลงแรงในการทำงานเราต้องชมเชยลูกน้อง และนำเสนอผลงานของลูกน้องให้หัวหน้างานในระดับสูงขึ้นเพื่อให้รับทราบด้วยไม่ใช่นำเสนอว่าตัวเองดีอยู่คนเดียว คิดให้รอบครอบก่อนลงมือทำ คืออย่าใจร้อน ทำด้วยความระมัดระวัง และทำให้ถูกต้อง สิ่งที่ผมได้จากการอ่านหนังสือเล่มนี้คือ คนจะต้องมีการเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา รู้ได้จากการอ่านหนังสือ จาก INTERNETโดยองค์กรจะต้องเห็นความสำคัญของคนในองค์กรว่าต้องให้คน ที่อยู่ในองค์กร ได้พัฒนาอย่างต่อเนื่องและทุกระดับ เพื่อยกระดับความสามารถของคน ซึ่งจะทำให้องค์กรหรือหน่วยงานนั้นมีศักยภาพที่ดี คนในองค์กรจะไ้ด้มีความจงรักภักดี เพราะองค์กรให้ความสำคัญกับพวกเขา ซึ่งต่อไปทุกคนก็จะทุ่มเทการทำงานให้เต็มที่ เพื่อตอบแทนในสิ่งที่พวงเขาได้รับ และที่ผมได้ประโยชน์จากการอ่านอีกเรื่องก็คือ ผมได้เห็นความสำเร็จของท่านพารน และอาจารย์จีระ ซึ่งท่านทั้งสองได้ทำให้ผมเห็นถึงการมีความพยายาม มีความอดทน สามารถทำงานที่ยากและท้าทายได้ เมื่อผมเห็นเช่นนั้นผมก็จะนำมาใช้ในการพัฒนาตัวเอง โดยการจะทำงานเป็นทีม เน้นให้การทำงานเป็นรูปแบบที่เน้นการมีส่วนร่วมของทุกคน และจะทำอย่างต่อเนื่องต่อไป
เอกสิทธิ์ สิงห์สูง
ผมเอกสิทธิ์ สิงห์สูงได้อ่านหนังสือของอาจารย์แล้วรู้สึกประทับในในผลงานของคุณ พารณ และท่านอาจารย์จีระ ทำให้ผมเกิดความกระตือรือร้นที่จะรอบรู้ข่่าวสารจากภายในและภายนอกประเทศ และทำให้ผมอยากเก่งแบบอาจารย์ทั้งสองด้วย ผู้นำจะเก่งอย่างเดียวไม่ได้ต้องดีด้วยในหนังสือของอาจารย์ได้เขียนไว้ ต้องใฝ่รู้มีความอบอุ่น ให้มองภาพใหญ่ มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี ให้มองตัวเองให้น้อยลงมองคนอื่นให้มากขึ้นให้รู้จุดอ่อนจุดแข็๋งของตนเอง รู้จักแก้ปัญหา มีความพยายาม ความอดทน สามารถทำงานที่ยากและท้าทายได้ บุคลากรที่พัฒนาแล้วจะได้ทำงานแบบเน้นการมีส่วนร่วมทุกคน เพื่อพัฒนาองค์กรให้ดี และ้ก้าวหน้าต่อไป ผมต้องขอขอบคุณองค์กรที่ให้โอกาสผมได้เข้าร่วมอบรมในครั้งนี้ การอบรม KPD ที่ผ่านมาครั้งีที่แล้วถึงจะเป็นครั้งแรกๆ แต่ก็ทำให้ผมได้รับประโยฃชน์มาก และจะนำประสบการณ์ที่ได้มาใช้ในชีวิตประจำวันและการทำงานต่อไป
นายสมโชค เถียรอ่ำ
ผมนายสมโชค เถียรอ่ำ หลังจากที่ผมได้อ่านหนังสือของท่านอาจารย์จีระ และคุณพารณแล้วผมรู้สึกว่าการเป็นผู้นำของคนจำนวนมาก ๆ นั้นมันเป็นเรื่องยากจริงๆ เพราะคนส่วนมากนั้นชอบคิดว่าความคิดของตนเองนั้นถูกต้องเสมอ แต่พอผมได้อ่านเนื้อหาสาระจากหนังสือที่ท่านอาจารย์ให้ผมมา ผมรู้สึกว่าเราจะต้องพัฒนาตัวเราเองอยู่เสมอ เพราะการที่จะเป็นผู้นำคนนั้นเราจะต้องปรับปรุงและพัฒนาที่ตัวเราเองก่อนเป็นอันดับแรก เราจะต้องเข้าใจคนอื่นก่อน และเปิดใจยอมรับความคิดเห็นของลูกน้อง เพราะบางทีความคิดของเราก็ไม่ถูกต้องเสมอไป ควรใช้เหตุผลตัดสินปัญหาก่อนที่จะใช้อารมณ์ ต้องมีความเสมอภาคและให้ความเป็นกันเองกับลูกน้องทุกคน มีความยุติธรรม ไม่ หวงความรู้ต่อลูกน้องและต้องพัฒนาตัวเราเอง ให้เป็นที่ยอมรับของทุกคน ดีทั้งกาย วาจา และใจ เป็นที่รักของหัวหน้าและเป็น ที่รักของลูกน้อง เราต้องมีความจริงใจกับทุกคน ถึงแม้ว่าบางคน เขาจะไม่ยอมรับเรา หรือไม่ชอบ เรา เราก็ต้องแกล้งทำเป็นไม่รู้ ไม่แสดงอาการโกรธ หรือไม่พอใจ ตอบโต้กับเขา และอีกไม่นาน เขาก็จะเห็นความดีของเราเอง ความอดทนคือสิ่งที่ทำให้เราสามารถอยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่าง สงบสุข และสุดท้ายนี้ผมอยากขอบคุณอาจารย์จีระ ที่ทำให้ผมมีความรู้สึกดีๆ ต่อการที่จะอยู่ใน สังคมนี้ได้อย่างไม่ทุกข์ใจ ทำให้ต้องรู้จัก ปลง กับความผิดหวัง และรู้จักการที่จะต้องเผชิญหน้า กับความทุกข์ และนำความทุกข์และความชังจากคนอื่นมาเป็นพลังผลักดันให้กับตัวเราให้มี ความก้าวหน้าและรู้จักหาวิธีการที่ดีมาใช้ ในการดำรงชีวิตต่อไป ขอขอบคุณครับ
พิสิทธิ์ พานิชประเสริฐ
สวัสดีครับท่านดร. จีระ หงส์ลดารมภ์ กระผมได้อ่านหนังสือของท่านแล้ว เกี่ยวกับเรื่องประวัติการทำงานของท่านและคุณพารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา ที่ท่านได้นำเอาการทำงานที่ท่านได้ทำให้เครือปูนซีเมนต์ไทยเจริญรุ่งเรือง คือได้ปรับองค์กรของบริษัทฯ ปูนซีเมนต์ไทยให้พนักงานได้มีความรู้ และมีส่วนร่วมในการพัฒนาเพื่อให้องค์กรมีความเข้มแข็ง ส่วนตัวของกระผมเองนั้นก็จะได้นำเอาความรู้ที่ได้จากการอ่านหนังสือเล่มนี้ ไปพัฒนาตัวของกระผมเอง และในองค์กรของกระผมที่ผมทำงานอยู่นี้ให้เจริญก้าวหน้ายิ่ง ๆ ขึ้น กระผมมีความชื่นชมในผลงานและการ ทำงานของท่านดร. จีระ ซึ่งก็คือการสอนหนังสือให้ลูกศิษย์ และก่อตั้งองค์กรต่าง ๆ ได้พัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้มีคุณค่าของการเป็นมนุษย์ ทำให้นายจ้างมองเห็นถึงคุณค่าของพนักงาน ทำให้พนักงานมีคุณภาพ กระผมจะเอาความรู้ที่ได้อ่าน และประสบการณ์ของท่านไปเป็นตัวอย่างที่ดีและถึงแม้ว่าจะไม่ได้ถึงเสี้ยวหนึ่งของอาจารย์ก็ตาม กระผมจะพยายามทำให้ได้มาก ที่สุด และสุดท้ายนี้กระผมต้องขอขอบคุณอาจารย์ที่ได้ให้การอบรมที่มีประโยช์กับผม และที่จะลืมไม่ได้ก็คือต้องขอบคุณองค์กรที่ให้โอกาสผมได้มาเป็นลูกศิษย์อาจารย์
นายศรายุทธ ยิ้มอยู่
      สวัสดีครับท่านอาจารย์ผมนายศรายุทธ ยิ้มอยู่ ผมขอแสดงความยินดีอย่างสูงครับที่อาจารย์ได้รับรางวัลนักพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ดีเด่นแห่งประเทศไทย ประจำปี 2550 เมื่อวันศุกร์ที่ 29 มิถุนายน 2550 ที่ผ่านมา   และในระหว่างวันที่ 7-14 กรกฎาคม 2550  อาจารย์ได้มีโอกาสไปทัศนศึกษาดูงานด้านการไฟฟ้าและพลังงานที่นครซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย พร้อมกับคณะลูกศิษย์ กฟผ. รุ่น 3  ผมขอให้อาจารย์เดินทางด้วยความปลอดภัย และเก็บประสบการณ์มาฝากลูกศิษย์ที่  Indorama  บ้างนะครับ
นางวันเพ็ญ สุขประเสริฐ
สวัสดีค่ะท่านอาจารย์ ดร.จีระ ที่เคารพ ดิฉันนางวันเพ็ญ สุขประเสริฐ ขอส่งการบ้าน ของวันที่ 17 ก.ค. 2550 มีคำตอบได้ดังนี้ค่ะ 1. ชาวอินเดียจะถูกสอนให้มีการแข่งขันกันและกัน ให้ไปสู่ความสำเร็จของตนเองเพราะมี ประชากรมาก และประเทศของเขามักจะเปิดโอกาส มีการสนับสนุนให้ไปดูงานต่างประเทศ บ่อยครั้ง ชาวอินเดียมักจะเก่งในด้านภาษาอังกฤษ เพราะเคยเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ ซึ่งเปรียบเทียบกับคนไทยที่ด้อยในด้านภาษา และไม่ชอบการแข่งขัน ถึงแม้ว่าจะเก่งใน ด้านการทำงานแต่ไม่ชอบให้ตัวเองโดดเด่นเท่าไหร่ ชอบอยู่อย่างเรียบง่าย รักความสงบ รักเพื่อนร่วมงาน และชอบทำงานเป็นทีม ซึ่งไม่เหมือนชาวอินเดียที่ชอบทำตัวโดดเด่นแต่ เพียงผู้เดียว 2. ตัวของดิฉันที่คิดว่ามีคุณภาพผู้นำที่เหมาะสมกับอินโดรามา คือ 2.1 ต้องรู้จักคิด และวางแผนในการทำงานให้เป็นระบบ ใฝ่รู้เรื่องของเศรษฐกิจบ้านเมือง 2.2 รู้จักรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น กล้าตัดสินใจ เมื่อมีอุปสรรคในหน้าที่การงาน 2.3 ต้องมีการพัฒนาบุคลากร ให้มีการทำงานเป็นทีม(TEAM WORK) 2.4 กล้าคิด กล้าทำ กล้าตัดสินใจ มีความโอบอ้อมอารี และมีคุณธรรม 3. ผู้บริหารชาวอินเดียต้องรู้จักประเพณีของคนไทย ควรรับฟังความคิดเห็นและเปิดโอกาส เมื่อคนไทยที่เขามีความสามารถเสนอผลงานของเขาต่อหัวหน้างานที่สูงขึ้น เพื่อให้ลูกน้อง ได้รับผิดชอบงาน ที่จะพัฒนาให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ควรจะแลกเปลี่ยนประสบการณ์ และข้อเสนอแนะของกันและกัน ระหว่างคนไทย และคนอินเดีย เพื่อนำมาปรับปรุงและ พัฒนาบริษัทอินโดรามา ให้ดียิ่งขึ้น
นางนิภาพัฒ มิ่งมงคล
กราบเรียนท่าน อาจารย์ จีระ หงส์ลดารมภ์ ดิฉันนิภาพัฒ มิ่งมงคลขอตอบการบ้านที่อาจารย์ได้ให้ไว้เมื่อวันที่ 17 ก.ค 2550 ข้อ1 วัฒนธรรมอินเดียกับไทยจะสร้างผู้นำแตกต่างกันอย่างไรดิฉันขอตอบว่าวัฒนธรรมอินเดียสร้างผู้นำจากเอาคนเก่งมีความรู้ความสามารถเข้ามาทำงาน แต่เก็บสิ่งที่โดดเด็นให้ตัวเองมากและจะใช้เมื่อความจำเป็น วัฒนธรรมคนไทย สร้างผู้นำโดยปฏิบัติจริง ฝึกฝน หาประสบการณ์ ถึงมีความรู้ต่ำก็ให้ใฝ่รู้ มีความพยายาม เพื่อที่จะประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน เพื่อดันให้คนไทยคนนั้นมี ภาวะผู้นำ และสามารถเป็นผู้นำได้ 2. ในตัวท่านเองคิดว่าคุณภาพผู้นำที่เหมาะสมกับอินโดรามาเน้น 4 เรื่องมีอะไรบ้าง ตอบ 2.1. มีความรับผิดชอบในตนเอง และมีหน้าที่การงาน ที่ได้รับมอบหมายสามารถที่จะ ปฏิบัติสิ่งนั้น ได้ด้วยความเรียบร้อยอย่างมีประสิทธิภาพเต็มความสามารถ 2.2. ความอดทนอดกลั้น ในงานบางอย่างมักมีอุปสรรคมากมาย รวมทั้งกับผู้ร่วมงานหลาย คน ซึ่งในแต่ละคนนั้นมีความคิดแตกต่างกันไป เราจึงต้องใช้ความอดทนแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้เป็นอย่างดี 2.3. เป็นผู้เสียสละทั้งในหน้าที่การงานและกับเพื่อนร่วมงานรวมถึงความมีน้ำใจในเรื่องต่างๆ เพื่อให้งานดำเนินไปได้ด้วยดี จึงต้องมีความเสียสละ และแบ่งปันน้ำใจ เสียสละให้กับผู้อื่นที่ อยู่รอบๆตัวเราได้ 2.4. ไม่เห็นแก่ตัวในการทำงาน และเมื่อได้รับมอบหมายงานในสิ่งนั้นแล้วเราต้องสามารถปฏิบัติ หน้าที่ของตนเองและผู้อื่นได้เป็นอย่างดี ถึงแม้งานนั้นไม่ได้เป็นงานของตนเองก็ตาม เราก็ต้อง ช่วยกัน และไม่เห็นแก่ตัวเองเพียงผู้เดียว แต่ต้องช่วยเหลือผู้อื่นด้วย 3. เพื่อการทำงานให้ประสบความสำเร็จในอินโดรามา ผู้นำและผู้บริหารชาวอินเดีย ต้องพัฒนา และปรับตัวอย่างไร ให้เข้ากับสภาพ แวดล้อมของคนไทย ตอบ คนอินเดียที่เข้ามาอยู่ในประเทศไทยนั้น ถึงแม้จะเข้ามาเป็นหัวหน้างาน แต่ก็ต้องจำเป็น ต้องปรับตัวให้เข้ากับประเพณีไทย และเข้าใจคนไทย ในเวลาเดียวกัน ก็ต้องให้เกียรติคนไทย มาก และไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานหรือเรื่องส่วนตัว เพราะเมื่อทำงานร่วมกันแล้ว ทั้งคนอินเดียและ คนไทยจะต้องมีความเข้าใจกัน เพื่อที่จะทำให้งานดำเนินไปด้วยดี และมีความก้าวหน้า มีประสิทธิภาพ รวมถึงการมีคุณภาพในทุกๆด้าน
นายสมจิตร เรืองบุญ
ผมนายสมจิตร เรืองบุญ ได้ตอบคำถามที่อาจารย์ได้ให้การบ้านไว้ 1. วัฒนธรรมอินเดียกับไทยจะสร้างผู้นำแตกต่างอย่างไร - วัฒนธรรมชาวอินเดียจะลงทุนมากและระยะยาว จะเล็งลงมาในระดับล่าง เพื่อจะพัฒนา ให้เป็นผู้นำที่มีประสิทธิภาพ - วัฒนธรรมคนไทยจะไม่ค่อยลงทุนและไม่ค่อยเอาจริง 2. ในตัวท่านเองคิดว่าคุณภาพผู้นำที่เหมาะสมกับอินโดรามา เน้น 4 เรื่อง มีอะไรบ้าง 2.1 การทำงานเป็นทีมและมีระบบ 2.2 ทำงานอย่างมุ่งมั่นและทุ่มเทให้กับหน้าที่ที่รับผิดชอบ 2.3 ต้องพัฒนาองค์กรของตัวเองให้ดียิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ 2.4 ต้องใฝ่หาความรู้และพัฒนาตัวเองเสมอ 3. เพื่อการทำงานให้ประสบความสำเร็จในอินโดรามา ผู้นำและผู้บริหารชาวอินเดียต้องพัฒนา และปรับตัวอย่างไร ให้เข้ากับสภาพแวดล้อมของคนไทย 3.1 สวัสดิการต่างๆจะเน้นให้ชาวอินเดียมากไปหน่อย คือคนไทยไม่ค่อยมีการทำงานของคนไทย จึงไม่มีกำลังใจในการทำงาน 3.2 ทำงานไม่มีระบบและขั้นตอนจะมั่วไปหมด 3.3 ชอบเอาตำแหน่งตัวเองมาเปรียบเทียบกับคนไทย(คือ คุณตำแหน่งอะไร และเขาตำแหน่งอะไร) 3.4 ไม่ค่อยฟังความคิดเห็นของคนไทย 3.5 กลัวคนไทยจะเก่งกว่าจะไม่ค่อยสอนและให้คำแนะนำ 3.6 การสั่งงานจะล่าช้าและผิดพลาดบ่อย 3.7 ทำผิดแล้วไม่ยอมรับผิดแต่ชอบโยนความผิดให้กับคนอื่นแทน กระผมนายสมจิตร เรืองบุญ ขอตอบคำถามและจบแต่เพียงเท่านี้ หากผิดพลาดประการใด ขอให้อาจารย์ ช่วยชี้แนะด้วยครับ
นายวิชาญ สุริยะหิรัญ
ผมนายวิชาญ สุริยะหิรัญ ได้ตอบคำถามที่อาจารย์ได้ให้การบ้านไว้ ในวันที่ 17 ก.ค. 2550 ดังนี้ 1. วัฒนธรรมอินเดียกับไทยจะสร้างผู้นำแตกต่างอย่างไร ตอบ การสร้างผู้นำของคนไทย ในวัฒนธรรมไทยส่วนใหญ่มักจะเน้นปริมาณ แต่ไม่ค่อย เน้นคุณภาพเท่าที่ควร เพราะจากการอบรมส่วนมากจะเป็นแบบขอให้ผ่านๆไป คือ เห็นคนอื่นทำ แล้วทำบ้าง ใช้งบประมาณให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ส่วนของคนอินเดีย คือ จะสร้างผู้นำ นั้นต้องให้ยิ่งใหญ่และได้มาตรฐาน มีการวางแผนระยะยาวในการอบรมและผู้ที่จะมาอบรม ให้ความรู้ต้องเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ มีความรู้ความสามารถที่จะถ่ายทอดความรู้ให้แก่ผู้ที่เข้ารับการ อบรม เพื่อนำไปพัฒนาตัวเอง และพัฒนาองค์กรให้ประสบความสำเร็จได้ 2. ในตัวท่านเองคิดว่าคุณภาพผู้นำที่เหมาะสมกับอินโดรามา เน้น 4 เรื่อง มีอะไรบ้าง ตอบ 2.1 ต้องเป็นคนที่มีทัศนคติที่เปิดกว้าง มีเหตุผล และรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น เพื่อนำ มาปรับปรุง และพัฒนาตัวเองได้เป็นอย่างดี 2.2 ต้องเป็นคนที่ใฝ่เรียนรู้อยู่ตลอดเวลา เพื่อเพิ่มเติมศักยภาพของตนเองให้ทันยุคทันเหตุการณ์เสมอ 2.3 ต้องเป็นคนที่มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่การงานอย่างสม่ำเสมอ สามารถปรับปรุงและแก้ไข ความผิดพลาดต่างๆได้ 2.4 ต้องเป็นคนที่ไม่อยู่เหนือคนอื่นตลอดเวลา ต้องอยู่ร่วมกับผู้อื่นและสามารถทำงานเป็นทีมได้ ไม่แบ่งชนชั้น ระหว่างหัวหน้ากับลูกน้อง 3. เพื่อการทำงานให้ประสบความสำเร็จในอินโดรามา ผู้นำและผู้บริหารชาวอินเดียต้องพัฒนา และปรับตัวอย่างไร ให้เข้ากับสภาพแวดล้อมของคนไทย ตอบ ผู้นำและผู้บริหารชาวอินเดียบางคนจะต้องพัฒนาในด้านการวางตัว เพื่อให้ผู้ใต้บังคับ บัญชา เคารพรัก ไม่ใช่วางตัวเป็นหัวหน้าหรือนายจ้างอยู่ตลอดเวลา ในขณะเดียวกันต้องรับฟัง ความคิดเห็นของคนไทยบ้าง รู้จักแบ่งปัน เผื่อแผ่ให้กับคนไทยบ้าง
นางมาเรียม เหลืองอร่าม
กราบเรียนท่านอาจารย์ด.ร จีระ หงส์ลดารมย์ ดิฉันนางมาเรียม เหลืองอร่าม เป็นลูกศิษย์ของอินโดรามาที่เข้าอบรมเมื่อวันที่ 17ก.ค 50 ขอส่งการบ้านดังนี้ ข้อ 1 ชาวอินเดียจะถูกสอนให้เรียนรู้และแข่งขัน เรียนรู้ตลอดชีวิต และกล้าที่จะลงทุนแม้ทุนที่ลงไปนั้น จะเสี่ยงต่อผลที่ออกมา ชาวอินเดีย เก่งภาษา ถึงแม้มาอยู่เมืองไทย ก็ยังหัดเรียนภาษาไทย ชาวอินเดียมีวิสัยทัศน์ กว้างไกล ชอบพัฒนาทรัพยากรขององค์กรให้ก้าวหน้า คนไทย จะถูกสอนให้รักสถาบันครอบครัว มีการแข่งขันบ้างในบางอย่าง เรื่องภาษาคนไทยก็จะเสีย เปรียบชาวอินเดียเพราะคนไทยใช้ภาษาในการสื่อสาร คนไทยไม่ชอบพัฒนาทรัพยากรขององค์กร คุณภาพของผู้นำที่เหมาะสมกับอินโดรามา คือ 1. เก่งคิด เก่งทำ คิดให้เป็น ทำให้เป็น 2. จะเป็นผู้นำได้ต้องใฝ่รู้ ต้องมี EQ และ IQ 3. มองสภาพแวดล้อมที่ดี มองภาพใหญ่ศึกษาก่อนทำ เรียนรู้และคาดการณ์อนาคต (Anticipate) 4. ต้องมีภาวะผู้นำ ผู้นำที่ดีต้องรู้เขารู้เรา ไม่ใช่ดีอยู่คนเดียว คนในองค์กรต้องดีด้วย เพื่อการทำงานให้ประสบผลสำเร็จระหว่างคนไทยกับคนอินเดีย สำหรับในบริษัทอินโดรามา นั้น คนอินเดียกับคนไทยต้องทำงานร่วมกัน พึ่งพาอาศัยกัน และทำงานกันเป็นทีม ดังนั้น คนไทยและคนอินเดียจึงต้องเข้าใจกัน และปรับตัวเข้าหากันให้ได้เป็นอย่างดี เพราะคนอินเดีย ต้องเข้าใจในภาษาไทย หรือคนไทยต้องเรียนรู้ภาษาอังกฤษเพิ่มมากขึ้น เพราะภาษาอังกฤษ เป็นภาษาที่สื่อสารระหว่างคนอินเดียและคนไทยได้ เมื่อสื่อสารกันได้รู้เรื่องก็จะพัฒนางาน ให้ดำเนินไปในทิศทางเดียวกันได้ดี รวมทั้งการอยู่ร่วมกันด้วย คนอินเดียเป็นหัวหน้างานของ คนไทย เพราะฉะนั้นคนอินเดียจะต้องเข้าใจและเห็นใจคนไทยด้วยเช่นเดียวกัน คนไทยก็ต้อง รับฟังความคิดเห็นของหัวหน้างานด้วย ฉะนั้นสรุปได้ว่า ทั้งคนไทยและคนอินเดียต้องเข้าใจ และรับฟังความคิดเห็นของกันและกันจึงจะทำให้บริษัทอินโดรามาได้ประสบผลสำเร็จและมี คุณภาพมากยิ่งขึ้น
เรียน อาจารย์จิระ หงส์ลดาลม จากที่ อาจารย์ได้ให้การบ้านไว้โดยมี 3 หัวข้อดังนี้ 1. ไทยกับอินเดียจะสร้างผ้นำ แตกต่างกันอย่างไร ความแตกต่างของคนไทยกับอินเดียในด้านของวัฒนธรรมผมคิดว่าแตกต่างกันเพียงเล็กน้อย หรือแทบจะไม่แตกต่างกันเลยซึ่งในแต่ละชนชาติย่อมมีขนบธรรมเนียมประเพณีที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเองอยู่แล้ว ส่วนในเรื่องการสร้างผู้นำนั้นทุกประเทศต้องการผู้นำที่เก่งในทุกๆด้าน แต่มันเป็นไปไม่ได้ แต่สำหรับประเทศอื่นๆ หรือประเทศอินเดียเองก็ตาม จะมุ่งเน้นการทำงานเป็นทีมฟังความคิดเห็นจากผู้อื่นและให้โอกาสซึ่งจะแตกต่างจาก ผู้นำไทยมักจะเห็นแต่ประโยชน์ส่วนตัวและพวกพ้องแต่ที่สำคัญผู้นำจะดีหรือไม่ ไม่ได้อยู่ที่ผู้นำเพียงอย่างเดียว มันต้องอยู่ที่ผู้ตามด้วย ไม่ว่าผู้นำหน่วยงานหรือประเทศนั้นจะดีสักเท่าไร แต่ผู้ตามไม่ดีมันก็ไปไม่รอด หรือผู้ตามดี แต่ผู้นำไม่ดีมันก็ไปไม่รอดเช่นกันเพราะฉะนั้นทุกคนต้องมองประโยชน์ส่วนรวมเป็นหลัก 2. ในความคิดของตัวคุณเองคุณคิดว่าผู้นำที่เหมาะสมกับอินโดรามาควรเป็นผู้นำแบบใด ผู้นำที่เหมาะสมกับอินโดรามา คือ ต้องมีความจริงใจ เห็นประโยชน์ส่วนรวมเป็นหลัก เห็นพนักงานทุกคนมีส่วนสำ คัญเพราะพนักงานทุกคนมีส่วนในการร่วมอินโดรามา สนับสนุนบุคคลากรที่มีความรู้ความสามารถให้เป็นรูปธรรม ซึ่งสิ่งเหล่านี้ จะเป็นขัวญและกำลังใจเพื่อให้บุคคลากรเหล่านี้นำความรู้ความสามารถมาพัฒนาอินโดรามาเจริญ ยิ่งขึ้น 3. เพื่อให้การทำงานใน บ. อินโดรามาประสบความสำเร็จผู้นำและผู้บริหารชาวอินเดียต้องพัฒนาอย่างไรให้เข้ากับ สภาพแวดล้อมของคนไทย ผมขอใช้ปรับตัวดีกว่าเพราะพัฒนามันดูเหมือนเราดีกว่าผู้นำอิเดีย ผมเข้าใจว่าทุกวันนี้ผู้นำชาวอินเดียทุกคนปรับตัว เข้ากับคนไทยเกือบทุกเรื่องไม่ว่าจะเป็น ภาษา วัฒนธรรม ประเพณีต่างๆในความคิดของผมซึ่งก็เป็นคนไทยคนนึง ผมคิดว่า เราต้องปรับตัวให้เข้ากับผู้นำชาวอินเดีย หรือ ประเทศใดๆก็ตามที่เข้ามาลงทุนในประเทศของเราเพราะ นั่นหมายถึงความเจริญที่จะเกิดขึ้นในประเทศของเรา ซึ่งจริงๆแล้วการปรับตัวคือส่วนหนึ่งในการดำรงชีวิต เป็นสิ่งดี ถ้าเราปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมนั้นๆได้ผู้นำชาวอินเดียบางคนฟังความเห็นของคนไทยมากกว่าผู้นำชาวอินเดีย ด้วยกันเพราะคนไทยบางคนมีสมอง มีความคิด มีเหตุผล ไม่ใช่ว่าคนไทยทุกคนไม่มีสมอง ไม่มีความคิด ไม่มีเหตุผล เพียงแต่เราไม่เอามันออกมาใช้เท่านั้นเราในฐานะคนไทยต้องพัฒนาสิ่งเหล่านี้เพื่อให้ทันกับชาวต่างชาติทุกประเทศ ไม่จำเป็นต้องปรับทุกอย่างอย่างไหนที่เป็นประโยชน์เราก็สมควรปรับ ผมคิดว่าผู้นำทุกหน่วยงานหรือทุกประเทศใน โลกต้องการคนที่มีสมอง มีความคิด เราควรพัฒนาตัวเองให้เป็นที่ยอมรับของชาวต่างชาติ
เรียน ท่าน ศ.ดร. จีระ หงส์ลดารมภ์ ดิฉันนางสำลี ธูปหอมได้ทำการบ้านที่อาจารย์ได้ให้ไว้เมื่อวันที่ 17 ก.ค 2550 ซึ่งมี่คำถามอยู่ว่า 1. วัฒนธรรมอินเดียกับไทย จะสร้างผู้นำที่แตกต่างกันอย่างไรดิฉันขอตอบว่าวัฒนธรรมอินเดีย เน้นว่าต้องมีความรู้ความสามารถ และกล้าตัดสินใจ จุดแข็งของคนอินเดียคือ 1. เก่งภาษาอังกฤษ เพราะว่าคนอินเดียมีโอกาสได้เรียนรู้ภาษาอังกฤษตั้งแต่เด็ก 2. คนอินเดียเป็นคนใฝ่รู้ ชอบคิด ชอบทำสิ่งใหม่ๆ เพื่อพัฒนาตัวเองให้ทันสมัย อยู่เสมอ3.มีเทคโนโลยี ที่ทันสมัย กล้าที่จะเสี่ยงลงทุน จึงทำให้คนอินเดียมึความสามารถสูง ส่วนคนไทยนั้นยังด้อยพัฒนาอยู่มาก ถึงจะมีคนเก่งแต่ก็จะเป็นส่วนน้อย เพราะคนไทยมีจุดอ่อนคือ 1. ใช้ภาษาอังกฤษไม่เก่ง การใช้ภาษาของคนไทยจึงยังต้องพัฒนาก้นอีกมากจึงจะสามารถแข่งขันกับประเทศอื่น ๆ ได้ 2. เทคโนโลยีไม่ทันสมัยเท่าที่ควร เพราะคนไทยยังไม่กล้าที่จะเสี่ยงลงทุนอะไรที่มันสูงเกินไป 3. มักจะพอใจในความเป็นอยู่ของตนเองไม่กระตือรือร้นที่จะหาความรู้เพิ่มไม่รู้จักพัฒนาตนเอง จึงทำให้คนไทยยังตามหลังประเทศอื่น ๆ อยู่มาก ยังขาดศักยภาพการเป็นผู้นำ คำถามของอาจารย์ข้อที่ 2 ที่ถามว่า ในตัวท่านเองคิดว่า คุณภาพผู้นำที่เหมาะสมกับอินโดรามา เน้น 4 เรื่องมีอะไรบ้าง 1. ต้องเป็นคนที่เก่งและดี 2. ต้องเป็นคนรับผิดชอบต่อหน้าที่สูง 3. ต้องมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ กล้าที่จะทำสิ่งใหม่ๆ ถึงแม้ว่าจะเป็นสิ่งที่ยากและท้าทาย 4. ต้องเป็นคนใจเย็น สุขุม รอบคอบมีเหตุผลและมีความยุติธรรม มีใจเป็นกลาง และข้อที่ 3 ที่อาจารย์ถามว่าเพื่อการทำงานให้ประสบความสำเร็จในอินโดรามาผู้นำและผู้บริหารชาวอินเดียต้องพัฒนาและปรับตัวเองอย่างไรให้เข้ากับสภาพแวดล้อมของคนไทย ดิฉันมีความคิดเห็นว่าคนอินเดียน่าจะต้องเรียนรู้ภาษาไทยให้มากกว่านี้ รู้จักขนบธรรมเนียมประเพณีของคนไทยมีความยุติธรรม ต้องรู้จักเสียสละมีความสามารถทำให้ทุกคนยอมรับ และรับฟังความคิดเห็นของคนไทยบ้าง ให้ความสำคัญกับคนไทยมากขึ้นกว่านีุ้
นางกาญจนาพร ยุบลพันธุ์
กราบเรียนอาจารย์ ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ ดิฉันกาญจนาพร ยุบลพันธุ์ เป็นสมาชิก ของอินโดรามาขอส่งการบ้านของวันที่ 17 ก.ค. 2550 ดังนี้ค่ะ 1. วัฒนธรรมอินเดียกับไทยจะสร้างผู้นำแตกต่างกันอย่างไร ตอบ วัฒนธรรมของผู้บริหารชาวอินเดียชอบที่จะคิดเรียนรู้และทำงานไปด้วยและ กล้าที่จะลงทุนโดยมุ่งเน้นที่มีส่วนได้ส่วนเสีย และกระบวนการผลิตอันจะเป็นผล และยังมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล รวมถึงการพัฒนาสิ่งแวดล้อมและประเพณีของไทย วัฒนธรรมของไทยชอบทำงานเป็นทีมไม่ชอบใช้สมอง มีความสามารถแต่ไม่มี ความมั่นไจ เช่น การเรียนรู้เรื่องภาษาและจะเน้นสถาบันครอบครัวเป็นหลัก 2. ในตัวของท่านเองคิดว่าคุณภาพของผู้นำที่เหมาะสมกับอินโดรามา ตอบ ต้องเก่งงาน เก่งคน เก่งคิดและเก่งเรียน คือต้องใฝ่หาความรู้อยู่ตลอดเวลา เช่น การใช้คอมพิวเตอร์การเรียนหรือพูดภาษาอังกฤษ และการยึดถือหลักคุณธรรม ความซื่อสัตย์ ความไว้ใจ ทำงานเป็นทืมและร่วมมือ ก็จะพาองค์กรให้ไปสู่ความสำเร็จ 3. เพื่อการทำงานให้สำเร็จในอินโดรามาผู้นำและผู้บริหารต้องพัฒนาและปรับปรุง ตอบ ต้องการเพิ่มผลผลิตโดยไม่ค่อยคำนึงถึงคุณภาพไม่ค่อยฟังความคิดเห็นหรือข้อ คิดเห็นของคนไทย
1.นับตั้งแต่ผมได้ทำงานที่บริษัทอินโดรามา เป็นเวลา 12 ปีกว่าผมได้สัมผัสและทำงานร่วมกับชาวอินเดียซึ่งพวกเขา ทำงานแบบเสมอต้นเสมอปลายตลอด เขาไม่เคยหยุดนิ่งที่ จะพัฒนาคุณภาพ ของผลผลิตให้ทักเทียมหรือดีกว่าคู่แข่ง เสมอ พยายามให้พนักงานเรียนรูทักษะต่าง ๆ แม้กระทั่ง พัฒนาพนักงานในระดับหัวหน้างานให้เติบโตเพื่อรับผิด ชอบแทนเขา และพวกเขาก็พยายามเรียนรู้นิสัยคนไทย ขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรมต่างๆ ของเรา พวกเขา เคารพประเพณีของคนไทยเหมือนกัน และเช่นกันพวกเขา ก็เคร่งครัดขนบธรรมเนียมประเพณีของเขามาก ก็คล้าย ๆ กับคนไทย 2. เรื่องคุณภาพของผู้นำที่เหมาะสมกับบริษัท อินโดรามา 2.1 ในยุคโลกาภิวัฒน์แบบนี้ซึ่งเราสามารถใช้ เทคโนโลยีทึ่ไร้พรหมแดนติดต่อสื่อสารกัน จะเป็นการแข่ง ขันทางการค้าระหว่างประเทศเราจำเป็นต้องพัฒนา บุคลากรให้มีคุณภาพมองโลกกว้างและมองภาพใหญ่ให้ เป็น ถ้าเราหยุดอยู่กับที่ก็คงจะหมายความว่าเราจะแพ้ต่าง ชาติเขาแน่นอน 2.2 ควบคู่กันไปกับการบริหารงานและ การปกครองคน เราจะต้องมีจริยธรรมและมีความยุติธรรม เพื่อจะได้สำริดผลกับงานและประสบผลสำเร็จ 2.3 เรา ต้องมีความจริงใจที่จะทำให้คนไทยได้เรียนรู้เรื่องต่างๆ 2.4 หัวหน้าที่ดีต้องมีวิสัยทัศน์กว้าง ต้องคิดเป็นทำเป็น มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ต้องคิดทำในสิ่งใหม่ ๆ อยู่เสมอ และต้องทำในสิ่งที่ท้าทายได้มีการเรียนรู้ พัฒนาตัวเอง อย่างต่อเนื่องเพื่อความสำเร็จของบริษัทฯ และความก้าว หน้าของตัวเอง 3. เพื่อการทำงานให้ประสบความเร็จใน อินโดรามา ผู้นำและผู้บริหารชาวอินเดีย เขาก็จะพัฒนา และปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมดีอยู่แล้วระดับผู้นำ ของบริษัทฯ ท่านมีวิสัยทัศน์เป็นเลิศพยายามหาผู้ที่มี ความรู้ความสามารถมากๆระดับโลกมาพัฒนาพนักงาน ระดับหัวหน้างานให้หัวหน้างาน ทำงานได้อย่างมี ประสิทธิภาพและนำมาซึ่งประสิทธิผล ดังที่ท่านผู้บริหาร ท่านได้หวังไว้
สวัสดีค่ะท่านอาจารย์ดิฉันนางเสน่ห์ แก้วสกุล ขอส่งการบ้านของอาจารย์ที่เรียนเมื่อวันอังคารที่ 17 กรกฎาคม 2550 ดังนี้ค่ะ 1.วัฒนธรรมอินเดียและไทยจะสร้างผู้นำแตกต่างกันอย่างไร ดิฉันขอตอบว่า แต่ละชนชาติศาสนาใดก็ตามต่างก็คิดที่จะทําให้ทุกคนในชนชาติเป็นคนดีด้ายกันทั้งนั้นความแตกต่างของอินเดียที่จะสร้างผู้นํานั้นดิฉันคิดว่าอินเดียมีความคิดที่กล้าทําและกล้าที่จะลงทุน เพื่อที่จะสร้างผุ้นําให้มีความรู้ความสามารถให้มากยิ่งขึ้นไปอย่างเช่นขณะนี้ที่อินเดียจัดฝึกอบรมผู้นําเพื่อยกระดับและสร้างความรู้ความชํานาญให้บุคลากรให้มากขึ้นและพยายามให้ทุกคนถือเสมือนว่าเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน จนกลายเป็นวัฒนธรรมให้กับองค้กรส่วนไทยเราก็คงไม่แตกต่างไปมากนักเพียงแต่ว่าการลงทุนที่จะสร้างผู้นําของไทยเรายังน้อยอยุ่ และยังยึดหลักในการเสี่ยงน้อยเกินไปยึดติดกับความเก่งมากหรือทุกคนที่เป็นผู้นำเก่งแล้วก็เก่งเลย น้อยองค็กรนักที่คิดจะพัฒนาบุคลากรให้มีความรุ้เพิ่มเติม และยังน้อยอยู่มากที่จะมองบุคลากรระดับล่างลงไป 2.ในตัวของดิฉันคิดว่าผู้นำที่เหมาะสมกับอินโดรามา ควรมีคุณภาพดังนี้ 2.1 ควรมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล 2.2 มีความจริงใจเห็นประโยชน์ส่วนรวม 2.3 สนับสนุนบุคลากรในระดับล่างให้มีโอกาสก้าวหน้า 2.4 เปิดใจกว้างยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่น 3. เพื่อการทำงานให้ประสบความสำเร็จผู้นำอินเดียต้องปรับตัวเข้ากับคนไทยดังนี้ ต้องปรับตัวและยอมรับในวัฒนธรรมต่างๆของไทย และยอมรับความคิดเห็นของคนไทยในองค์กร เปิดโอกาสให้กับคนไทยที่มีความสามารถเข้ามาเป็นผู้นำ เพื่อช่วยในการพัฒนาองค์กรให้เจริญก้าวหน้าต่อไป
นายศรายุทธ ยิ้มอยู่

  สวัสดีครับอาจารย์ผมนายศรายุทธ  ยิ้มอยู่ คือเมื่อวันอังคารที่ 17 กรกฎาคม 2550 อาจารย์ได้ให้การบ้านซึ่งเป็นคำถามไว้ 3 ข้อ ผมขอตอบที่อาจารย์ถามดังนี้ครับ  ข้อ 1. อาจารย์ถามว่า วัฒนธรรมอินเดียกับไทย จะสร้างผู้นำแตกต่างกันอย่างไร  ผมขอตอบดังนี้ครับว่า วัฒนธรรมการสร้างผู้นำของอินเดียส่วนใหญ่จะสร้างและพัฒนาผู้นำที่เป็นผู้ชายมากกว่าผู้นำที่เป็นผู้หญิง เพราะประชาชนส่วนใหญ่ของอินเดียผู้ชายจะออกทำงานนอกบ้านมากกว่าผู้หญิง ผมคิดว่าไม่หน้าจะเกิน 50 % ที่ผู้หญิงอินเดียจะออกทำงานนอกบ้าน และหลักการพัฒนาผู้นำของอินเดีย อินเดียจะนำบุคลากรที่เรียนจบการศึกษาขั้นสูงๆ มีประสบการณ์มาก นำมาพัฒนาเพื่อให้เป็นผู้นำขององค์กร และอินเดียยังกล้าที่จะลงทุนสูง เพื่อพัฒนาทรัพยากรในองค์กรให้มีความก้าวหน้าต่อไป  แต่สำหรับของไทยเราการพัฒนาผู้นำของไทย จะสามารถพัฒนาได้ในทุกระดับชั้น ไม่จำเป็นว่าคนนั้นจะต้องจบการศึกษาสูงๆ หรือต้องมีประสบการมากๆ แต่ขอให้คนนั้นมีความตั้งใจ และมุ่งมั้น เราก็สามารถพัฒนาให้เป็นผู้นำขององค์กรได้ และของไทยเรายังสามารถที่จะพัฒนาทั้งผู้ชาย และผู้หญิง เพราะไทยเรานั้นผู้ชาย หรือผู้หญิง ก็พัฒนาให้มีความสามารถที่จะเป็นผู้นำทำงานได้เท่าเทียมกัน แต่ถ้าพูดถึงการลงทุนเรื่องการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของไทยนั้น ไทยเรายังไม่กล้าลงทุนมากเท่าที่ควรเมื่อเทียบกับอินเดีย และอีกประการหนึ่งผู้นำของอินเดียจะเก่งทางด้านภาษา และเทคโนโลยี มากกว่าคนไทย จึงเป็นแนวทางให้อินเดียสามารถทำงานในระดับบริษัทชั้นนำข้ามชาติได้ดีเมื่อเทียบกับไทย แต่สำหรับผมคิดว่าผู้นำอินเดีย หรือผู้นำไทย วัฒนธรรมเรื่องการสร้างผู้นำของ 2 ประเทศแล้ว ผมคิดว่าหากได้มีโอกาสรับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์อย่างจริงจังแล้ว ไม่ว่าจะอินเดีย หรือไทย ก็สามารถเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่มีค่าสำคัญเหนือสิ่งใด ที่จะนำความสามารถมาปรับปรุงองค์กรให้เป็นบริษัทชั้นนำในระดับสากลได้อย่างเท่าเทียมกัน   ข้อ 2.  อาจารย์ถามว่าในตัวผมคิดว่าผู้นำที่เหมาะสมกับอินโดรามาเน้น 4 เรื่องมีอะไรบ้าง สำหรับผมคิดว่า 2.1 ต้องเป็นผู้นำที่สามารถเปิดกว้างยอมรับความคิดเห็นของคนในองค์กร เป็นผู้นำที่กล้าคิด กล้าตัดสินใจ มีความประพฤติดี มีน้ำใจรู้จักการให้อภัย สร้างคุณธรรมความสามัคคีในกลุ่มองค์กรได้ดี 2.2 ต้องเป็นผู้นำที่ไม่แบ่งพรรค แบ่งพวก รับฟังรับแก้เมื่อมีปัญหาต่างๆเกิดขึ้นในองค์กร เพื่อให้เกิดความยุติธรรมมากที่สุด และผู้นำจะต้องทำงานโดยการสร้างทีม ( TEAM WORK ) ร่วมกับทุกคนได้ดี 2.3 ผู้นำที่ดีต้องมีส่วนร่วมกับกิจกรรมต่างๆ ที่บริษัทจัดขึ้น ด้วยความเต็มใจ และตั้งใจ เพื่อให้กิจกรรมนั้นๆ บรรลุสู่จุดมุ่งหมาย และควรนำความรู้ที่ได้จากกิจกรรมนั้นๆ มาพัฒนาบุคลากรและองค์กรให้เกิดความก้าวหน้ามากที่สุด เพื่อตอบแทนที่บริษัทเปิดโอกาสจัดกิจกรรมต่างๆให้กับเรา  2.4 ผู้นำที่ดี ต้องมีความพร้อมที่จะเผชิญกับปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นสามารถแก้ปัญหาได้ กล้าแสดงออกถ้าในสิ่งที่เราทำนั้นถูกต้อง ดังนั้นผู้นำที่เหมาะสมของอินโดรามาควรจะ เก่งงาน เก่งคน เก่งคิด เก่งเรียน เหมือนกับบทความบทหนึ่ง ที่ผมเคยอ่านแล้วรู้สึกประทับใจ ข้อความมีว่า " ผู้นำดีมีทีท่าหน้านับถือ  อีกหนึ่งคือรู้งานชาญเหตุผล  อีกหนึ่งคือรู้การสัมพันธ์คน  สัมฤทธิ์ผลทั้งเรื่องคนและเรื่องงาน "    ข้อ 3. อาจารย์ถามว่าเพื่อให้การทำงานประสบความสำเร็จในบริษัทฯ ผู้นำและผู้บริหารชาวอินเดีย ต้องพัฒนาและปรับตัว อย่างไรให้เข้ากับสภาพแวดล้อมของคนไทย  ผมขอให้คำตอบว่าประการแรกก็คือ ให้ผู้นำผู้บริหารชาวอินเดียทุกท่านยอมรับและนับถือ ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตย์ ของไทยเป็นอันดับหนึ่ง  และถ้าพูดถึงองค์กรปกติผู้นำผู้บริหารชาวอินเดีย จะแบ่งชั้นระดับต่ำแหน่งหน้าที่การงาน ซึ่งถ้าตำแหน่งสูงก็จะคบกับคนที่ต่ำแหน่งสูงด้วยกัน ผมคิดว่าจุดนี้ควรปรับตัวให้คบกับคนในองค์กรได้ทุกระดับต่ำแหน่งหน้าที่การงาน เพราะเราอยู่ในรั่วอินโดรามาเดียวกัน ก็เปรียบเหมือนกับครอบครัวเดียวกัน เราก็ควรคบกันได้ในทุกระดับชั้น และผู้บริหารผู้นำอินเดียควรเปิดใจรับกว้างยอมรับฟังข้อเสนอแนะของคนในองค์กร ด้วยว่าบุคลากรต้องการสิ่งใด ขาดเกลืออะไร หรือจะช่วยเหลือได้อย่างไร และควรเปิดโอกาสให้บุคลากรคนไทยในทุกระดับ ที่มีความสามารถมีโอกาสขึ้นเป็นผู้นำของบริษัท เพื่อช่วยในการพัฒนาบริษัทอินโดรามา ซึงเป็นบริษัทชั้นนำให้เจริญก้าวหน้า ยิ่งๆขึ้นต่อไปอย่างไม่หยุดนิ้ง " ผมขอให้คำตอบ คำถามของอาจารย์ทั้ง 3 ข้อ ไว้เพียงเท่านี้ครับ  "  สวัสดีครับ

เรียนอาจาย์ ดร. จีระที่เคารพยี่ง ดิฉันณัฐสุดา กลัดงามขอตอบการที่อาจารย์ให้ไว้ 3ข้อ (1)วัฒนธรรมอินเดียกับไทยที่จะสร้างผู้นำแตกต่างกันอย่างไร ดิฉันคิดว่าคนอินเดียฉลาดและเก่งทางด้า้นภาษา ชอบพัฒนาบุคลากรของตนเสมอให้มีประสิทธ์ภาพ แต่ทว่าเขาไม่ชอบทำงานเป็นทีม ชอบแบ่งชั้นวรรณนะชอบเถียงกัน และโว้ยวายไม่รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น ส่วนคนไทยก็มีข้อดีและข้อเสีย ข้อดี คือมีนำ้ใจ ทำงานเป็นทีมรุ้จักช่วยเหลือกัน ข้อเสียคือไม่กล้าเสียงในการลงทุน และมีนิสัยขี้คุยสรุปคือแตกต่างกันบ้างบางเรื่อง แต่ว่าคนไทยก็รักเสรีภาพรักสงบ (2)ในตัวท่านเองคิดว่าคุณภาพผู้นำที่เหมาะสมกับอินโดรามามีอะไรบ้าง 2.1 มีความรับผิดชอบ มีเหตุผล และรู้จุด อ่อนจุดแข้งของตัวเอง รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น เปิดใจให้กว้าง 2.2 มีมนุษย์สัมพันธ์ดี มีศีลธรรม ส่งเสริมยกย่องผู้กระทำดี การที่ตนเราพูดดีทำดี ก็มีคนยกย่อง และนับถือ 2.3 ต้องมีระเรียบ หรือระบบแบบแผนในการทำงาน ปรับตัวให้เข้ากับผู้อื่น และมีอารมณ์แจ่มใส่ยี้มแย้มเมื่อคนในองค์กรเห็นก็เกิดกำลังใจ ขยันทำงาน และชอบที่จะอยู่อินโดรามา 2.4 มีความชื้อสัตย์ต่อตัวเองและองค์กร อยา่งเช่นตอนนี้ค่าเิงินบาทแข้งค่าขึ้นดิฉันคิดว่าหาก บริษัทจะตัดเงินเดือนดิฉันก็ยินดี (3)เพื่อการทำงานให้ประสบความสำเร็จผู้นำในอินโดรามาและผู้บริหารชาวอินเดียต้องพัฒนาและปรับตัวอย่า่งไร ให้เข้ากับสภาพแวดล้อมของคนไทย คือต้องยอมรับประเพณีของไทย และเปิดโอกาสให้คนที่มี ศักยภาพ และให้โอกาสในการทำงาน อยา่งมีประสิทธ์ภาพ อนึ่งคนที่สามารถพาองค์กรให้ประสบความสำเร็จจะต้อง ทั้งเก่งและทั้งดี มีนํ้าใจดี มีคุณธรรม มีจริยธรรมเพื่อสร้า้งศัรทธาให้กับเพื่อนร่วมงาน รับฟังปัญหาของพนักงานระดับล่าง ถ้าสามารถปรับตัวให้เข้าหากับผู้อื่นได้การดำเนินกิจการใดๆ ก็ย่อมประสบความสำเร็จแน่นอน ( สวัสดีค่ะ )

1.วัฒนธรรมอินเดียกับไทยจะสร้างผู้นำแตกต่างกันอย่างไร
- อินเดียผู้ชายจะเป็นฝ่ายทำงานนอกบ้าน ผู้หญิงจะเป็นแม่บ้าน อำนาจทั้งหมดจะเป็นของสามี ผู้นำอินเดียเป็นผู้ชายมักจะมั่นใจในตัวเอง
   รวมทั้งวัฒนธรรมการแบ่งชนชั้นจะต้องทำตัวเองเด่นกว่าผู้ร่วมงานด้วยกัน ดังนั้นชาวอินเดียจะมุ่งมั่นในการทำงานมากกว่าเพื่อจะทำให้
   ตนเองเหนือกว่าเพื่อนร่วมงาน
- คนไทยจะทำงานทั้งหญิงชาย ชอบถ่อมตัว สุภาพ ไม่ค่อยแสดงความคิดเห็น
- ชาวอินเดียจะใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการ ดังนั้นเรื่องภาษาอังกฤษของชาวอินเดียจะเหมือนเป็นภาษาประจำชาติ จึงได้เปรียบเรื่อง
   ภาษา
- คนไทยจะเรียนภาษาอังกฤษน้อยมาก ความรู้เรื่องภาษาอังกฤษจึงน้อยมากเนื่องจากครูสอนภาษาอังกฤษเป็นคนไทย ทักษะในการอ่าน
   หรือฟังไม่ดีพอจึงเสียเปรียบ
- คนอินเดียจะกล้าลงทุน จ้างผู้บริหารในราคาที่แพง เลือกคนที่มีความสามารถเข้ามาบริหารงาน ให้สวัสดิการคุ้มค่า และพัฒนาฝีมืออย่าง
   ต่อเนื่อง
- คนไทยมักใช้ญาติพี่น้องเข้ามาทำงาน แค่พอทำงานได้ไม่จำเป็นต้องมีความรู้เพิ่มเติม
2.  ผู้นำที่เหมาะสมกับอินโดรามา
  1. มีความรู้ความสามารถในงานที่ทำ แนะนำเรื่องงานให้กับผู้ใต้บังคับบัญชา อย่างเต็มที่ เป็นที่ปรึกษาเรื่องงาน ได้เป็นอย่างดี
  2. ต้องรู้เรื่องโลกาภิวัฒน์ ผลกระทบต่องานในบริษัทเตรียมรับมือกับการขาดสภาพคล่องตัวในองค์กร
  3.  รู้วัฒนธรรมของไทย และกฎหมายไทย เมื่อมาอยู่ในเมืองไทยต้องปรับตัวให้เข้ากับคนไทย
  4.  มีจริยธรรม และมีคุณธรรม มีความซื่อตรงต่อหน้าที่เอื้อเฟื้อมีน้ำใจไม่เอาแต่ใจ ใจเย็นไม่โกรธง่าย
3.  เพื่อให้การทำงานประสบความสำเร็จในอินโดรามา ผู้นำและผู้บริหารอินเดียต้องพัฒนา และปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมของคนไทย
    -  ต้องรู้เรื่องโลกาภิวัฒน์ รู้จักสภาพเหตุการณ์ในประเทศไทยรับรู้ข่าวสารของสังคมไทย เพราะทุกวันนี้มีเหตุการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นและเปลี่ยน
       แปลงตลอดเวลา เตรียมตัวรับกับปัญหาทุกอย่าง เพื่อให้บริษัทคงอยู่ได้ ปฏิบัติตามข้อกำหนดกฎหมายของประเทศไทย เช่น ISO

 

เรียนท่านศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ ดิฉัน น.ส.เฉลิม ชอบเจริญ ได้ทำการส่งการ บ้านที่อาจารได้ให้ไว้เมื่อวันที่ 17.ก.ค.2550 ซึ่งมีคำถามว่า ข้อ1.วัฒนธรรม อินเดียกับไทยจะสร้างผู้นำแตกต่างกันอย่างไรขอตอบว่าประเทศอินเดียเป็น ประเทศที่มีความเจริญก้าวหน้าในทุกๆด้านไม่ว่าจะเป็นเรื่องการใช้ภาษาอังกฤษ เพราะคนอินเดียนั้นจะเน้นเรื่องภาษาเป็นหลักและมีเทคโนโลยีต่างๆที่ทันสมัย เป็ประเทศที่มีการพัฒนาบุคลากรอย่างต่อเนื่องกล้าที่จะเสี่ยงลงทุนส่วน ประเทศไทยนั้นยังเป็นประเทศที่มีการพัฒนาล้าหลังอยู่การพัฒนาในด้านต่างๆ ยังไม่ได้รับการพัฒนาเท่าที่ควรการลงทุนในด้านเทคโนโลยียังไม่ทันสมัยเพราะ คนไทยไม่กล้าลงทุนคำถาม ข้อ2.ในตัวท่านเองคิดว่าคุณภาพผู้นำที่เหมาะสม กับอินโดรามาเน้น4เรื่องมีอะไรบ้าง2.1ต้องรู้จักเสียสละ2.2มีความสามารถทำให้ ทุกคนยอมรับ2.3ต้องมีความยุติธรรม2.4ต้องมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์กล้าที่จะ แสดงออกข้อ3.เพื่อการทำงานให้ประสบความสำเร็จในอินโดรามาผู้นำและ ผู้บริหารชาวอินเดียต้องพัฒนาและปรับตัวเองอย่างไรให้เข้ากับสภาพแวดล้อม ของคนไทยอิฉันขอตอบว่าคนอินเดียต้องเรียนรู้ภาษาไทยและขนบธรรมเนียม ประเพณีของคนไทยให้มากขึ้นกว่าเดิมและขอให้ยอมรับฟังความคิดเห็นของคน ไทยให้มากขึ้นด้วย
กราบเรียนท่านอาจารย์จิระ ครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ 3 ที่ได้มีโอกาสได้พบกับอาจารย์และทีมงาน ทำให้รู้สึกถึงการตื่นตัว และหายจากอาการตื่นเต้นไปมาก อาจารย์ได้พยายามสร้างบรรยากาศให้เกิดความคุ้นเคย และมีการปรับตัวในหมู่พวกเราเป็นอันมาก ทำให้ทุกคนพยายามขวนขวายรับรู้ เรียนรู้ในสิ่งใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นในโลกของเรามากขึ้น ซึ่งนับว่าได้ผลดีขึ้น เพราะอย่างน้อยที่สุด ทำให้น้อง ๆ ในอินโดรามาได้มีโอกาสใช้ระบบอินเตอร์เน็ตเป็น พิมพ์ดีดได้คล่องขึ้น มีพัฒนาการในหลายๆ ด้านไปในทางที่ดีมากขึ้นตามลำดับ จากการบ้านที่อาจารย์ได้ให้พวกเรามาทั้ง 3 ข้อ นับว่าเป็นประโยชน์มาก เพราะได้ทำให้ทุกคนได้ฝึกการคิดเป็น ทำเป็น พร้อมกับการวิเคราะห์ออกมาเป็นความคิดของแต่ละบุคคลได้มากทีเดียว จากข้อที่ 1 อาจารย์ถามว่า วัฒนธรรมไทยกับอินเดีย จะสร้างผู้นำแตกต่างกันอย่างไร ตามความคิดของดิฉันเห็นว่า สืบเนื่องจากอินเดียมีประชากรมากเป็นอันดับที่ 2 รองจากประเทศจีน จึงเป็นสังคมของการแก่งแย่งกันในหลาย ๆ ด้าน ทังในเรื่องของการใช้ชีวิตประจำวัน และสังคม สิ่งแวดล้อม ความเป็นอยู่ของอินเดียพลเมืองค่อนข้างจะยากจน จึงมีการแก่งแย่ง ชิงดีชิงเด่นกันในทุก ๆ ด้าน ต้องพยายามดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดอย่างมาก ทุกคนจึงมีการแข่งขันในการเรียนรู้ การใฝ่รู้กันมากขึ้น เพื่อให้ได้ความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น อีกทั้งอินเดียยังได้เปรียบไทยในเรื่องของการใช้ภาษาอังกฤษได้ดี ซึ่งเขาใช้เป็นภาษาสากลในการสื่อสารกันทั่วโลก อีกทั้งในด้านการใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ อินเดียมีการพัฒนา ก้าวหน้าไปอย่างมาก ล้ำหน้ากว่าประเทศไทย รวมทั้งพลเมืองของอินเดียมีความพยายามในการเรียนรู้ ใฝ่หาความรู้ใหม่ ๆ ตลอดเวลาเพราะสังคมของอินเดีย ถูกสอนมาให้มีการแข่งขัน ตื่นตัวกันตั้งแต่เด็ก เริ่มจากครอบครัวจะสอนในเรื่องของภาษาอังกฤษให้กับลูกของตัวเองโดยไม่ต้องรอให้ทางโรงเรียนสอน มีการกระตุ้นให้เกิดการแข่งขันในการเรียนระหว่างครอบครัวต่อครอบครัวในระดับเดียวกัน ทั้งสังคมของอินเดียยังมีการแบ่งชนชั้นวรรณะ การคบค้าสมาคมจะเกิดขึ้นในระดับเดียวกันเท่านั้น ซึ่งการถูกสอนมาเช่นนี้ จะทำให้เกิดความเห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ เอาตัวรอดแต่เพียงลำพัง ชอบโดดเด่น เน้นตัวเองเป็นหลัก ส่วนสังคมไทย จะมีความเป็นอยู่อย่างเรียบง่าย คนไทยรักสันโดษ ชอบความสงบสุข จึงขาดความกระตือรือล้นในการใฝ่หาความรู้ ชอบความเป็นกันเองชอบความสบาย อีกทั้งยังมีจิตใจ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ชอบช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยาก อยู๋กันเป็นครอบครัวใหญ่ มีเพื่อนพ้องน้องพี่มาก จึงเน้นการทำงานเป็นแบบครอบครัวมากกว่า ไม่ชอบการท้าทาย จึงทำให้มีการลงทุน ลงแรง และการตัดสินใจทำการใด ๆ น้อย ชอบความสมถะ จึงขาดการเรียนรู้ในด้านต่าง ๆ อีกทั้งไม่ชอบความเป็นผู้นำ ชอบเป็นผู้ตามมากกว่า จึงทำให้ขาดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์สิ่งแปลก ๆ ใหม่ ๆ ไม่ชอบการคิดนอกกรอบหรือคิดแหวกแนว 2. ในตัวท่านคิดว่า คุณภาพผู้นำที่เหมาะสมกับอินโดรามา เน้น 4 เรื่องอะไรบ้าง คุณภาพของผู้นำที่บริษัทฯต้องการคือ 2.1 ผู้นำต้องมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีทั้งในองค์กรและนอกองค์กร ต้องมีวาทะศิลป์ในการชักจูงโน้มน้าวจิตใจ ต้องเก่งและคล่องในเรื่องต่าง ๆ ทุกด้าน 2.2 ผู้นำต้องมีวิสันทัศน์กว้างไกล มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์อยู่ตลอดเวลา 2.3 ผู้นำต้องมีคุณธรรม จริยธรรม ปกครองผู้ใต้บังคับบัญชาด้วยความยุติธรรม ให้ความเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย ต้องรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น เพื่อนำมาพัฒนาองค์กรให้เจริญก้าวหน้า 2.4 ผู้นำต้องเป็นคนกล้าคิด กล้าทำ กล้าแสดงออก กล้าตัดสินใจอย่างรวดเร็วและถูกต้องรอบคอบ เพื่อให้ผลเสียต่อองค์กรน้อยที่สุด 3. เพื่อการทำงานให้ประสบความสำเร็จในอินโดรามา ผู้นำและผู้บริหารชาวอินเดียต้องพัฒนาและปรับตัวอย่างไร ให้เข้ากับสภาพแวดล้อมของคนไทย อย่างที่กล่าวไปแล้วข้างต้น ว่าสังคมของคนอินเดีย เป็นสังคมของการเรียนรู้ ใฝ่หาความรู้มากกว่า ทำให้เกิดความมั่นใจในตัวเองว่า เป็นผู้รู้มากกว่า จึงมักจะไม่ชอบรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น อีกทั้งยังชอบความโดดเด่นเฉพาะตัว จึงมักจะไม่ชอกการทำงานเป็นทีม ซึ่งไม่เหมือนคนไทยชอบการทำงานเป็นกลุ่ม เป็นทีมมากกว่า และสังคมอินเดียจะมีความเลื่อมล้ำในด้านชนชั้นวรรณะมาก จึงเห็นเสมือนคนไทยเป็นคนชั้นกลางหรือต่ำกว่า การให้เกียรติจึงมีน้อย ไม่ส่งเสริมให้พนักงานมีความรู้เพิ่มเติม ไม่ชอบการถ่ายทอดความรู้ให้กับพนักงาน สิ่งที่กล่าวมาแล้วข้างต้น จึงต้องมีการพัฒนาปรับปรุงเปลี่ยนแปลงกันอย่างจริงจัง และจริงใจ เพื่อให้เข้ากับสภาพแวดล้อมของคนไทย
กราบเรียนอาจารย์ ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ ดิฉันนางบุญชู เทียนชัย เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ได้เข้าเรียนเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2550 อาจารย์ได้ให้การบ้านไว้ ข้อที่ 1 วัฒนธรรมอินเดียกับไทยจะสร้างผู้นำแตกต่างกันอย่างไร ตอบ ผู้บริหารอินเดียเก่งด้านภาษาอังกฤษมาตั้งแต่เกิด พอดิฉันได้มาทำงานอยู่ที่อินโดรามา ดิฉันก็รู้จักคนอินเดียมากขึ้น คนอินเดียชอการทำงานคนเดียว ชอบหาความรู้อยู่ตลอดเวลา และยังมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล รวมถึงการพัฒนาคนไทย กล้าลงทุนให้ความรู้กับห้วหน้างานระดับกลาง เช่น การจ้างอาจารย์มาสอนภาษาอังกฤษ แล้วยังได้เรียนกับอาจารย์ ดร.จีระทำให้ได้ความรู้เพิ่มเติมขึ้นอีกมาก ส่วนวัฒนธรรมและประเพณีของไทย ชอบทำงานเป็นทีม ไม่ชอบใช้ความคิด มีความสามารถ แต่ไม่กล้าแสดงออก ขาดความมั่นใจ เช่น การเรียนภาษาอังกฤษ มักจะไม่ค่อยกล้าพูดจาโต้ตอบกับอาจารย์ คนไทยมีความพอใจในความเป็นอยู่ของต้วเอง ไม่กระตือรือล้น ข้อที่ 2 ในตัวท่านเองคิดว่า คุณภาพของผู้นำที่เหมาะสมกับอินโดรามา เน้นมา 4 เรื่อง ตอบ ผู้นำต้องเป็นคนที่ยอมรับของทุกคน มีความจริงใจ มีคุณธรรม มีเป้าหมายที่ชัดเจน ใฝ่หาความรู้ตลอดเวลา เก่งงาน เก่งคน เก่งคิด และเก่งเรียน เช่นใช้คอมพิวเตอร์เป็น รู้ภาษาอังกฤษดี มีความซื่อสัตย์ มีการทำงานเป็นทีมเพื่อร่วมมือกับบริษัทให้ประสบความสำเร็จ ข้อ 3 เพื่อการทำงานให้ประสบความสำเร็จในอินโดรามา ผู้นำและผูบริหารชาวอินเดียต้องพัฒนาและปรับต้วอย่างไรให้เข้ากับสภาพแวดล้อมของคนไทย ตอบ อินเดียต้องยอมรับประเพณีของไทยให้มากขึ้น ชาวอินเดียควรจะเรียนรู้ภาษาไทยให้มากกว่านี้ ยอมรับความคิดเห็นของคนไทย ทั้งเรื่องการทำงานและปัญหาครอบครัว

วัฒนธรรมอินเดียกับไทยจะสร้างผู้นำแตกต่างกันอย่างไร

ตอบ    การสร้างผู้นำของคนอินเดียนั้นแตกต่างกับการสร้างผู้นำของไทยมากเพราะว่าอินเดียมีการแบ่งชั้นวรรณะกันแต่ไทยไม่มีการแบ่งชนชั้นวรรณะการสร้างผู้นำของอินเดียเขามักจะสร้างผู้นำในชนชั้นเดียวกันแต่ของไทยนั้นการสร้างผู้นำจะสร้างคนทุกระดับชั้นไม่ว่าจะรวยจะจนมีความรู้มากหรือน้อยเพราะคนไทยให้โอกาศกับทุกคนเพราะว่าประเทศไทยไม่มีการแบ่งชนชั้นวรรณะเหมือนอินเดียขึ้นกับว่าคนๆนั้นคิดเป็นแค่ไหนแล้วจะปฏิบัติอย่างไรจะประสพความสำเร็จได้

ในตัวท่านเองคิดว่าคุณภาพผู้นำที่เหมาะสมกับอินโดรามาเน้น4เรื่องมีอะไรบ้าง

ตอบ    1.ต้องเก่งงานคือเมือได้รับมอบหมายงานให้ทำแล้วต้องทำได้ 2.ต้องรู้จักการทำงานเป็นทีม 3.ต้องเป็นคนใฝ่รู้ตลอดเวลา 4.ต้องมีความรับผิดชอบในหน้าที่การงานที่ได้รับมอบหมาย

เพื่อการทำงานให้ประสบผลสำเร็จในอินโดรามาผู้นำและผู้บริหารชาวอินเดียต้องพัฒนาและปรับตัวอย่างไรให้เข้ากับสภาพแวดล้อมของคนไทย

ตอบ   การเข้ามาทำงานของคนอินเดียนั้นส่วนมากจะมาเป็นหัวหน้างานฉนั้นการทำงานของคนไทยกับของคนอินเดียตัองปรับตัวให้เข้ากันได้คือต้องรู้จักวัฒนธรรมของกันและกันเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาและต่างฝ่ายต้องยอมรับความคิดเห็นของกันและกันเพื่อหาแนวทางในการทำงานที่เกิดประโยชน์สูงสุดแก่องค์กร 9dการเข้ามาทำงานของคนอินเดียนั้นตต

 

          

นางบุญช่วย จงรักษ์
เรียน อาจารย์ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ ดิฉัน นางบุญช่วย จงรักษ์ ลูกศิษย์ของอินโดรามาขอส่งการบ้านที่อาจารย์ที่สอนในวันที่ 17 กรกฎาคม 2550 ดังนี้ 1. ชาวอินเดีย เป็นคนที่สร้างโอกาสให้กับตัวเองอยู่เสมอ และเก่งในทุกด้านโดยเฉพาะ เรื่องภาษา และเขาจะพัฒนาคนในองค์กรที่สามารถรับฟังเขาให้เป็นผู้นำต่อไปได้ โดยอา ศัยความสามารถของตนที่มีอยู่ซึ่งเปรียบกับชาวไทย ที่ไม่ยอมสร้างโอกาสให้กับตัวเอง ไม่เก่งเรื่องภาษาแต่ว่าคนไทยไม่ค่อยมีการแข่งขันกันมากนัก อยู่อย่างเรียบง่าย ทำงาน เป็นทีมได้ดี 2.คุณภาพผู้นำที่เหมาะสมกับอินโดรามา มีดังนี้ 2.1 การทำงานเป็นทีมต้องรู้ว่าตัวเองมีหน้าที่อะไรบ้างและทำให้สำเร็จ ทำให้ดีที่สุดเท่าความ สามารถของตนเอง 2.2 ถ้าคิดและต้องลองทำเพื่อที่จะได้รู้ว่าผลออกมาเป็นอย่างไร และใช้ได้ผลมากน้อยเพียงใด 2.3 ผู้นำต้องแก้ไขปัญหาและตัดสินใจเป็น ปัญหาที่เกิดขึ้นต้องมีทางแก้ไข และต้องพัฒนาคน ให้ได้เรียนรู้และมีวิสัยทัศน์ที่ดี และพัฒนาคนพัฒนางานให้มีคุณภาพที่ดียิ่งขึ้น 2.4 ผู้นำต้องมองการณ์ไกล เพราะปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีตลอดเวลา เราจึงต้องมองสิ่งรอบตัวไว้เสมอเพื่อที่จะได้พัฒนาองค์กรให้ก้าวหน้า 3. ทั้งสองฝ่ายจะต้องมีความเข้าใจกันรับฟังความคิดเห็นของกันและกัน พยายามมีข้อโต้ แย้งให้น้อยที่สุดควรสนับสนุนองค์กรของเราให้เจริญเติบโตเรื่อยๆ เราชาวอินโดรามาจะได้ มีประสิทธิภาพในการทำงานให้ดีและก้าวหน้าในอนาคต ควรจะแชร์ความคิดและข้อเสนอ แนะของกันระหว่างคนไทยและชาวอินเดียเพื่อนำมาประยุกต์ใช้ และพัฒนาบริษัทอินโดรามา ให้ดีต่อไป
นายเอกสิทธิ์ สิงห์สูง
เรียน อาจารย์ ดร.จีระที่เคารพ ผมนายเอกสิทธิ์ สิงห์สูง ขอส่งการบ้านของเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2550 ดังนี้ 1. วัฒนธรรมอินเดียกับไทยจะสร้างผู้นำแตกต่างกันอย่างไร 1.1 วัฒนธรรมของชาวอินเดียจะมีการลงทุนสูง และระยะเวลานานจะหาความรู้ใหม่ๆ มาทด สอบและเป็นพวกที่มีการแข่งขันกันมากในการทำงานในหมู่คณะของตนเอง 1.2 วัฒนธรรมของคนไทยไม่ค่อยกล้าเสี่ยงที่จะลงทุน มีความสามารถในการบริหารงานค่อนข้างน้อย 2. ในตัวของท่านเองคิดว่าคุณภาพผู้นำที่เหมาะสมกับอินโดรามมีอะไรบ้าง 2.1 ทำงานเป็นทีม เป็นระบบ การช่วยเหลือกันในการทำงาน 2.2 หาความรู้ใหม่มาสอน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน 2.3 พัฒนาองค์กรให้ดีขึ้น โดยนำพาองค์กรให้มีคุณภาพในทุกๆด้าน 2.4 มีความรักในหมู่คณะ สามารถช่วยเหลือและพึ่งพากันได้ในเรื่องของการทำงานและการอยู่ร่วมกัน 3. เพื่อการทำงานให้ประสบความสำเร็จในอินโดรามาผู้นำและผู้บริหารชาวอินเดีย ต้องพัฒนาและปรับตัวอย่างไรให้เข้ากับสภาพแวดล้อมของคนไทย 3.1 ควรเพิ่มสวัสดิการให้มากขึ้นจากเดิม เพื่อเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจในการทำงาน 3.2 ชาวอินเดียไม่ควรดูถูกคนไทย เพราะชาวอินเดียอาศัยอยู่ในเมืองไทยและทำงานร่วม กับคนไทยจึงจำเป็นที่ต้องให้เกียรติซึ่งกันและกัน 3.3 ควรให้คำแนะนำ หรือสอนงานคนไทยให้มากขึ้นเพื่อสร้างคุณภาพของคนและงานให้ พัฒนาขึ้นไป 3.4 เปิดโอกาสให้คนไทยได้แสดงความสามารถให้มากขึ้น เพื่อแสดงศักยภาพของคนไทย 3.5 ควรเรียนรู้วัฒนธรรมของคนไทยให้มากขึ้น เพื่อการอยู่ร่วมกันและเข้าใจซึ่งกันและกัน ได้เป็นอย่างดี
1.วัฒนธรรมอินเดียกับไทยจะสร้างผู้นำแตกต่างอย่างไร     1.1 วัฒนธรรมอินเดียจะสร้างผู้นำจาก       1.1.1  เป็นบุคคลที่ทำงานร่วมกันมานาน       1.1.2  เป็นบุคคลที่มีประวัติการทำงานที่ดี ถึงแม้จะมีวุฒิการศึกษาน้อย       1.1.3  จะดูว่าบุคคลนั้นเป็นที่ยอมรับของทุกคนหรือไม่     1.2  วัฒนธรรมไทยจะสร้างผู้นำจาก       1.2.1  ต้องมีวุฒิการศึกษาที่สูง       1.2.2  ยังใช้ระบบพวกใครพวกมัน       1.2.3  ใช้ระบบอาวุโส  2.  ในตัวท่านเองคิดว่าคุณภาพผู้นำที่เหมาะสมกับอินโดรามาเน้น 4 เรื่องมี                    อะไรบ้าง        1. ความรับผิดชอบ      2. ให้ความสำคัญกับผู้ร่วมงานด้วยความเสมอภาค      3. ให้ผู้ร่วมงานเรียนรู้งานอย่างต่อเนื่อง      4. เป็นตัวอย่างที่ดีในการปฏิบัติงาน  3.  เพื่อการทำงานให้ประสบความสำเร็จในอินโดรามา ผู้นำและผู้บริหารชาว      อินเดียต้องพัฒนาและปรับตัวอย่างไรให้เข้ากับสภาพแวดล้อมของคนไทย        1. การสั่งงานของหัวหน้างานชาวอินเดียสมควรต้องเน้นเรื่องความถูกต้อง       แม่นยำ และเชื่อถือได้      2. ควรมองเรื่องสวัสดิการของพนักงานคนไทยบ้างเพราะเป็นส่วนหนึ่งของ      การสร้างแรงจูงใจในการทำงาน      3. หัวหน้างานชาวอินเดีย ควรสอนงานแก่หัวหน้าชาวไทยเพื่อคุณภาพของ      งานจะได้ดีขึ้น      4. การที่ผู้บริหารมุ่งเน้นในเรื่องการพัฒนาบุคลากรเป็นเรื่องที่ดี แต่ที่สำคัญ      และไม่ควรมองข้ามคือ การพัฒนาคุณภาพของสินค้าให้เป็นที่ยอมรับของ      ตลาด 
กราบเรี่ยนอาจารย์ ดิฉันนางสาวสุทธินี สร้อยเสนา ลูกศิษย์อาจารย์คนหนึ่งที่ทำงานให้กับบริษัทอินโดรามา มีความคิดเห็นในเรื่องวัฒนาธรรมอินเดียกับไทยจะสร้างผู้นำที่แตกต่างกันคือ การที่อินเดียเคยเป็นเมืองขึ้นของประเทศอังกฤษมาก่อนจึงได้รับวัฒนาธรรมหลายด้านจากอังกฤษ รวมถึงภาษาอังกฤษที่ถูกกำหนดให้เป็นภาษาราชการ ทำให้ผู้นำอินเดียสามารถใช้ภาษาอังกฤษได้ดีกว่า ผู้นำคนไทยที่ด้อยในด้านการใช้ภาษาอังกฤษ ซึ่งอาจจะมีผลมาจากคนไทยมีภาษาเป็นของตนเอง บุคคลที่มีความรู้ในด้านภาษาอังกฤษอย่างดีมีจำนวนน้อย ครูที่สอนภาษาอังกฤษอาจจะไม่ได้จบด้านภาษาโดยตรง        อีกทั้งในสังคมอินเดียมีการแบ่งชนชั้นมากมาย ส่งผลทำให้มีการแข่งขัยกัยในแต่ละชนชั้นเพื่อให้ตนเองเป็นที่ยอมรับในชนชั้นนั้นๆ และที่สูงกว่า การทำงานของคนอินเดียจึงออกมาในรูปแบบของการทำงานที่ม่การอข่งขันกันตลอดเวลาส่วนคนไทยอยู่กันแบบสังคมครอบครัว ที่มีความเกื้อกุล โอบอ้อมอารี ช่วยเหลือซึ่งกันและกันในสังคม ผู้นำที่ดีได้มาจากระบบอาวุโส การทำงานต่างๆใช้บุคคลในครอบครัวที่ขาดความรู้ ความชำนาญเฉพาะด้านนั้น เพราะคิดว่าฝึกฝนกันได้ ส่งผลทำให้ไม่มีการแข่งขันและพัฒนาในการทำงานอย่างต่อเนื่อง        คุณภาพผู้นำที่เหมาะสมกับอินโดรามาเน้น 4 เรื่อง        1. มีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล        2. มีคุณธรรม จริยธรรม        3. กล้าคิด กล้าแสดงออก มีความกระตือลือร้นและความรับผิดชอบในหน้าที่        4. หมั่นทบทวนการทำงานเสมอ มีความน่าเชื่อ

        เพื่อการทำงานให้ประสบความสำเร็จในอินโดรามาผู้นำและผู้บริหารชาวอินเดียต้องพัฒนาและปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมของคนไทย

        ต้องรู้เรื่องกระแสโลกาภิวัฒน์ รู้จักวัฒนธรรมไทย สังคมการเมือง สภาพเศรษฐกิจเพราะปัจจุบันในประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาไม่ว่าจะในเรื่องการเมืองที่ไม่นิ่ง พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ได้ตลอด  ต้องพัฒนาตนเองให้พร้อมเสมอและที่ขาดไม่ได้คือการพัฒนาผลผลิตให้มีคุณภาพที่ดีต่อลูกค้าอย่างเสมอต้นเสมอปลายตลอดไป
กราบเรียนท่านอาจารย์ ดร. จีระ หงส์ลการม ดิฉันบุญช่วย พูลทองเป็นลูกศิษย์ที่เข้ารับการอบรมจากบริษัทอินโดรามา ลพบุรี ในวันที่่ 17 ก.ค. 2550 อาจารย์ได้ให้การบ้านไว้ิดิฉันจะขอตอบดังต่อไปนี้ ข้อ1 ความแตกต่างทางวัฒนธรรมของคนอิืนเดียกับไทยจะสร้างผู้นำแตกต่างกันอย่างไร 1.1 ไม่ว่าศาสนาไหนหรือวัฒนธรรมใด ๆ ก็ตามต่้างก็สอนให้คนเป็นคนดีด้วยก้นทั้งนั้นก็คงจะแตกต่างกันบ้างขึ้นอยู่กับการปฏิบัติของแต่ละบุคคล แต่วัฒนธรรมของคนอินเดียเท่าที่ดิฉันได้เห็นและเรียนรู้คนอินเดียเขาจะมีความมุ่งมั่นมีความคิดที่จะเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา 1.2 การสร้างผู้นำของคนอินเดียก็จะดูเกี่ยวกับการทำงานความรู้ความเข้าใจและการเรียนรู้อยู่ตลอดเวลาและเน้นการทำงานเป็นทีม 1.3 การสร้างผู้นำเป็นทีมก็จะดูเกี่ยวกับการขยันความซื่อสัตย์มีความรู้่ความเข้าใจมีความสามารถในการปฏิบัติงาน ข้อ 2 คุณภาพของผู้นำที่เหมาะสมกับอินโดรามาคือ 2.1 การทำงานเป็นทีมโดยให้ทุกคนมีส่วนร่วมรู้จักแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบแล้วทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุดผลที่ออกมาก็คือความสำเร็จ 2.2 ต้องคิดเป็นมองในภาพใหญ่และหาจุดแข็งของตัวเองว่าเก่งในเรื่องใดแล้วนำมาประยุกต์ใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์มีวิสัยทัศน์ มองโลกให้กว้างเพื่อจะได้นำมาพัฒนาองค์กรให้เจริญก้าวหน้า 2.3 ผู้นำต้องแก้ไขปัญหาและตัดสินในใจเป็น คือสามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดีและรวดเร็ว ปัญหาที่เกิดขึ้นต้องมีทางแก้ไขและต้องพัฒนาคนให้รู้จักเรียนรู้นิสัยของลูกน้อง ต้องพัฒนาความสามารถในการทำงานของลูกน้องให้มีประสิทธภาพมากขึ้นเพื่อที่จะทำให้ผลผลิตมีคุณภาพดี 2.4 ผู้นำต้องมองกาลไกล เพราะโลกของเราทุกวันนี้มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาต้องมองหาเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาเพื่อพัฒนาคุณภาพของสินค้าและมองหาตลาดใหม่ๆ ต้องรู้เขารู้เราต้องช่วยดูแลสิ่งแวดล้อมให้ดีเพื่อส่วนรวม ข้อ 3 เพื่อการทำงานให้ประสบความสำเร็จในอินโดราม่า ผู้ำนำและผู้บริหารชาวอิืนเดียท่านเป็นคนมีวิสัยทัศน์ที่ก้าวไกลอยู่เสมอท่านผู้บริหารได้เรียนรู้วัฒนธรรมของไทย ซึ่งขณะนี้ท่านได้พัฒนาระดับหัวหน้างานให้มีความรู้ทางด้านภาษาและด้านงานผลิตท่านมองเห็นทุนมนุษย์ ถ้าเราให้ัความรู้กับพวกเขาแล้วพวกเขาก็ต้องตอบแทนอย่างแน่นอน
กราบเรียนท่านดร.จีระ ผมนายวีระศักดิ์ เกษร ขอส่งการบ้านของท่านดังต่อไปนี้ 1. วัฒนธรรมอินเดียกับไทยจะสร้างผู้นำแตกต่างกันอย่างไร ตอบ ชาวอินเดียส่วนใหญ่จะรักครอบครัวมากเหมือนกับชาวไทยที่รักครอบครัวมากเช่นกัน แต่ชาวอินเดียจะเลือกคนที่มีความสามารถ มีความรู้ และมีประสบการณ์ มาเป็นผู้นำและผู้บริหารแต่ักับคนไทยส่วนใหญ่จะใช้ระบบเครือญาติ รักพวกพ้องจึงให้ญาติพี่น้องมาช่วยดูแล และบริหารงานมาเป็นผู้นำโดยไม่คำนึงถึงความสามารถ ความรู้ หรือประสบการณ์แต่อย่างใด จึงทำให้บริษัทของคนไทยไม่ค่อยจะเจริญก้าวหน้าเท่าที่ควร ผิดกับของชาวอินเดียที่ประสบความสำเร็จและสามารถขยายเครือข่ายของบริษัทไปยังหลายๆ ประเทศ 2. คุณภาพผู้นำที่เหมาะสมกับอิืนโดรามาเน้น 4 เรื่องมีอะไรบ้าง 2.1 ผู้นำที่ดีต้องเป็นผู้ที่มองการณ์ไกล มองภาพใหญ่ื และมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล 2.2 ผู้นำที่ดีต้องทำงานแบบมีระบบ มีการวางแผนและสามารถแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ดีและรวดเร็ว กล้าตัดสินใจ ทำงานเป็นทีมได้ 2.3 ผู้่นำที่ดีต้องมีการพัฒนาตัวเองตลอดเวลามีความกระตือรือร้น ต้องใฝ่ีรู้ รู้กว้าง รู้จริง 2.4 ผู้นำที่ดีต้องเป็นบุคคลที่อบอุ่นดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาด้วยความเสมอภาค มีความยุติธรรม รู้เขารู้เรา หรือถ้าผู้ใต้บังคับบัญชามีความสามารถหรือทำความดี ควรได้รับการชมเชยและควรชมเชยต่อหน้าผู้อื่น แล้วผู้ใต้บังคับบัญชาคนนั้นก็จะทำงานอย่างทุ่มเทเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม 3. เพื่อการทำงานให้ประสบความสำเร็จในอินโดรามา ผู้นำและผู้บริหารชาวอินเดียต้องพัฒนาและปรับตัวอย่างไรให้เข้ากับสภาพแวดล้อมของคนไทย ตอบ ผู้นำและผู้บริหารชาวอินเดียควรจะเข้าใจถึงความต้องการของพนักงานว่าต้องการสิ่งใด ให้เข้าใจในตัวของพนักงาน ลดการนึกถึงเรื่องวรรณะของชาวอินเดีย อย่าคิดว่าสูงกว่าคนไทย ถ้ามีการปรับตัวได้ก็จะทำให้การทำงานในอินโดรามาประสบความสำเร็จไม่มีปัญหาในที่ทำงาน เพราะพนักงานในอินโดรามาทุกคนรวมถึงตัวผมด้วยมีความตั้งใจที่จะช่วยพัฒนาอินโดรามาให้เจริญก้าวหน้าตลอดไป
กราบเรียนอาจารย์จีระที่เคารพ ดิฉัน สมใจ กลัดงามขอตอบการบ้านของอาจารย์ที่ให้ไว้เมื่อวันที่ 17 ก.ค. 2550 เป็นข้อๆ ดังนี้ค่ะ ข้อที่1 วัฒนธรรมอินเดียกับไทยที่จะสร้างผู้นำแตกต่างกันอย่างไร ตอบ : ดิฉันคิดว่าคนอินเดียฉลาดและเก่งเพราะว่าผู้นำของอินเดียต้องมีความรู้และการศึกษามากๆจึงจะเป็นผู้นำได้ และกล้าที่จะลงทุนพัฒนาบุคคลากรของตนให้มีประสิทธิภาพ ส่วนผู้นำของคนไทยก็ต้องมีความรู้เช่นกัน แต่จะเน้นเรื่องประสบการณ์เป็นส่วนใหญ่ และไม่กล้าที่จะลงทุน เพื่อพัฒนาบุคลากรของตนแต่จะพัฒนาเฉพาะระดับบนเท่านั้น ข้อ 2 ในตัวท่านเองคิดว่าคุณภาพผู้นำที่เหมาะสมกับอินโดรามา เน้น 4 เรื่องมีอะไรบ้าง 2.1 มีความรับผิดชอบ มีเหตุมีผล และรู้จุดอ่อนจุดแข็งของตัวเอง แล้วนำจุดแข็งของตัวเองออกมาใช้ ผู้นำที่ดีต้องมีความอบอุ่นเปิดกว้างยอมรับความคิดเห็นของคนอื่นมีความยุติธรรมกับลูกน้อง 2.2 มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี ปรับตัวเข้ากับผู้อื่นได้ดี หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส มีศีล ธรรม ส่งเสริมยกย่องคนทำความดี 2.3 ต้องมีระเบียบวินัย ทำงานอย่างมีระบบ มีการวางแผนการทำงาน 2.4 มีความซื่อสัตย์ต่อตนเองและองค์กรมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ เพื่อที่จะพัฒนา องค์กรให้เจริญรุ่งเรื่อง ข้อ 3 เพื่อการทำงานให้ประสบผลสำเร็จผู้นำในอินโดรามาและผู้บริหารชาวอินเดียต้องพัฒนาและปรับตัวอย่างไรให้เข้ากับสภาพแวดล้อมของคนไทย ตอบ ผู้บริหารและผู้นำของอินเดียต้องยอมรับวัฒนะธรรมและประเพณีของคนไทยและเปิดโอกาสให้คนที่มีความรู้ความสามารถขึ้นมาเป็นผู้นำ และที่สำคัญควรยอมรับฟังความคิดเห็นต่างๆ ของบุคลากรในองค์กรด้วยว่าพนักงานมีความต้องการสิ่งใด จะช่วยได้อย่างไร และควรช่วยอย่างจริงจัง เห็นอกเห็นใจพนักงานบ้าง อยากให้ผู้บริหารเอาใจเขามาใส่ใจเราแล้วงานก็จะออกมาดีและมีคุณภาพ บริษัทก็จะประสบความสำเร็จ มีความเจริญก้าวหน้าต่อไป
ตอบ1.ไม่แตกต่างปัจจุบันทางผู้นำทั้งต่างชาติและผู้นำไทยมีการเป็นผู้นำคล้ายคลึงกัน อย่างเช่น      - มีการประชุมผู้นำต่างชาติและชาวไทยก็ลงมาประชุมเหมือนกัน      - การสั่งงานผู้นำก็เข้ามาร่วมด้วยเช่นกัน      - ผู้นำทั้งต่างชาติและไทยสนใจพนักงานเหมือนกันตอบ2.    - เก่งเทคโนโลยี       - มีวิสัยทัศน์      - ตัดสินใจเยี่ยม      - ใช้คนเป็นตอบ3    - ให้ผู้บริหารระดับสูงได้ลงมาพูดคุยกับพนักงานหรือผู้บริหารระดับต่ำ      - อยากให้ผู้บริหารชาวอินเดียได้เข้าใจกับวัฒนธรรมและประเพณีของ ไทยเราด้วย 

1. วัฒนธรรมอินเดียกับไทยจะสร้างผู้นำแตกต่างกันอย่างไร
  การสร้างผู้นำของชาวอินเดีย จะนำเอาหลักการทำงานเป็นหลัก เช่น ประวัติของการทำงาน มีการขาดงานลางานบ่อยครั้ง
หรือไม่ มีความสนใจในงานที่รับผิดชอบมากน้อยเพียงใด มีไหวพริบในการสังเกตุงานที่ผิดพลาด เช่น งานชิ้นนี้ออกมาแล้วจะต้องเป็น
ลักษณะที่สมบูรณ์ แต่บางครั้งงานที่ออกมาแล้วมีตำหนินิดหน่อยเราจะต้องรู้ว่างานตรงนี้มีปัญหาตรงจุดไหนบ้างและมีวิธีการแก้ไขอย่าง
ไร และเป็นคนช่างจดช่างจำงานได้ดีพอสมควร ทำงานให้ผิดพลาดให้น้อยที่สุดหรือไม่มีการผิดพลาดเลยได้ยิ่งจะดีมาก
สำหรับชาวอินเดียจะใช้หลักการตรงนี้ที่จะสร้างผู้นำ
 การสร้างผู้นำของคนไทย คนไทยมีนิสัยโอบอ้อมอารีย์ชอบช่วยเหลือซึ่งกันและกัน รักในหมู่ญาติพี่น้องจะคอยช่วยเหลือกันอยู่
ตลอดเวลาซึ่งจุดตรงนี้จึงนำมาเป็นแนวทางในการสร้างผู้นำคือจะใช้การแนะนำญาติพี่น้องและเพื่อนให้ได้อยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับตนเอง
2. ในตัวท่านเองคิดว่าคุณภาพผู้นำที่เหมาะสมกับอินโดรามาเน้น 4 เรื่อง อะไรบ้าง
    1.  มีความรู้ความเข้าใจในการทำงานที่ตนรับผิดชอบอยู่เป็นอย่างดี ให้คำแนะนำในการทำงานให้แก่ผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของตน
เองได้เป็นอย่างดีและไม่ว่าจะมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นในขณะนั้นจะต้องแก้ไขได้ทันที
 2. มีความเป็นกันเองต่อผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชา รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นและมีเหตุผลในการตัดสินใจเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น ไม่ว่า
จะเป็นกรณีใดๆ จะต้องตัดสินใจให้เป็นกลางให้มากที่สุด
 3. มีความซื่อสัตย์สุจริตต่อหน้าที่การทำงานและบริษัทให้เปรียบเหมือนเป็นกิจการของตนเอง
 4. มีการแสวงหาความรู้ที่เป็นประโยชน์ต่อการทำงานเพื่อพัฒนาการทำงานของตนให้ดีขึ้นตลอดเวลาและ ติดตามข่าวสารต่างๆ
ที่เกิดขึ้นในยุคโลกาภิวัฒน์เพื่อเป็นแนวทางในการทำงานของตนให้ทันต่อความต้องการเพื่อเป็นการจูงใจลูกค้าอีกทางหนึ่ง
3. เพื่อการทำงานให้ประสบความสำเร็จในอินโดรามาผู้นำและผู้บริหารชาวอินเดียต้องพัฒนาและปรับตัวอย่างไรให้เข้ากับสภาพแวดล้อม
ของไทย
 มีการแลกเปลี่ยนข้อเสนอและความคิดเห็นของแต่ละฝ่ายเพื่อนำมาปฏิบัติและปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใน
การทำงานของแต่ละฝ่ายให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันจะได้นำไปสู่ความเจริญก้าวหน้าของบริษัทของเราต่อไป

 

 

 

 

 

 

 

 

นายชัยธนัตถ์กร ภวิศพิริยะกฤติ
ส่งงานครั้งที่  5   อาจารย์ศิริลักษณ์  เมฆสังข์โดย  นายชัยธนัตถ์กร  ภวิศพิริยะกฤติ                อาจารย์ได้นำเสนอภาพกว้างของการบริหารทรัพยากรมนุษย์ ว่าทุกองค์กรในโลกล้วนประสบความสำเร็จยิ่ง  ถ้ามีการลงทุนในทรัพยากรมนุษย์  โดยให้ทุนมนุษย์มีการเพิ่มคุณค่าของตัวทุน ยิ่งทิ้งระยะเวลายาวนานขึ้น  ทุนนี้ย่อมขยายตัวและมีมูลค่าสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว ด้วยทุนเหล่านี้จะไปผลักดันทำให้กิจกรรม กิจการขององค์กรเจริญก้าวหน้า เกิดผลิตภาพที่มีคุณภาพ  ทำให้งอกเงยขึ้นทั้งปริมาณและกำไร  อันส่งผลโดยตรงต่อการขยายตัวขององค์การ ประเทศที่เจริญและพัฒนาแล้ว  จึงส่งเสริมทุนมนุษย์ให้มีการเรียนรู้ตลอดชีวิต อันเป็นประโยชน์แก่สังคมและองค์การในที่สุด                การพัฒนาทุนมนุษย์ จึงต้องเริ่มต้นตั้งแต่กระบวนการสรรหา จะเห็นได้จากบริษัทปูนซีเมนต์ไทย  (มหาชน) จำกัด  ได้มีเกณฑ์ในการเลือกสรรคนเข้าทำงานที่เป็นระบบ ชัดเจน ทั้งความรู้ ความสามารถ ความคิด การตัดสินใจและการทำงานเป็นทีม ทำให้ทุนมนุษย์ในองค์กรนี้มีคุณภาพ และคุณค่ายิ่งส่งผลให้บริษัทเจริญก้าวหน้า  และถ้าประสบวิกฤตก็มีความเสียหายน้อยกว่า เพราะทุนมนุษย์จะปรับตัวและอภิวัฒน์ให้องค์การอยู่รอด  เมื่อเข้าสู่ระบบแล้วองค์การที่ดีจึงต้องมีระบบการพัฒนาทุนมนุษย์ให้เพิ่มค่า  โดยการพัฒนาความรู้ความสามารถ การฝึกอบรมและสร้างบรรยากาศแห่งการเรียนรู้ตลอดเวลา                การพัฒนาทุนมนุษย์ ก็เหมือนกับการเพิ่มค่าของหุ้นในบริษัท เมื่อบริษัทมีผลประกอบการดี มีกำไรและขยายธุรกิจให้กว้างขวางยิ่งขึ้น ก็จะส่งผลต่อมูลค่าหุ้นของบริษัทให้มีมูลค่าสูงกว่าราคาพาร์หลาย ๆ เท่าดังเช่น  บริษัท  AIS  ราคาพาร์ของหุ้น 1 บาท วันนี้มีราคาซื้อขายในตลาด 90 100 บาท ก็แสดงถึงความเชื่อมั่นในการทำกำไรและการเจริญเติบโตขององค์การนั่นเอง  ปัจจัยหลักก็คือ บริษัทมีทุนมนุษย์ที่มีคุณภาพ โดยรวมอยู่ในระดับดีเยี่ยม  เพราะบริษัทจะมีการพัฒนาทักษะในทุกระดับงาน  เพิ่มความรู้ใหม่ ๆ สร้างสมประสบการณ์ในการทำงานที่หลากหลายและสุดท้ายก็จะไปเพิ่มความสามารถหลักขององค์การนั่นเอง                คนเราเมื่อทำงาน ไม่ว่าองค์กรเล็กหรือใหญ่ ถ้าได้ทำหน้าที่ให้ดีที่สุด เหมาะสมกับความรู้ความสามารถแล้ว ผมเชื่อว่าจะนำตนเองและองค์กรไปสู่ความเป็นเลิศได้เสมอ เมื่อคนมีความสามารถ จะทำงานในหน้าที่ วันนี้ในหลาย ๆ องค์กรก็ยังคงขาดการดูแลทุนมนุษย์ให้ได้พัฒนาในหลายๆ ด้านที่กล่าวมาแล้ว  จึงทำให้องค์กรในภาพรวมและตัวเองในภาพย่อย ขาดประสิทธิภาพ ประสิทธิผล ไม่สามารถที่จะแข่งขันกับคู่แข่งได้ในท้ายที่สุด ก็ต้องเลิกกิจการไปในที่สุด  นั่นก็หมายถึงองค์การผู้บริหารและพนักงานไม่รู้จักปรับตัว  โรงงานทอผ้าที่ใช้แต่แรงงาน และเทคโนโลยีเก่า ๆ โรงงานทำรองเท้า องค์กรรัฐวิสาหกิจบางแห่ง  ซึ่งก็ประสบปัญหา ชะตากรรมเดียวกันก็คือ คุณภาพของคนหรือทุนมนุษย์นั่นเอง  ที่ผู้บริหารขาดการพัฒนา ฝึกอบรมเพื่อเพิ่มพูนความรู้ความสามารถอย่างต่อเนื่อง ทำให้ล้าหลังและไม่อาจปรับตัวได้ในโลกยุคปัจจุบัน จึงทำให้  สูญเสียโอกาส ในโลกธุรกิจไปอย่างน่าเสียดาย. 27  กรกฎาคม  2550
สวัสดีครับ อาจารย์ ผมนายกิตติ แก้วพงษ์ เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม ผมได้เข้ารับการอบรม และอาจารย์ได้ให้การบ้านไว้ 3 หัวข้อด้วยกันคือ 1. วัฒนธรรมอินเดียกับไทยสร้างผู้นำแตกต่างกันอย่างไร -ชาวอินเดียส่วนใหญ่ ถ้าเป็นผู้ชายจะออกทำงานนอกบ้าน มากกว่าผู้หญิงและมีประชากร มาก มีการแข่งขันกันมากและเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ในด้านเทคโนโลยี มีการพัฒนา ก้าวหน้าไปมาก ในด้านของภาษาอังกฤษและจะใช้ภาษาอังกฤษได้ดีกว่า ซึ่งมีการสอน กันตั้งแต่เด็กที่ยังไม่เข้าโรงเรียนและชาวอินเดียมีการแบ่งชนชั้น จึงทำให้มีการแข่งขัน ในประเทศมาก ซึ่งทำให้เกิดผู้นำ ที่เก่ง ฉลาด และคนอินเดียจะนำคนที่เก่ง ฉลาด และจบ การศึกษาสูงๆ เข้ามาทำงานในองค์กร และกล้าที่จะลงทุนในการพัฒนาบุคลากรให้ดีขึ้น ตลอดเวลา ส่วนสังคมไทยจะอยู่กันอย่างเรียบง่าย พึ่งพาอาศัยกัน ช่วยเหลือเอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่ ไม่ค่อยกระตือรือร้น ชอบเป็นผู้ตามมากกว่าเป็นผู้นำ ทำให้ไม่ค่อยมีความคิดที่สร้างสรรค์ สิ่งแปลกๆใหม่ๆ ชอบทำงานเป็นทีม ไม่ชอบทำงานคนเดียว ไม่ค่อยกล้าที่จะแสดงออก การทำงานส่วนใหญ่จะเน้นเกี่ยวกับการรู้จักกันเป็นการส่วนตัวหรือเป็นญาติพี่น้องกันเป็นต้น และไม่ค่อยลงทุนในการพัฒนาบุคลากร จึงทำให้ผู้นำไม่มีความรู้เท่าที่ควร และไม่สามารถ พัฒนาองค์กรได้มากนัก 2. คุณภาพผู้นำที่เหมาะสมกับอินโดรามาเน้น 4 เรื่อง คือ 2.1 ผู้นำต้องเป็นคนที่กล้าคิด กล้าทำ กล้าแสดงออก และกล้าตัดสินใจ ถูกต้อง รอบคอบ มีความ ผิดพลาดให้น้อยที่สุด หรือไม่มีเลยจะดีมาก 2.2 ผู้นำต้องมีวิสัยทัศน์ที่ดี มีความคิดนอกกรอบ มีความคิดสร้างสรรค์ คาดการณ์ในอนาคต ได้ 2.3 ผู้นำต้องมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี ยินดีรับฟังความคิดของผู้อื่น และช่วยเหลือกันไม่ว่างานนั้น จะหนักหรือเบา 2.4 ผู้นำต้องมีคุณธรรม จริยธรรม รู้จักการให้อภัยซึ่งกันและกันในการทำงาน เพื่อที่จะได้ ทำงานกันอย่างมีประสิทธิภาพ และทำงานร่วมกันได้ดียิ่งขึ้น 3. เพื่อให้การทำงานประสบความสำเร็จในบริษัท ผู้นำและผู้บริหารชาวอินเดีย ต้องพัฒนา และปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมของคนไทยอย่างไร - การอยู่ในบริษัทเดียวกัน ก็ไม่ควรมีการแบ่งชนชั้นกัน ควรให้ความเชื่อถือและไว้วางใจ ซึ่งกันและกัน รวมทั้งรับฟังความคิดเห็นต่างๆ และข้อเสนอแนะหลายๆด้านซึ่งจะทำให้ ทั้งคนอินเดียและคนไทยได้รู้จักศึกษาสิ่งต่างๆของกันและกันได้เป็นอย่างดี ไม่ควรจะแบ่ง แยกกันในหลายๆเรื่อง เช่นเรื่องของสวัสดิการ ก็ควรที่จะมีสิ่งต่างๆให้คล้ายกัน อาจจะไม่ เหมือนกัน แต่ก็ไม่ควรที่จะแตกต่างกันมากนัก

     สวัสดีค่ะท่านอาจารย์ ดิฉันวราภรณ์  ระวิงทอง ขอส่งการบ้านที่อาจารย์ให้ใว้เมื่อวันที่ 17 กรกฏาคม 2550 ดังต่อไปนี้ค่ะ 1. วัฒนธรรมอินเดียกับไทยจะสร้างผู้นำแตกต่างกันอย่างไร  ดิฉันขอตอบว่าคนอินเดียเวลาเขาสร้างผู้นำจะใช้คนที่มีความรู้ความสามารถและต้องมีการศึกษาสูงมาพัฒนาเป็นผู้นำ โดยจะไม่คำนึงว่าคนที่นำมาพัฒนานั้นต้องเป็นญาติพี่น้อง    ส่วนของไทยการสร้างผู้นำส่วนใหญ่มักจะมองที่ญาติพี่น้อง พวกพร้อง และความรู้เรื่องภาษา  คนไทยเรายังมีความพัฒนาน้อยเมื่อเทียบกับอินเดีย เพราะอินเดียเรื่องภาษาจะเน้นการพัฒนามาตั้งแต่เด็กๆ   2.  คุณภาพผู้นำที่เหมาะสมกับอินโดรามาก็คือ 2.1 ต้องเป็นคนเก่งและฉลาด  2.2  ต้องเป็นคนที่มีความรับผิดชอบสูง และมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี  2.3  มีความคิดสร้างสรรค์ทำในสิ่งใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา และต้องรับฟังความคิดเห็นของคนอื่นๆด้วย 2.4 ต้องเป็นคนที่มีความยุติธรรม มีใจเป็นกลางทำในสิ่งที่ถูกต้อง ใช้ปัญญาคิดทำในสิ่งดีอยู่เสมอ   3. เพื่อการทำงานให้ประสบความสำเร็จในอินโดรามาผู้นำและผู้บริหารชาวอินเดียจะต้องปรับตัวอย่างไรให้เข้ากับสภาพแวดล้อมของคนไทย  ดิฉันคิดว่าผู้นำชาวอินเดียต้องเข้าใจ และยอมรับระบบการทำงานของคนไทย ไม่ใช้อารมณ์ในการบริหารงาน ควรใช้ความคิดความถูกต้องมาร่วมกันแก้ใขปัญหา ยอมรับฟังความคิดเห็นของคนในองค์กร ยอมเปิดโอกาสให้คนดีมีความสามารถขึ้นเป็นผู้นำของบริษัท เพื่อช่วยในการปรับปรุงและพัฒนาบริษัทให้ก้าวหน้าต่อไป

        

นายพิสิทธิ์ พานิชประเสริฐ
สวัสดีครับท่าน ดร.จิระ เรื่องวัฒนะธรรมอินเดียกับไทยจะสร้างผู้นำแตกต่างกันอย่างไร กระผมขอบอก ว่าฅนอินเดียเขาสร้างผุ้นำจะใช้ฅนที่มีความสามารถและความรู้และการศึกษาที่สูงและการศึกษาที่ดีมาพัฒนาเป็นผู้นำ ส่วนฅนไทยนั้นจะสร้างผู้นำส่วนใหญ่แล้วจะเอาญาติพี่น้องมาปั้นไห้เป็นผู้นำโดยที่ได้รับการศึกษาดีภาษาเก่งและการตลาด เรื่องที่2คุณภาพที่ผู้นำที่เหมาะสมกับอินโดรามา 1.ต้องเป็นฅนเก่งและต้องแก้ปัญหาได้ 2.ต้องเป็นฅนที่มีความรับผิดชอบในงานที่ทำ 3.ต้องทำสิ่งที่ดีและความคิดไหม่ๆเสมอฟังความคิดของผู้อื่นด้วย 4.ต้องมีความเป็นธรรมมีนำใจเป็นกลางทำในสิ๋งที่ถูกต้อง เรื่องที่3.การทำงานให้ประสบความสำเร็จในอินโดรามา กระผมคิดว่าผู้นำอินเดียต้องเข้าใจฅนไทยและวัฒนะธรรมและการทำงานของฅนไทยไม่ใช้ความคิดของฅนอินเดียมาบริหารจนมากเกินไป กระผม นายพิสิทธิ์ พานิชประเสริฐ
กราบเีรียนอาจารย์จีระ หงส์ลดารมณ์ ผมสมาน นนทบทขอตอบการบ้านที่อาจารย์ให้ไว้เมื่อวันที่ื 17 ก.ค 50 ดังนี้ ข้อ 1 วัฒนธรรมอินเดียกับไทย จะสร้างผู้นำแตกต่างกันอย่างไร ผมขอตอบว่าผู้นำของอินเดียสร้างมาจากความสามารถของตัวเขาเอง เพราะจำนวนของประชากรของประเทศอินเดียมีจำนวนมากเป็นอันดับ 2 ของโลก จึงทำใ้ห้เกิืดการแข่งขันในการหางานที่ดีทำเพื่อยกระดับของตัวเอง ส่วนผู้นำของไทยนั้นจะเน้นพวกพ้อง หรือเครือญาติ ทำให้ผู้นำของไทยน่าที่จะมีคุณภาพต่ำกว่าของอินเดีย ข้อ 2 ในตัวท่านเองคิดว่าคุณภาพผู้นำที่เหมาะสมกับอินโดรามา เน้น 4 เรื่องมีอะไรบ้าง ในตัวผมเองคิดว่าคุณภาพของผู้นำที่เหมาะสมกับอินโดรามานั้นจะต้องรู้จริง เก่งจริงไม่ดีแต่พูด ไม่คุยโม้โอ้อวด ไม่รังแกผู้อื่นที่มีความรู้ต่ำกว่าไม่ยกยอแต่ตัวเอง 2.2 ผู้นำที่ดีจะต้องรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นแลัวจึงนำมาปรับปรุงแก้ไขและนำไปปฏิบัติต่อไป 2.3 ผู้นำที่ดีต้องใฝ่รู้มีวิสัยทัศน์กว้างไกล สามารถแำก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดีและในเวลาอันรวดเร็ว 2.4 ผู้นำที่ดีต้องมีความอบอุ่นมีความยุติธรรมพูดจาดีไม่แบ่งชั้นวรรณะสามารถทำให้ลูกน้องรักใคร่ในตัวเขาเองและองค์กร ข้อ 3 เพื่อการทำงานให้ประสบความสำเร็จในอินโดรามาผู้นำและผู้บริหารชาวอินเดียต้องพัฒนาและปรับปรุงตัวอย่างไร ให้เข้าักับสภาพแวดล้อมของคนไทย ตอบ ผมอยากให้ผู้บริหารชาวอินเดียรับฟังความคิดเห็นของคนไทยบ้างและช่วยสอนงานที่ผู้นำอิืนเดียมีความรู้ความสามารถมากอยู่แล้ว ให้คนไทยมาก เพื่อจะได้กันช่วยพัฒนาให้อินโดรามาของพวกเรา(คนอินเดีย+คนไทย)มีความเจริญรุ่งเรือง สามารถผลิตสินค้าที่มีคุณภาพสูงขึ้น ให้อยู่ในระดับต้น ๆ ของโลก
กราบเรียนอาจารย์จีระผมอภิชาติ ดีสุภาพ ขอตอบการบ้านดังนี้ ข้อ 1 วัฒนธรรมอินเดียกับไทย จะสร้างผู้นำแตกต่างกันอย่างไร ตอบ อินเดียเป็นประเทศที่มีประชากรมากเป็นอันดับที่ 2 ของโลกทำให้ประชากรของอินเดียมีการแข่งขันทางด้านการศึกษาผู้นำของอินเดียจะต้องเรียนรู้ตลอดเวลา เช่นทางด้านการตลาด การค้าการลงทุน และเกี่ยวกับเศรษฐกิจของโลก ผู้นำของอินเดียจะให้ความสำคัญกับหัวหน้างานและพนักงานให้โอกาสในการเรียนรู้ ซึ่งต่างกันกับผู้นำคนไทยบางบริษัทฯ จะไม่ค่อยใส่ใจกับระดับหัวหน้างานและพนักงานสักเท่าไหร่ แต่จะสนใจผลผลิตมากกว่าการพัฒนาคน ข้อ 2 ในตัวท่านเองคิดว่าคุณภาพผู้นำที่เหมาะสม กับ INDORAM 4 เรื่อง มีอะไรบ้าง ตอบ ผมคิดว่าผู้นำที่ดีที่เหมาะสมกับ INDORAM มี 2.1 ต้องมองการณ์ไกล สามารถที่จำนำพาบริษัทฯอยู่รอดบนโลกใบนี้ได้ 2.2 เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูกน้อง เช่น ขยันทำงาน ไม่ขาดงาน หรือลางานบ่อย 2.3 มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี รู้จักฟังลูกน้องมากขึ้น พูดจาดี มีหน้าตาทึ่ยิ้มแย้ม ไม่ใช่ทำหน้าบึ้งหรือเก๊กหน้าอยู่ตลอดเวลา 2.4 มีแรงจูงใจในการทำงาน คือผู้นำต้องรักองค์กร และพัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลาเพื่อที่จะทำให้องค์กรของเรามีการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ ข้อ 3 เพื่อการทำงานให้ประสบความสำเร็จใน INDORAMA ผู้นำและผู้บริหารชาวอินเดียจะต้องพัฒนาและปรับตัวอย่างไร ตอบ ผู้นำและผู้บริหารจะต้องปรับตัวให้เข้ากับพนักงาน เช่นการพูดจา การชักจูงใจให้ทำงาน ให้ใช้คำพูดดี ๆ และขนบธรรมเนียมประเพณีของไทยต่าง ๆ ก็อยากให้ผู้บริหารให้ความสำคัญมาก ๆ กับพนักงาน เช่นงานมงคลสมรส งานศพของบิดา มารดาของพนักงาน และการเล่นสงกรานต์
วันเพ็ญ สุขประเสริฐ
กราบเรียนท่านอาจารย์ดร.จีระ ที่เคารพ ดิฉัน นางวันเพ็ญ สุขประเสริฐ ที่ได้เข้าอบรมเมื่อวันที่ 21/08/2007 ที่ผ่านมาและขอตอบการบ้าน อาจารน์ดังนี้ 1. หลังจากดูแล้วได้อะไร 1.1 ดิฉ้นได้ทราบถึงการใช้ภาษาอังกฤษจากเรื่องของการชักถามและตอบคําถามที่เป็นประโยชน์ 1.2 ในการพูดนั้นหรือการสื่อสาร ผู้พูดนั้นต้องเข้าใจถึงความหมายของเนื้อหาก่อนที่จะพูดออกมา 1.3 ในการสื่อสารนั้นผู้รับฟังและผู้ชักถามตัองกล้าพูดออกมาจากใจ และกล้าแสดงออกมา 2. เกี่ยวข้องกับการนํามาใช้ในอินโดรามาอย่างไร การสื่อสารของทางบริษัททุกวันนี้คือการสื่อสารในด้านภาษาระหว่างผู้บริหารและองค์กร สาเหตุที่ว่าจะใช้ภาษาอย่างไรให้ผู้บริหารเข้าใจ และสื่อความหมายให้ถูกตัองและองค์กร ต้องรู้ว่าการสื่อสารและการพูดนั้นควรจะพูดในลักษณะไหนและตอบคําถามแบบไหนถึงจะ เข้าใจกันหรือบางครั้งต้องรู้ถึงขั้นตอนของการที่จะพูดว่าสมควรที่จะพูดออกมาหรือไม่ 3. ถ้าพัฒนาทักษะการพูดควรจะใช้อะไรบ้าง การพูดของแต่ละคนนั้นมีความสามารถไม่เหมือนกันเช่นบางคนก็กล้าแสดงออกส่วนบางคน นั้นแทบจะไม่กล้าเลย ขาดความมั่นใจในตัวเองคนเรานั้นตัองค้นหาตัวเองว่าจุดแข็งอย่ตรงไหนและ จุดอ่อนของตัวเองคืออะไรต้องกล้าที่จะพูดและจะพูดแบบไหนจะพูดเรื่องอะไรควรจะใช้ทักษะใน ลักษณะไหนจึงจะเหมาะสมที่จะให้ผู้ฟังนั้นฟังแล้วรู้เรื่องและเข้าใจเรา
เอกสิทธิ์ สิงห์สูง
กราบเรียนท่านอาจารย์ ดร.จีระ ที่เคารพ ผมขอส่งการบ้านที่ได้เรียนเมื่อวันที่ 21 ส.ค. 50 ดังนี้ 1. หลังจากดูแล้วได้อะไร 3 เรื่อง ตอบ 1.1. ได้ความรู้เกี่ยวกับการสื่อสาร ที่จำเป็นต้องใช้เพื่อความเข้าใจซึ่งกันและกัน 1.2. ได้ความรู้เกี่ยวกับการใช้ภาษาอังกฤษที่ส่วนใหญ่ในชีวิตจริงผมไม่ค่อยได้ใช้มากนัก 1.3. ได้ความรู้เกี่ยวกับพูดที่ได้สาระและได้ใจความ 2. เกี่ยวข้องกับการนำมาใช้ในอินโดรามาอย่างไร ตอบ ผมทำงานในบริษัท อินโดรามา ถือได้ว่าการสื่อสารมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพราะการทำงานร่วมกันไม่ว่าจะเป็นคนไทยหรือคนต่างชาติก็ต้องทำงานร่วมกัน และต้องใช้ภาษาในการสื่อสาร จึงจะทำงานได้อย่างเข้าใจและชัดเจน รวมทั้งทำงานเป็นทีมและได้งานอย่างมีคุณภาพ 3. ถ้าพัฒนาทักษะการพูดควรจะใช้อะไรบ้าง ตอบ ควรศึกษาหาความรู้ ทั้งในหนังสือหรือจากคนรอบข้าง และควรอบรม สัมมนา หรือเข้าร่วมกิจกรรมบ่อยๆ เพื่อเป็นการพัฒนาทักษะในการพูดที่จะต้องพูดติดต่อสื่อสารกับผู้อื่นได้ การพูดของผมก็จะได้พัฒนามากขึ้นอีกด้วย
นายสมจิตร เรืองบุญ
ผมนาย สมจิตร เรืองบุญ ได้ดูซีดีเทปนี้แล้วผมขอตอบคำถาม 1.ดูแล้วได้อะไร 3 เรื่องอะไร 1.1 การรู้จักพูดในวาระต่างๆ ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ 1.2 คนไทยไม่ค่อยกล้าพูดและแสดงออก คือกลัวเพราะฉะนั้นต้องไม่กลัวในการพูดและแสดงออก 1.3 รู้ว่าผู้บังคับบัญชาจะวางตัวอย่างไรจะทำให้ลูกน้องกล้าที่จะพูดกับผู้บังคับบัญชาอย่างเปิดเผยโดยที่ไม่ต้องคิดว่าจะมีภัยอันตรายตามที่หลังที่พูดไปแล้ว 2. เกี่ยวข้องอย่างไรที่นำมาใช้ใน INDORAMA 2.1 พูดแล้วต้องคล่องตาม และปฎิบัติตามได้โดยที่เราไม่ต้องไปติดตามผลในงานที่เราสั่งให้ทำ 2.2 หัวงานควรปรับพฤติกรรมใหม่ คือ ให้ความเป็นกลางและฟังความคิดเห็นของผู้บังบัญชาว่ามีปัญหาอะไรไมกับงานที่ทำอยู่มีอุปสรรค์ที่ตัวเองทำไม่ได้แต่ไม่กล้าบอกหัวหน้างานโดยกลัวหัวหน้างานว่าให้เขาเปิดอกพูดออกมาหัวหน้าจะนำไปแก้ไขและปรับปรุงในจุดนั้น 2.3คือ ถ้าในองค์กรเรากล้าที่จะพูดและสื่อสารกันอย่างต่อเนื่องรับฟังความคิดเห็นคนอื่นและนำมาปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้นก่อนจะนำกลับมาใช้ในองค์กรให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น 3. ถ้าพัฒนาทักษะการพูดจะทำอะไรบ้าง 3.1 มีความเชื่อมั่นตัวเองให้มาก 3.2 ฝึกการใช้ถ้อยคำภาษาไทยและภาษาอังกฤษในที่เราจะพูดให้คนอื่นเข้าใจง่ายที่สุด 3.3 ต้องมีสมาธิ คือต้องฝึกสมาธิ 3.4 ต้องทันโลกและเหตุการณ์รอบตัว 3.5 ก่อนจะเป็นนักพูดที่ดีควรจะต้องเป็นนักฟังที่ดีก่อน 3.6วางแผนโปรแกรมก่อนพูดเวลาพูดจะได้ไม่ติดขัด 3.7 ศึกษาหัวข้อหรือเนื้อหานั้นให้ดีก่อนจะออกไปพูดหรืออธิบายให้คนอื่นเข้าใจ 3.8 ฝึกการวางตัวและบุคลิกในการพูดว่าควรทำอย่างไร ดูและจำของนักพูดที่เก่งๆว่าเขาทำอย่างไรแล้วนำมาประยุกใช้ให้เหมาะสมกับตัวเองว่าทำแล้วดีหรือไม่
ผมนาย สมจิตร เรืองบุญ ได้ดูซีดีเทปนี้แล้วผมขอตอบคำถาม 1.ดูแล้วได้อะไร 3 เรื่องอะไร 1.1 การรู้จักพูดในวาระต่างๆ ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ 1.2 คนไทยไม่ค่อยกล้าพูดและแสดงออก คือกลัวเพราะฉะนั้นต้องไม่กลัวในการพูดและแสดงออก 1.3 รู้ว่าผู้บังคับบัญชาจะวางตัวอย่างไรจะทำให้ลูกน้องกล้าที่จะพูดกับผู้บังคับบัญชาอย่างเปิดเผยโดยที่ไม่ต้องคิดว่าจะมีภัยอันตรายตามที่หลังที่พูดไปแล้ว 2. เกี่ยวข้องอย่างไรที่นำมาใช้ใน INDORAMA 2.1 พูดแล้วต้องคล่องตาม และปฎิบัติตามได้โดยที่เราไม่ต้องไปติดตามผลในงานที่เราสั่งให้ทำ 2.2 หัวงานควรปรับพฤติกรรมใหม่ คือ ให้ความเป็นกลางและฟังความคิดเห็นของผู้บังบัญชาว่ามีปัญหาอะไรไมกับงานที่ทำอยู่มีอุปสรรค์ที่ตัวเองทำไม่ได้แต่ไม่กล้าบอกหัวหน้างานโดยกลัวหัวหน้างานว่าให้เขาเปิดอกพูดออกมาหัวหน้าจะนำไปแก้ไขและปรับปรุงในจุดนั้น 2.3คือ ถ้าในองค์กรเรากล้าที่จะพูดและสื่อสารกันอย่างต่อเนื่องรับฟังความคิดเห็นคนอื่นและนำมาปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้นก่อนจะนำกลับมาใช้ในองค์กรให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น 3. ถ้าพัฒนาทักษะการพูดจะทำอะไรบ้าง 3.1 มีความเชื่อมั่นตัวเองให้มาก 3.2 ฝึกการใช้ถ้อยคำภาษาไทยและภาษาอังกฤษในที่เราจะพูดให้คนอื่นเข้าใจง่ายที่สุด 3.3 ต้องมีสมาธิ คือต้องฝึกสมาธิ 3.4 ต้องทันโลกและเหตุการณ์รอบตัว 3.5 ก่อนจะเป็นนักพูดที่ดีควรจะต้องเป็นนักฟังที่ดีก่อน 3.6วางแผนโปรแกรมก่อนพูดเวลาพูดจะได้ไม่ติดขัด 3.7 ศึกษาหัวข้อหรือเนื้อหานั้นให้ดีก่อนจะออกไปพูดหรืออธิบายให้คนอื่นเข้าใจ 3.8 ฝึกการวางตัวและบุคลิกในการพูดว่าควรทำอย่างไร ดูและจำของนักพูดที่เก่งๆว่าเขาทำอย่างไรแล้วนำมาประยุกใช้ให้เหมาะสมกับตัวเองว่าทำแล้วดีหรือไม่
นิภาพัฒน์ มิ่งมงคล
กราบเรียนท่านอาจารย์ จีระ ที่เคารพดิฉัน นางนิภาพัฒ มิ่งมงคล ที่ได้เข้าอบรมเมื่อวันที่ 21 ส.ค ที่ผ่านมาและขอตอบการบ้านอาจารย์ดังนี้ 1 หลังจากดูแล้วได้อะไร 3 เรื่องคือ 1.1 ลักษณะของการสื่อสารต้องเข้าใจ ในเรื่องที่จะพูด และจะเป็นประโยชน์กับผู้พูดหรือผู้ฟัง 1.2 ได้รู้ และรับฟังการพูดเรื่องภาษามากขึ้น 1.3 การอยู่ร่วมกัน การทำงานร่วมกัน การปรึกษาหารือกัน เพื่อจะนำไปสู่ความสำเร็จในการทำงาน 2 เกี่ยวข้องกับการนำมาใช้ในอินโดรามาอย่างไร การทำงานร่วมกัน จำเป็นต้องใช้การสื่อสารระหว่างกันและกันเพื่อที่จะได้ทำงานอย่างเข้าใจและงานที่ออกมามีคุณภาพในอินโดรามาจึงจำเป็นอย่างยิ่ง ที่ต้องใช้การสื่อสารและคำพูดที่ถูกต้องเพื่อที่จะเข้าใจกัน และทำงานร่วมกันได้อย่างมีคุณภาพ 3 ถ้าพัฒนาทักษะการพุดควรจะใช้อะไรบ้าง การพัฒนาทักษะการพูดคือ ต้องเป็นผู้พูดที่ดี รู้เรื่องที่จะพูดเข้าใจในเรื่องนั้นและจะต้องแสดงออกในเรื่องที่จะพูดแล้วสังเกตุผู้ฟังว่าเข้าใจในเรื่องที่เราพูดหรือไม่เมื่อผู้ฟังรับฟังแล้วต้องไม่เครียดในเรื่องที่รับฟัง การพูดที่ดีต้องมีการยกตัวอย่างบ้าง และนำเสนอเรื่องราวสนุกๆแต่มีสาระที่ดีเพื่อที่จะให้ผู้ฟังไม่เกิดอาการเบื่อหน่ายในการฟัง และสนุกไปกับการฟังด้วย

เรียนท่านศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์

ดิฉันนาง สำลี ธูปหอม สมาชิกกลุ่ม
KPD ของ บ.อินโดรามา

ได้ทำการส่งการบ้านที่อาจารย์ได้ให้ไว้ในวันที่ 21.ส.ค.2550

จากการที่ดิฉันได้ฟังอาจารย์บรรยายและที่ได้ดูจาก
CD ที่ท่านให้ดู

ทำให้ดิฉันได้ข้อคิดอะไรใหม่ๆหลายอย่างจึงทำการตอบคำถามที่ท่าน

ได้ให้ไว้ดังนี้ ข้อที่ 1.ดูแล้วได้อะไรจาก
CD มา 3 เรื่อง

เรื่องที่ 1.ทำให้รู้มากขึ้นว่าการสื่อสารมีความสำคัญมากในทุกๆด้าน

ไม่ว่าจะด้านการทำงานหรือแม้แต่การใช้ในชีวิตประจำวันเช่น

การสื่อสารกับเพื่อนสื่อสารกันระหว่างคนในครอบครัว

เรื่องที่ 2. เทคโนโลยีที่ทันสมัยต่างๆก็มีความสำคัญในการสื่อสารมาก

ทำให้การสื่อสารสะดวกรวดเร็วได้รับรู้ข้อมูลต่างๆได้ไวมากขึ้น

เรื่องที่ 3. การเป็นผู้นำต้องรู้จักสื่อสารให้เป็น ผู้ฟังเข้าใจง่าย และทุกคน

ควรกระตุ้นให้มีการสื่อสารกันมากขึ้น

คำถามข้อที่ 2. เกี่ยวข้องกับการนำมาใช้ที่ INDORAMA อย่างไร

ทางองค์กรต้องนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ให้มากกว่าเดิม และควรฝึก

ให้ทุกคนใช้เป็น ควรกระตุ้นให้ผู้บังคับบัญชาสื่อสารกับพนักงานมาก

กว่าเดิมเพื่อที่จะสร้างความคุ้นเคยกันให้มากขึ้น และต้องกระตุ้นให้ทุกคน

ช่วยกันคิด ต้องมีการระดมความคิดร่วมกันจึงจะทำให้งานสำเร็จไปด้วยดี

เรื่องที่ 3. ถ้าพัฒนาทักษะการพูดควรจะทำอย่างไร

ทุกคนต้องสร้างความมั่นใจให้กับตนเองมากขึ้นกล้าที่จะแสดงออก

และต้องดูจังหวะว่าสิ่งที่จะพูดนั้นควรจะพูดในสถานณ์การใดจึงจะเหมาะสม.

 

กาญจนาพร ยุบลพันธุ์
สวัสดีค่ะ ดิฉันกาญจนาพร ยุบลพันธ์ ขอตอบการบ้านของอาจารย์ 1. หลังจากดูเทปแล้วได้อะไรบ้าง 1.1 การสื่อสารที่ดีต้องเริ่มจากครอบครัวต่อมาถึงที่ทำงานและพัฒนาองค์กร 1.2 มีการสนทนากันบ่อย ๆ สามารถที่จะกระตุ้นให้ลูกน้องพร้อมที่จะได้รับการเรียนรู้ 1.3 สังคมไทยจะไม่กล้าพูดและปิดกั้นตนเองเมื่อพูดแล้วกลัวจะมีผลกระทบต่อผู้อื่น 2. การส่อสารเกี่ยวกับอินโดรามาอย่างไร 2.1 ไม่ค่อยมีการรับฟังความคิดเห็นของคนอื่น แต่ถ้ามีการให้โอกาสยอมรับฟังความคิดเห็น ชึ่งกันและกันผลงานก็จะออกมาดีและมีคุณภาพ 2.2 เครื่องมือสื่อสารในการปฎิบัติงานยังไม่เพียงพอกับจำนวนพนักงาน 2.3 พนักงานรับคำสั่งจากเอ็นจิเนียโดยตรงยังไม่เข้าใจกับคำพูดบางคำ 3. พัฒนาท้กษะในการพูด ควรที่จะไม่พูดแบบวิจารณ์ผู้อื่น และพูดให้เกิดผลดีเมื่อมีโอกาส ถ้ามีปัญหาไม่ใช้อารมณ์ ไม่พูดจากำกวม ควรจะพูดให้ชัดเจนพูดแล้วไม่สร้างความเดือดร้อนให้ดับผู้อื่น
หลังจากที่ดิฉัน ได้ดูการสัมภาษณ์ ของอาจารย์ จีระ เมื่อวันที่ 21 ส. ค 50 ดิฉันขอตอบการบ้านดังต่อไปนี้. 1. หลังจากดูเทป แล้วได้ อะไร 3 เรื่อง. 1.1 ได้รู้ถึงการสื่อสาร ระดับประเทศ และต่างประเทศการสื่อสารจึงมีผู้รับและผู้ให้และต้องเป็นคนที่กล้าที่จะพูด รู้จักพูด มีเรื่องอะไรไม่ควรเก็บไว้คนเดียว 1.2 ได้รู้ถึงการนำเสนอและรู้ทักษะในการพูด 1.3 ได้ความรู้ที่จะกล้าซักถามในทุกๆเรื่อง 2. เกี่ยวข้องกับอินโดรามาอย่างไร. ในการทำงานทุกวันนี้ ก็ต้องใช้คำว่าสื่อสาร อยู่แล้ว จึงจำเป็นอย่างมากที่เราจะใช้กับอินโดรามาของเราการที่เราไม่กล้าที่จะถามในสิ่งที่เราไม่รู้กับหัวหน้าของเราก็อาจทำให้เกิดความผิดพลาดได้ และเราก็ต้องรู้ขั้นตอนในการซักถาม อยู่เสมอว่าเรากำลังสื่อสารอยู่กับคนระดับใด การ สื่อสารที่ดีจึงมีทั้งผู้ให้และผู้รับ และแนวคิดที่ดีต่อกัน เพื่อสร้างความเข้าใจต่อกันและการทำงานที่ราบรื่น 3. ถ้าจะพัฒนาทักษะการพูดควรใช้อะไรบ้าง ถ้าจะพูดถึงการพัฒนาก็ต้องฝึกหัด ทักษะต่างๆ อยู่ตลอดเวลาไม่ว่าจะเกี่ยวข้องกับการนำเสนอการพูดให้คนอื่นฟังควรพูด ให้คนฟังเข้าใจเราด้วย อย่าพูดยาวจนเกินไป และควรรู้จักสถานการณ์ บุญช่วย พูลทอง
มาเรียม เหลืองอร่าม
เรียน อาจารย์ ด.ร. จีระ หงส์ลดารมภ์ หลังจากที่ดิฉัน ได้ดูเทปการสัมภาษณ์ ของ อาจารย์ เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม ดิฉัน ขอตอบการบ้านดังต่อไปนี้ 1. ดูแล้วได้อะไรบ้าง 3 เรื่อง. 1.1 เท่าที่ได้ดูเทปแล้ว พอจับใจความได้ว่า เกี่ยวกับการสนทนา ในที่ทำงาน เช่น การสนทนาระหว่าง ระดับล่างกับระดับบน คือ การพูดการสนทนาอย่างไร ที่จะทำให้คนฟัง ฟังแล้ว เกิดความพึงพอใจ และนึกอยากจะฟังต่อ ไม่นึกรำคาญ ไม่เบื่อ เสียก่อนที่เราจะพูดจบ 1.2 ผู้นำควรกระตุ้นให้ลูกน้อง กล้าพูดสิ่งที่อยู่ในใจ ไม่ให้ลูกน้องเก็บกด ส่วนใหญ่ลูกน้องคนไทย จะไม่กล้าพูด กล้าเสนอ เพราะกลัวว่าพูดไปแล้วจะผิด นายจะไม่ชอบจะโมโห เพราะฉะนั้น ผู้นำควรพูดกระตุ้นให้ลูกน้อง หรือผู้ใต้บังคับบัญชา เกิดความกล้าที่จะพูด กล้าที่จะแสดงความคิดเห็น 1.3 ผู้นำควรรับฟัง ความคิดเห็น ของผู้ใต้บังคับบัญชา หรือคนในองค์กร บ้างไม่ใช่ว่าผู้นำจะนำไปทุกเรื่อง ไม่รับฟังเสียงคนรอบข้าง 2 เกี่ยวข้องอะไรกับการนำมาใช้ในอินโดรามา โดยเฉพาะการพูดกับนาย. ทุกวันนี้การสื่อสารเป็นสิ่งที่สำคัญเป็นอย่างมาก เพราะในอินโดรามา นายส่วนใหญ่เป็นชาวอินเดีย การสื่อสารค่อนข้างลำบาก ทำให้การทำงานการสื่อสารไม่ไปในทางเดียวกัน การสั่งงานผิดพลาดบ่อยครั้ง เพราะ ฉะนั้น เราต้อง พัฒนา การสื่อสารไม่ว่า จะเป็นการพูด การเขียน การฟัง ทั้งชาวไทย และชาวอินเดีย เพื่อสร้างความ เข้าใจในการทำงาน 3 ถ้าจะพัฒนา ทักษะการพูด ควรจะทำอย่างไร. ทักษะการพูด ของคนเรานั้น แต่ละคนมีความสามารถไม่เท่ากัน บางคนพูดเก่ง บางคนไม่ค่อยพูด ก็คงต้องพัฒนากันแล้วในตรงนี้ คือ เราต้องค้นหาตัวเอง ต้องกล้าที่จะพูด กล้าที่จะแสดงออก และต้องฝึกฝน ให้เกิดทักษะที่สำคัญ เราต้องรู้ว่าเราพูดอยู่กับใคร และจะพูดเรื่องอะไร ถ้าพูดแล้วไม่ทำให้ผู้รับฟังเขารู้สึกเบื่อหน่ายพูดแล้วฟังไม่รู้เรื่อง ผู้พูดต้องอธิบาย และอดทน อย่ากลัวที่จะพูด พูดแล้วต้องทำให้ผู้ฟัง อยากฟัง ฟังแล้วไม่ลำบากใจ กล้าพูด พูดแล้ว คนฟังรับได้ ต้องมีวิธีการพูด มาเรียม เหลืองอร่าม
ฉัตรเทพ ศรีห่วง หลังจากที่กระผมได้ดู CD การสัมภาษณ์ของอาจารย์จีระเมื่อวันที่ 21 ส.ค 2550 1. หลังจากที่ดู CD แล้วได้อะไรบ้าง 3 เรื่อง. 1.1 ได้รู้ถึงการใช้ภาษาอังกฤษ การนำเสนอ ทักษะในการซักถามของอาจารย์จีระ 1.2 พูดถึงเรื่องการสื่อสารผู้รับและผู้ให้ ต้องเป็นคนกล้าที่จะพูด รู้จักโอกาสที่ควรพูดมีเรื่องอะไรไม่ควรที่จะเก็บกดไว้คนเดียว มิฉะนั้นอาจจะทำให้เกิดปัญหาขึ้นภายหลังได้ 1.3 ในการพูดหรือสื่อสารกันนั้นผู้ให้หรือผู้พูดต้องพูดให้ผู้รับเข้าใจถึงความต้องการหรือความหมาย ของเรื่องที่จะพูด 2. เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการนำมาใช้ในอินโดรามาอย่างไร. ทุกวันนี้องค์กรของเราต้องมีการพูดสื่อสารกันอยู่แล้วปัญหาอยู่ตรงที่ภาษา อย่างไรก็ดีเราควรที่จะรู้ว่าผู้ที่เราจะพูดหรือต้องการจะสื่อสารนั้นคือใคร ถ้าเป็นผู้บริหารชาวอินเดียเราจะต้องมีข้อมูลต้องรู้ข้อมูลที่จำนำเสนอ พูดพอได้ใจความสาระ และตอบคำถามเป็น แต่ถ้าระดับเดียวกันก็จะ พูดง่ายหน่อย หรือถ้าผู้รับเป็นลูกน้องของเรา เราจำเป็นต้องรู้ว่าคนคนนั้นมีนิสัยอย่างไรถนัดหรือชอบอะไรการใช้งานบางครั้งต้องยกย่องลูกน้องบ้างการทำงานนั้นจะสำเร็จและมีมีความสุข 3. ถ้าจะพัฒนาทักษะการพูดควรจะใช้อะไรบ้าง. ทักษะการพูดของคนเรานั้นแต่ละคนมีความสามารถไม่เท่ากันบางคนมีพรสวรรค์ในการพูด ซึ่งบางคนแทบไม่มีเลยก็คงต้องพึ่งพรแสวงกันแล้วคราวนี้ พรแสวงอยู่ที่ไหนเราต้องเริ่มค้นหา ตัวเอง ต้องกล้าที่จะพูด ต้องกล้าที่จะแสดงออกและต้องหมั่นฝึกฝนให้เกิดทักษะความชำนาญ สิ่งที่สำคัญเราควรรู้ว่าเราจะพูดกับใครและจะพูดเรื่องอะไรพูดแล้วไม่ทำให้ผู้รับเขาเบื่อหน่าย หรือฟังแล้วไม่รู้เรื่อง คนส่วนมากมีเรื่องไปแล้วจะไม่ค่อยพูด(เก็บกด)ดังนั้นถ้ามีปัญหาอะไร ให้ใช้จังหวะและโอกาสหรือแสดงความคิดเห็นให้พอดีพูดในทางสร้างสรรค์คนฟังไม่รู้สึก รังเกรียจก็พูดได้
จากการที่ได้ดูการสัมภาษณ์ ของอาจารย์ จีระ ทางเทปขอส่งการบ้านของอาจารย์ดังต่อไปนี้ 1. หลังจากดูแล้วได้อะไรบ้าง 3 เรื่อง. 1.1 ได้รู้ว่าการสื่อสารเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดต่อคนทุกระดับ 1.2 รู้จักทักษะการพูด ทักษะการถาม และการตอบ ของ อาจารย์ จีระ 1.3 คนเราต้องมีความกล้าที่จะพูด ไม่ควรเก็บกดไว้คนเดียว พูดให้คนอื่นเข้าใจทุกคนไม่ใช่พูดแล้วเข้าใจคนเดียว 2 เกี่ยวข้องกับอินโดรามาอย่างไร. ทุกวันนี้การสื่อสารเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมากโดยเฉพาะในอินโดรามาของเรา มีชาวอินเดียและชาวไทยอยู่ด้วยกัน การสื่อสารค่อนข้างลำบาก ทำให้การทำงานการสั่งงานมีความผิดพลาดบ่อยครั้ง เพราะฉะนั้นเราต้องพัฒนาการสื่อสาร ไม่ว่าจะเป็น การพูด การเขียน การฟัง ทั้งชาวอินเดียและชาวไทย เพื่อสร้างความเข้าใจต่อกันในองค์กร 3 ถ้าจะพัฒนาทักษะการพูดควรจะทำอย่างไรบ้าง. เราควรมีความกล้าที่จะพูด พูดแล้วให้คนอื่นเข้าใจทุกคน รู้จักสถานการณ์ว่าพูดกับใครควรพูดอย่างไร อย่าพูดยาวจนเกินไป พูดให้ได้ใจความ ควรมีการฝึกพูดบ่อยๆ เพื่อให้เกิดความกล้าและพัฒนาตนเองต่อไปอย่าต่อเนื่อง นาย วีระศักดิ์ เกษร

กราบเรียน ศ.ดร. จีระ หงส์ลดารมภ์

ดิฉัน นาง บุญชู เทียนชัย ที่ท่านได้ให้การบ้านไว้ในวันที่ 21.ส.ค.2550

ข้อที่ 1.ดูแล้วได้อะไร 3 เรื่อง ขอตอบว่า

1.1) มีเทคโนโลยีต่างๆที่ทันสมัยมีการพัฒนาในด้านภาษาอังกฤษ

ในการพูดมากขึ้น

1.2) สอนให้ทุกคนกล้าที่จะแสดงออก และกล้าที่จะพูดหรือออกความคิดเห็น

1.3) ท่านอาจารได้สอนทำให้ดิฉันกล้าพูดและกล้าแสดงออกมากกว่าเดิม

มีความคิดหลากหลายมากขึ้น

คำถามข้อ 2. เกี่ยวข้องกับการนำมาใช้ที่อินโดรามาอย่างไร

ขอแสดงความคิดเห็นว่าการพูดหรือการสั่งงานของหัวหน้างาน

มีกันหลายคนควรที่จะตกลงกันให้แน่ใจก่อนว่าจะทำอะไรบ้าง

และหัวหน้าควรจะอยู่ในที่ที่หาพบง่าย หัวหน้างานควรพูดจาให้เกียรติ

พนักงานบ้างไม่ใช่แบ่งระดับว่าใครสูงใครต่ำ

คำถามข้อ 3. การพัฒนาทักษะการพูดควรทำอย่างไร

ต้องใช้คำพูดที่ผู้พูดและผู้ฟังเข้าใจทั้งสองฝ่าย และต้องสร้างความมั่นใจ

ให้กับตนเองต้องกล้าที่จะพูด แต่การพูดต้องดูด้วยว่าสิ่งที่จะพูดควรพูดใน เวลาใด และจะต้องฝึกการใช้ภาษาอังกฤษให้มากกว่าเดิม.

 

สวัสดีครับ อาจารย์ จีระ หงส์ลดารมภ์ 1. ผมนายวิชาญ สุริยะหิรัญ จากการที่ได้เข้าอบรมเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2550 และมีโอกาส ได้รับชมบทสนทนาระหว่าง อาจารย์ จีระ กับ มิสเตอร์ โจเซฟ และ อาจารย์ พรทิพย์ สิ่งที่ไดด้รับจากการชมคือ 1.1 เมื่อเราตกอยู่ในภาวะสนทนา สิ่งไหนที่เราควรพูด และสิ่งไหนที่เราไม่ควรพูด และเมื่อพูดแล้วคู่สนทนากับเราสามารถเข้าใจได้หรือไม่อีกอย่างการสนทนาไม่ควรใช้อารมณ์ในการพูด คือ พูดอย่างไรให้รู้สึกปลอดภัย 1.2 วิธีการแก้ปัญหา ส่วนมากที่สะสมแล้วไม่สามารถแก้ปัญหาได้ส่วนใหญ่ก็จะมาจากการไม่พูดหรือไม่สนทนา คือ เวลามีปัญหาแล้วไม่ยอมพูดหรือไม่กล้าที่จะพูดให้หัวหน้าได้รับทราบถึงปัญหา เพราะฉะน้น การแก้ปัญหาต่าง ๆ จึงล้มเหลว 1.3 ความแตกต่างระหว่างผู้หญิงกับผู้ชาย เกี่ยวกับความรู้ความสามารถ ในด้านการสนทนา หรือความกล้าที่จะพูดในเวลาที่สมควรพูด 2. เกี่ยวข้องกับอินโดรามาคือ พนักงานส่วนมากจะเป็นผู้ที่มาจากฐานความรู้ทางด้านภาษาอังกฤษน้อยมาก จึงทำให้ไม่มีความกล้าที่จะพูด หรือ สนทนากับผู้บริหารและหัวหน้างานชาวอินเดีย เมื่อพบปัญหาที่หน้างาน 3. การพัฒนาทักษะในการพูดสิ่งที่ควรทำ คือ ต้องหมั่นหาเวลาฝึกฝนตนเองโดยอาศัยบทสนทนาทาง ทีวี หรือ สื่อรอบตัวจะเป็นที่ทำงานหรือที่บ้านก็ได้ และต้องมีความจำบวกกับความกล้าที่จะพูดเมื่อมีโอกาสและเวลาที่จะให้เราพูด

ดิฉัน นาง บุญชู เทียนชัย ที่ท่านได้ให้การบ้านไว้ในวันที่ 21.ส.ค.2550

ข้อที่ 1.ดูแล้วได้อะไร 3 เรื่อง ขอตอบว่า

1.1) มีเทคโนโลยีต่างๆที่ทันสมัยมีการพัฒนาในด้านภาษาอังกฤษ

ในการพูดมากขึ้น

1.2) สอนให้ทุกคนกล้าที่จะแสดงออก และกล้าที่จะพูดหรือออกความ คิดเห็น

1.3) ท่านอาจารได้สอนทำให้ดิฉันกล้าพูดและกล้าแสดงออกมากกว่าเดิม

มีความคิดหลากหลายมากขึ้น

คำถามข้อ 2. เกี่ยวข้องกับการนำมาใช้ที่อินโดรามาอย่างไร

ขอแสดงความคิดเห็นว่าการพูดหรือการสั่งงานของหัวหน้างาน

มีกันหลายคนควรที่จะตกลงกันให้แน่ใจก่อนว่าจะทำอะไรบ้าง

และหัวหน้าควรจะอยู่ในที่ที่หาพบง่าย หัวหน้างานควรพูดจาให้เกียรติ

พนักงานบ้างไม่ใช่แบ่งระดับว่าใครสูงใครต่ำ

คำถามข้อ 3. การพัฒนาทักษะการพูดควรทำอย่างไร

ต้องใช้คำพูดที่ผู้พูดและผู้ฟังเข้าใจทั้งสองฝ่าย และต้องสร้างความมั่นใจ

ให้กับตนเองต้องกล้าที่จะพูด แต่การพูดต้องดูด้วยว่าสิ่งที่จะพูดควรพูดใน เวลาใด และจะต้องฝึกการใช้ภาษาอังกฤษให้มากกว่าเดิม.

 

เรียน  ท่านอาจารย์ จิระ  

      ตามที่ผมได้ดูซีดีที่อาจารย์นำมาให้ดูผมขอตอบคำถามดังนี้

ข้อ  1 ดูแล้วได้อะไร

        1.1    ได้รู้ความรู้เกี่ยวกับปัญหา   การสื่อสารทางด้านภาษาอังกฤษ  ซึ่งภาษาอังกฤษมีความสำคัญมาก     เพราะถ้าเราไม่รู้ภาษาอังกฤษ  ก็จะทำให้ไม่เข้าใจในการสื่อสาร

         1.2    คนไทยโดยทั่วไป   ไม่กล้าในการแสดงออกทางด้านการพูด  เพราะไม่รู้ว่าพูดไปแล้วจะเป็นผลดีหรือไม่

           1.3   ได้รู้ถึงการวางตัวของผู้บังคับบัญชาและในเวลาเดียวกันก็ได้รู้ถึงการวางตัวของผู้ใต้บังคับบัญชา

ข้อ   2    เกี่ยวข้องอะไรกับการที่นำมาใช้ในอินโดรามาอย่างไร

          ในการทำงานต้องมีกางสื่อสารระหว่างผู้บังคับบัญชาและผู้ใต้บังคับบัญชาโดยการสื่อสารถ้าฟังไม่เข้าใจก็จะทำให้เกิดผลเสียการผิดพลาดของงานได้เพราะฉะนั้นการสื่อสารต้องฟังให้ชัดเจนแม่นยำถ้าไม่เข้าใจควรภามเพื่อความมั่นใจก่อนงานก็จะออกมาได้ดีไม่มีการผิดพลาด

ข้อ  3  ถ้าจะพัฒนาทักษะในการพูดคุณควรจะทำอย่างไร

        การพูดที่ดีผู้พูดต้องมีความเชื่อมั่นในตัวเองก่อนและต้องมั่นใจว่าสิ่งที่พูดออกไปนั้นถูกต้องและเหมาะสมหรือไม่

 

 

 

สวัสดีคะ  อาจารย์  จิระ  ดิฉัน วราภรณ์  ระวิงทอง   จากการดุเทปแล้วดิฉันขอตอบคำถามดังต่อไปนี้

ข้อ  1  ดูแล้วได้อะไร

       1.1    การสื่อสารที่ไม่เข้าใจกัน  อย่างเช่น  ภาษาไม่เข้าใจแล้วไม่กล้าพูดเก็บไว้ในใจทำให้ขาดความมั่นใจในการทำงานและก็จะเกิดความผิดพลาดตามมา

       1.2  ต้องเปิดโอกาสให้ผู้ใต้บังคับบัญชาแสดงความคิดเห็นความสามารถและความรู้ที่มีอยู่ไม่ควรปิดกั้น

       1.3    ถ้าเกิดมีปัญหาผิดพลาดก็ควรจะพูดคุยกันก่อนและนำปัญหามาแก้ใขต่อไป

ข้อ  2   เกี่ยวข้องอย่างไรกับการที่นำมาใช้ในอินโดรามาอย่างไร

       เกี่ยวข้องกับอินโดรามา หลายอย่าง ในส่วนของอินโดรามาก็ส่วนมากผู้ใต้บังคับบัญชาสั่งงานใช้อารมณ์ไม่ฟังความคิดเห็นของผู้ใต้บังคับบัญชาเอาความคิดของตัวเองเป็นใหญ่ทำให้ผู้ใต้บังคับบญชาเกิดควาเครียดขาดกำลังใจในการทำงานไม่มีขวัญกำลังใจในการทำงาน

ข้อ  3  ถ้าจะพัฒนาทักษะในการพูดคุณควรจะทำอย่างไร

       ถ้าจะพัฒนาทักษะควรมีการฝึกอบรมร่วมกันระหว่างผู้บังคับบัญชาและผู้ใต้บังคับบัญชา  มีแนวคิด หลักการ วิธีการให้สอดคล้องและมีความเข้าใจความสำคัญที่ดีต่อกันทำให้เกิดขวัญและกำลังใจในการทำงานถ้ามีการผิดพลาดควรชี้แจ้งแสดงเหตุผลซึ่งกันและกันและทุกอย่างก็จะดีเอง  จิตใจก็จะดี  ในส่วนของงานก็จะดีตามมาด้วยเป็นทวีคูณ  ก่อให้เกิดความรักความสามัคคี

การเรียนท่าน อาจารย์ จีระ ที่เคารพดิฉัน บัวหลง ชูชัย ที่ได้เข้าอบรมเมื่อวันที่ 21 ส.คที่ผ่านมาและขอตอบการบ้านอาจารย์ดั้งนี้ 1 ดูเทปแล้วได้อะไรบ้าง 3 เรื่อง 1.1 ได้รู้จักการสื่อสารที่ดีในระดับต่างประเทศในข้อความแนวคิดในการสื่อสาร ที่จะกล้าพูดและเป็นคนที่ไม่กลัวในการพูด 1.2 ได้เรียนรู้การมีทักษะในการพูดให้ผู้ฟังนั้นเข้าใจในสิ่งที่ตัวเองพูดอยู่ 1.3 ได้รู้จักท่านทั้ง 2 ในการซักถามในเรื่องการสื่อสารระหว่างต่างประเทศ ที่มีการสื่อสารอยู่ในระดับองค์กรหลายด้าน 2 เกี่ยวข้องกับการนำมาใช้ในอินโดรามาอย่างไร ในการทำงานของอินโดรามาทุกวันนี้ก็ต้องใช้ในกาสื่อสารระดับหัวหน้าและทุกฝ่ายให้รับรู้และเข้าใจในการทำงานถ้าเราไม่กล้าซักถามพูดคุยในสิ่งที่เราไม่รู้และไม่เข้าใจในการสื่อสารก็จะเกิดการทำงานที่ผิดผลาด เราต้องสร้างความเข้าใจและปฏิบัติงานในการสื่อสารจะได้ทำงานอย่างมีคุณภาพและเสร็จโดยสมบูรณ์แบบได้ 3 ถ้าจะพัฒนาทักษะการพูดควรจะทำใช้อะไรบ้าง การพูดถ้าพูดแล้วทำให้คนฟังรู้สึกไม่ดีจะก่อให้เกิดความขัดแย้งและทะเลาะกันอย่าพูดคำถามโดยผู้ฟังจะไม่เข้าใจ เวลาสื่อสารหรือนำเสนออะไรอย่ให้ยาวยืดเยื้อจนเกินไปถ้าผู้ฟังไม่เข้าใจ ก็ต้องอธิบายและต้องอดทน
เรียน อ.จีระเมื่อวันที่ 21 ส.ค 2550 ดิฉันได้ดูเทปการสัมภาษณ์ของอาจารย์จึงขอส่งการบ้านดังนี้ 1. ดูเทปแล้วได้อะไรบ้าง 3 เรื่อง. 1.1 ได้ทราบถึงการสื่อสารโดยใช้ภาษาอังกฤษสนทนาซักถามกับชาวต่างชาติ 1.2 ในการพูดหรือการสื่อสารควรที่จะคิดและเข้าใจความหมายของเนื้อหาก่อนที่จะพูดหรือสื่อสาร 1.3 การที่จะสื่อสารควรที่จะมีผู้รับฟังสารนั้นโดยผู้รับฟังต้องกล้าพูดหรือซักถามเมื่อไม่เข้าใจ 2. เกี่ยวข้องกับการนำมาใช้ในอินโดรามาอย่างไร. การสื่อสารถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับทุกบริษัท โดยเฉพาะด้านภาษาแต่ในการสื่อสารต้องให้ผู้รับฟังเข้าใจและสื่อถึงความหมายได้ถูกต้อง โดยเฉพาะในการทำงานของชาวอินเดียในเรื่องการพูด เพราะบางครั้งคนไทยไม่เข้าใจถึงการสื่อสารของชาวอินเดีย และเราต้องพัฒนาเรื่องการสื่อสารทั้งการพูด การเขียน และการฟังรู้ถึงขั้นตอนการพูด ว่าสมควรพูดหรือไม่ถ้าไม่สมควรพูดก็อย่าพูดออกมา 3. ถ้าพัฒนาทักษะการพูดควรทำอย่างไร. บางครั้งในแต่ละคนอาจมีทักษะการพูดที่แตกต่างกัน เพราะบางคนอาจพูดเก่งแต่บางคนอาจพูดไม่เก่ง บางครั้งบางคนอาจมีความสามารถมาก แต่บางคนอาจจะมีความสามารถน้อยแตกต่างกันไป แต่ทุกคนควรจะค้นหาตัวเองว่ามีจุดเด่นจุดด้อยตรงใหนถ้าเจอก็แก้ไขข้อเสียนั้นเราจะได้กล้าพูด กล้าใช้ภาษา และเราควรพูดให้เหมาะสมให้ผู้ฟังเข้าใจและสื่อถึงความหมายได้เร็ว และรู้เรื่องมากที่สุด บุญช่วย จงรักษ์

เรียน ท่าน ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์

ดิฉัน นางสาว เฉลิม ชอบเจริญ ได้ทำการบ้านที่ท่านอาจารย์ให้ไว้เมื่อวันที่ 21.ส.ค.2550

ข้อที่ 1. ดูแล้วได้อะไรจาก
CDมา 3 เรื่อง

1.1) ทำให้เรารู้ว่าการสื่อสารมีความจำเป็นกับทุกองค์กรและคนทุกระดับ

1.2) การเป็นผู้นำที่ดีต้องมีการสื่อสารที่ชัดเจน สื่อสารให้ผู้ฟังเข้าใจง่าย

1.3) มีเทโนโลยีที่ทันสมัย สามารถสื่อสารได้ไวและสะดวกรวดเร็วสามารถรับรู้

ข่าวสารต่างๆทันต่อเหตุการณ์

ข้อที่ 2. เกี่ยวข้องอะไรกับการนำมาใช้ที่
INDORAMA อย่างไร

การสื่อสารมีความจำเป็นในการที่จะพัฒนาบุคลากร ทุกฝ่ายต้องเอาจริงเรื่องการสื่อสาร

และต้องกระตุ้นให้ทุกฝ่ายได้รับการฝึกฝนให้ดีขึ้นกว่าเดิม

ข้อที่ 3. ถ้าพัฒนาทักษะการพูดควรจะทำอย่างไร

ทุกคนต้องสร้างความเชื่อมั่นในตนเอง และต้องกล้าคิดกล้าแสดงออก ต้องพัฒนาทักษะ

การใช้ภาษาอังกฤษให้มากขึ้นเพื่อที่จะสื่อสารกับผู้บริหารให้เข้าใจกันมากยิ่งขึ้น

กราบเรียนท่านอาจารย์ดร. จีระ ดิฉันเสน่ห์ แก้วสกุล จากที่ได้ เข้าเรียนเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2550 ขอตอบคําถามของอาจารย์ดังนี้ ข้อ 1 ดูเทปแล้วได้อะไร3 เรื่อง 1 หากทํางานร่วมกันต้องรับฟังความคิดเห์นชึ่งกันและกันไม่ยึดติดกับอํานาจ ของความเป็นนายต้องเปิดโอกาสให้ผู้น้อยแสดงความสามารถ 2 ในการปฎิบัติหน้าที่ต้องพูดคุยกันระหว่างผู้บริหารกลับผู้ปฎิบัติงานและต้องยอมรับเหตุผลของความเป็นไปใด้ของงานนั้นๆ 3 ในการทำงานเราจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงบางอย่างไปเพื่อความเหมาะสมหรือต้องทำไนสิ่งนี้เพื่อประโยชน์อะไร ไม่ใช่ว่าสั่งอย่างเดียวและต้องทำสิ่งนั้นถูกต้องและรวดเร็ว ข้อ 2 เกียวข้องกับการนำมาใช้ใน indorama อย่างไร ความเห็นที่ไม่ตรงกันระหว่างผู้บริหารอินเดียและหัวหน้างานคนไทย ผู้บริหารอินเดียจะต้องให้คำปรึกษาและยอมรับถึงปัญหาที่เกิดขึ้นและร่วมมือกันแก้ใขปัญหานั้นให้ถูกต้อง ข้อ 3 พัฒนาทักษะในการพูดควรทำอย่างไร ไม่ควรพูดในขณะที่เรากำลังมีอาการที่งุดหงิด เพราะจะทำให้การพูดและกิริยาที่ออกมาดูไม่สุภาพ เราต้องรู้จักระงับอารมณ์ตนเองให้ผู้รับฟังมีความยินดีหรือฟังแล้วมีความรู้สึกที่ดีกับตัวเราหากพูดกับผู้บริหารเราควรรู้จักใช้คำพูดที่สุภาพอ่อนน้อม เมื่อมีบางสิ่งที่ต้องแสดงความคิดเห็น
นายศรายุทธ ยิ้มอยู่

       สวัสดีครับอาจารย์ผมนายศรายุทธ  ยิ้มอยู่   สิ่งที่อาจารย์ถามว่าในการเรียนเมื่อวันที่ 12  มิถุนายน  และ  17  กรกฏาคม  2550   ที่ผ่านมาผมได้อะไรกับการเรียน 2  ครั้งนี้   ซึ่งสิ่งที่ผมได้รับคือ ได้มีการพัฒนาตนเองให้มีการกระตุ้นในการใช้ความคิดอยู่ตลอดเวลา และได้รับทราบหลักของการเป็นผู้นำที่ดีต้องมีการต่อยอดทางความรู้และความคิด การกระตุ้นและผลักดันให้มีความคิดที่ทันต่อโลกทันต่อเหตุการณ์ ( โลกาภิวัฒน์ ) อยู่ตลอดเวลา และทำให้ผมเกิดความสนใจในด้าน Intermet  มากติดตามข่าวสารต่างๆเปิดกว้างรับแนวคิดใหม่ๆ และความรู้ รอบตัวที่เกิดขึ้นมาประยุกต์ใช้ และเกิดความภุมิใจมากขึ้นที่ได้ทำงานในบริษัทชั้นนำที่มีการพัฒนาทรัพยากรให้กับพนักงาน เพื่อความก้าวหน้าของบริษัท, องค์กร, และพนักงาน ควบคู่กันไป   และเมื่อวันอังคารที่ 21 สิงหาคม 2550 ผมได้มีโอกาสศึกษาเรื่องการสร้างทีม "Team Building"การทำงานเป็นทีม และการสื่อสาร ซึ่งก็เป็นประโยชน์มากสำหรับความรู้ในการเรียนครั้งนี้ และอาจารย์ได้เปิด VCD การบันทึกรายการเรื่องการสื่อสารในองค์กร ซึ่งอาจารย์ กับอีก 2 ท่าน " ผมจำชื่อไม่ได้ต้องขออภัยด้วยครับ " ได้สนทนากันทำให้ผมได้รับแนวความคิด ดังที่อาจารย์ถามใว้ 3 ข้อ ดังนี้ครับ   ข้อที่ 1  ได้อะไรจากการชม VCD   1.1  ผมได้มองเห็นถึงหลักการทำงานที่จะเป็นผลในการพัฒนาด้านการเพิ่มคุณภาพ การทำงานเพื่อให้ประสบความสำเร็จมีความก้าวหน้าในองค์กร สิ่งที่สำคัญอย่างหนึ่งคือ การสื่อสาร เพราะการสื่อสารจะช่วยให้เราทราบ รับรู้ เหตุการณ์ต่างๆ และปัญหาต่างๆ ของกันและกัน เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาองค์กรต่อไป    1.2  ผมได้แง่คิดในเรื่องการเปิดใจกว้างในการสื่อสาร มีเหตุผลอันใดที่เราคิดว่าพูดแล้วจะเป็นประโยชน์ เราก็ควรที่จะพูด ควรที่จะสื่อสารออกมา ไม่ว่าการสื่อสารนั้นจะเป็นในระดับผู้บริหาร หรือระดับเดียวกัน ถ้าสื่อสารแล้วเป็นประโยชน์เราก็ควรสื่อสารเพื่อประโยชน์ต่อไป   1.3  การทำงานนั้นถ้าเรามีสิ่งใดอึดอัดใจเราก็ควรพูดควรสื่อสารให้บุคคลอื่นที่สามารถช่วยแก้ปัญหาได้ ได้รับรู้เราไม่ควรเก็บไว้เพียงคนเดียว แล้วนำไประบายในภายหลังซึ่งตรงนี้จะไม่มีประโยชน์อันใด ถ้าเรามีอะไรไม่สบายใจก็ควรได้มีการสื่อสารให้หายข้อสงสัย เพื่อจะได้ไม่มีการขัดแย้งกันในภายหลัง    ข้อ  2  การสื่อสารเกี่ยวข้องกับการนำมาใช้ใน INDORAMA  อย่างไร   - การทำงานที่ถูกต้องเราทำงานเป็นทีมเราอยู่กันในคนกลุ่มมาก เราจะทำงานตัวคนเดียวไม่ได้ ดังนั้นในแต่ละวันที่เราอยู่ใน INDORAMA เราก็ควรที่จะมีการสื่อสาร สนทนากันถึงปัญหาต่างๆ เช่น ผลผลิต, คุณภาพ, ของเสีย, พนักงาน ฯลฯ ซึ่งกันและกัน ไม่ว่าจะเป็นระดับหัวหน้างาน - ผู้บริหาร หรือหัวหน้างาน - พนักงาน หรือจะเป็นการสือสารในทุกระดับก็จะเป็นผลดี ที่เมื่อมีการสื่อสารที่ถูกต้องแล้วย่อมเป็นผลทำให้ INDORAMA เพื่มคุณภาพผลผลิต และยังช่วยพัฒนาให้เกิดความเจริญก้าวหน้าต่อไป  ข้อ 3  การพัฒนาทักษะการพูดควรทำอย่างไร -  เราต้องกล้าที่จะแสดงออก มีความเชื่อมั่น มีความคิดอยู่ตลอดเวลา พูดเมื่อเราเห็นว่าสิ่งที่เราพูดถูกต้องอย่าเก็บเอาใว้ในใจ และการพูดควรจับใจความสำคัญๆ เอามาพูดเพื่อให้เกิดประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่ายเวลาพูดก็ควรพูดไปคิดไป และควรพูดควรสื่อสารกับทุกระดับ ไม่ต้องกลัวว่าบุคคลที่เราจะพูดด้วยนั้นจะพูดภาษาใด ถ้าเราตั่งใจจริงที่จะพูด ก็จะเป็นผลทำให้เกิดความเข้าใจกันทั้ง 2 ฝ่าย  ดังนั้นผมขอสรุปว่า ในการทำงานแต่ละวันเราควรพัฒนาโดยการทักทายกันในทุกระดับ เพื่อฝึกทักษะการพูด และมีปัญหาก็ควรร่วมกันปรึกษา และที่สำคัญเราควรฝึกทักษะการพูดในด้านภาษาฯ เพื่อให้เราเกิดความมั่นใจมากขึ้นที่จะกล้าพูด กล้าแสดงออก เพื่อพัฒนาตนเองและองค์กรให้ก้าวหน้าต่อไป     สวัสดีครับ

เรียน ศ ดร จีระ ที่เคารพยี่ง ดิฉัน ณัฐสุดา กลัดงาม ได้เข้าเรียนกับอาจารย์เมื่อ วันที่ 21 สิงหาคม ที่ผ่านมา แล้วได้ทําการบ้านส่งมาให้ อาจารย์ค่ะ การบ้านที่ทํามามี 3 หัวข้อค่ะ (1)หลังจากดูเทปแล้ว ไ้ด้อะไร (1.1)ทําให้เรารุ้ว่าในการทํางาน เป็นทีมนั้น จะต้องมีความสําเร็จ แม้จะมีอุปสรรค (1.2)การที่คนเรารู้จักใช้คําพูดที่ถูก และพูด ดีกับผู้อื่น หรือกับหัวหน้างาน คนฟ้งก็จะมีความรู้สึกดี (1.3)ต้องมีความกล้าที่จะพูด หรือแก้ไข้ปัญหาที่เกิดขึน และรู้ทันเห็นการขา่วสารต่างๆที่เกิดขึ้นในแต่วัน (2)เกี่ยวข้องอะไรกับการนําไปใช้ใน INDORAMA ทําให้ได้รู้ว่าการใช้ภาษาอังกฤษ ในหน้างาน หรือกับผู้บริหารให้ถูกต้อง ก็จะทําให้งานมีคุณภาพ และมีความสูขกับการทํางาน กล้าคิด กล้าแสดงออก ก็จะทําให้เรามีประสิทธิภาพยี่งขึ้น และจะต้องมีความเป็นธรรม ให้กับผู้ใต้บังบัญชาด้วย (3) การพัฒนาทักษะการพูด ควรทำอย่างไร คิดก่อนพูด หรือคำพูดที่เราจะพูดออกไปนั้น เราจะพูดกับใครที่ใหนในหน้างานหมายถึงลูกน้อง และหัวหน้างาน แม้แต่ผู้บริหารระดับสูงควรใช้คำพูด ให้เหมาะสมและให้ถูกหลักการ พูดให้ชัดเจนให้คนฟัง ฟังแล้วเกิดความเข้าใจ และสุดท้ายการเรียนครั้งนี้ อาจารย์ทำให้หนูมีความคิดหรือมองเห็นภาพรวมของ INDORAMA ยิ่งขึ้น และหนูจะนำสิ่งที่ได้จากการเรียนรู้ไปพัฒนาต่อไป สวัสดีค่ะ
สวัสดีครับ อาจารย์ ผมนายกิตติ แก้วพงษ์ ผมขอส่งการบ้านหลังจากที่ได้เข้ารับการอบรมเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2550ดังต่อไปนี้ ข้อ 1 ดูเทปแล้วได้อะไร 1.1 เรื่องภาษาอังกฤษจากการดูเทปแล้วเราเข้าใจภาษาอังกฤษมากกว่านี้เราก็ไม่ต้องไปอ่านคำแปลข้างล่างเป็นภาษาไทยเราจะเข้าใจได้ดีกว่านี้คือบางครั้งอ่านทันบ้างไม่ทันบ้าง 1.2 การพูดก็เป็นอีกข้อหนึ่งที่ทำให้การสื่อสารออกมาถูกต้องหรือไม่ถูกต้องแล้วนำไปปฏิบัติได้ถูกต้องหรือเปล่า 1.3 การพูดคนส่วนใหญ่ไม่ค่อยกล้าพูดมีอะไรก็จะเก็บไว้ในใจทำให้เกิดการกดดัน ผลกระทบที่ตามมาก็คือการปฏิบัติงานไม่ค่อยถูกต้องเท่าที่ควรและผู้หญิงส่วนใหญ่ในสังคมเราไม่ค่อยกล้าที่จะแสดงออกเรื่องการพูดมากนัก ข้อ2. เกี่ยวข้องกับการนำมาใช้ในอินโดรามาอย่างไร คือ ทำให้ผู้บังคับบัญชาและผู้ใต้บังคับบัญชาเข้าใจวัตถุประสงค์และนำไปปฏิบัติในทิศทางเดียวกัน ข้อ3. ถ้าพัฒนาทักษะการพูด ควรจะทำอย่างไร คือ ต้องวางแผนและลำดับขั้นตอนในการพูด เรื่องที่จะพูด รวมทั้ง วัตถุประสงค์ที่เราต้องการจะพูด ซึ่งจะทำให้ผู้รับฟังนำไปปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง
สวัสดีครับ อาจารย์ ผมนายกิตติ แก้วพงษ์ ผมขอส่งการบ้านหลังจากที่ได้เข้ารับการอบรมเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2550ดังต่อไปนี้ ข้อ 1 ดูเทปแล้วได้อะไร 1.1 เรื่องภาษาอังกฤษจากการดูเทปแล้วเราเข้าใจภาษาอังกฤษมากกว่านี้เราก็ไม่ต้องไปอ่านคำแปลข้างล่างเป็นภาษาไทยเราจะเข้าใจได้ดีกว่านี้คือบางครั้งอ่านทันบ้างไม่ทันบ้าง 1.2 การพูดก็เป็นอีกข้อหนึ่งที่ทำให้การสื่อสารออกมาถูกต้องหรือไม่ถูกต้องแล้วนำไปปฏิบัติได้ถูกต้องหรือเปล่า 1.3 การพูดคนส่วนใหญ่ไม่ค่อยกล้าพูดมีอะไรก็จะเก็บไว้ในใจทำให้เกิดการกดดัน ผลกระทบที่ตามมาก็คือการปฏิบัติงานไม่ค่อยถูกต้องเท่าที่ควรและผู้หญิงส่วนใหญ่ในสังคมเราไม่ค่อยกล้าที่จะแสดงออกเรื่องการพูดมากนัก ข้อ2. เกี่ยวข้องกับการนำมาใช้ในอินโดรามาอย่างไร คือ ทำให้ผู้บังคับบัญชาและผู้ใต้บังคับบัญชาเข้าใจวัตถุประสงค์และนำไปปฏิบัติในทิศทางเดียวกัน ข้อ3. ถ้าพัฒนาทักษะการพูด ควรจะทำอย่างไร คือ ต้องวางแผนและลำดับขั้นตอนในการพูด เรื่องที่จะพูด รวมทั้ง วัตถุประสงค์ที่เราต้องการจะพูด ซึ่งจะทำให้ผู้รับฟังนำไปปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง
1. ดูแล้วได้อะไร 3 เรื่อง       1.1 นิสัยของคนไทยคือ เวลามีปัญหาต่างๆ จะไม่กล้าที่จะพูดหรือทำความเข้าใจกับหัวหน้างานคือจะปล่อยให้เรื่องต่างๆผ่านไปโดยไม่ให้ความสำคัญ       1.2 การสื่อสารที่ดีจะทำให้การปฎิบัติงานเกิดความแน่นอนและลดปัญหาความผิดพลาดในการปฎิบัติงาน       1.3 การสื่อสารที่ดีนั้นต้องรู้ว่าเราจะพูดอะไรและคิดดว้ยว่าคำพูดของเราเหมาะสมหรือไม่       2. เกี่ยวข้องอย่างไรที่นำมาใช้ใน indorama       2.1 กับหัวหน้างานชาวต่างชาติ การสื่อสารถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ ถ้ามีการสื่อสารที่ดีกระบวนการผลิตก็จะดำเนินไปอย่างรวดเร็วและไม่ผิดพลาด       2.2 บางครั้งกับลูกน้องที่เป็นคนไทย การพูดให้เข้าใจง่ายสามารถนำไปปฎิบัติด้วยความเข้าใจ ก็เป็นการช่วยลดเวลาในการทำงานให้น้อยลงเละสามารถลดความผิดพลาดของงานได้ทางหนึ่ง       2.3 ผู้พูดและผู้ฟังสามารถสื่อสารกันด้วยความเข้าใจก็จะช่วยลดช่องว่างของการทำงานร่วมกันได้อีกวิธีหนึ่ง       3. ถ้าพัฒนาทักษะการพูดจะทำอะไรบ้าง       3.1 เราต้องรู้ว่าเราจะไปพูดกับใคร พูดเรื่องอะไรและต้องคิดว่าเราเตรียมตัวพร้อมหรือยัง       3.2 ต้องเชื่อมั่นในตัวเองว่าเราเตรียมตัวมาอย่างดีจะช่วยลดแาการตื่นเต้น       3.3 กราเตรียมตัวที่ดีและขยันฝึกพูดอยู่บ่อยๆ จะช่วยให้เราสามารถพูดได้อย่างต่อเนื่องและไม่ติดขัด                                   นายสยาม ลาภรวย
กราบเรียนอาจารย์ ดร. จีระ จากการดูเทปที่ได้เรียนในวันที่ 21.08.07 พอที่จะสรุปได้คือ       1. พื้นฐานปัญหาเรื้อรังเกิดจากการไม่พูดถึงปัญหาๆ หลายๆอย่างถ้าไม่พูดออกมาจะทำให้เกิดการสะสมของปัญหา  ข้อสงสัยรวมถึงปัญหาในองค์ น้อยคนที่พูดถึง ถ้าปัญหานั้นเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่ต้องส่งมอบให้กับลูกค้า เมื่อใกล้กำหนดที่จะส่งมอบสินค้าทำให้แก้ไขปัญหาไม่ทันการส่งมอบสินค้าให้กับลูกค้าซึ่งจะทำให้เกิดปัญหาตามมามากมาย ผู้นำในองค์กรควรจะกระตุ้นให้ลูกน้องพูดปัญหาออกมาไม่เก็บไว้คนเดียวและต้องกล้าที่จะแสดงความคิดเห็น      2. การพูดเราควรจะพูดออกมาด้วยความห่วงใย แต่เราเริ่มพูดจากจุดจบของเรื่องตามด้วยอารมณ์ สรุปเราต้องมีเหตุผลในการที่จะพูดหรือฟังเรื่องราวต่างๆ ด้วยความห่วงใยที่เกิดจากใจ มีขอบเขตในการพุด แม้ว่าเราออาจจะตกอย่ในสภาวะที่อึดอัดไม่กล้าที่จะพูดออกมาเพราะเกรงว่าจะพูดถูกผิดประการใด ฉะนั้นคนเราต้องมีความมั่นใจในการที่จะพูดออกมาไม่ใช่ว่าจะมีแต่ความกล้าเพียงอย่างเดียว      3. การพูดคุยถึงปัญการามทั้ง การโต้เถียงกัน เป็นการรวมความคิดที่หลากหลาย ลดการเข้าใจผิดกันในหมู่พวกพ้อง ไม่ว่าจะในบ้าน ในสังคม ถ้ามีการพูดคุยกันก็จะไม่ทำให้เกิดปัญหา ทั้งยังช่วยลดช่องว่างระหว่างกัน คนที่เรียนเก่งสอบได้คะแนนดี ถ้าใม่มีการพูดคุยพบปะผู้อื่นแลกเปลี่ยนความคิดเห็น อาจจะทำให้สอบตกสัมภาษณ์เพราะการสนทนา การศึกษาไม่สำคัญอยู่ที่การฟัง และการถ่ายทอดความรู้ด้วย สุดท้ายผู้นำที่ดีควรจะยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น ไม่ควรคิดว่ารู้ทุกเรื่อง เก่งทุกเรื่องไม่ฟังใคร  ควรเปิดโอกาสให้คนอื่นแสดงความคิดเห็นบ้าง             2. เกี่ยวข้องกับการนำมาใช้กับ Indorama      1. หัวหน้างานเวลาจะสื่อสารกับผู้ใต้บังคับบัญาชา ควรจะพูดให้กระจ่างในแต่ละปัญหานั้นๆ การสื่อสารแต่ละครั้งควรเรียกบุคคลที่เกี่ยวข้องมาพูดคุยให้กระจ่างไม่ใช่ว่าจะไปคุยหรือขอความคิดเห็นว่าผู้อื่นแล้วจะมาบอกให้กระทำภายหลัง หรือคิดว่าผู้ใต้บังคับบัญชาต้องคิดเหมือนกัน ตัดสินใจแทนว่าดี      2. การสั่งงานต้องมีความน่าเชื่อถือ ปฏิบัติไปในทางเดียวกันตลอด ใม่เลือกปฏิบัติ มีความเสมอภาค ไม่ตัดสินปัญหาจากความรู้สึกส่วนตัว ไม่ใช้อารมณ์ในการสั่งงานหรือตัดสินใจ      3. ถ้าพบข้อผิดพลาดในการทำงานควรจะปรับปรุงและทบทวนการทำงานของตนเองหรือควรจะฟังเสียงส่วนมากแล้วนำมาปรับปรุงการทำงานให้ดีขึ้นเพื่อสภาพแวดล้อมในการทำงาน จะได้รู้สึกสนุกกับงานที่ทำ            3. พัฒนาทักษะในการพูดควรทำอย่างไร      1. ศึกษาเรื่องที่จะพูดให้เข้าใจเป็นอย่างดี เพื่อความมั่นใจ      2. เรื่องทีจะนำเสนอมีความเหมาะสมเพียงใด      3. จะพูดเรื่องนั้นกับใคร      4. หมั่นฝึกฝนทักษะการพูดอยู่เสมอ                                          สุทธินี สร้อยเสนา      
เีรียน ศ.ดร จีระ หงส์ลดารมภ์ ดิฉัน นาง พัชรินทร์ สิงห์สา ได้นำการบ้านของ วันที่ 21 สิงหาคม 2550 มาส่งค่ะ ข้อที่ 1 ดูเทปแล้วได้อะไร 3 เรื่อง 1.1 ดูแล้วสอนให้เราได้รู้จักการพูดที่ดี 1.2 สอนให้เราได้รู้จักการใช้ภาษาอังกฤษอย่างถูกต้อง 1.3 ทำให้เราได้รู้จักการพูดคุย และซักถามในปัญหาต่างๆ ข้อที่ 2 เกี่ยวข้องอะไรกับการนำไปใช้ที่ indorama ทำให้เราได้กล้าที่จะแสดงออกและกล้าพูดกล้าทำและสอนให้เราคิดในสิ่งที่จะพูดว่าจะสมควรพูดในตอนใหนเวลาใหนถึงจะถูกต้อง เราก็จะเข้ากับหัวหน้าได้มากขึ้นและลูกน้องของเราก็จะเข้าใจในสิ่งที่เราพูด ข้อที่ 3 ท่านจะพัฒนาในทักษะการพูด ควรจะทำอะไร ต้องฝึกการพูด ควรใช้ภาษาให้ถูกต้อง และคำพูดต้องพูดแล้วคนฟังต้องเข้าใจในสิ่งที่เราพูด กล้าที่จะเผชิญหน้ากับปัญหาต่างๆ กล้าพูด กล้าซักถาม ในสิ่งที่เราไม่เข้าใจ

กราบเรียน อ.จิระ จากที่ดิฉันดูCDของอาจารย์น่าสนใจมาก
1.  ดูแล้วได้อะไร 3 เรื่อง
  การสนทนา เป็นเรื่องปกติของบุคคลทั่ว ๆ ไป แต่ที่จริงแล้วสำคัญมากในชีวิตประจำวัน
 จากที่ดู CD แล้วคิดว่า
 1.  คนเรามักไม่ชอบพูดกันตรงๆ เพราะความเกรงใจ กลัวเสียความรุ้สึกต่อหน้า
มักจะเงียบไม่แสดงความคิดเห็น แต่จะใช้อากัปกิริยาแทน ซึ่งที่จริงแล้วเป็นผลเสียมากกว่า
 2.  เมื่อมีปัญหาก็จะไม่ค่อยแสดงความคิดเห็น มีความเกรงใจกันนั่นคือปัญหา ก่อ
ให้เกิดความไม่ไว้ใจกัน และไม่ยอมร่วมมือกันทำงาน
 3.  ต้องมีทักษะในการพูด มีสติ พูดในขอบเขต
2.  เกี่ยวข้องอะไรในรามา
 เราทำงานในบริษัท ต้องประสานงานกับบุคคลต่างๆ หลายๆ ด้านไม่ว่า กับหัวหน้า
หรือผู้ใต้บังคับบัญชา หรือต้องข้องเกี่ยวกับแผนกอื่นๆ การสนทนาถือเป็นการสื่อสารที่สำคัญ
ควรคิดก่อนพูด ไม่มองผู้อื่นในแง่ร้าย ไม่พูดจาดูถูก ควรรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น และควรปรับปรุงตัวเอง
 สุดท้ายดิฉันขอขอบคุณอาจารย์เป็นอย่างมากที่ได้แนะนำแนวทางเรื่องการสนทนา ดิฉันจะนำไปปฏิบัติใน
ชีวิติประจำวัน
3.  พัฒนาทักษะในการพูดทำอย่างไร
 ต้องฝึกพูด ต้องมีทักษะในการพูด เริ่มจากการพูดในครอบครัว รับฟังความคิดเห็นของบุคคลในครอบครัว
และเรารู้จักเสนอแนะอะไรต้องวิเคราะห์คิดใคร่ครวญให้ดีเสียก่อน แล้วค่อยพูด มั่นใจในเรื่องที่จะพูดมีสมาธิเพราะอยู่ใน
ภาวะคับขันสมองจะหยุดต้องค่อยคิดหาเหตุผลสิ่งใดควรพูดสิ่งใดไม่ควรพูด ให้อยู่ในขอบเขต
 กับบุคคลที่เป็นหัวหน้า ต้องแสดงความคิดเห็น อย่างเกรงใจ ใช้คำพูดที่สุภาพ
 กับผู้ใต้บังคับบัญชา ฝึกให้เขาคิดกระตุ้นให้รู้จักพูด ให้เขารู้สึกปลอดภัยในเรื่องที่จะพูด

 

กราบเรียนอาจารย์จีระ ผมอภิชาติ ดีสุภาพ ขอส่งการบ้านดังนี้ ข้อ 1 ดูแล้วได้ 1.1 การสื่อสารระดับหัวหน้างานกับผู้ใต้บังคับบัญชา 1.2 ระดับผู้ใต้บังคับบัญชาเมื่อเจอปัญหาจะไม่บอกใคร 1.3 การสื่อสารระดับหัวหน้างานกับผู้บริหาร ข้อ 2 เกี่ยวข้องกับอะไร กับการนำมาใช้ใน INDORAMA อย่างไร ตอบ นำปัญหาที่เกิดขึ้นนำมาพัฒนาใน INDORAMA เช่น การสื่อสารระดับหัวหน้างานกับพนักงานควรจะเปิดใจเข้าหากัน ข้อ 3 ถ้าพัฒนาทักษะการพูดควรทำอย่างไรบ้าง ตอบ พูดให้ผู้ฟังอยากจะฟัง ไม่ควรพูดแบบใช้อำนาจบาดใหญ่พูดให้กระชับ
กราบเรียนอาจารย์จีระ ดิฉันสมใจ กลัดงาม ขอส่งการบ้านดังนี้ ข้อ 1 ดูเทปแล้วได้อะไรบ้าง 3 เรื่อง 1.1 การทำงานร่วมกัน ต้องรับฟังความคิดเห็นซึ่งกันและกันไม่ยึดติดกับอำนาจของความเป็นนาย ต้องเปิดโอกาสให้ลูกน้องแสดงความคิดเห็นบ้างไม่ใช่เอาแต่ความคิดเห็นของตัวเองเป็นใหญ่ 1.2 ให้โอกาสลูกน้องระดับล่าง แสดงความสามารถในการปฏิบัติหน้าที่และออกความคิดเห็นในการทำงาน ผู้บริหารต้องยอมรับฟังเหตุผลและความเป็นไปได้ของลูกน้องด้วย 1.3 ผู้บริหารต้องพูดคุยและให้เหตุผล ในการทำงานว่าเราจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงบางสิ่งบางอย่างไปบ้างเพื่อความเหมาะสมในการทำงานหรือต้องทำในสิ่งนี้เพื่อประโยชน์อะไรไม่ใช่ว่าสั่งอย่างเดียว ข้อ 2 เกี่ยวข้องกับการนำมาใช้ในอินโดรามาอย่างไร ตอบ ความเห็นที่ไม่ตรงกันระหว่างผู้บริหารชาวอินเดียและหัวหน้างานชาวไทยในแต่ละวันผู้บริหารชาวอินเดียจะต้องให้คำปรึกษาและยอมรับถึงปัญหาที่เกิดขึ้น ร่วมมือกันแก้ไขปัญหานั้น ๆ ให้ถูกต้อง ข้อ 3 ถ้าพัฒนาทักษะการพูดควรทำอย่างไร ตอบ ไม่ควรพูดในขณะที่เรากำลังอารมณ์ไม่ดี เพราะจะทำให้กิริยาที่แสดงออกมาอาจจะกร้าวร้าวและจะต้องดูว่าสิ่งที่จะพูดนั้นควรจะพูดในสถานการณ์ใด จึงจะเหมาะสม

กราบเรียนท่านอาจารย์ ดร.จีระ ที่นับถือ

กราบเรียนท่านอาจารย์ ดร.จีระ ที่นับถือ

ครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ 4 ที่ได้มีโอกาสได้พบกับอาจารย์ และในครั้งนี้ยังได้มีโอกาสพบกับท่าน รศ.ดร.มนตรี บุญเสนอ จากมหาวิทยาลัยขอนแก่นอีกด้วย นับว่าเป็นเกียรติอย่างสูงที่อาจารย์ได้นำท่านมาแนะนำให้พวกเราได้รู้จัก และท่านได้ถ่ายทอดความรู้ในเรื่องของการสร้าง TEAM WORK อีกด้วย พร้อมกับได้นำการเล่นเกมส์ มาสอดแทรกเพื่อให้เราได้เข้าใจในเนื้อหาของการนำเสนอมากขึ้น ซึ่งทำให้พวกเราได้รับทั้งความรู้และความสนุกสนานควบคู่กันไปด้วย ซึ่งการสัมมนาในครั้งนี้ทำให้เราได้เรียนรุ้ว่า การสื่อสารเป็นเรื่องที่จำเป็นและสำคัญที่สุดทั้งในการใช้ชีวิตประจำวันและการทำงาน ซึ่งคนเราหากขาดการสื่อสารแล้วคงจะประสบกับความสำเร็จได้อยากยิ่งนัก อีกทั้งอาจารย์ยังได้นำ VCD มาให้พวกเราชมพร้อมกับคำถามว่า ดูแล้วได้อะไร ซึ่งดิฉันขอสรุปคร่าว ๆ ๆได้ดังนี้

1.1 การสื่อสารเป็นสิ่งจำเป็นที่สุดในการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารขึ้นไปสู่ระดับบน หรือลงมาสู่ระดับล่าง เพราะทุกวันเราต้องมีการทำงาน พบปะ ร่วมกันกับคนในทุกเภททุกวัย ทั้งในการทำงานส่วนตัวและการทำงานเป็นทีม เราต้องมีการติดต่อประสานงานกันอยู่ตลอดเวลา เพราะฉนั้นเราต้องมีความชัดเจนในการสื่อสารและต้องตรงประเด็น ต้องนำเสนอให้ได้ว่าเรามีความต้องการที่จะสือสารเรื่องอะไร และมีความจริงใจต่อการสือสารนั้นๆ ต้องพูดแบบตรงไปตรงมาทั้งต่อหน้าและลับหลัง ควรรู้จังหวะในการพูด คิดเสมอก่อนการเจรจาถึงผลได้ผลเสียที่จะกระทบตามมา

1.2 ในครอบครัวย การสื่อสารมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะครอบครัวเป็นพื้นฐานที่ต้องมีการสือสารกันอย่างมากและมีการพูดคุยด้วยกันตลอดเวลา จนเป็นความเคยชิน บางครั้งการใช้การสื่อสารมักจะขาดความเกรงใจซื่งกันและกัน จนทำให้เกิดปัญหาตามมามากมาย แต่หากเรารู้จักการเกรงใจซึ่งกันและกันแล้ว หรือหากเกิดปัญหาแล้วหันหน้าเข้ามาพูดคุยเพื่อให้เกิดความเข้าใจอันดีต่อกันแล้ว ยังเป็นการช่วยลดช่องว่างระหว่างวัยของคนในครอบครัวมากขึ้นอีกด้วย

1.3 ความเป็นประชาธิปไตย จะเห็นได้ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการสื่อสารอย่างเห็นได้ชัด ในส่วนของประเทศที่มีประชาธิปไตยมาก จะเปิดกว้างใหทุกคนแสดงความคิดเห็นออกมา ซึ่งทุกคนจะมีการแสดงความคิดเห็นอย่างหลากหลาย บางครั้งจนนำมาซึ่งปัญหา แต่หากในการกลับกัน หากนำปัญหาที่ทุกคนเสนอแนะนั้นมาช่วยกันวิเคราะห์ และหาทางออกก็อาจจะเป็นผลดีอีกทางหนึ่ง ซึ่งตรงกันข้ามกับคนไทย จะไม่ค่อยกล้าแสดงความคิดเห็นออกมา เพราะความเกรงใจซึ่งกันและกัน หรือมีการนำไปพูดลับหลัง จนทำให้เกิดความไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกัน นำมาซึ่งปัญหา หรืออาจจะฟังความคิดเห็นของผู้นำเป็นใหญ่ ไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น

2. เกี่ยวข้องอะไรกับการนำใช้ในอินโดรามา

ตลอดเวลาที่ผ่านมาส่วนใหญ่ในอินโดรามา ยังขาดการสื่อสารที่ดีในหลาย ๆ เรื่องอาทิเช่น การสื่อสารยังจัดอยู่ในระดับเดียวเท่านั้น จากระดับบนสู่ระดับล่างยังมีน้อยมาก ขาดการประชาสัมพันธ์ข่าวสารระหว่างแผนกต่าง ๆ การมีส่วนร่วมในการสื่อสารระดับล่างขึ้นมายังมีน้อยมาก ส่วนใหญ่จะไปในรูปแบบของการสั่งหารมากกว่าที่จะขอความคิดเห็น เพราะหัวหน้างานส่วนใหญ่ในองค์กรล้วนเป็นชาวอินเดียทั้งสิ้น อีกทั้งขนบธรรมเนียมประเพณียังมีส่วนเข้ามาพัวพันเกี่ยวข้องกับการบริหารงานภายในองค์กรอีกด้วย

ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นต่างๆ ล้วนแล้วแต่มาจากบุคคลทั้งสิ้น เพราะขาดการพูดคุย ขาดการสื่อสารระหว่างกัน ขาดความจริงใจในการแก้ปัญหา ไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นซึ่งกันและกัน หากสามารถที่จะปรับเปลี่ยนในจุดต่างๆ เหล่านี้ได้ เชื่อว่าปัญหาทุดด้าน ก็สามารถหาทางออกได้ หากทุกฝ่ายหันหน้าเข้ามาร่วมมือกัน โดยการใช้การสื่อสารพูดคุยกันให้เข้าใจ อุปสรรคต่างๆ ก็สามารถลุล่วงไปด้วยดี

3. พัฒนาทักษะในการพูดว่าควรทำอย่างไร

ต้องเข้าใจกันก่อนว่า ทุกคนล้วนมีความคิดเป็นของตัวเอง ส่วนจะมีคามเห็นที่ถูกต้องมากน้อยเพียงใด คงต้องนำทักษะหลาย ๆ ด้านมาวิเคราะห์ ทำความเข้าใจ และการที่จะทำให้ทุกคนมีความคิดเห็นคล้อยตาม หรือคิดไปในทิศทางเดียวกันนั้น ต้องใช้ทักษะและวิจารณญาณในการสื่อสารหลายอย่างเช่น

3.1 ต้องใช้ภาษาที่ชัดเจน เข้าใจง่าย เพื่อสร้างความเข้าใจที่ดี

3.2 พูดอย่างจริงใจเน้นการพูดควบคู่กับการปฏิบัติที่เหมาะสม

3.3 ต้องรู้จักผู้รับฟังว่าเป็นใคร รู้จักกาละเทศะในการพูด

3.4 มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ

3.5 พูดให้ตรงประเด็นว่าเราต้องการสื่อสารเรื่องอะไร

พิสิทธิ์ พานิชประเสริฐ
ผมพิสิทธิ์ พานิชประเสริฐได้ดูเทปแล้วได้ความรู้ดังนี้ 1.1 เกี่ยวกับการสื่อสารระดับหัวหน้าแผนกกับเพื่อนร่วมงานและผู้บังคับบัญชา 1.2 ระดับผู้ใต้บังคับบัญชาเมื่อเจอปัญหาต้องสื่อสารให้เข้าใจซึ่งกันและกัน 1.3 ผู้บริหารระดับสูงกับผู้ใต้บังคับบัญชาเมื่อมีปัญหาผู้ใต้บังคับบัญชาต้องสื่อสารให้ผู้บริหารระดับสูงให้เข้าใจ ข้อ 2 เกี่ยวข้องอย่างไร ตอบ นำปัญหาที่เกิดขึ้นมาแก้ไขแล้วเอาจุดแข็งของปัญหานำมาพัฒนาในอินโดรามา เช่นการสื่อสารกันกับระดับหัวหน้ากับพนักงาน ข้อ 3 ถ้าจะพัฒนาทักษะการพูดควรทำอย่างไรบ้าง ตอบ ควรพูดให้ผู้ฟังเข้าใจและอยากจะฟังเหตุผลของคนพูด ไม่ควรพูดด้วยอารมณ์เกลียดชังและต้องดูจังหวะอารมณ์ของคนฟังให้เหมาะสมด้วย
ผมนายสมาน นนทบท ได้เข้ารับการอบรม เมื่อวันที่ 21 ก.ย ขอตอบคำถามอาจารย์ดังนี้ ข้อ 1 ดูแล้วได้อะไร ได้ทำให้รู้ว่าการสื่อสารมีความจำเป็นในชีวิตประจำวันมากทั้งในที่ทำงานและที่บ้าน เพราะเรามีอะไรก็ต้องพูดกันระหว่างหัวหน้ากับลูกน้องอย่าเก็บไว้จะทำให้เกิดความอึดอัดทำงานร่วมกันแบบไม่มีความสุข งานก็จะออกมาแบบไม่มีประสิทธิภาพ ข้อ 2 เกี่ยวข้องกับการนำมาใช้ในอินโดรามา อย่างไร การทำงานในบริษัทอินโดรามาจำเป็นอย่างยิ่งที่จะนำการสื่อสารมาใช้ร่วมกับการทำงานเพราะพนักงานทุกคนและทุกระดับชั้นจะต้องใช้การสื่อสารซึ่งกันและกันเพื่อจะได้เข้าใจกันในการทำงานและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ข้อ 3 ถ้าจะพัฒนาทักษะการพูด ควรทำอย่างไร การฝึกทักษะการพูดควรที่จะพูดเพื่อให้ผู้อื่นฟังแล้วเข้าใจสามารถนำไปปฎิบัติตามได้ ไม่ควรพูดจาดูถูกเหยียดหยามผู้อื่น พูดให้กระชับ ได้ใจความ และทักษะการพูดจะดีขึ้น
วันเพ็ญ สุขประเสริฐ
เรียน อาจารย์ จีระ หงส์ลดารมภ์ที่นับถือ ดิฉันนางวันเพ็ญ สุขประเสริฐ เป็นลูกศิษย์ ของบริษัทอินโดรามาขอตอบการบ้านของอาจารย์ดังต่อไปนี้ ข้อ 1. ในประวัติศาตร์ของอยุธยากับอินเดียมีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร -ในสมัยอยุธยาเมื่อ พ.ศ 2275-2310 พระมหากษัติร์ทรงมีบทบาทมากในยุคนั้นได้แก่ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระบรมโกศทรงเสวยราช เมื่อ พ.ศ 2275 การบวชเรียนกลายเป็น ประเพณีที่ปฎิบัติสืบต่อกันมา ในยุคนั้น ถึงกับกําหนดให้ผู้ที่เป็นขุนนางมียศถาบรรดาศักดิ์ ต้องเป็นผู้ที่ผ่านการบวชเรียนมาเท่านั้นจึงจะแต่งตั้งตําแหน่งหน้าที่ให้ในสมัยนั้น ได้ส่งพระภิกษุเถระชาวไทยไปฟื้นฟูศาสนาในประเทศศรีลังกาตามคําทูลขอ ของกษัติร์ ศรีลังกาเมื่อ พ.ศ 2296 จนทําให้พุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองในศรีลังกาอีกครั้ง จนถึง ปัจจุบันและเกิดนิกายของคณะสงฆ์ไทยขึ้นในศรีลังกาชื่อว่า (นิกายสยามวงศ์) นิกายนี้ ยังมีอยู่ในปัจจุบัน ต่อมาเมื่อรัชการที่ 2 พ.ศ 2352-2367 พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเสด็จขึ้นครองราช เมื่อ พ.ศ 2352 พระองค์ทรงทํานุบํารุงและส่งเสริม พระพุทธศาสนาเหมือนอย่างพระมหากษัติร์ไทยแต่โบราณ ในรัชสมัยของพระองค์ ได้ทรงสถาปนา สมเด็จพระสังฆราช ถึง 3 พระองค์คือ สมเด็จพระสังฆราช(สุก) สมเด็จพระสังฆราช(มี) และสมเด็จพระสังฆราช(สุก ญาณสังวร) ในปี พ.ศ 2357 ได้จัดส่งสมณฑูตจํานวน 8 รูป เพื่อไปฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในประเทศศรีลังกา ได้จัดให้มีการจัดงานวันวิสาขบูชาขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อ พ.ศ 2360 ซึ่งแต่เดิมก็เคยปฎิบัติกันมา เมื่อครั้งกรุงสุโขทัย แต่ได้ขาดตอน ไปตั้งแต่เมื่อเสียกรุงศรีอยุธยาแก่พม่าจึงได้มีการฟื้นฟูวันวิสาขบูชาขึ้นมาใหม่ และได้โปรดให้มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขวิธีการสอบไล่ ปริยธรรมขึ้นมาใหม่ ได้ ขยายหลักสูตร 3 ชั้นคือ เปรียญตรี - โท - เอก เป็น 9 ชั้น คือชั้นประโยค 1-9 ข้อ.2 ไปทัวว์นอกสถานที่ได้อะไรมาบ้าง - ได้รับความรู้ที่เกี่ยวกับประวัติศาตร์ของพระนครศรีอยุธยา และได้เข้าใจเกี่ยวกับกษัติร์ ต่างๆ ของแต่ละสมัยว่ามีพระคุณแก่พวกเราชาวไทยมาก จากที่ไม่เคยทราบมาก่อนเลย หรืออาจจะเข้าใจเพียงนิดหน่อยแต่ที่ได้ไปในครั้งนี้ถือว่ามีประโยชน์ต่อตัวเรามาก การไปในครั้งนี้ถือว่าเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศที่ดีมากเลย จากที่เคยเรียนในห้องเรียน ทุกครั้งและอยากให้จัดแบบนี้อีกต่อไป เพื่อที่จะได้หาประสบการณ์ และหาความรู้ต่างๆ เพื่อที่จะมาพัตนาตนเองและองค์กรต่อไป ข้อ. 3 สํารวจความสําพันธ์ของไทยกับอินเดีย อาทิ เช่น การค้าขาย, การคมนาคม,การเมือง -จากการสํารวจมาแล้วนั้น การค้าขายเช่น อิเลคโทนิคหรือเพชร พลอย โดยการลดภาษีถึง 80% จากการลดทั้งสองฝ่าย การคมนาคม ได้มีการเซ็นต์สัญญากันว่าจะเปิดถนนสายเซีย ระหว่างไทย-อินเดียโดยผ่านทางประเทศพม่าซึ่งตกลงกันแล้วแต่ยังมิได้ดําเนินการเมื่อ สมัยที่ พ.ต.ท. ทักษิน เป็นนายกรัฐมนตรี ส่วนการเดินทาง ทางอากาศประเทศไทยมีสายการบินไทย-นิวเดลี ซึ่งเป็นเมืองหลวงของอินเดีย เมืองบอมเบเมืองดาราบอรีวู้ด เมือง โคกาต้า เมืองเจเนย ทางประเทศอินเดียมีสายการบินแอร์อินเดีย แซสแอร์เวอินเดียนแอร์ ลาย มีนักท่องเที่ยวเฉลี่ยประมาณ 2 แสนคนต่อปี ส่วนทางเรือมีการส่งสินค้าทั้ง 2 ฝ่าย ปีหนึ่งประมาณ 300,000๖ตัน(เฉลี่ยต่อปี) การเมืองของประเทศเป็นสัมพันธ์มิตรระหว่าง ไทย-อินเดียมีการเซ็นต์สัญญากัน จะมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันท่านนายกรัฐมนตรีของ ประเทศไทยได้ไปประเทศอินเดียและนายกรัฐมนตรีของประเทศอินเดียได้มาเยือนประ เทศไทยเมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชขึ้นครองราชครบ 60 ปี ที่ผ่านมา จนมีความสัมพันธ์ไมตรีที่ดีต่อกันจนถึงปัจจุบัน ข้อ.4 เป้าหมายของตัวเราอีก 5 ปีข้างหน้าเราจะมีเป้าหมายในชีวิตอย่างไร -จะทํางานให้กับบริษัทอินโดรามาให้มีความสําเร็จและตัวเราเองก็จะได้ตําแหน่งหน้าที่ ที่ดีต่อไป และต้องการให้บริษัทเจริญก้าวหน้าขยายกิจการเพิ่มขึ้นอีก เพื่อที่จะให้ประเทศไทยของเรามีชื่อเสียงในด้านที่มีคนต่างประเทศมาร่วมลงทุนในประเทศไทย และทําให้ ลูกหลานของคนลพบุรีได้มีงานทําต่อไปอีก ข้อ. 5 ยุทธวิธีในการไปให้เป้าหมายของตัวเรา - ต้องตั้งใจทํางานที่ทางบริษัทมอบหมายให้ โดยทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจ เพื่อที่จะไปสู่ความ สําเร็จ ควรจะหมั่นศึกษาหาความรู้เพื่อที่จะได้ชิ้นงานและผลงานออกมาดีและส่งผลดีต่อ ทางบริษัท และทําให้เป็นที่น่าพอใจของหัวหน้างานระดับสูงต่อไป ข้อ.6 เรามีความสามารถที่จะไปสู่เป้าหมายและความสําเร็จได้หรือไม่ - เป้าหมายที่ตัวเราจะนําไปสู่ความสําเร็จเต็ม 100% ข้อ. 7 เรามีความมั่นใจในตัวเราเองมากน้อยเพียงใด - ความตั้งใจของตัวเราเองนั้นเปรียบเสมือนเหล็กแสตนเลส คือ และไม่เป็นสนิม ไม่มีการ สึกหรอจึงจะนําตัวเราไปสู่ความสําเร็จได้.

กราบเรียนท่านอาจารย์ ดร.จีระ ที่นับถือ

นายศรายุทธ ยิ้มอยู่
สวัสดีครับอาจารย์ผมนายศรายุทธ ยิ้มอยู่ จากการได้ออกไปศึกษานอกสถานที่ ณ. จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2550 ได้ไปชม และศึกษาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของสมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งการเดินทางครั้งนี้ทำให้ผมได้รับความรู้เกี่ยวกับหลายๆเรื่องของสมัยกรุงศรีอยุธยา และอาจารย์ได้ให้คำถามไว้ 7 ข้อซึ่งผมจะขอให้คำตอบดังนี้ครับ 1. พระพุทธศาสนาในประวัติศาสตร์ของอยุธยากับอินเดีย มีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร พระพุทธศาสนา เป็นศาสนาที่เกิดในอินเดียก่อนพุทธศักราช 45 ปี ( พุทธศักราชเริ่ม ตั้งแต่ปีที่พระพุทธเจ้าเสด็จสู่ปรินิพาน )นับว่าเป็นศาสนาที่สำคัญที่สุดในโลกศาสนาหนึ่งมีผู้นับถือหลายร้อยล้านคน ผู้ให้กำเนิดพระศาสนาคือ พระพุทธเจ้าซึ่งเป็นโอรสของ พระเจ้าสุทโธทนะ และพระนางสิริมหามายา แห่งกรุงกบิลพัสดุ์ แคว้นสักกะ ซึ่งเวลานี้อยู่ในเขตประเทศเนปาล ในสมัยที่พระองค์ยังไม่ได้บวช มีนามว่าสิทธัตถะ เมื่อพระสิทธัตถะมีพระชนม์ได้ 16 พรรษา ก็ทรงอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงยโสธราและมีโอรสองค์หนึ่งคือ เจ้าชายราหุล เมื่อมีพระชนม์ได้ 29 พรรษาพระองค์ก็ทรงผนวช อยู่จนกระทั้งมีพระชนม์ได้ 35 พรรษาจึงได้ตรัสรู้คือรู้แจ้งในความจริงแห่งโลก เป็นพระสัมมา สัมพุทธเจ้า เมื่อตรัสรู้แล้วพระองค์ก็เสด็จเที่ยวแนะนำสั่งสอนประชาชนในแคว้นต่างๆในอินเดีย เพื่อหาทางที่จะนำประชาชนไปสู่ความพ้นทุกข์อยู่เป็นเวลาถึง 45 ปี ปรากฏว่าประชาชนชาวอินเดียในสมัยนั้นได้หันมานับถือพระพุทธศาสนาและเข้ามาบรรพชา อุปสมบทเป็นจำนวนมาก พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนอยู่จนกระทั้งมีพระชนม์มายุได้ 80 พรรษาจึงปรินิพพาน หลังจากที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว สาวกของพระองค์ก็ช่วยกันเผยแผ่พระพุทธศาสนา สืบต่อมา จนกระทั้งประมาณ พ.ศ 269-306 สมัยพระเจ้าอโศกมหาราชกษัตริย์แห่งอินเดียแห่งเมืองปาฎาลีบุต ทรงเลื่อมไสพระพุทธศาสนามากจึงได้ส่งพระธรรมทูตไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา ทั้งภายในและภายนอกประเทศอินเดีย ปรากฏว่าพระเจ้าอโศกมหาราชได้ส่งพระโสณเถระกับพระอุตเถระมายังดินแดนที่เป็นประเทศไทยภาคกลางในปัจจุบัน ซึ่งสมัยนั้นยังเป็นดินแดนอาณาจักรทวาราดีชาวอินเดียเรียกว่า สุวรรณภูมิ โดยใช้เส้นทาง ทางเรือสู่ดินแดนที่เรียกว่าสุวรรณภูมิ เชื่อกันว่าได้แก่ ดินแดนแถบนครปฐม ราชบุรี และสุพรรณบุรี ดังปรากฏหลักฐานทางโบราณคดีในสมัยอาณาจักรทวารวดีว่า ดินแดนแถบนี้พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองมาก ศิลปะต่างๆทางพระพุทธศาสนาก็แสดงให้เห็นอิทธิพลอินเดียอย่างเห็นได้ชัด พระพุทธศาสนาได้เผยแผ่จากดินแดนส่วนนี้ไปตลอดแหลมมลายู สุมาตรา ชวา พม่า ลาว และเขมร และในสมัยกรุงศรีอยุธยานั้นได้มีศาสนาอื่นๆ ที่นอกเหนือไปจากศาสนาพุทธเข้ามามีบทบาทในสังคมชาวกรุงศรีอยุธยาด้วยหลายศาสนาเช่น ศาสนาพราหมณ์ ศาสนาคริสต์ และศาสนาอิสลาม คนไทยกับพระพุทธศาสนาได้ผูกพันกันมานานตั้งแต่ครั้งสุโขทัยและสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน ในสมัยกรุงศรีอยุธยาก็เช่นกัน พระพุทธสาสนาได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของสังคม และเป็นที่ยอมรับนับถือกัน ตั้งแต่พระมหากษัตริย์จนถึงสามัญชน พระพุทธศาสนาได้เจริญรุ่งเรืองอยู่ในบริเวณเมืองอยุธยามานานแล้ว ก่อนที่จะสถาปนาให้เป็นราชธานีเสียอีก ครั้นเมื่อ สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 ทรงสถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีพระองค์ก็ทรงอุทิศตำหนักเวียงเหล็กเป็นวัดพุทไธสวรรย์และได้สร้างวัดป่าแก้วขึ้นอีก 1 วัด กษัตริย์องค์ต่อๆมาก็ได้สร้างและซ่อมแซมวัดเป็นจำนวนมาก กล่าวกันว่าเฉพาะในเกาะตัวเมืองอยุธยามีวัดถึง 168 วัด และมีวัดพระอารามหลวงอยู่ถึง 47 วัด ที่สำคัญ คือ วัดพระศรีสรรเพชญ์ ซึ่งเป็นวัดในพระบรมมหาราชวัง กษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยาที่ทรงมีศรัทธาในพระพุทธศาสนามากที่สุด ได้แก่ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถพระองค์ทรงบำรุงพระพุทธศาสนาและยังทรงผนวชในขณะครองราชย์ด้วย พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองสูงสุดในสมัยแผ่นดินพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ พระองค์ทรงสร้างและซ่อมแซมปฏิสังขรณ์วัดต่างๆ มากมาย เช่น วัดป่าโมก วัดพระศรีสรรเพชญ์ เป็นต้น กิจการในพระพุทธศาสนาได้เผยแพร่ไปไกลถึงประเทศลังกา ทางลังกาได้มาขอพระสงฆ์ไทยไปบวชให้ พระสงฆ์ลังกาที่ พระสงฆ์ไทยบวชให้นั้นได้นามว่า “ สยามวงศ์ ” 2. ในการไปศึกษานอกสถานที่ ที่พระนครกรุงศรีอยุธยาแล้วได้อะไรมาบ้าง ซึ่งการเดินทางศึกษาและชมประวัติศาสตร์ในครั้งนี้ผมคิดว่ามีประโยชน์และได้รับความรู้กลับมาหลายเรื่องอย่างเช่น ประวัติของสมัยกรุงศรีอยุธยาเมื่อครั้งที่เป็นราชธานี ซึ่งประวัติความเป็นมามีอยู่ว่า จังหวัดพระนครศรีอยุธยา หรือ อยุธยา ตั้งอยู่ภาคกลางเป็นเมืองหลวงเก่าของไทย สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ 1893 โดยสมเด็จพระเจ้าอู่ทอง หรือ สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 ในเวลา 417 ปี ที่กรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี มีกษัตริย์ปกครอง 33 พระองค์จาก 5 ราชวงศ์ คือ ราชวงศ์อู่ทอง , ราชวงศ์สุวรรณภูมิ; ราชวงศ์สุโขทัย; ราชวงศ์ปราสาททอง; และราชวงศ์บ้านพลูหลวง นับเป็นราชธานีของไทย ที่มีอายุยืนยาวที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย เมื่อเทียบกับกรุงรัตนโกสินทร์ที่มีอายุ 225 ปี พระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา ทั้งสิ้น 33 พระองค์ จาก 5 ราชวงศ์มีรายนามตามลำดับดังนี้ 1. ราชวงศ์อู่ทอง สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 ( อู่ทอง ) พ.ศ.1893-1912 2. ราชวงศ์อู่ทอง สมเด็จพระราเมศวร ( ครั้งที่ 1 ) พ.ศ.1912-1913 3. ราชวงศ์สุพรรณภูมิ สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 ( พะงั่ว ) พ.ศ.1913-1931 4. ราชวงศ์สุพรรณภูมิ พระเจ้าทองลัน ( ถูกปลงพระชนม์ ) พ.ศ.1931-1931 ราชวงศ์อู่ทอง สมเด็จพระราเมศวร ( ครั้งที่ 2 ) พ.ศ.1931-1938 5. ราชวงศ์อู่ทอง สมเด็จพระรามราชา ( ถูกถอดจากราชสมบัติ ) พ.ศ.1938-1952 6. ราชวงศ์สุพรรณภูมิ สมเด็จพระอินทราธิราช ( เจ้านครอินทร์ ) พ.ศ.1952-1967 7. ราชวงศ์สุพรรณภูมิ สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 ( เจ้าสามพระยา ) พ.ศ.1967-1991 8. ราชวงศ์สุพรรณภูมิ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ พ.ศ.1991-2031 9. ราชวงศ์สุพรรณภูมิ สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 3 พ.ศ.2031-2034 10.ราชวงศ์สุพรรณภูมิ สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 ( พระเชษฐา ) พ.ศ.2034-2072 11.ราชวงศ์สุพรรณภูมิ สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 4 ( หน่อพุทธางกูร ) พ.ศ.2072-2076 12.ราชวงศ์สุพรรณภูมิ พระรัชฎาธิราช ( ถูกปลงพระชนม์ ) พ.ศ.2076-2077 13.ราชวงศ์สุพรรณภูมิ สมเด็จพระชัยราชาธิราช พ.ศ.2077-2089 14.ราชวงศ์สุพรรณภูมิ พระยอดฟ้าหรือพระแก้วฟ้า ( ถูกปลงพระชนม์ ) พ.ศ.2089-2091 15.ราชวงศ์สุพรรณภูมิ สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ พ.ศ.2091-2111 16.ราชวงศ์สุพรรณภูมิ สมเด็จพระมหินทราธิราช พ.ศ.2111-2112 17.ราชวงศ์สุโขทัย สมเด็จพระมหาธรรมราชา พ.ศ.2112-2133 18.ราชวงศ์สุโขทัย สมเด็จพระนเรศวร พ.ศ.2133-2148 19.ราชวงศ์สุโขทัย สมเด็จพระเอกาทศรถ พ.ศ.2148-2153 20.ราชวงศ์สุโขทัย พระศรีเสาวภาคย์ ( ถูกปลงพระชนม์ ) พ.ศ.2153-2153 21.ราชวงศ์สุโขทัย สมเด็จพระเจ้าทรงธรรม พ.ศ.2153-2171 22.ราชวงศ์สุโขทัย สมเด็จพระเชษฐาธิราช ( ถูกปลงพระชนม์ ) พ.ศ.2171-2172 23.ราชวงศ์สุโขทัย พระอาทิตยวงศ์ ( ถูกถอดจากราชสมบัติและ ถูกปลงพระชนม์ภายหลัง ) พ.ศ.2172-2172 24.ราชวงศ์ปราสาททอง สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง พ.ศ.2172-2199 25.ราชวงศ์ปราสาททอง สมเด็จเจ้าฟ้าไชย ( ถูกปลงพระชนม์ ) พ.ศ.2199-2199 26.ราชวงศ์ปราสาททอง สมเด็จพระศรีสุธรรมราชา (ถูกปลงพระชนม์ ) พ.ศ.2199-2199 27.ราชวงศ์บ้านพลูหลวง สมเด็จพระนารายณ์มหาราช พ.ศ.2199-2231 28.ราชวงศ์บ้านพลูหลวง สมเด็จพระเพทราชา พ.ศ.2231-2246 29.ราชวงศ์บ้านพลูหลวง สมเด็จพระสรรเพ็ชญ์ที่ 8 ( พระเจ้าเสือ ) พ.ศ.2246-2251 30.ราชวงศ์บ้านพลูหลวง สมเด็จพระเจ้าท้ายสระ พ.ศ.2251-2275 31.ราชวงศ์บ้านพลูหลวง สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ พ.ศ.2275-2301 32.ราชวงศ์บ้านพลูหลวง สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร ( สละราชสมบัติออกผนวช ) พ.ศ.2301-2301 33.ราชวงศ์บ้านพลูหลวง สมเด็จพระเจ้าเอกทัศ พ.ศ.2301-2310 ไม่นับขุนวรวงศาธิราช ซึ่งครองราชย์อยู่เพียง 42 วัน ก็ถูกขุนนาง ข้าราชการร่วมกันกำจัดและอัญเชิญพระเฑียรราชาอนุชาของสมเด็จพระไชยราชา ลาผนวชมาเสวยราชสมบัติ 3. ความสัมพันธ์ของไทยกับอินเดีย เช่นการค้า การคมนาคม การเมือง มีความสัมพันธ์อย่างไร การทูต ไทยสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตอินเดียเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2490 ขณะนี้ไทยมีสถานเอกอัครราชทูตตั้งอยู่ที่กรุงนิวเดลี และมีสถานกงสุลใหญ่อีก 2 แห่ง ที่เมืองกัลกัตตาเมืองมุมไบ ส่วนอินเดียมีสถานเอกอัครราชทูตที่กรุงเทพฯและมีสถานกงสุลใหญ่ ที่เชียงใหม่ และที่สงขลา ด้านการเมือง ในช่วงสงครามเย็นและสงครามกัมพูชา ความสัมพันธ์ไทย-อินเดีย ค่อนข้างห่างเหิน เนื่องจากไทยเห็นว่าอินเดีย ( ภายใต้การนำของอินทิรา คานชิ ) มีความใกล้ชิดกับสหภาพโซเวียด ในขณะที่ไทยเป็นสมาชิก SEATO ซึ่งอินเดียเห็นว่าไทยมีความใกล้ชิดกับสหรัฐ และเป็นพันธมิตรกับปากิสถาน จึงมีความไม่ใว้วางใจต่อกันและกัน อย่างไรก็ดี ความสัมพันธ์ไทย-อินเดีย ใกล้ชิดขึ้นในปลายปีทศวรรษที่ 1980 เมื่ออินเดียเริ่มดำเนินนโยบายเปิดเสรีทางเศษฐกิจในปี 2534 ความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศจึงพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น โดยมีการแลกเปลี่ยนการเยือนผู้นำในระดับสูงหลายครั้ง ในช่วงปี 2544-2546 และในขณะนี้จะเห็นว่าความสัมพันธ์ไทย-อินเดีย จะมีความแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น การค้า การค้าไทย-อินเดีย การจัดตั้งเขตการค้าเสรีไทย-อินเดีย และได้ร่วมลงนามในกรอบความตกลงว่าด้วยการจัดตั้งเขตการค้าเสรีไทย-อินเดีย เมื่อ 9 ตุลาคม 2546 ในระหว่างการเยือนไทยอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรีอินเดีย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เป็นกลไกสำคัญที่จะขจัดอุปสรรคการค้าช่วยขยายการค้าระหว่างกัน นอกจากนี้เขตการค้าเสรียังจะดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติด้วย การคมนาคม ในปี 2544 นายกรัฐมนตรีไทย-อินเดียเห็นพ้องให้มีความร่วมมือไตรภาคีในการเชื่อมโยงถนนระหว่างไทย-พม่า-อินเดีย เพื่อส่งเสริมการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว และการไปมาหาสู่ระหว่างประชาชน 4. เป้าหมายของตัวเราอีก 5 ปีข้างหน้า เรามีเป้าหมายชีวิตอย่างไร เป้าหมายชีวิตของผม ผมตั้งเป้าหมายไว้ว่าช่วงปัจจุบันนี้ผมจะตั้งใจศึกษาหาความรู้ จากการที่บริษัทจัดอบรม จัดสอนตามหลักสูตรต่างๆ อาทิเช่น การพัฒนาผู้นำ ฝึกทักษะด้านภาษา ด้านคอมพิวเตอร์ กิจกรรม QCC และอีกหลายๆหลักสูตรที่ทางบริษัทเปิดโอกาสให้ได้รับการอบรม เพื่อให้ได้มาซึ่งความรู้มากที่สุด และเป้าหมายอีก 5 ปี ผมตั้งเป้าไว้ว่าจะเห็นผู้นำคนไทยในระดับกลางที่มีการพัฒนาได้เข้ามายืนอยู่ในจุดการงานที่สูงขึ้น หากบริษัทและผู้บริหารเปิดโอกาสให้ และตัวผมเองคาดหวังว่าทำงานในหน้าที่การงานที่สูงขึ้นได้มีโอกาสช่วยบริษัทให้มีความเจริญก้าวหน้า เพื่อให้ INDORAMA เป็นบริษัทที่มีชื่อเสียง ทั้งด้านคุณภาพผลผลิต การบริหาร รวมถึงคุณภาพของทรัพยากรในองค์กร เพื่อให้ครอบครัว INDORAMA ได้อยู่ร่วมกับสังคมทั่งภายในและภายนอกเพื่อให้ เป็นที่ยอมรับในสังคมรอบๆ INDORAMA ต่อไป 5. .วิธีในการไปให้ถึงเป้าหมายของตัวเราควรทำอย่างไร ตั้งใจและสนใจในความรู้ต่างๆ ที่ได้รับจากการอบรม สนใจในด้านข่าวสารมากขึ้นเพื่อให้เป็นคนที่ทันต่อโลกในยุคโลกาภิวัตน์ มีความมั่นใจ และมีความเชื่อมั่นในตัวเอง ยอมรับฟังข้อเสนอแนะต่างๆจากบุคคลอื่น เพื่อนำมาปรับปรุงคุณภาพตัวเอง ตอบแทนบริษัทที่เปิดโอกาสให้เราได้มีการพัฒนา เพราะบริษัทก็เหมือนกับการปลูกต้นไม้ ก็ต้องหวังที่จะได้เก็บเกี่ยวผลผลิต 6. เรามีความสามารถที่จะไปสู่เป้าหมายและความสำเร็จได้หรือไม่ ความสามารถที่ผมจะไปสู่เป้าหมายนั้น ผมพร้อมที่จะเรียนรู้เพื่อเก็บเกี่ยวความรู้และประสบการณ์ต่างๆนำมาใช้ประโยชน์ เพื่อให้เกิดความมั่นใจ และเมื่อเราเกิดความมั่นใจแล้วทำอะไรก็จะเป็นผลให้เกิดความสำเร็จได้อย่างแน่นอน 7. เรามีความมั่นใจในตัวเองมากน้อยเพียงใด สำหรับผม ผมคิดว่าการได้รับการอบรม การเรียนรู้ การสนใจในเรื่องต่างๆ จึงเป็นผลทำให้ผมเกิดความมั่นใจมาก ที่จะไปให้ถึงเป้าหมายในชีวิตทั้งในระยะสั่น และระยะยาว ต่อไปครับ สวัสดีครับ

สวัสดีครับอาจารย์ผมนายศรายุทธ ยิ้มอยู่ จากการได้ออกไปศึกษานอกสถานที่ ณ. จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2550 ได้ไปชม และศึกษาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของสมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งการเดินทางครั้งนี้ทำให้ผมได้รับความรู้เกี่ยวกับหลายๆเรื่องของสมัยกรุงศรีอยุธยา และอาจารย์ได้ให้คำถามไว้ 7 ข้อซึ่งผมจะขอให้คำตอบดังนี้ครับ

1. พระพุทธศาสนาในประวัติศาสตร์ของอยุธยากับอินเดีย มีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร พระพุทธศาสนา เป็นศาสนาที่เกิดในอินเดียก่อนพุทธศักราช 45 ปี ( พุทธศักราชเริ่ม ตั้งแต่ปีที่พระพุทธเจ้าเสด็จสู่ปรินิพาน )นับว่าเป็นศาสนาที่สำคัญที่สุดในโลกศาสนาหนึ่งมีผู้นับถือหลายร้อยล้านคน ผู้ให้กำเนิดพระศาสนาคือ พระพุทธเจ้าซึ่งเป็นโอรสของ พระเจ้าสุทโธทนะ และพระนางสิริมหามายา แห่งกรุงกบิลพัสดุ์ แคว้นสักกะ ซึ่งเวลานี้อยู่ในเขตประเทศเนปาล ในสมัยที่พระองค์ยังไม่ได้บวช มีนามว่าสิทธัตถะ เมื่อพระสิทธัตถะมีพระชนม์ได้ 16 พรรษา ก็ทรงอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงยโสธราและมีโอรสองค์หนึ่งคือ เจ้าชายราหุล เมื่อมีพระชนม์ได้ 29 พรรษาพระองค์ก็ทรงผนวช อยู่จนกระทั้งมีพระชนม์ได้ 35 พรรษาจึงได้ตรัสรู้คือรู้แจ้งในความจริงแห่งโลก เป็นพระสัมมา สัมพุทธเจ้า เมื่อตรัสรู้แล้วพระองค์ก็เสด็จเที่ยวแนะนำสั่งสอนประชาชนในแคว้นต่างๆในอินเดีย เพื่อหาทางที่จะนำประชาชนไปสู่ความพ้นทุกข์อยู่เป็นเวลาถึง 45 ปี ปรากฏว่าประชาชนชาวอินเดียในสมัยนั้นได้หันมานับถือพระพุทธศาสนาและเข้ามาบรรพชา อุปสมบทเป็นจำนวนมาก พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนอยู่จนกระทั้งมีพระชนม์มายุได้ 80 พรรษาจึงปรินิพพาน หลังจากที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว สาวกของพระองค์ก็ช่วยกันเผยแผ่พระพุทธศาสนา สืบต่อมา จนกระทั้งประมาณ พ.ศ 269-306 สมัยพระเจ้าอโศกมหาราชกษัตริย์แห่งอินเดียแห่งเมืองปาฎาลีบุต ทรงเลื่อมไสพระพุทธศาสนามากจึงได้ส่งพระธรรมทูตไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา ทั้งภายในและภายนอกประเทศอินเดีย ปรากฏว่าพระเจ้าอโศกมหาราชได้ส่งพระโสณเถระกับพระอุตเถระมายังดินแดนที่เป็นประเทศไทยภาคกลางในปัจจุบัน ซึ่งสมัยนั้นยังเป็นดินแดนอาณาจักรทวาราดีชาวอินเดียเรียกว่า สุวรรณภูมิ โดยใช้เส้นทาง ทางเรือสู่ดินแดนที่เรียกว่าสุวรรณภูมิ เชื่อกันว่าได้แก่ ดินแดนแถบนครปฐม ราชบุรี และสุพรรณบุรี ดังปรากฏหลักฐานทางโบราณคดีในสมัยอาณาจักรทวารวดีว่า ดินแดนแถบนี้พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองมาก ศิลปะต่างๆทางพระพุทธศาสนาก็แสดงให้เห็นอิทธิพลอินเดียอย่างเห็นได้ชัด พระพุทธศาสนาได้เผยแผ่จากดินแดนส่วนนี้ไปตลอดแหลมมลายู สุมาตรา ชวา พม่า ลาว และเขมร และในสมัยกรุงศรีอยุธยานั้นได้มีศาสนาอื่นๆ ที่นอกเหนือไปจากศาสนาพุทธเข้ามามีบทบาทในสังคมชาวกรุงศรีอยุธยาด้วยหลายศาสนาเช่น ศาสนาพราหมณ์ ศาสนาคริสต์ และศาสนาอิสลาม คนไทยกับพระพุทธศาสนาได้ผูกพันกันมานานตั้งแต่ครั้งสุโขทัยและสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน ในสมัยกรุงศรีอยุธยาก็เช่นกัน พระพุทธสาสนาได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของสังคม และเป็นที่ยอมรับนับถือกัน ตั้งแต่พระมหากษัตริย์จนถึงสามัญชน พระพุทธศาสนาได้เจริญรุ่งเรืองอยู่ในบริเวณเมืองอยุธยามานานแล้ว ก่อนที่จะสถาปนาให้เป็นราชธานีเสียอีก ครั้นเมื่อ สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 ทรงสถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีพระองค์ก็ทรงอุทิศตำหนักเวียงเหล็กเป็นวัดพุทไธสวรรย์และได้สร้างวัดป่าแก้วขึ้นอีก 1 วัด กษัตริย์องค์ต่อๆมาก็ได้สร้างและซ่อมแซมวัดเป็นจำนวนมาก กล่าวกันว่าเฉพาะในเกาะตัวเมืองอยุธยามีวัดถึง 168 วัด และมีวัดพระอารามหลวงอยู่ถึง 47 วัด ที่สำคัญ คือ วัดพระศรีสรรเพชญ์ ซึ่งเป็นวัดในพระบรมมหาราชวัง กษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยาที่ทรงมีศรัทธาในพระพุทธศาสนามากที่สุด ได้แก่ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถพระองค์ทรงบำรุงพระพุทธศาสนาและยังทรงผนวชในขณะครองราชย์ด้วย พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองสูงสุดในสมัยแผ่นดินพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ พระองค์ทรงสร้างและซ่อมแซมปฏิสังขรณ์วัดต่างๆ มากมาย เช่น วัดป่าโมก วัดพระศรีสรรเพชญ์ เป็นต้น กิจการในพระพุทธศาสนาได้เผยแพร่ไปไกลถึงประเทศลังกา ทางลังกาได้มาขอพระสงฆ์ไทยไปบวชให้ พระสงฆ์ลังกาที่ พระสงฆ์ไทยบวชให้นั้นได้นามว่า “ สยามวงศ์ ”

2. ในการไปศึกษานอกสถานที่ ที่พระนครกรุงศรีอยุธยาแล้วได้อะไรมาบ้าง ซึ่งการเดินทางศึกษาและชมประวัติศาสตร์ในครั้งนี้ผมคิดว่ามีประโยชน์และได้รับความรู้กลับมาหลายเรื่องอย่างเช่น ประวัติของสมัยกรุงศรีอยุธยาเมื่อครั้งที่เป็นราชธานี ซึ่งประวัติความเป็นมามีอยู่ว่า จังหวัดพระนครศรีอยุธยา หรือ อยุธยา ตั้งอยู่ภาคกลางเป็นเมืองหลวงเก่าของไทย สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ 1893 โดยสมเด็จพระเจ้าอู่ทอง หรือ สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 ในเวลา 417 ปี ที่กรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี มีกษัตริย์ปกครอง 33 พระองค์จาก 5 ราชวงศ์ คือ ราชวงศ์อู่ทอง , ราชวงศ์สุวรรณภูมิ; ราชวงศ์สุโขทัย; ราชวงศ์ปราสาททอง; และราชวงศ์บ้านพลูหลวง นับเป็นราชธานีของไทย ที่มีอายุยืนยาวที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย เมื่อเทียบกับกรุงรัตนโกสินทร์ที่มีอายุ 225 ปี พระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา ทั้งสิ้น 33 พระองค์ จาก 5 ราชวงศ์มีรายนามตามลำดับดังนี้ 1. ราชวงศ์อู่ทอง สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 ( อู่ทอง ) พ.ศ.1893-1912 2. ราชวงศ์อู่ทอง สมเด็จพระราเมศวร ( ครั้งที่ 1 ) พ.ศ.1912-1913 3. ราชวงศ์สุพรรณภูมิ สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 ( พะงั่ว ) พ.ศ.1913-1931 4. ราชวงศ์สุพรรณภูมิ พระเจ้าทองลัน ( ถูกปลงพระชนม์ ) พ.ศ.1931-1931 ราชวงศ์อู่ทอง สมเด็จพระราเมศวร ( ครั้งที่ 2 ) พ.ศ.1931-1938 5. ราชวงศ์อู่ทอง สมเด็จพระรามราชา ( ถูกถอดจากราชสมบัติ ) พ.ศ.1938-1952 6. ราชวงศ์สุพรรณภูมิ สมเด็จพระอินทราธิราช ( เจ้านครอินทร์ ) พ.ศ.1952-1967 7. ราชวงศ์สุพรรณภูมิ สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 ( เจ้าสามพระยา ) พ.ศ.1967-1991 8. ราชวงศ์สุพรรณภูมิ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ พ.ศ.1991-2031 9. ราชวงศ์สุพรรณภูมิ สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 3 พ.ศ.2031-2034 10.ราชวงศ์สุพรรณภูมิ สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 ( พระเชษฐา ) พ.ศ.2034-2072 11.ราชวงศ์สุพรรณภูมิ สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 4 ( หน่อพุทธางกูร ) พ.ศ.2072-2076 12.ราชวงศ์สุพรรณภูมิ พระรัชฎาธิราช ( ถูกปลงพระชนม์ ) พ.ศ.2076-2077 13.ราชวงศ์สุพรรณภูมิ สมเด็จพระชัยราชาธิราช พ.ศ.2077-2089 14.ราชวงศ์สุพรรณภูมิ พระยอดฟ้าหรือพระแก้วฟ้า ( ถูกปลงพระชนม์ ) พ.ศ.2089-2091 15.ราชวงศ์สุพรรณภูมิ สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ พ.ศ.2091-2111 16.ราชวงศ์สุพรรณภูมิ สมเด็จพระมหินทราธิราช พ.ศ.2111-2112 17.ราชวงศ์สุโขทัย สมเด็จพระมหาธรรมราชา พ.ศ.2112-2133 18.ราชวงศ์สุโขทัย สมเด็จพระนเรศวร พ.ศ.2133-2148 19.ราชวงศ์สุโขทัย สมเด็จพระเอกาทศรถ พ.ศ.2148-2153 20.ราชวงศ์สุโขทัย พระศรีเสาวภาคย์ ( ถูกปลงพระชนม์ ) พ.ศ.2153-2153 21.ราชวงศ์สุโขทัย สมเด็จพระเจ้าทรงธรรม พ.ศ.2153-2171 22.ราชวงศ์สุโขทัย สมเด็จพระเชษฐาธิราช ( ถูกปลงพระชนม์ ) พ.ศ.2171-2172 23.ราชวงศ์สุโขทัย พระอาทิตยวงศ์ ( ถูกถอดจากราชสมบัติและ ถูกปลงพระชนม์ภายหลัง ) พ.ศ.2172-2172 24.ราชวงศ์ปราสาททอง สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง พ.ศ.2172-2199 25.ราชวงศ์ปราสาททอง สมเด็จเจ้าฟ้าไชย ( ถูกปลงพระชนม์ ) พ.ศ.2199-2199 26.ราชวงศ์ปราสาททอง สมเด็จพระศรีสุธรรมราชา (ถูกปลงพระชนม์ ) พ.ศ.2199-2199 27.ราชวงศ์บ้านพลูหลวง สมเด็จพระนารายณ์มหาราช พ.ศ.2199-2231 28.ราชวงศ์บ้านพลูหลวง สมเด็จพระเพทราชา พ.ศ.2231-2246 29.ราชวงศ์บ้านพลูหลวง สมเด็จพระสรรเพ็ชญ์ที่ 8 ( พระเจ้าเสือ ) พ.ศ.2246-2251 30.ราชวงศ์บ้านพลูหลวง สมเด็จพระเจ้าท้ายสระ พ.ศ.2251-2275 31.ราชวงศ์บ้านพลูหลวง สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ พ.ศ.2275-2301 32.ราชวงศ์บ้านพลูหลวง สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร ( สละราชสมบัติออกผนวช ) พ.ศ.2301-2301 33.ราชวงศ์บ้านพลูหลวง สมเด็จพระเจ้าเอกทัศ พ.ศ.2301-2310 ไม่นับขุนวรวงศาธิราช ซึ่งครองราชย์อยู่เพียง 42 วัน ก็ถูกขุนนาง ข้าราชการร่วมกันกำจัดและอัญเชิญพระเฑียรราชาอนุชาของสมเด็จพระไชยราชา ลาผนวชมาเสวยราชสมบัติ

3. ความสัมพันธ์ของไทยกับอินเดีย เช่นการค้า การคมนาคม การเมือง มีความสัมพันธ์อย่างไร การทูต ไทยสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตอินเดียเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2490 ขณะนี้ไทยมีสถานเอกอัครราชทูตตั้งอยู่ที่กรุงนิวเดลี และมีสถาน

กราบเรียนท่านอาจารย์ จีระ หงส์ลดารมภ์ตามที่ท่านอาจารย์ได้ให้การบ้านเมื่อวันที่ 26 ก.ย 2550 ดิฉัน นิภาพัฒ มิ่งมงคลขอตอบการบ้านอาจารย์ดังนี้ 1. ในประวัติศาสตร์ของอยุธยากับอินเดียมีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร ตอบ พระพุทธศาสนาระหว่างอยุธยากับอินเดียมีความสำคัญกันมากเพราะเป็นศาสนาที่เกิดในอินเดีย ในสมัยนั้นพระพุทธเจ้าเป็นให้กำเนิดศาสนา ต่อมาพระองค์ได้ตรัสรู้แล้ว พระองค์ก็เสด็จแนะนำสั่งสอนประชาชนในอินเดียเพื่อหาทางที่จะนำประชาชนไปสู่ความพ้นทุกข์ ปรากฏว่าประชาชนชาวอินเดียในสมัยนั้นได้หันมานับถือพระพุทธศาสนาและเข้ามาบรรพชาอุปสมบทเป็นจำนวนมาก หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้วสาวกของพระองค์ก็ยังช่วยกันเผยแผ่พระพุทธศาสนาสืบต่อมา และพระสงฆ์ออกประกาศ พระพุทธศาสนาทั้งภายในและภายนอกอินเดียเข้าสู่ประเทศพม่าและไทยในปัจจุบันนี้พระพุทธศาสนาใด้เจริญรุ่งเรืองเป็นศาสนาประจำชาติไทยเรื่อย มา 2.ไปทัวร์นอกสถานที่แล้วได้อะไรบ้าง ตอบ ได้รับทราบความเป็นมาในประวัติศาสตร์ของประเทศว่ากว่าจะถึงปัจจุบันนี้บรรพบุรุษของเราต้องยอมเสียสละความสุขส่วนตัวและเลือดเนื้อเพื่อปกป้องรักษาประเทศเราไว้ และทำให้ข้าพเจ้าคิดว่าข้าพเจ้าน่าจะมีส่วนร่วมในการทำให้ประเทศเจริญก้าวหน้าด้วยการพัฒนาตนเองตามที่อาจารย์สอนให้ตนเองมีคุณภาพเพื่อประเทศของเรา 3. สำรวจความสำพันธ์ของไทยกับอินเดีย อาทิเช่น การค้าขาย การคมนาคม การเมือง ตอบ ความสำพันธ์ไทยกับอินเดียด้านการค้า อินเดียยังมีปริมาณไม่มากเมื่อเทียบกับศักยภาพ ไทยนำเข้าวัตถุดิบและสินค้ากึ่งสำเร็จรูปจากอินเดียและส่งออกสินค้าที่ใช้ในอุตสาหกรรม ไทยกับอินเดียมีเป้าหมายที่จะเพิ่มพูลการทั้งสองฝ่าย ได้ร่วมลงนามในกรอบความตกลงว่าด้วยการจัดตั้งเขตการค้าเสรีไทย อินเดีย ในระหว่างการเยือยไทยอย่างเป็นทางการของ นายกรัฐมนตรีอินเดีย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เป็นกลไกสำคัญที่จะขจัดอุปสรรคทางการค้าและช่วยขยายการค้าระหว่างกัน เขตการค้าเสรียังจะดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ จากการส่งสินค้าของไทยกับอินเดียจึงมีความสัมพันธ์ไมตรีกันมาก และการเมือง การคมนาคมจึงว่าไทยกับ อินเดียจึงเป็นพันธมิตรกันตลอดจนปัจจุบันนี้ 4. เป้าหมายของตัวเราว่าอีก 5 ปีข้างหน้าเรามีเป้าหมายของชีวิตอย่างไร ตอบ เป้าหมายของตัวดิฉันเอง ถ้ายังทำงานอยู่ในอินโดรามาอยู่ ก็คือพัฒนาตนเองเป็นหัวหน้าที่ดีของบริษัทเหมือนที่อาจารย์ได้สอนไว้และพัฒนาบริษัทให้เติบโต ให้พนักงานเก่งใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยด้านคอมพิวเตอร์ รู้ทันเหตุการณ์บ้านเมือง ความหวังที่ดิฉันได้คราดหวังไว้อีก 5ปีข้างหน้า ตามที่ดิฉันได้กล่าวมาข้างต้น อย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง ดิฉันคงได้รับตำแหน่งหน้าที่การงานที่สูงขึ้นและได้รับความไว้วางใจจากผู้บริหารระดับสูง 5.ยุทธวิธีในการไปให้ถึงเป้าหมายของตัวเรา ตอบ ต้องขยัน มีมานะ อดทนใฝ่รู้ ต้องต่อสู่ อุปสรรค ต่างๆและแก้ไข ปรับปรุงอยู่ตลอดนี่คือความสำเร็จของตัวเรา 6. เรามีความสามารถที่จะไปสู่เป้าหมายและความสำเร็จได้หรือไม่ ตอบ ได้ ความสามารถที่จะไปสู่เปัาหมายและความสำเร็จขึ้นอยู่กับตัวเราถ้าตั้งใจความสำเร็จก็บรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งใจไว้ 7. เรามีความมั่นใจในตัวเองมากน้อยเพียงใด ตอบ ความมั่นใจของตัวดิฉันมีมาก แต่ความมั่นใจนั้นจะไปในทางบวกหรือลบขึ้นอยู่กับ งานที่ออกมามีคุณภาพดี ตอบสนองให้กับหัวหน้าเราและความพึงพอใจของฝ่ายบริหารและผลงานดีคือความภาคภูมิใจของตัวดิฉันเอง
นายศรายุทธ ยิ้มอยู่
    ขอแก้ไขข้อความนะครับ ข้อความด้านบนมีปัญหาในการจัดหน้ากระดาษ ขออภัยที่ส่งหลายครั้งครับ
     สวัสดีครับอาจารย์ผมนายศรายุทธ ยิ้มอยู่ จากการได้ออกไปศึกษานอกสถานที่ ณ. จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2550 ได้ไปชม และศึกษาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของสมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งการเดินทางครั้งนี้ทำให้ผมได้รับความรู้เกี่ยวกับหลายๆเรื่องของสมัยกรุงศรีอยุธยา และอาจารย์ได้ให้คำถามไว้ 7 ข้อซึ่งผมจะขอให้คำตอบดังนี้ครับ
     1. พระพุทธศาสนาในประวัติศาสตร์ของอยุธยากับอินเดีย มีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร พระพุทธศาสนา เป็นศาสนาที่เกิดในอินเดียก่อนพุทธศักราช 45 ปี ( พุทธศักราชเริ่ม ตั้งแต่ปีที่พระพุทธเจ้าเสด็จสู่ปรินิพาน )นับว่าเป็นศาสนาที่สำคัญที่สุดในโลกศาสนาหนึ่งมีผู้นับถือหลายร้อยล้านคน ผู้ให้กำเนิดพระศาสนาคือ พระพุทธเจ้าซึ่งเป็นโอรสของ พระเจ้าสุทโธทนะ และพระนางสิริมหามายา แห่งกรุงกบิลพัสดุ์ แคว้นสักกะ ซึ่งเวลานี้อยู่ในเขตประเทศเนปาล ในสมัยที่พระองค์ยังไม่ได้บวช มีนามว่าสิทธัตถะ เมื่อพระสิทธัตถะมีพระชนม์ได้ 16 พรรษา ก็ทรงอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงยโสธราและมีโอรสองค์หนึ่งคือ เจ้าชายราหุล เมื่อมีพระชนม์ได้ 29 พรรษาพระองค์ก็ทรงผนวช อยู่จนกระทั้งมีพระชนม์ได้ 35 พรรษาจึงได้ตรัสรู้คือรู้แจ้งในความจริงแห่งโลก เป็นพระสัมมา สัมพุทธเจ้า เมื่อตรัสรู้แล้วพระองค์ก็เสด็จเที่ยวแนะนำสั่งสอนประชาชนในแคว้นต่างๆในอินเดีย เพื่อหาทางที่จะนำประชาชนไปสู่ความพ้นทุกข์อยู่เป็นเวลาถึง 45 ปี ปรากฏว่าประชาชนชาวอินเดียในสมัยนั้นได้หันมานับถือพระพุทธศาสนาและเข้ามาบรรพชา อุปสมบทเป็นจำนวนมาก พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนอยู่จนกระทั้งมีพระชนม์มายุได้ 80 พรรษาจึงปรินิพพาน หลังจากที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว สาวกของพระองค์ก็ช่วยกันเผยแผ่พระพุทธศาสนา สืบต่อมา จนกระทั้งประมาณ พ.ศ 269-306 สมัยพระเจ้าอโศกมหาราชกษัตริย์แห่งอินเดียแห่งเมืองปาฎาลีบุต ทรงเลื่อมไสพระพุทธศาสนามากจึงได้ส่งพระธรรมทูตไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา ทั้งภายในและภายนอกประเทศอินเดีย ปรากฏว่าพระเจ้าอโศกมหาราชได้ส่งพระโสณเถระกับพระอุตเถระมายังดินแดนที่เป็นประเทศไทยภาคกลางในปัจจุบัน ซึ่งสมัยนั้นยังเป็นดินแดนอาณาจักรทวาราดีชาวอินเดียเรียกว่า สุวรรณภูมิ โดยใช้เส้นทาง ทางเรือสู่ดินแดนที่เรียกว่าสุวรรณภูมิ เชื่อกันว่าได้แก่ ดินแดนแถบนครปฐม ราชบุรี และสุพรรณบุรี ดังปรากฏหลักฐานทางโบราณคดีในสมัยอาณาจักรทวารวดีว่า ดินแดนแถบนี้พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองมาก ศิลปะต่างๆทางพระพุทธศาสนาก็แสดงให้เห็นอิทธิพลอินเดียอย่างเห็นได้ชัด พระพุทธศาสนาได้เผยแผ่จากดินแดนส่วนนี้ไปตลอดแหลมมลายู สุมาตรา ชวา พม่า ลาว และเขมร และในสมัยกรุงศรีอยุธยานั้นได้มีศาสนาอื่นๆ ที่นอกเหนือไปจากศาสนาพุทธเข้ามามีบทบาทในสังคมชาวกรุงศรีอยุธยาด้วยหลายศาสนาเช่น ศาสนาพราหมณ์ ศาสนาคริสต์ และศาสนาอิสลาม คนไทยกับพระพุทธศาสนาได้ผูกพันกันมานานตั้งแต่ครั้งสุโขทัยและสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน ในสมัยกรุงศรีอยุธยาก็เช่นกัน พระพุทธสาสนาได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของสังคม และเป็นที่ยอมรับนับถือกัน ตั้งแต่พระมหากษัตริย์จนถึงสามัญชน พระพุทธศาสนาได้เจริญรุ่งเรืองอยู่ในบริเวณเมืองอยุธยามานานแล้ว ก่อนที่จะสถาปนาให้เป็นราชธานีเสียอีก ครั้นเมื่อ สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 ทรงสถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีพระองค์ก็ทรงอุทิศตำหนักเวียงเหล็กเป็นวัดพุทไธสวรรย์และได้สร้างวัดป่าแก้วขึ้นอีก 1 วัด กษัตริย์องค์ต่อๆมาก็ได้สร้างและซ่อมแซมวัดเป็นจำนวนมาก กล่าวกันว่าเฉพาะในเกาะตัวเมืองอยุธยามีวัดถึง 168 วัด และมีวัดพระอารามหลวงอยู่ถึง 47 วัด ที่สำคัญ คือ วัดพระศรีสรรเพชญ์ ซึ่งเป็นวัดในพระบรมมหาราชวัง กษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยาที่ทรงมีศรัทธาในพระพุทธศาสนามากที่สุด ได้แก่ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถพระองค์ทรงบำรุงพระพุทธศาสนาและยังทรงผนวชในขณะครองราชย์ด้วย พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองสูงสุดในสมัยแผ่นดินพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ พระองค์ทรงสร้างและซ่อมแซมปฏิสังขรณ์วัดต่างๆ มากมาย เช่น วัดป่าโมก วัดพระศรีสรรเพชญ์ เป็นต้น กิจการในพระพุทธศาสนาได้เผยแพร่ไปไกลถึงประเทศลังกา ทางลังกาได้มาขอพระสงฆ์ไทยไปบวชให้ พระสงฆ์ลังกาที่ พระสงฆ์ไทยบวชให้นั้นได้นามว่า “ สยามวงศ์ ”
     2. ในการไปศึกษานอกสถานที่ ที่พระนครกรุงศรีอยุธยาแล้วได้อะไรมาบ้าง ซึ่งการเดินทางศึกษาและชมประวัติศาสตร์ในครั้งนี้ผมคิดว่ามีประโยชน์และได้รับความรู้กลับมาหลายเรื่องอย่างเช่น ประวัติของสมัยกรุงศรีอยุธยาเมื่อครั้งที่เป็นราชธานี ซึ่งประวัติความเป็นมามีอยู่ว่า จังหวัดพระนครศรีอยุธยา หรือ อยุธยา ตั้งอยู่ภาคกลางเป็นเมืองหลวงเก่าของไทย สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ 1893 โดยสมเด็จพระเจ้าอู่ทอง หรือ สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 ในเวลา 417 ปี ที่กรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี มีกษัตริย์ปกครอง 33 พระองค์จาก 5 ราชวงศ์ คือ ราชวงศ์อู่ทอง , ราชวงศ์สุวรรณภูมิ; ราชวงศ์สุโขทัย; ราชวงศ์ปราสาททอง; และราชวงศ์บ้านพลูหลวง นับเป็นราชธานีของไทย ที่มีอายุยืนยาวที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย เมื่อเทียบกับกรุงรัตนโกสินทร์ที่มีอายุ 225 ปี พระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา ทั้งสิ้น 33 พระองค์ จาก 5 ราชวงศ์มีรายนามตามลำดับดังนี้
          1. ราชวงศ์อู่ทอง สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 ( อู่ทอง ) พ.ศ.1893-1912
          2. ราชวงศ์อู่ทอง สมเด็จพระราเมศวร ( ครั้งที่ 1 ) พ.ศ.1912-1913
          3. ราชวงศ์สุพรรณภูมิ สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 ( พะงั่ว ) พ.ศ.1913-1931
         4. ราชวงศ์สุพรรณภูมิ พระเจ้าทองลัน ( ถูกปลงพระชนม์ ) พ.ศ.1931-1931 ราชวงศ์อู่ทอง สมเด็จพระราเมศวร ( ครั้งที่ 2 ) พ.ศ.1931-1938
         5. ราชวงศ์อู่ทอง สมเด็จพระรามราชา ( ถูกถอดจากราชสมบัติ ) พ.ศ.1938-1952
         6. ราชวงศ์สุพรรณภูมิ สมเด็จพระอินทราธิราช ( เจ้านครอินทร์ ) พ.ศ.1952-1967
         7. ราชวงศ์สุพรรณภูมิ สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 ( เจ้าสามพระยา ) พ.ศ.1967-1991
         8. ราชวงศ์สุพรรณภูมิ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ พ.ศ.1991-2031
         9. ราชวงศ์สุพรรณภูมิ สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 3 พ.ศ.2031-2034
       10.ราชวงศ์สุพรรณภูมิ สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 ( พระเชษฐา ) พ.ศ.2034-2072
       11.ราชวงศ์สุพรรณภูมิ สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 4 ( หน่อพุทธางกูร ) พ.ศ.2072-2076
       12.ราชวงศ์สุพรรณภูมิ พระรัชฎาธิราช ( ถูกปลงพระชนม์ ) พ.ศ.2076-2077
       13.ราชวงศ์สุพรรณภูมิ สมเด็จพระชัยราชาธิราช พ.ศ.2077-2089
       14.ราชวงศ์สุพรรณภูมิ พระยอดฟ้าหรือพระแก้วฟ้า ( ถูกปลงพระชนม์ ) พ.ศ.2089-2091
       15.ราชวงศ์สุพรรณภูมิ สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ พ.ศ.2091-2111
       16.ราชวงศ์สุพรรณภูมิ สมเด็จพระมหินทราธิราช พ.ศ.2111-2112
        17.ราชวงศ์สุโขทัย สมเด็จพระมหาธรรมราชา พ.ศ.2112-2133
       18.ราชวงศ์สุโขทัย สมเด็จพระนเรศวร พ.ศ.2133-2148
        19.ราชวงศ์สุโขทัย สมเด็จพระเอกาทศรถ พ.ศ.2148-2153
        20.ราชวงศ์สุโขทัย พระศรีเสาวภาคย์ ( ถูกปลงพระชนม์ ) พ.ศ.2153-2153
         21.ราชวงศ์สุโขทัย สมเด็จพระเจ้าทรงธรรม พ.ศ.2153-2171
         22.ราชวงศ์สุโขทัย สมเด็จพระเชษฐาธิราช ( ถูกปลงพระชนม์ ) พ.ศ.2171-2172
         23.ราชวงศ์สุโขทัย พระอาทิตยวงศ์ ( ถูกถอดจากราชสมบัติและ ถูกปลงพระชนม์ภายหลัง ) พ.ศ.2172-2172
        24.ราชวงศ์ปราสาททอง สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง พ.ศ.2172-2199
        25.ราชวงศ์ปราสาททอง สมเด็จเจ้าฟ้าไชย ( ถูกปลงพระชนม์ ) พ.ศ.2199-2199
         26.ราชวงศ์ปราสาททอง สมเด็จพระศรีสุธรรมราชา (ถูกปลงพระชนม์ ) พ.ศ.2199-2199
        27.ราชวงศ์บ้านพลูหลวง สมเด็จพระนารายณ์มหาราช พ.ศ.2199-2231
        28.ราชวงศ์บ้านพลูหลวง สมเด็จพระเพทราชา พ.ศ.2231-2246
        29.ราชวงศ์บ้านพลูหลวง สมเด็จพระสรรเพ็ชญ์ที่ 8 ( พระเจ้าเสือ ) พ.ศ.2246-2251
        30.ราชวงศ์บ้านพลูหลวง สมเด็จพระเจ้าท้ายสระ พ.ศ.2251-2275
         31.ราชวงศ์บ้านพลูหลวง สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ พ.ศ.2275-2301
         32.ราชวงศ์บ้านพลูหลวง สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร ( สละราชสมบัติออกผนวช ) พ.ศ.2301-2301
         33.ราชวงศ์บ้านพลูหลวง สมเด็จพระเจ้าเอกทัศ พ.ศ.2301-2310
     ไม่นับขุนวรวงศาธิราช ซึ่งครองราชย์อยู่เพียง 42 วัน ก็ถูกขุนนาง ข้าราชการร่วมกันกำจัดและอัญเชิญพระเฑียรราชาอนุชาของสมเด็จพระไชยราชา ลาผนวชมาเสวยราชสมบัติ
     3. ความสัมพันธ์ของไทยกับอินเดีย เช่นการค้า การคมนาคม การเมือง มีความสัมพันธ์อย่างไร
         การทูต ไทยสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตอินเดียเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2490 ขณะนี้ไทยมีสถานเอกอัครราชทูตตั้งอยู่ที่กรุงนิวเดลี และมีสถานกงสุลใหญ่อีก 2 แห่ง ที่เมืองกัลกัตตาเมืองมุมไบ ส่วนอินเดียมีสถานเอกอัครราชทูตที่กรุงเทพฯและมีสถานกงสุลใหญ่ ที่เชียงใหม่ และที่สงขลา
        ด้านการเมือง ในช่วงสงครามเย็นและสงครามกัมพูชา ความสัมพันธ์ไทย-อินเดีย ค่อนข้างห่างเหิน เนื่องจากไทยเห็นว่าอินเดีย ( ภายใต้การนำของอินทิรา คานชิ ) มีความใกล้ชิดกับสหภาพโซเวียด ในขณะที่ไทยเป็นสมาชิก SEATO ซึ่งอินเดียเห็นว่าไทยมีความใกล้ชิดกับสหรัฐ และเป็นพันธมิตรกับปากิสถาน จึงมีความไม่ใว้วางใจต่อกันและกัน อย่างไรก็ดี ความสัมพันธ์ไทย-อินเดีย ใกล้ชิดขึ้นในปลายปีทศวรรษที่ 1980 เมื่ออินเดียเริ่มดำเนินนโยบายเปิดเสรีทางเศษฐกิจในปี 2534 ความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศจึงพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น โดยมีการแลกเปลี่ยนการเยือนผู้นำในระดับสูงหลายครั้ง ในช่วงปี 2544-2546 และในขณะนี้จะเห็นว่าความสัมพันธ์ไทย-อินเดีย จะมีความแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
      การค้า การค้าไทย-อินเดีย การจัดตั้งเขตการค้าเสรีไทย-อินเดีย และได้ร่วมลงนามในกรอบความตกลงว่าด้วยการจัดตั้งเขตการค้าเสรีไทย-อินเดีย เมื่อ 9 ตุลาคม 2546 ในระหว่างการเยือนไทยอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรีอินเดีย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เป็นกลไกสำคัญที่จะขจัดอุปสรรคการค้าช่วยขยายการค้าระหว่างกัน นอกจากนี้เขตการค้าเสรียังจะดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติด้วย
     การคมนาคม ในปี 2544 นายกรัฐมนตรีไทย-อินเดียเห็นพ้องให้มีความร่วมมือไตรภาคีในการเชื่อมโยงถนนระหว่างไทย-พม่า-อินเดีย เพื่อส่งเสริมการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว และการไปมาหาสู่ระหว่างประชาชน
     4. เป้าหมายของตัวเราอีก 5 ปีข้างหน้า เรามีเป้าหมายชีวิตอย่างไร เป้าหมายชีวิตของผม ผมตั้งเป้าหมายไว้ว่าช่วงปัจจุบันนี้ผมจะตั้งใจศึกษาหาความรู้ จากการที่บริษัทจัดอบรม จัดสอนตามหลักสูตรต่างๆ อาทิเช่น การพัฒนาผู้นำ ฝึกทักษะด้านภาษา ด้านคอมพิวเตอร์ กิจกรรม QCC และอีกหลายๆหลักสูตรที่ทางบริษัทเปิดโอกาสให้ได้รับการอบรม เพื่อให้ได้มาซึ่งความรู้มากที่สุด และเป้าหมายอีก 5 ปี ผมตั้งเป้าไว้ว่าจะเห็นผู้นำคนไทยในระดับกลางที่มีการพัฒนาได้เข้ามายืนอยู่ในจุดการงานที่สูงขึ้น หากบริษัทและผู้บริหารเปิดโอกาสให้ และตัวผมเองคาดหวังว่าทำงานในหน้าที่การงานที่สูงขึ้นได้มีโอกาสช่วยบริษัทให้มีความเจริญก้าวหน้า เพื่อให้ INDORAMA เป็นบริษัทที่มีชื่อเสียง ทั้งด้านคุณภาพผลผลิต การบริหาร รวมถึงคุณภาพของทรัพยากรในองค์กร เพื่อให้ครอบครัว INDORAMA ได้อยู่ร่วมกับสังคมทั่งภายในและภายนอกเพื่อให้ เป็นที่ยอมรับในสังคมรอบๆ INDORAMA ต่อไป
     5. .วิธีในการไปให้ถึงเป้าหมายของตัวเราควรทำอย่างไร ตั้งใจและสนใจในความรู้ต่างๆ ที่ได้รับจากการอบรม สนใจในด้านข่าวสารมากขึ้นเพื่อให้เป็นคนที่ทันต่อโลกในยุคโลกาภิวัตน์ มีความมั่นใจ และมีความเชื่อมั่นในตัวเอง ยอมรับฟังข้อเสนอแนะต่างๆจากบุคคลอื่น เพื่อนำมาปรับปรุงคุณภาพตัวเอง ตอบแทนบริษัทที่เปิดโอกาสให้เราได้มีการพัฒนา เพราะบริษัทก็เหมือนกับการปลูกต้นไม้ ก็ต้องหวังที่จะได้เก็บเกี่ยวผลผลิต
     6. เรามีความสามารถที่จะไปสู่เป้าหมายและความสำเร็จได้หรือไม่ ความสามารถที่ผมจะไปสู่เป้าหมายนั้น ผมพร้อมที่จะเรียนรู้เพื่อเก็บเกี่ยวความรู้และประสบการณ์ต่างๆนำมาใช้ประโยชน์ เพื่อให้เกิดความมั่นใจ และเมื่อเราเกิดความมั่นใจแล้วทำอะไรก็จะเป็นผลให้เกิดความสำเร็จได้อย่างแน่นอน
     7. เรามีความมั่นใจในตัวเองมากน้อยเพียงใด สำหรับผม ผมคิดว่าการได้รับการอบรม การเรียนรู้ การสนใจในเรื่องต่างๆ จึงเป็นผลทำให้ผมเกิดความมั่นใจมาก ที่จะไปให้ถึงเป้าหมายในชีวิตทั้งในระยะสั่น และระยะยาว ต่อไปครับ สวัสดีครับ
วิชาญ สุริยะหิรัญ
เรียน อาจารย์ จีระ หงส์ลดารมภ์ ที่นับถือ กระผม นายวิชาญ สุริยะหิรัญ ขอส่งคำตอบ ของอาจารย์ดังต่อไปนี้ 1. ในประวัติศาสตร์ของอยุธยากับอินเดีย มีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่เกิดในอินเดียก่อนพุทธศักราช 45 ปี (พุทธศักราชเริ่มตั้งแต่ปีที่พระพุทธเจ้าเสด็จเข้าสู่ปรินิพพาน) นับว่าเป็นศาสนาที่สำคัญที่สุดในโลกศาสนาหนึ่งมีผู้นับถือหลายร้อยล้านคนโดยเฉพาะประเทศต่าง ๆ ทางเอเชียใต้ เอเชียตะวันออก และเอเชียอาคเนย์ ในสมัยอยุธยา ในปี พ.ศ. 2275 - 2310 สมเด็จพระบรมโกศทรงเสวยราชการบวชเรียนเป็นประเพณีที่สืบต่อกันมาในยุคนั้น และได้มีการส่งพระภิกษุไทยไปฟื้นฟูศาสนาในประเทศศรีลังกาตามคำทูลขอของกษัตริย์ศรีลังกาเมื่อปี พ.ศ. 2296 จนทำให้พุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองในศรีลังกาจนถึงปัจจุบัน 2. ไปทัวร์นอกสถานที่แล้วได้อะไรบ้าง การไปเรียนนอกสถานที่ครั้งนี้ได้รับความรู้ที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของพระนครศรีอยุธยา และได้เข้าใจเกี่ยวกับกษัตริย์แต่ละพระองค์ ว่ามีความเป็นมาอย่างไร และได้ความรู้เกี่ยวกับ วัตถุโบราณ และโบราณสถานต่าง ๆ ว่ามีความเป็นมาอย่างไร และถูกทำลายลงเมื่อใด 3. สำรวจความสัมพันธ์ของไทยกับอินเดียอาทิเช่น การค้าขาย การคมนาคม การเมือง การค้าไทย - อินเดียยังมีปริมาณไม่มากเมื่อเทียบกับศักยภาพ ปริมาณการค้ารวมในระยะ 5 ปี ที่ผ่านมา การคมนาคม ในปี 2544 นายกรัฐมนตรีไทยและอินเดียเห็นพ้องให้มีความร่วมมือไตรภาคี ในการเชื่อมโยงถนนระหว่าง ไทย - อินเดีย เพื่อส่งเสริมการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว และการไปมาระหว่างกัน การเมือง แม้ว่าอินเดียจะจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ภายใต้การนำของพรรคคองเกรสแต่ก็ได้แสดงเจตจำนงที่ชัดเจนว่าต้องการกระชับความสัมพันธ์กับไทยให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นและยืนยันที่จะปฏิบัติตามพันธกรณีที่รัฐบาลชุดที่แล้วของอินเดียมีต่อประเทศไทย 4. เป้าหมายของตัวเราอีก 5 ปี ข้างหน้าเรามีเป้าหมายไว้อย่างไร สำหรับเป้าหมายอีก 5 ปี ข้างหน้านั้น กระผมคิดไว้ว่า จะพยายามทำให้ชีวิตมีคุณค่าให้มากที่สุด โดยการหมั่นศึกษา และหาประสพการให้กับตัวเอง และสามารถนำพาครอบครัว และองค์กรให้เจริญก้าวหน้าสู่ความสำเร็จในธุรกิจการงานนั้น ๆ ได้ 5. ยุทธวิธีในการไปให้ถึงเป้าหมายของตัวเรา ยุทธวิธีของกระผม คือ ต้องนำพาตัวเราให้เข้าสู่สังคมโลกาภิวัฒน์ให้ได้เสียก่อนและต้องสามารถรับความคิดเห็นของผู้อื่นได้และที่สำคัญ คือต้องเป็นคนที่มีระเบียบ วินัย ซื่อสัตย์ ที่จะสามารถอุทิศตัวต่อองค์กรได้ 6. เรามีความสามารถที่จะไปสู่เป้าหมายและความสำเร็จได้หรือไม่ ได้แน่นอน ถ้าตัวเราเป็นคนดี - มีวินัย ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคหรือปัญหาต่าง ๆ ที่จะเดินหน้าเข้าหาตัวเราในวันข้างหน้า 7. เรามีความมั่นใจในตัวเราเองมากน้อยเพียงใด ความมั่นใจนั้นขึ้นอยู่ที่ตัวของตัวเราเองว่าจะสามารถกำหนดหรือบังคับใจของเราว่าให้ได้หรือไม่ได้ มากน้อยเพียงใด สำหรับกระผมความมั่นใจนั้นถ้าทำได้ก็อยากจะไปให้ถึงจุดที่เรียกว่าดีก็พอแล้วครับ
สวัสดีครับ ผมสมจิตร เรืองบุญ ขอส่งการบ้าน ที่อบรมนอกสถานที่ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ข้อ 1. ในประวัติศาสตร์ของอยุธยากับอินเดียมีความเกี่ยวข้องอย่างไร - หลังจากที่พระพุทธเจ้าได้ปรินิพานแล้วสาวกของพระองค์ยังได้ช่วยกันเผยแผ่พระพุทธศาสนาสืบต่อมาจนกระทั่งถึง พ.ศ 300 พระเจ้าอโศกมหาราชแห่งเมืองปาฏาลีบุตรร่วมกับคณะสงฆ์ออกประกาศพระพุทธศาสนาทั้งภายในและภายนอกประเทศอินเดียเข้ามายังสุวรรณภูมิ ประเทศพม่าและไทยในปัจจุบันนี้จนถึงสมัยสุโขทัยเป็นราชธานี พ่อขุนรามคำแหงมหาราชจึงทรงรับเอาพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไทยตั้งแต่นั้นมาจนถึง ปัจจุบัน ข้อ 2. ไปทัวร์นอกสถานที่แล้วได้อะไรบ้าง 2.1 รู้จักการวางแผน ขั้นตอน การเตรียมความพร้อม และหาความรู้เกี่ยวกับสถานที่ที่เราจะไปเพื่อให้เราได้เข้าใจได้รวดเร็วเมื่อได้เห็นของจริง 2.2 ได้เห็นถึงความรับผิดชอบของแต่ละคนว่ามีความพร้อมและมีการใฝ่รู้มากแค่ไหนมีความกระตือรือร้นทุกคนนำสมุดไปจดรายละเอียด 2.3 ได้รู้ในสิ่งที่เรายังไม่รู้เพราะมีรายละเอียดเพิ่มมากขึ้นจากที่เราเคยรู้มาก่อน จากที่ผ่านมาผมเคยไป ก็ได้แต่เดินดูไปเรื่อยๆ 2.4 รู้ถึงว่าถ้าตราบใดในหมู่คณะไม่มีความสามัคคีและไม่ให้ควาาร่วมมือซึ่งกันและกัน ตราบนั้นก็จะไม่มีความสำเร็จ เช่นตัวอย่างในสมัยกรุงศรีอยุธยา ได้มีการทะเลาะ และแย่งชิงอำนาจกันเองในหมู่ญาติพี่น้อง หรือเพื่อนฝูงจึงทำให้กรุงศรีอยุธยาเสียกรุงหลายครั้ง แต่ในทางกลับกันถ้าไม่แย่งชิงความเป็นใหญ่แต่ กลับช่วยกันพัฒนากรุงศรีอยุธยาให้เจริญรุ่งเรือง พระนครศรีอยุธยาคงจะเป็นจังหวัดที่สวยงามมาก ๆในปัจจุบัน 2.5 ทำให้รักประเทศไทยมากขึ้น เพราะทราบรายละเอียดถึงการที่บรรพบุรุษเราเสียสละ เลือดเนื้อเพื่อรักษาประเทศไว้จนถึงปัจจุบัน แล้วทำไมพวกเราถึงจะไม่ช่วยกันพัฒนาประเทศให้เจริญรุ่งเรืองเพื่อให้รุ่นลูกรุ่นหลานได้รับประโยชน์ในอนาคต ข้อ 3. สำรวจความสัมพันธ์ของไทยกับอินเดีย อาทิเช่นการค้าขาย การคมนาคม การเมือง 3.1 ความสัมพันธ์ทางการค้าขายระหว่างไทยกับประเทศอินเดีย ได้มีการจัดตั้งเขตการค้าเสรีไทย-อินเดีย คือไทยได้นำเข้าวัตถุดิบและสินค้ากึ่งสำเร็จรูปจากอินเดียและส่งออกสินค้าที่ใช้ในอุตสาหกรรม 3.2 ความสัมพันธ์ทางด้านการคมนาคม ในปีพ.ศ 2544 นายกรัฐมนตรีไทยกับอินเดียได้เห็นพ้องต้องกัน ในเรื่องการก่อสร้างถนนเพื่อเชื่อมโยงระหว่างไทย-พม่า-อินเดีย เพื่อส่งเสริมการค้าการลงทุน การท่องเที่ยว และการไปมาหาสู่ระหว่างประเทศ เพื่อให้มีความสะดวกและรวดเร็วขึ้น 3.3 การเมืองการปกครอง ประเทศไทยและประเทศอินเดียมีความสัมพันธ์ไมตรีทางการทูตซึ่งกันและกันมีสถานทูตไทยประจำประเทศอินเดีย และสถานทูตอินเดียประจำประเทศไทย ข้อ 4. เป้าหมายของตัวเราอีก 5 ปี ข้างหน้าเรามีเป้าหมายของชีวิตไว้อย่างไร 4.1 เป้าหมายสำหรับการทำงานที่บริษัทฯ คือผมจะพัฒนาตัวเองและพัฒนาให้ผู้ใต้บังคับบัญชาทำงานให้มีประสิทธิภาพต่อบริษัทฯ ให้มากที่สุด เท่าที่ความสามารถของผมจะกระทำได้ และยังทำงานอยู่ใน INDORAMA แห่งนี้ 4.2 เป้าหมายในด้านชีวิตครอบครัวและสังคม ผมจะนำพาครอบครัวไปในทางที่ดี ให้ครอบครัว พ่อ แม่ ภรรยา และลูกมีความสุข ทั้งสุขทางร่างกายและจิตใจ โดยการไม่ไปข้องเกี่ยวกับยาเสพติด ไม่ดื่มสุรา ไม่เล่นการพนัน จะนำคำสอนของอาจารย์ไปสอนสมาชิกในครอบครัวเกี่ยวกับการใฝ่หาความรู้เพื่อจะได้นำกับมาใช้ในการพัฒนาสังคม เพราะสังคมที่ดีต้องมาจากครอบครัวที่ดี และอบอุ่น ข้อ 5. ยุทธวิธีไปให้ถึงเป้าหมายของตัวเอง 5.1 ยุทธวิธีที่ให้ถึงเป้าหมายสำหรับในบริษัทฯคือ ต้องใฝ่รู้ พัฒนาตัวเอง มองการไกล แก้ไขสิ่งผิดพลาดของการทำงานได้รวดเร็วและถูกต้อง 5.2 ยุทธวิธีที่ให้ถึงเป้าหมายสำหรับครอบครัวคือไม่หลงระเริงกับลาภยศและเงินตราจนไม่คิดถึงครอบครัว ให้เวลาพ่อแม่ ภรรยา ลูก ให้มากที่สุดเท่าจะทำได้ ข้อ 6. เรามีความสามารถที่จะไปสู่เป้าหมายและความสำเร็จได้หรือไม่ 6.1 ผมคิดว่าผมสามารถไปสู่เป้าหมายความสำเร็จได้ ถ้าเรามีความทะเยอทะยาน มีความพยายาม พร้อมที่จะปรับปรุงบุคลิกและความสามารถของตัวเองให้คนอื่นยอมรับเราก่อน เมื่อเราทำได้ดี เราจะได้ทำเป็นตัวอย่างให้ลูกน้องปฏิบัติตาม และรับฟังความคิดเห็นของเพื่อนร่วมงาน ไม่เอาความคิดของตัวเองเป็นใหญ่ และที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือความตั้งใจจริง เพราะคนเราถ้ามีความตั้งใจมาก นั่นหมายความว่าเราน่าจะประสบความสำเร็จ ไปแล้วครึ่งหนึ่ง ข้อ 7. เรามีความมั่นใจในตัวเองมากน้อยเพียงใด - ครั้งแรกที่เริ่มเข้ามาทำงานในบริษัทฯ นี้ผมมีความมั่นใจในตัวเองยังน้อยอยู่ แต่ต่อมาทางบริษัทฯได้ให้โอกาสผมได้เข้ารับการอบรมและเรียนรู้ในโครงการต่าง มากมายทำให้ผมเริ่มมีความมั่นใจมากขึ้น ยิ่งขณะนี้บริษัทได้ให้โอกาสผมได้เข้าอบรมเรียนรู้กับอาจารย์ ซึ่งเป็นผู้มีความรู้ระดับโลก อาจารย์ได้ทำให้ผมมีความมั่นใจในตัวเองมากและคิดว่าคงจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ และอีกอย่างที่ทำให้ผมมีความมั่นใจคือผู้บริหารเห็นความสำคัญ และความสามารถของผมและมีคำชมเชย มันทำให้ผมยิ่งจะพัฒนาตัวเองไปในทางที่ดี และนำความรู้ความสามารถมาทำให้บริษัทฯเจริญรุ่งเรือง คือจะคอยช่วยดูแลเรื่องคุณภาพของ สินค้าให้มีคุณภาพสูง เพื่อต่อสู้กับตลาดโลกได้ตลอดไปบริษัทฯ จะได้มั่นคงไม่มีปัญหาเรื่องต้องปิดโรงงานทำให้คนงานได้รับ ความเดือดร้อนและเพื่อให้คุ้มกับการที่บริษัทลงทุนไป จะได้ไม่เสียเปล่า
กาญจนาพร ยุบลพันธุ์
สวัสดีค่ะดิฉัน กาญจนาพร ยุบลพันธ์ ขอส่งการบ้านของอาจารย์ ดังนี้ 1. ในประวัติศาสตร์ของอยุธยามีการเกี่ยวข้องกับอินเดียอย่างไร ทวีปเอเชียเป็นทวีปแรกที่ได้รับอิทธิพลของพระพุทธศาสนาจากประเทศอินเดีย ในสมัยโบราณ ถ้ากษัตริย์พระองค์ใดทรงมรพระราชศัทธาเลื่อมใสในพรพุทธศาสนาก็จะทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาเป็นองค์อุปถัมภ์สร้างวัด สร้างวิหาร หรือจัดส่งพระธรรมทูตเดินทางไปเผยแผ่ศาสนาดังดินแดนต่าง ๆ ในปลายพุทธศตวรรษที่ 3 พระเจ้าอโศกมหาราชส่งพระธรรมทูตจำนวน 9 องค์ ไปเผยแผ่ศาสนายังแคว้นต่าง ๆ ของอินเดียและประเทศใกล้เคียง เช่น อัฟกานิสถาน อิหร่าน เนปาล ศรีลังกา และเอเชียตะวันออกฉียงใต้ 2. ไปทัวร์นอกสถานที่ได้อะไรบ้าง ได้เปลี่ยนบรรยากาศจากห้องเรียนเป็นสถานที่จริงซึ่งเป็นเมืองหลวงเก่าแห่งประวัติศาสตร์ พระเจ้าอู่ทองทรงก่อสร้างพระราชวังขึ้นที่ริมหนองโสน (บึงพระราม) แล้วยังสถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ในวันศุกร์ขึ้น 6 คำ เดือน 5 ปีขาล พ.ศ. 1893 ทรงได้รับถวายพระนามว่า สมเด็จพระรามาธิบดีศรีสุนทรบรมบพิตร กรุงศรีอยุธยามีทำเลสภาพภูมิศาสตร์ที่เหมาะสม คือมีแม่น้ำ 3 สายไหลผ่าน แม่น้ำลพบุรี แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำป่าสัก จึงทำให้แผ่นดินนี้มีลักษณะเป็นเกาะ เป็นที่อุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การทำการเกษตร สะดวกแก่การคมนาคมทางนำ มีแม่นำล้อมรอบเป็นแนวป้องกันตามธรรมชาติจึงอยากที่ข้าศึกจะโจมตีหรือล้อมกรุงศรีอยุธยาไว้ได้นานกรุงศรีอยุธยามีกษัตริย์ปกครองสืบทอดกันมา 34 พระองค์ 3. สำรวจความสัมพันธ์ของไทยกับอินเดีย เช่น การค้าขาย การคมนาคม การเมือง ความสัมพันธ์ไทย - อินเดีย ใกล้ชิดขึ้นเมื่ออินเดียเริ่มดำเนินนโยบายเปิดเสรีทางด้านเศรษฐกิจในปี 2534 และดำเนินตามนโยบายของตะวันออกที่ให้ความสำคัญในภูมิภาคเอเชีย ส่วนทางด้านการค้าระหว่างไทย - อินเดียได้ร่วมลงนามว่าด้วยการจัดตั้งการค้าเสรี ไทย - อินเดีย เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2546 ในระหว่างการเยือนไทยอย่างเป็นทางการ ส่วนทางด้านการคมนาคมนายกรัฐมนตรีไทยและอินเดียเห็นพ้องในความร่วมมือไตรภาคีในการเชื่อมโยงถนนระหว่างไทย - อินเดีย เพื่อส่งเสริมการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว และการไปมาหาสู่ระหว่างประชาชน 4. เป้าหมายของตัวเราอีก 5 ปีข้างหน้า เรามีเป้าหมายในชีวิตอย่างไร มีความมั่นคงในชีวิต มีความมั่นคงในอาชีพการงาน มีสังคมที่ดี มีวิถีการดำเนินชีวิตตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คือ ดำเนินชีวิตแบบพอเพียง 5. ยุทธวิธีในการไปถึงเป้าหมายของตัวเรา มีความมั่นใจ ภูมิใจในตัวเองต้องใฝ่หาความรู้ กล้าคิด กล้าทำ กล้าแสดงออก กล้าปะทะความจริง ไม่เล่นพวก ยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น มีความยุติธรรม มองจุดแข็งไม่ใช่มองจุดอ่อนเพียงด้านเดียว 6. เรามีความสามารถที่จะไปสู่เป้าหมายและความสำเร็จได้หรือไม่ ได้แน่นอน โดยการทำงานอย่างมีคุณค่า และความสุขในองค์กร รวมถึงสภาพแวดล้อมในการทำงานมีแนวคิดที่ได้จากทฤษฎี 8 K's และ ทฤษฎี 5 K's 7. เรามีความมั่นใจในตัวเองมากน้อยเพียงใด มากเพราะผู้นำที่ดีต้องมี Motivate เพื่อลูกน้องและเพื่อนร่วมงาน สร้างความสำเร็จให้องค์กร
มาเรียม เหลืองอร่าม
เรียน อาจารย์ ด.ร. จีระ หงส์ลดารมภ์ ดิฉัน มาเรียม เหลืองอร่าม ขอตอบการบ้าน ของ อาจารย์ ดังนี้ 1. ในประวัติศาสตร์ ของ อยุธยา กับ อินเดีย มีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร ตอบ พระพุทธศาสนา เป็นศาสนา ที่เกิดขึ้นในอินเดีย ก่อน พุทธศักราช ๔๕ ปี ( พุทธศักราชเริ่ม ตั้งแต่ปีที่ พระพุทธเจ้า เสด็จ เข้าสู่ปรินิพพาน ) ผู้ให้กำเนิด พระพุทธศาสนา คือ พระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นโอรสของ พระเจ้าสุทโธทนะ และ พระนาง สิริมายา แห่งกรุงกบิลพัสด์ แคว้นสักกะ ซึ่งในเวลานี้ อยู่ในประเทศเนปาล ในสมัยที่ พระองค์ ยังไม่ได้ออกบวช มีพระนามว่า สิทถัตถะ ในขณะที่ยังทรงเป็นเด็กอยู่ ก็ทรงศึกษาศิลปะวิทยาการ ในสำนักต่างๆ หลายสำนักด้วยกันจนเป็นผู้มีความรู้ ความชำนาญในวิชาการต่างๆ หลายสาขา เมื่อพระเจ้า สิทถัตถะมีพระชนม์ได้ ๑๖ พรรษา ก็ทรงอภิเษกสมรส กับ เจ้าหญิง ยโสธรา และมีโอรส องค์หนึ่ง คือ เจ้าชายราหุล ชีวิตในฆราวาสวิสัยของพระองค์ มีแต่ความสมหวัง แต่ต่อมาเมื่อ มีพระชนม์มายุได้ ๒๙ พรรษา ก็ทรงเบื่อหน่ายโลก เพราะทรงเห็น ความไม่เที่ยงแท้แน่นอน ของโลกและ ทรงหวังจะช่วยชาวโลกให้พ้นทุกข์จึงได้สละความสุขนานาประการ เพื่อหาทาง ที่จะไปสู่ความพ้นทุกข์ ทรงผนวชอยู่ จนกระทั่งมีพระชนม์ได้ ๓๕ พรรษา ได้ตรัสรู้ คือ รู้แจ้งในความจริง แห่งโลกเป็นพระสัมมา สัมพุทธเจ้า เมื่อ ตรัสรู้แล้ว พระองค์ก็เสด็จ เที่ยวแนะนำสั่งสอนประชาชนในแคว้นต่างๆ ในอินเดีย เพื่อหาทางที่จะนำประชาชนไปสู่ ความพ้นทุกข์ อยู่เป็นเวลาถึง ๔๕ ปี พระพุทธเจ้าทรง สั่งสอน จนกระทั่งมี พระชนม์มายุได้ 80 พรรษา จึงปรินิพพาน หลังจากที่พระพุทธเจ้า ปรินิพพาน แล้ว สาวกของพระองค์ก็ยังคงช่วยเผยแผ่ คำสั่งสอนของพระองค์เรื่อยมาผ่านทาง ประเทศพม่า เข้าสู่ประเทศไทยจนถึงปัจจุบัน ไปทัวร์นอกสถานที่ได้อะไรบ้าง ตอบ. ได้รับความรู้ต่าง ๆ เช่น ได้รู้ประวัติศาสตร์สมัยโบราญ ซึ่ง มีความมานะอดทน ที่จะปกป้อง บ้านเมือง ด้วยยุทธวิธีต่าง ๆ หรือ แม้กระทั่ง ยอมเสียสละเลือดเนื้อ เพื่อแผ่นดิน ของเราแล้ว ยอมสละได้แม้แต่ชีวิต และได้รู้ถึง ความอดทน ของคน สมัยโบราญ ว่ามีความคิดที่จะสร้างกำแพงเมือง หนาถึง ๕ เมตร ถึง ๖ เมตร ด้วยกัน และได้รู้ถึงความสามัคคี และ ดิฉัน ก็คิดว่าจะนำความรู้ที่ได้รับมาปรับเปลี่ยน คนในองค์กรของเราให้รู้รักสามัคคี และ รู้จักหาทางแก้ไขปัญหา อย่างมีสติและรู้จักเสียสละ 3. สำรวจความสำพันธ์ของไทย กับ อินเดีย อาทิ เช่น การค้าขาย การคมนาคม การเมือง ตอบ. ไทยได้นำเข้าวัตถุดิบ และ สินค้า กึ่งสำเร็จรูปจากอินเดีย และส่งออกสินค้าที่ใช้ในอุตสาหกรรม ไทยและอินเดีย มีเป้าหมายที่จะเพิ่มมูลค่าทางการค้าของทั้งสองฝ่าย ไทยและอินเดียได้ร่วมลงนามในกรอบความตกลงว่าด้วยการจัดตั้งเขตการค้าเสรี ไทย อินเดีย เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2546 ในระหว่างการเยือนไทยอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี อินเดีย โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อให้เป็นกลไก สำคัญ ที่จะขจัดอุปสรรค ทางการค้าและช่วยขยายการค้าระหว่างกันเขตการค้าเสรียังจะดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติด้วย ด้านการเมือง และการคมนาคม ในช่วงสงครามเย็น และสงครามกัมพูชา ความสัมพันธ์ ไทย กับ อินเดียค่อนข้างห่างเหินเนื่องจากไทยเห็นว่า อินเดีย มีความใกล้ชิด กับสหภาพโซเวียต เมื่อ อินเดียเริ่มดำเนิน นโยบายเปิดเสรีทางเศรษฐกิจในปี 2534 และดำเนินนโยบายมองตะวันออก ( LOOK EAST POLICY ) ที่ให้ความสำคัญ กับประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเอเชียตะวันออกมากขึ้น ซึ้งสอดคล้องกับนโยบายมองตะวันตก ( LOOK WEST POLICY ) ของไทย ที่ให้ความสำคัญกับภูมิภาคเอเชียใต้ ตะวันออกกลางและแอฟริกา ความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศจึงพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น โดยมีการแลกเปลี่ยนการมาเยือนในระดับสูงหลายครั้ง ด้าน การทูต ไทยสถาปนา ความสัมพันธ์ ทางการทูตกับอินเดีย เมื่อ วันที่ 1 สิงหาคม 2490 ขณะนี้ไทย มีสถานเอกอัครราชทูต ตั้งอยู่ที่กรุงนิวเดลี และมี สถานกงสุลใหญ่อีก 2 แห่ง ที่เมืองกัตตา เมืองมุมไบ ส่วนอินเดียมีสถานเอกอัครราชทูต ที่ก รุงเทพมหานคร และมีสถานกงสุลใหญ่ที่เชียงใหม่ และที่สงขลา เป้าหมายของตัวเรา อีก 5 ปี ข้างหน้า เรามีเป้าหมายของชีวิตไว้อย่างไร ตอบ. อีก 5 ปี ข้างหน้าดิฉันคิดว่าเป้าหมายของชีวิตก็คือ ต้องทำประโยนช์ให้กับ บริษัทให้มากที่สุด เช่น ต้องพัฒนาบุคคลในองค์กร หรือผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาให้เก่งงาน มีความมั่นใจในตัวเอง เหมือนที่ อาจารย์ พูดว่า พระนเรศวรทิ้งความเป็นอิสระภาพสร้างความเป็นอิสระภาพให้กับประเทศไทยแต่ละคนเกิดมาขึ้นอยู่กับสถานภาพและแรงจูงใจ ยุทธวิธีในการไปให้ถึงเป้าหมายของตัวเรา ตอบ. คนเราจะพัฒนาอะไรต้องระเบิดออกมาจากข้างใน เหมือนที่พี่เขาพูดว่ารั้วบ้านที่ดีคือเพื่อนบ้านเปรียบเสมือนว่าถ้าเราพัฒนาเพื่อนพนักงานให้เก่ง แรงจูงใจที่สำคัญที่สุด คือกระตุ้นให้คนเป็นเลิศ บรรยากาศในการทำงานต้องไม่มีการแล่นพวกทำอะไรต้องยุติธรรมมีความโปร่งใสมีส่วนร่วมแรงจูงใจทางบวก ท๊อปดาว 6. เรามีความสามารถที่จะไปสู่เป้าหมาย และความสำเร็จได้หรือไม่ ตอบ. ดิฉันคิดว่าผู้นำของอินโดรามาต้องมีโมติเวชั่น คือ ความสำเร็จ ความชอบ ความกตัญญู มีความมั่นใจ มนุษย์เราต้องมีน้ำใจต่อกัน ไม่เอาเปรียบกัน มีความยุติธรรมต้องไม่มีเกม ศูนย์ต้องบวกทำอย่างไรให้ทุกคนมีแรงจูงใจและนั่นคือเป้าหมายและความสำเร็จ เรามีความมั่นใจในตัวเรามากน้อยเพียงใด ตอบ. ดิฉันมีความมั่นใจว่า ดิฉันมีความสามารถที่จะพัฒนาให้คนในองค์กรมีความสามารถในการทำงานที่ดีและมีคุณภาพ มีความมั่นใจมีความภูมิใจในตัวเอง และต้องพัฒนาบุคลิกภาพ ให้มีสังคมที่ดี มีเพื่อน มีการทำงานที่ดี อย่าทำตัวเก่งคนเดียว มีความมั่นคงในชีวิต จ๊อปซิคอริตี้ มาเรียม เหลืองอร่าม
พิสิทธิ์ พานิชประเสริฐ
เรียนอาจารย์ จิระ หงส์ลดารมภ์ที่เคารพกระผมนาย พิสิทธิ์ พานิชประเสริฐ ได้ตอบการบ้านของอาจารย์ดังนี้ ( 1 )ใประวัติศาตร์ของอยุธยากับอินเดียมีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร -มีความเกี่ยวข้องกันในทางศาสนาและทางการทูตและประเพณีบางอย่างของพรามภ์และการค้าขาย (2)ในการทัวร์นอกสถานที่ใด้อะไรบ้าง-ในการทัวร์ครั้งนี้ใด้รับความรู้เรื่องประวัติศาตร์ของกรุงเก่าอยุธยาและใด้เห็นสถานที่จริงและใด้รับคำอธิบายที่ดีมากและได้เห็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมากมายให้ความสนใจประวัติศาตร์ของไทยเรา (3) สำรวจความสัมพันธ์ของไทยกับอินเดีย การค้าขาย การคมนาคมการเมือง -การค้าขายพลอย-เพรช อิเล็คโทรนิค ความร่วมมือของนักธุรกิจสายการบินระว่างประเทศ(4)เป้าหมายของตัวเราอีก5ปีข้างหน้าเราจะมีเป้าหมายอะไรชีวิตอย่างไร-จะทำงานให้บริษัทมีความเจริญก้าวหน้ายิ่งๆขึ้นและขยายกิจการเพิ่มขึ้นและจะทำให้พื้นที่ของชุมชนรอบๆโรงรางมีงานทำมากขึ้น (5) ยุทธวิธีในการไปให้ถึงเป้าหมายของตัวเรา -ต้องตั้งทำให้งานสำเร็จในเป้าหมายที่เราตั้งไว้และมุ้งมั่นในการศึกษาหาควารู้ใหม่ๆมาใช้ในการทำงาน(6) เรามีความสามารถที่จะไปสู่เป้าหมายและความสำเร็จได้หรือไม่-เราต้องมีเป้าหมายในการทำงานและความสำเร็จในปันจุบันและอนาคต(7) เรามีความมั้นใจในตัวเรามากน้องเพียงใด -ผมมีความมั่นใจในตัวเองและมีความสำเร็จในปันจุบันในการทำงานของบริษัทที่ทำงานอยู่นี้
เรียนอาจารย์จีระ หงษ์ลัดดารมภ์ได้ออกไปทัวร์นอกสถานที่ที่จังหวัดอยุธยาเมื่อวันที่ 26 ก.ย. 2550จะขอส่งการบ้านดังนี้ ในประวัติศาสตร์ของอยุธยากับอินเดียมีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร. ตอบ หลังจากพระพุธทเจ้าปรินิพานแล้วสาวกของพระองค์ก็ยังช่วยกันเผยแผ่พระพุธทศาสนาจนกระทั่งประมาณ พ.ศ. 300 พระเจ้าอโศกมหาราชแห่งเมืองปาฎาลีบุตรร่วมกับคณะสงฆ์ ได้ส่งพระสงฆ์ออกประกาศพระพุธทศาสนาทั้งภายในและภายนอกประเทศอินเดียคณะสงฆ์สายหนึ่งได้เข้ามายังสุวรรณภูมอันได้แก่ดินแดนในเขตประเทศพม่าและในไทยปัจจุบันนี้ พระพุธทศาสนาได้เจริญรุ่งเรีองขึ้นเป็นลำดับจนถึงสมัยสุโขทัยเป็นราชธานีพ่อขุนรามคำแหงมหาราชจึงได้ทรงรับเอา พระพุธทศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไทยและเป็นศาสนาประจำชาติเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัณ 2. ไปทัวร์นอนสถานที่แล้วได้อะไรมาบ้าง. ตอบ การไปทัวร์นอกสถานที่ครั้งนี้ได้รับความรู้อะไรหลายๆเพิ่มเติมและไม่ซ้ำซากจำเจกว่าการเรียนในห้องเรียนที่ ถึงเวลาก็เปิดตำราฟังครูสอน พอได้มาเห็นและเรียนในสถานที่จริงแล้วความเป็นมาจึงทำให้เข้าใจมากยิ่งขึ้น 3. สำรวจความสัมพันธ์ของ4. ไทยกับอินเดีย อาทิเช่น การค้าขาย การคมนาคม การเมือง5. ตอบ 5.1 การค้าขายด้านเศรษฐกิจไทยให้ความสำคัญ5.2 ต่อการดำเนินความสำพันธ์ทาง5.3 เศรธฐกิจกับอินเดียอย่าง5.4 สูง5.5 โดยคำนึง5.6 ถึง5.7 ศักยภาพทาง5.8 เศรษฐกิจของ5.9 อินเดียและขนาดของ5.10 ตลาดซึ่ง5.11 มีประชากรระดับกลาง5.12 -สูง5.13 ตลอดจนความก้าวหน้าทาง5.14 ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 5.15 การเมือง5.16 ในขณะนี้แม้ว่าอินเดียจะจัดตั้ง5.17 รัฐบานชุดใหม่ภายใต้การนำของ5.18 พรรคคอง5.19 เกรสแต่ก็ได้แสดง5.20 เจตจำนง5.21 ที่ชัดเจนว่าต้อง5.22 การกระชับความสัมพันธ์กับไทยไห้แน่นแฟ้นยิ่ง5.23 ขึ้นและยืนยันที่จะปฎิบัติตามพันธกรณีที่รัฐบาลชุดที่แล้วของ5.24 อินเดียมีต่อไทยสืบต่อไป 5.25 การคมนาคมตลาดนักท่อง5.26 เที่ยวอินเดียเป็นตลาดนักท่อง5.27 เที่ยวหลักสำคัญ5.28 ที่สุดใหภูมิภาคเอเซียใต้โดยเป็นตลาดใหญ5.29 ่อันดับที่ 14 เมื่อเทียบกับตลาดขาเข้าอื่นๆ 6. เป้าหมายของ7. ตัวเราว่าอีก 5 ปีข้าง8. หน้าเรามีเป้าหมายของ9. ชีวิตไว้อย่าง10. ไร. ตอบ คนเราต้องทำงานเพื่อส่วนรวมและองค์กรที่เราทำอยู่อย่างมีประสิทธิภาพทำอย่างทุ่มเทซื่อสัตย์และต้องมีจริยธรรมคุณธรรมในการปรกครองควบคู่กับความสามารถตรงนี้จะส่งผลถึงอนาคตของเรา 11. ยุทธวิธีในการไปให้ถึง12. เป้าหมายของ13. ตัวเรา. ตอบ การที่จะไปให้ถึงเป้าหมายนั้นคงไม่ยากถ้าเรารักและซื่อสัตย์ต่อหน้าที่งานที่เราทำอยู่ 14. เรามีความสามารถที่จะไปสู่เป้าหมายและความสำเร็จได้หรือไม่. ตอบ คนเรามีความสามารถที่จะไปสู่เป้าหมายและความสำเร็จของชีวิตได้ขึ้นอยู่กับบุคคลคนนั้ยมีความพยายามมากน้อยเพียงใดถ้าฝันที่จะไปให้ใกลแล้วต้องไปให้ถึง 15. เรามีความมั่นใจในตัวเอง16. มากน้อยเพียง17. ใด. ตอบ มีความมั่นใจในตัวเองพอสมควรแต่พยายามผลักดันตัวเองไปสู่ความฝันอันสูงสุดให้ได้ในชีวิตแม้จะแลกด้วยเวลา
เนื่องด้วยเกิดการผิดพลาดในการส่งการบ้านครั้งที่ผ่านมา ผมจึงขอแก้ไขการส่งการบ้านครั้งใหม่ ดังนี้ จากการเรียนนอกสถานที่ เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2550 กระผมขอตอบการบ้าน ท่าน อาจารย์ จีระ ดังต่อไปนี้ 1.ในประวัติศาสตร์ของอยุธยากับอินเดียมีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร ตอบ ทางด้านศาสนาซึ่งก็มีตอบกันหลายคนแล้วผมขอตอบทางด้าน วัฒนธรรมอันเกี่ยวกับประเพณี พระราชพิธี ถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา เป็นพิธีสำคัญที่ทำสืบเนื่องมาตั้งแต่สมัย สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 จนถึงสมัยก่อนการเปลื่ยนแปลงการปกครอง ( พ . ศ 2475 ) พิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยานี้ ไทยได้รับ มาจากอินเดีย 2.ไปทัศนะศึกษาแล้วได้อะไรบ้าง ตอบ ได้รับความรู้ทางประวัติศาสตร์ ความเป็นมาของสมัยอยุธยา พระราชวังโบราณ การเสียสละของตัวเอง เพื่อบ้านเมือง ความสามัคคีกันในการรักษาบ้านเมือง และเราควรอนุรักษ์ สถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ไว้เพื่อให้คนรุ่นหลัง ได้ดูได้ศึกษาถึงบรรพบุรุษของเรา 3.สำรวจความสัมพันธ์ ของไทยกับอินเดีย เช่น การค้า การคมนาคม การเมือง ตอบ ความสัมพันธ์ทางการทูต ของไทยกับอินเดีย เมื่อ วันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ 2490 ขณะนี้ไทยมีสถานเอกอัครราชทูต ตั้งอยู่ที่กรุงนิวเดลีและมีสถานกงสุลใหญ่อีก 2 แห่ง ที่เมือง กัลกัตตา เมืองมุมไบ อินเดียมีสถานเอกอัครราชทูตที่ กรุงเทพ และมีสถานกงสุลใหญ่อยู่ที่ เชียงใหม่ และ ที่สงขลา 4.เป้าหมายของตัวเราว่าอีก 5 ปี ข้างหน้าเรามีเป้าของชีวิตไว้อย่างไร ตอบ ได้เป็นหัวหน้างานที่มีคุณภาพ ตามนโยบายของบริษัทที่ได้ทำการพัฒนาหัวหน้างานและมีความสามารถเพิ่มขึ้น ทำประโยชน์ให้กับบริษัทและองค์กรมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ 5.ยุทธวิธีในการไปให้ถึงเป้าหมายของตัวเรา ตอบ ทำงานอย่างทุ่มเท และ เต็มความสามารถอย่างสม่ำเสมอ มีการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง ใฝ่ที่จะเรียนรู้ มีคุณธรรม มีจริยธรรม และทำตัวให้เป็นที่ยอมรับต่อ เพื่อนบ้าน เพื่อนร่วมงาน ลูกน้อง และ ผู้บังคับบัญชา 6.เรามีความสามารถที่จะไปสู่เป้าหมายและความสำเร็จได้หรือไม่ ตอบ ได้ ความสามารถความเชื่อมั่น และแรงบัลดาลใจพร้อมที่จะทำให้เราก้าวไปสู่ความสำเร็จในอนาคตข้างหน้า ตามเป้าหมายที่เราวางไว้ 7.เรามีความมั่นใจในตัวเองมากน้อยเพียงใด ตอบ ตัวเราเองต้องมีความมั่นใจในตัวเองก่อน เพราะความมั่นใจมีส่วนสำคัญอย่างมาก ถ้าคนเราไม่มีความมั่นใจในตัวเองแล้ว ไม่ว่าจะทำงานใหญ่หรืองานเล็กก็ยากที่จะประสพความสำเร็จ นาย วีระศักดิ์ เกษร
เรียนอาจารย์ผมนายสยาม ลาภรวยขอส่งการบ้านครับ       1. ในประวัติศาสตร์ของอยุธยามีการเกี่ยวข้องกับอินเดียอย่างไร           ประมาณปี พ.ศ 300 พระเจ้าอโศกมหาราซร่วมกับคณะสงฆ์ได้ส่ง พระสงฆ์ออกประกาศ พุทธศาสนา ทั้งภายในและภายนอกอินเดียคณะสงฆ์สายหนึ่งได้เข้ามายังสุวรรณภูมิ อันได้แก่ดินแดนในเขต ประเทศพม่าและไทยในปัจจุบัน และพระพุทธศาสนาได้เจริญรุ่งเรืองในดินแดนนี้ จนถึงสมัยสุโขทัยเป็นราชธานี พ่อขุนรามคำแหงมหาราชจึงได้ทรงรับเอาพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไทย พระพุทธศาสนากับชนชาติไทยคลุกเคล้ากันมาเป็นเวลาช้านาน ศิลปวัฒธรรมตลอดจนขนบธรรมเนียม แระเพณีของชนชาติไทยก็ได้รับการหล่อหลอมจากพระพุธศาสนา       2. ไปทัวร์นอกสถานที่ได้อะไรบ้าง           เหมือนกับเป็นการเปลี่ยนบรรยกาศในการเรียนรู้และได้เป็การเรียนรู้ในรุปแบบของการท่องเที่ยวได้รับรู้ถึงประวัติศาสตร์ของชนชาติไทยว่ากว่าจะมาถึงปัจจุบันบรรพชนของเราต้องต่อสู้ เพื่อจะปกป้องบ้านเมืองให้พ้นจกาการรุกรานของประเทศต่างๆ ที่จะมายึดครองประทศของเราซึ่งเราต้องเสียสละอะไรหลายๆอย่างเพื่อแลกกับความเป็นเอกราชของแผ่นดินไทย เพื่อให้รุ่นลูกรุ่นหลานได่มีแผ่นดินอยู่       3. สำรวจความสัมพันธ์ของไทยกับอินเดีย เช่น การค้าขาย การคมนาคม การเมือง       การเมือง ความสัมพันธ์ไทย-อินเดีย มีความใกล้ชิดในปลายทศวรรษที่ 1980 เมื่ออินเดียเริ่มดำเนินนโยบายเปิดเสรีทางเศรฐกิจในปี 2534 ความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศจึงพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น โดยการมีการเลกเปลี่ยน การเยือนระดับสูงหลายคร้งในช่วงปี 2544-2576 และสามารถพัฒนาความร่วมมือด้านต่างๆ ระหว่างกันอย่างเป็นรูปธรรม       การค้าขาย ปริมาณการค้ารวมในระยะ 5 ปีที่ผ่านมา 2542-2546 มีมูลค่าเฉลี่ย 1,168 ลัานดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2546 มีมูลค้าการค้ารวม 1,509.0 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยไทยเป็นฝ่ายขาดดุลการค้ารวม 230.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ไทยนำเข้าวัตถุดิบและสินค้ากึ่งนำเร็จรูป จากอินเดีย และส่งออกสินค้าที่ใช้ในอุตสาหกรรม        การคมนาคม ในปี 2544 นายกรัฐมนตรีไทยและอินเดียเซ็นให้มีคว่ามร่วมมือในการเชื่อมโยงถนนะหว่าง ไทย-พม่า-อินเดีย เพื่อส่งเสริมการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว และการไปมาหาสู่กัน       4. เป้าหมายของต้วเราอีก 5 ปี ผมคิดว่าจะทำงานกับบริษัทอยู่เพราะ อยากทำงานเพื่อจะพัฒนาบริษัทให้เป็นไปตามเป้าหมาย คือ เป็นบริษัทสิ่งทอที่ติดอันดับของโลก อยากเห็นบริษัทมีชื่อเสียง เป็นที่รู้จักของคนทั่วโลก ส่วนเรื่องอื่นๆ ถ้าบริษัทมีความมั่นคงเราก็จะมีความมั่นคงตามไปดว้ยเช่นกัน       5. ยุทธวิธีในการไปถึงเป้าหมายของตัวเอง        5.1 ขยันที่จะเรียนรู้ในเรื่องต่างๆ        5.2 การทำงานเป็นทีมร่วมกับผู้อื่น        5.3 สร้างความมั่นใจให้กับตัวเอง        5.4 การมองโลกทัศน์ที่กว้างและกำหนดวิสัยทัศน์ที่ดี        5.5 ยอมรับความคิดเห็นผู้อื่นเพื่อนำมาปรับปรุงและพัฒนาองค์กร        5.6 รู้จักหาโอกาส และหลีกเลี่ยง       6. เรามีความสามารถที่จะไปสู่เป้าหมายและความสำเร็จได้หรือไม่        ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตามเราจะต้องทมีความเชื่อในสิ่งนั้นเสียก่อน ถ้าคุณมีความเชื่อหรือ มีความศรัธราว่า สิ่งที่เราทำนั้นเป็นสิ่งที่ดีและเป็นประโยชน์มันก็จะทำให้เราเกิดความมุ่งมั่นและมีกำลังใจที่จะนำพาเราไปสู่ความสำเร็จได้       7. เรามีความมั่นใจในตัวเองมากนอ้ยพียงใด          ในความคิดผมถ้าเราถามตัวเราเองว่าเรามีความมั่นใจในตัวเอง มากน้อยเพียงใด ผมคิดว่าสิ่งที่จะสร้างความมั่นใจในตัวเองคือ เรามีความรู้มากเพียงพอหรือยังใความรู้แล้วเรานำมาใช้ได้อย่างมั่นใจแล้วหรือยังสิ่งที่จะสร้างความมั่นใจได้ดีก็คือ การาเรียนรู้ การฝึกฝน และการนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุด

 
เรียนท่าน ศ.ดร. จีระ หงส์ลดารมภ์ ดิฉัน นางสาว เฉลิม ชอบเจริญ ได้ทำการบ้านที่ท่านได้ให้ไว้หลังจากที่ได้ไปทัวร์ ที่ จ.อยุธยาเมื่อวันที่ 26.ก.ย.2550 ซึ่งมีคำถามดังนี้ ข้อ 1.ในประวัติศาสตร์ของอยุธยากับอินเดียมีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร ตอบว่าพระพุทธศาสนา เป็นศาสนาที่เกิดในประเทศอินเดียก่อนพุทธศักราช 45 ปี นับว่าเป็นศาสนาที่สำคัญที่สุดในโลกศาสนาหนึ่งมีผู้นับถือหลายร้อยพันคนผู้ที่ให้กำเนิดพระศาสนา คือพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะและนางสิริมหามายา แห่งกรุงกบิลพัสดุ์ แคว้นสักกะ ซึ่งในเวลานี้อยู่ในเขตประเทศเนปาล เมื่อมีพระชนม์ได้ 29 พรรษาพระองค์ทรงผนวช อยู่จนกระทั่งมีพระชนม์ได้ 35 พรรษาจึงได้ตรัสรู้คือรู้แจ้งในความจริงของโลก เป็นพระสัมมาสัม พุทธเจ้าเมื่อตรัสรู้แล้วพระองค์ก็เสด็จเที่ยวแนะนำสั่งสอนประชาชนในแคว้นต่างๆในประเทศ อินเดียปรากฎว่าชาวอินเดียในสมัยนั้นได้หันมานับถือพระพุทธศษสนาและเข้ามาบรรชาอุปสมบท เป็น จำนวนมาก คนไทยกับพระพุทธศาสนาได้ผูกพันธ์กันมานานตั้งแต่ครั้งสุโขทัยและสืบต่อมาจน ถึงปัจจุบันในสมัยกรุงศรีอยุธยาก็เช่นกันพระพุทธศาสนาได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของสังคม และเป็นที่ยอมรับนับถือกันตั้งแต่พระมหากระษัตริย์จนถึงสามัญชน พระพุทธศาสนาได้รุ่งเรืองอยู่ใน บริเวณเมืองอยุธยามานานแล้ว ข้อ 2 . ในการไปศึกษานอกสถานที่ ที่พระนครกรุงศรีอยุธยาแล้วได้อะไรบ้าง ตอบ .ทำให้รู้ประวัติของสมัยกรุงศรีอยุธยามีความเป็นมาอย่างไรมีความสำคัญต่อประเทศชาติอยางไร บ้าง ข้อ 3. ความสัมพันธ์ไทยกับอินเดียเช่นการค้า การคมนาคม การเมือง มีความสำคัญอย่างไร ตอบ. ในขณะนี้จะเห็นว่าความสัมพันธ์ไทย-อินเดีย จะมีความแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น การค้าไทยกับ อินเดียการจัดตั้งเขตการค้าเสรีไทย-อินเดีย และได้ลงนามในกรอบความตกลงว่าด้วยการจัดตั้ง เขตการค้าเสรีไทย-อินเดียโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เป็นกลไกลสำคัญที่จะขจัดอุปสรรคการค้า ช่วยขยายการค้าระหว่างกัน ข้อ 4. เป้าหมายของตัวเองอีก5ปีข้างหน้าเรามีเป้าหมายชีวิตอยางไร ตอบ. ตั้งใจศึกษาหาความรู้ที่บริษัทจัดอบรม เพื่อให้ได้มาซึ่งความรู้มากที่สุด และเป้าหมายอีก5ปีข้าง หน้าจะเห็นผู้นำของไทยในระดับกลางที่มีการพัฒนาได้เข้ามายืนอยู่ในจุดการงานที่สูงขึ้น และ ตัวเองหวังว่าจะทำงานในหน้าที่ ที่สูงขึ้นได้มีโอกาสช่วยบริษัทให้มีความเจริญก้าวหน้า ข้อ 5. ยุทธวิธีในการไปให้ถึงเป้าหมายของตัวเราควรทำอย่างไร ตอบ. ตั้งใจหาความรู้ต่างๆที่ได้รับจากการอบรม มีความเชื่อมั่นในตัวเองและติดตามข่าวสาร ต่างๆตอบแทนบริษัทที่เปิดโอกาสให้เรามีการพัฒนา ข้อ 6. เรามีความสามารถที่จะไปให้ถึงเป้าหมายและความสำเร็จได้หรือไม่ ตอบ. พร้อมที่จะเรียนรู้เพื่อนำความรู้และประสบการณ์นำมาใช้ประโยชน์เพื่อให้เกิด ความมั่นใจ ข้อ 7. เรามีความมั่นใจในตัวเองมากน้อยเพียงใด การที่ได้รับการอบรม การเรียนรู้ทำให้เกิดความมั่นใจมากขึ้นสามารถทำให้ไปถึงเป้าหมายในชีวิต และการทำงานในอนาคต
เรียนท่าน ศ.ดร. จีระ หงส์ลดารมภ์ ดิฉัน นางสำลี ธูปหอม สมาชิกกลุ่ม K.P.D. ของ INDORAMA ได้ทำการบ้านที่ท่าน อาจารย์ได้ให้ไว้หลังจากที่ได้ไปทัวร์นอกสถานที่เมื่อวันที่ 26.ก.ย. 2550ที่ผ่านมานี้ว่า ข้อ 1. ในประวัติศาสตร์ของอยุธยากับอินเดิยมีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร ตอบ. ประเทศอินเดียถือว่าเป็นผู้นำทางด้านศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้าได้ถือกำเนิดที่ประเทศอินเดีย และหลังจากพระองค์ออกผนวชแล้วได้ตรัสรู้แล้วจึงนำพระพุทธศาสนาไปเผยแผ่ยังประเทศต่างๆ รวมถึงประเทศไทยด้วย พระมหากษัตริย์ของไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยาจนถึงกรุงรัตนโกสินทร์ ยังออกผนวชตามรอยพระพุทธเจ้ากันทุกพระองค์ ชนชั้นสามัญก็ได้ทำการบวชเรียนกันถ้วนหน้า เพื่อที่จะทำการสืบทอดพระพุทธศาสนาให้มีความยั่งยืนสืบต่อไป ข้อ 2. ไปทัวร์นอกสถานที่แล้วได้อะไร ตอบ. การที่ได้ออกไปเรียนนอกสถานที่ครั้งนี้ถือเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศใหม่ๆทำให้มีความคิด ที่ดีเปิดกว้างกว่าเก่ามากได้รู้ประวัติศาสตร์ของชาติมากขึ้นและได้เห็นสถานที่จริง กรุงศรีอยุทธยา เป็นเมืองที่รุ่งเรืองทั้งในอดีตและปัจจุบันมีทัศนียภาพที่สวยงาม กรุงศรีอยุทธยามีพระมหากษัตริย์ ที่มีพระปรีชาสามารถมาก เหตุที่ทำให้กรุงศรีอยุทธยาต้องพ่ายแพ้ให้กับศัตรูถึง 2 ครั้งนั้นเกิดจากการ แตกความสามัคคีกันของคนในชาติเอง เช่นเดียวกับปัจจุบันที่คนในชาติขาดความสามัคคีจึงทำให้ ประเทศเกิดความไม่สงบ จึงส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของไทยเป็นอย่างมาก ข้อ 3. สำรวจความสัมพันธ์ของไทยกับอินเดีย เช่น การค้าขาย การคมนาคม การเมือง ตอบ. ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับอินเดียในด้านการค้าการลงทุน ประเทศไทยกับอินเดีย ได้เปิดการประชุมระหว่างประเทศในเรื่องการมาลงทุนในประเทศไทยเมื่อไม่นานมานี้เอง นักธุระกิจชาวอินเดียให้ความสนใจที่จะมาลงทุนที่ประเทศไทยเรามากขึ้น ซึ่งจะเป็นผลดี ของไทยที่จะทำให้เศรษฐกิจของประเทศไทยกลับมาดีเหมือนเดิม ความสัมพันธ์ทางด้านการเมือง มีความสัมพันธ์ทางด้านการทูต โดยมีสถานทูตไทยประจำประเทศอินเดียและมีสถานทูตอินเดียประจำประเทศไทย ข้อ 4. เป้าหมายของตัวเราเองอีก 5 ปีข้างหน้า เรามีเป้าหมายของชีวิตไว้อย่างไร ตอบ. เป้าหมายในชีวิตของดิฉันอีก 5 ปีข้างหน้าอย่างแรกที่ต้องทำคือต้องสร้างความมั่นคง ให้กับครอบครัวเป็นอันดับแรก จะทำให้พ่อแม่ลูกและคนในครอบครัวอยู่กันอย่างอบอุ่น และมีความสุข ความสบาย อย่างที่ 2 คือต้องสร้างความมั่นคงในหน้าที่การงานทำให้ดีกว่าที่เป็นอยู่ ถ้าดิฉันยังทำงานอยู่ในองค์กรนี้ต่อไปดิฉันจะทำหน้าที่ ที่ได้รับมอบหมายให้ดีที่สุด และจะนำ ความรู้ที่ท่านอาจารย์สอนมาพัมนาตนเองให้เป้นผู้นำที่มีคุณภาพ และจะทำการพัฒนาคนในองค์กรนี้ ให้มีคุณภาพมากขึ้น ข้อ 5. ยุทธวิธีในการไปให้ถึงเป้าหมายของตัวเอง ตอบ. ยุทธวิธีในการไปสู่เป้าหมายของชีวิตคือ ต้องขยัน อดทน เก่งและเป็นคนดี ถ้าเราขาดความ ขยันก็จะทำให้ไปไม่ถึงเป้าหมาย ความอดทนต่ออุปสรรคทั้งหลายและไม่ย่อท้อจะทำให้เราไปถึง เป้าหมายได้ไม่ยาก และอีกอย่างจะขาดเสียไม่ได้คือต้องมีความมั่นใจในตัวเอง กล้าคิด กล้าทำ กล้าพูดในสิ่งที่ถูกต้องมีความคิดริเริ่ม ทำในสิ่งใหม่ๆเท่านี้ก็จะทำให้ไปสู่เป้าหมายของชีวิตได้ ข้อ 6. เรามีความสามารถที่จะสู่เป้าหมายและความสำเร็จได้หรือไม่ ตอบ. คนเราทุกคนมีความสามารถต่างกันและการที่จะไปให้ถึงเป้าหมายของชีวิตได้สำเร็จนั้น ทุกคนต้องมีความมั่นใจในตัวเอง ต้องใฝ่รู้อยู่ตลอดเวลา องค์กรต้องให้โอกาสทุกคนแสดงความ สามารถของแต่ละคนมากขึ้นเพื่อที่จะพิสูจน์ให้องค์กรและสังคมยอมรับในความสามารถของ ตัวเราเองให้ได้ ข้อ 7. เรามีความมั่นใจในตัวเองมากน้อยเพียงใด ตอบ. ก่อนหน้านี้ดิฉันเป็นคนที่ขาดความมั่นใจในตัวเองอย่างมาก แต่จากการที่ดิฉันได้ฟังอาจารย์ สอนมาประมาณ 4 เดือน มานี้ทำให้ดิฉันมีความมั่นใจให้กับตัวเองมากขึ้นดิฉันจะเป็นผู้นำที่ดี ในองค์กรแห่งนี้ จะทำให้งานที่ได้รับผิดชอบมีคุณภาพมากขึ้น เพื่อที่ตัวดิฉันและพนักงานทุกคนจะได้ ทำงานอยู่ในองค์กรแห่งนี้ไปนานๆ

สวัสดีค่ะ อาจารย์ จิระที่เครพ ดิแนขอตอบคำถามดังนี้

ข้อ  1   ในประวัติศาสตร์ของไทยกับอินเดียมีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร  

ตอบ   ในประวัติศาสตร์ของอยุธยากับอินเดียมีความเกี่ยวข้องกันทางด้านศาสนาเพราะชาวอินเดียส่วนใหญ่จะนับถือศาสนาพุทธเหมือนคนอยุธยาส่วนทางด้านความสัมพันธ์ทางการฑูตนั้นยังไม่เป็นทางการเพียงแต่เข้ามาขอไมตรีและหาลือข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆทั้งการค้นคว้าวิถีชีวิตของคนอยุธยา

ข้อ  2  ไปทัวร์นอกสถานที่แล้วได้อะไรมาบ้าง

ตอบ   ไปทัวรืนอกสถานที่ได้อะไรหลายอย่าง  อย่างเช่นตอนที่ดิฉันเข้าไปในพระนครศรีอยุธยาดิฉันได้เห็นศาลากลางจังหวัดพระนครศรีอยุธยาหลังเก่าซึ่งสวยงามมากทางด้านหน้าเป็นรูปปั้นพระบรมรูปวีรกษัตริย์และวีรสตรีไทยซึ่งได้ประกอบคุณานุประโยชน์อย่างใหญ่หลวงให้กับประเทศชาติในอดีต  มี  6  พระองค์และได้เข้าชมพระราชวังบางประอินทร์ซึ่งเป็นที่หน้าภาคภูมิใจมากในชีวิตของดิฉัน

ข้อ  3  สำรวจความสัมพันธ์อาธิเช่นการค้าขาย   การคมนาคม   การเมือง

ตอบ    การค้าขายชาวอินเดียได้นำสินค้าเข้ามาขายด้วยแต่ยังไม่มากนัก  ถ้าเป็นเรื่องทางด้านศาสนานั้นทรงอนุญาติให้ชาวอินเดียเดินทางเข้ามาเผยแพร่ศาสนาได้อย่างเสรี

ข้อ  4  เป้าหมายของตัวเราในอีก  5   ปีข้างหน้าเรามีเป้าหมายในชีวิตอย่างไร

ตอบ   เป้าหมายของตัวเราในอีก  5  ปีข้างหน้าเรามีเป้าหมายในชีวิตที่จะต้องเป็นผู้นำที่มีคุณภาพในทุกด้านและมีการพพัมนาตัวเองให้ก้าวทันยุคทันเหตุการณ์อยู่ตลอดเวลา

ข้อ  5  ยุทธวธีในการไปให้ถึงเป้าหมายของตัวเรา

ตอบ   ยุทธวิธีในการที่จะก้าวไปสู่เป้าหมายของตัวเราคือเราต้องมีความมั่นใจจากประสบการณ์ที่ดิฉันได้ทำงานมานานบวกกับบริษัทได้ให้ความรู้และได้จัดการให้มีการอบรมทุกๆด้านอย่างต่อเนื่องจึงทำให้ดิฉันได้มีความรู้มากขึ้นตลอดจนทัศนะในการวางแผนและการแก้ใขปัญหา

ข้อ  6  เรามีความสามารถที่จะไปสู่เป้าหมายและความสำเร็จได้หรือไม่

ตอบ    ดิฉันมีความสามารถที่จะไปสู่เป้าหมายและความสำเร็จได้เพราะดิฉันมีความมั่นใจและตั้งใจทำงานให้บริษัทเจริญรุ่งเรืองถ้าบริษัทเจริญรุ่งเรืองขึ้นชุมชนและประเทศชาติก็เจริญรุ่งเรืองไปด้วย

ข้อ   7   เรามีความมั่นใจในตัวเองมากน้อยเพียงใด

ตอบ   ดิฉันมีความมั่นใจในตัวเองมากเพราะดิฉันได้มาอยู่ในบริษัทชั้นนำและได้ให้ความรู้กับดิฉันตลอดเวลามีการจัดการอบรมในด้านต่างๆในการจัดอบรมแต่ละครั้งนั้นใช้เงินเป็นจำนวนมากบริษัทก็มอบให้เพื่อต้องการให้องค์กรจะได้ก้าวทันโลก

2 สวัสดีค่ะอาจารย์ดิฉัน เสน่ห์ แก้วสกุล ขอส่งการบ้านที่อาจารย์ให้ใว้ในวันที่ 26 กันยายน ดังนี้ค่ะ 1. ประวัติศาสตร์ของอยุธยากับอินเดีย มีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร ศาสนาพุทธ มีตันกำเนิดในประเทศอินเดียก่อนพุทธศักราช นับว่าเป็นศาสนาที่สำคัญ และเป็นศาสนาที่คนไทยส่วนใหญ่นับถือ ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาสืบมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งเราจะสังเกตุได้จากการสร้างวัด ของกษัตย์สมัยอยูธยาจากหลายๆ พระองค์ ตามในประวัติศาสตร์ของอยุธยา 2. ไปศึกษานอกสถานที่แล้วได้อะไรมาบ้าง ตามธรรมชาติคนเรานั้นเมื่อได้ออกนอกสถานที่แล้วย่อมมีความตื่นเต้น เพราะต้องได้พบกับสิ่งใหม่ๆ เช่นเดียวกับมี่ดิฉัน ในการไปครั้งนี้ก็เหมือนกันถึงแม้ว่าอยุธยาดิฉันจะไปมาแล้วก็ตาม แต่ก็มีความแตกต่างกับที่ดิฉันเคยไปมากเพราะ ดิฉันได้ทราบถึงประวัติศาสตร์ของสมัยกรุงศรีอยุธยามากขึ้น เพราะได้มีผู้ให้ความรู้มาบรรยายถ฿งประวัติต่างๆให้ทราบ ทำให้ดิฉันรู้ในอีกหลายๆเรื่องและเกิดความรักการเป็นไทยมากขึ้น 3 สำราจความสัมพันธ์ของไทยกับอินเดียอาทิเช่น การค้าขาย การคมนาคม การเมือง ด้านการเมือง ในช่วงสงครามกัมพูชา ไทยกับอินเดีย เกิดความห่างเหินไปช่วงหนึ่ง และกลับมามีความสัมพันธ์กันอีกครั้งเมื่อในปลายทศวรรชที่ 1980 ด้านการค้า ยังมีปริมาณไม่มาก แต่ในขณะนี้ไทยและอินเดียมีเป้าหมายที่จะเพิ่มมูลค่าทางด้านการค้าของทั้งสองฝ่ายให้มากขึน ด้านการคมนาคม ในปี 2544 นายกรัฐมนตรีไทยและอินเดียมีความร่วมมือไตรภาคีในการเชื่อมโยง ถนนระหว่างไทย-อินเดีย เพื่อส่งเสริมการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว ฯลฯ 4. เป้าหมายของตัวเราอีก 5 ปี ข้างหน้าเรามีเป้าหมายชีวิตอย่างไร เป้าหมายในชีวิตของดิฉัน ดิฉันขอยึดตามหลักของมาสโร และดิฉันขอสู้กับความตั้งมั่น เพื่อให้สู่ความสำเร็จของตนเอง และในอีก 5 ปีข้างหน้า ดิฉันตั้งเป้าหมายของชีวิตใว้ว่าหากดิฉันจะทำได้หรือไม่ได้ก็ตาม ขอเพียงให้ดิฉันประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน เป็นที่ยอมรับของผู้บริหารและเพื่อนร่วมงานพร้อมทั้งบุคคลในองค์กรทุกๆคน 5 ยุทธวิธีในการไปให้ถึงเป้าหมายของตัวเราควรทำอย่างไร เพื่อไปให้ถึงเป้าหมายโดยเร็วของดิฉันในขณะนี้มีเพียงอย่างเดียวคือ ความตั้งใจในการทำงาน ติดตามข่าวสารความเคลื่อนใหวต่างๆ และจะมั่นฝึกฝนทักษะต่างๆจากการเรียนรู้ให้ได้มากที่สุด 6 เรามีความสามารถที่จะไปสู่เป้าหมายและสำเร็จได้หรือไม่ ความสามารถของดิฉัน คิดว่าถ้าตราบใดที่เรามีความหวัง เรามีเป้าหมายชีวิตเราก็ต้องมีความพยายาม ที่จะนำพาตนเองให้ไปถึงสู่เป้าหมายของเรา ซึ่งดิฉันจะต้องทำได้อย่างแน่นอนค่ะ 7 เรามีความมั่นใจในตัวเองมากน้อยเพียงใด หากว่าถ้าเราเกิดมีความหวัง มีเป้าหมายในชีวิตแล้วสิ่งที่ตามมาคือความมานะ ความพยายาม ความเชื่อมั่นในตนเองว่าถ้าเราต้องการสิ่งใดแล้วเราก็ต้องทำให้ได้ตามที่เราตั้งความหวังใว้ ซึ่งตัวของดิฉันเองมีความมั่นใจในตัวเองมากที่จะนำพาตนเองให้ถึงสู่เป้าหมายในชีวิต เพื่ออนาคตต่อไป สวัสดีค่ะ
สุทิน สุขประเสริฐ

เรียนอาจารย์จีระที่เคารพผมนายสุทิน  สุขประเสริฐขอส่งการบ้านจากการที่ได้ออกไปศึกษานอกสถานที่ดังต่อไปนี้

ข้อ 1  ประวัติศาสตร์ของอยุธยากับอินเดียมีความเกียวข้องกันอย่างไร

ตอบ. สมัยอยุธยานั้นมีความเกี่ยวข้องกับอินเดียหลายทางไม่ว่าจะเป็นทางด้านการค้าขาย   การเมือง  แล้วยังมีความสัทพันธ์ที่มีความสำคัญมากได้แก่  ความสำคัญทางด้านศาสนาเพราะศาสนาพุทธนั้นมีต้นกำเนิดมาจากประเทศอินเดียซึ่งได้เข้ามาเผยแพร่ที่ประเทศไทยมากและศาสนาพุทธจึงเป็นที่นับถืออันดับหนึ่งของประเทศไทย

ข้อ 2 ไปทัวร์นอกสถานที่แล้วได้อะไร

ตอบ   การที่ได้ไปทัวร์นอกสถานที่ของการเรียนครั้งนี้ทำให้ผมรู้ถึงประวัติศาสตร์ของประเทศไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยาว่ามีความรุ่งเรืองมากน้อยเพียงใดและมากกว่าการเรียนในห้องสมัยเป็นนักเรียนและทำให้รู้ว่าบรรพชนของเราต้องต่อสู้กับอะไรบ้างเพื่อปกป้องบ้านเมืองให้พ้นจากการรุกรานของต่างชาติที่จะมายึดครอง

ข้อ 3  สำรวจความสัมพันธ์ของไทยกับอินเดีย

ตอบ  ความสำพันธ์ของไทยกับอินเดียนั้นมีอยู่หลายอย่างเช่น  การค้าขาย  การคมนาคม  การเมือง   มีความสำพันธ์ทางการฑูต  ไทยสถาปนาความสำพันธ์ทางการฑูตอินเดียเมื่อวันที่ 1  สิงหาคม  2490

ข้อ  4  เป้าหมายของตัวเราเองอีก5ปีข้างหน้าเรามีเป้าหมายของชีวิตอย่างไร

ตอบ   ผมคิดว่าจะต้องทำงานอยู่ในบริษัทต่อไปเพราะอยากทำงานเพื่อทีจะเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาบริษัทให้เป็นที่รู้จักของคนทั่วโลกและถ้าบริษัทมีความมั่นคงเราก็มีความมั่นคงด้วย

ข้อ  5  ยุทธวิธีในการไปให้ถึงเป้าหมายของตัวเองควรทำอย่างไร

ตอบ   เราต้องเป็นคนขยันและใฝ่หาความรู้ให้มากไม่ว่าจะเป็นเรื้องทางการเมือง  สังคมธุระกิจ   และรู้จักการทำงานให้เป็นทีมและต้องยอมรับความคิดเห็นของคนอื่นด้วยแต่ที่สำคัญคือเราต้องมั่นใจในตัวเอง

ข้อ  6   เรามีความสามารถที่จะไปให้ถึงเป้าหมายและความสำเร็จได้หรือไม่

ตอบ   การที่จะทำอะไรลงไปแล้วนั้นทุกคนต้องยอมรับว่าทุกคนคิดถึงความสำเร็จแทบทุกคนทั้งนั้นแต่จะสำเร็จหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับความมั้นใจในตัวเองของแต่ละคนว่าจะมีมากหรือน้อยถ้าทุกคนมีความมั้นใจในตัวเองแล้วทุกอย่างที่ทำลงไปจะสำเร็จได้

ข้อ  7  เรามีความมั้นใจในตัวเองมากน้อยเพียงใด

ตอบ    ในความคิดของผมแล้วผมคิดว่าต้องถามตัวเงก่อนว่ามีความมั้นใจในตัวเองมากน้อยเพียงใดและผมคิดว่าสิ่งที่จะสร้างความมั้นใจให้ตัวเองนั้นเราต้องมีความรู้และความสามารถในตัวเองดังนั้นเราจึงต้องใฝ่รู้และต้องเรียนรู้ให้มากถึงจะสร้างความมั้นใจให้ตัวเองได้มาก

เรียนอาจารย์จีระ หงษ์ลัดดารมภ์ได้ออกไปทัวร์นอกสถานที่ที่จังหวัดอยุธยาเมื่อวันที่ 26 ก.ย. 2550จะขอส่งการบ้านดังนี้ 1.ในประวัติศาสตร์ของอยุธยากับอินเดียมีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร. ตอบ หลังจากพระพุธทเจ้าปรินิพานแล้วสาวกของพระองค์ก็ยังช่วยกันเผยแผ่พระพุธทศาสนาจนกระทั่งประมาณ พ.ศ. 300 พระเจ้าอโศกมหาราชแห่งเมืองปาฎาลีบุตรร่วมกับคณะสงฆ์ ได้ส่งพระสงฆ์ออกประกาศพระพุธทศาสนาทั้งภายในและภายนอกประเทศอินเดียคณะสงฆ์สายหนึ่งได้เข้ามายังสุวรรณภูมอันได้แก่ดินแดนในเขตประเทศพม่าและในไทยปัจจุบันนี้ พระพุธทศาสนาได้เจริญรุ่งเรีองขึ้นเป็นลำดับจนถึงสมัยสุโขทัยเป็นราชธานีพ่อขุนรามคำแหงมหาราชจึงได้ทรงรับเอา พระพุธทศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไทยและเป็นศาสนาประจำชาติเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัณ 2. ไปทัวร์นอนสถานที่แล้วได้อะไรมาบ้าง. ตอบ การไปทัวร์นอกสถานที่ครั้งนี้ได้รับความรู้อะไรหลายๆเพิ่มเติมและไม่ซ้ำซากจำเจกว่าการเรียนในห้องเรียนที่ ถึงเวลาก็เปิดตำราฟังครูสอน พอได้มาเห็นและเรียนในสถานที่จริงแล้วความเป็นมาจึงทำให้เข้าใจมากยิ่งขึ้น 3. สำรวจความสัมพันธ์ของไทยกับอินเดีย อาทิเช่น การค้าขาย การคมนาคม การเมือง ตอบ 3.1 การค้าขายด้านเศรษฐกิจไทยให้ความสำคัญต่อการดำเนินความสำพันธ์ทางเศรธฐกิจกับอินเดียอย่างสูงโดยคำนึง5.ถึงศักยภาพทางเศรษฐกิจของอินเดียและขนาดของตลาดซึ่งมีประชากรระดับกลางสูงตลอดจนความก้าวหน้าทาง5ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 3.2 การเมืองในขณะนี้แม้ว่าอินเดียจะจัดตั้งรัฐบานชุดใหม่ภายใต้การนำของพรรคคองเกรสแต่ก็ได้แสดงเจตจำนงชัดเจนว่าต้องการกระชับความสัมพันธ์กับไทยไห้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นและยืนยันที่จะปฎิบัติตามพันธกรณีที่รัฐบาลชุดที่แล้วของอินเดียมีต่อไทยสืบต่อไป 3.3 การคมนาคมตลาดนักท่องเที่ยวอินเดียเป็นตลาดนักท่องเที่ยวหลักสำคัญที่สุดใหภูมิภาคเอเซียใต้โดยเป็นตลาดใหญอันดับที่ 14 เมื่อเทียบกับตลาดขาเข้าอื่นๆ 4. เป้าหมายของตัวเราว่าอีกปีข้างหน้าเรามีเป้าหมายของชีวิตไว้อย่างไร. ตอบ คนเราต้องทำงานเพื่อส่วนรวมและองค์กรที่เราทำอยู่อย่างมีประสิทธิภาพทำอย่างทุ่มเทซื่อสัตย์และต้องมีจริยธรรมคุณธรรมในการปรกครองควบคู่กับความสามารถตรงนี้จะส่งผลถึงอนาคตของเรา 5. ยุทธวิธีในการไปให้ถึงเป้าหมายของตัวเรา. ตอบ การที่จะไปให้ถึงเป้าหมายนั้นคงไม่ยากถ้าเรารักและซื่อสัตย์ต่อหน้าที่งานที่เราทำอยู่ 6. เรามีความสามารถที่จะไปสู่เป้าหมายและความสำเร็จได้หรือไม่. ตอบ คนเรามีความสามารถที่จะไปสู่เป้าหมายและความสำเร็จของชีวิตได้ขึ้นอยู่กับบุคคลคนนั้ยมีความพยายามมากน้อยเพียงใดถ้าฝันที่จะไปให้ใกลแล้วต้องไปให้ถึง 7. เรามีความมั่นใจในตัวเองมากน้อยเพียงใด. ตอบ มีความมั่นใจในตัวเองพอสมควรแต่พยายามผลักดันตัวเองไปสู่ความฝันอันสูงสุดให้ได้ในชีวิตแม้จะแลกด้วยเวลา ฉัตรเทพ ศรีห่วง
เรียนอาจารย์จีระ หงษ์ลัดดารมภ์ ดิฉันบุญช่วย พูลทองได้ออกไปทัวร์นอกสถานที่เมื่อวันที่ 26 ก.ย 2550 ที่ จ.อยุธยาจะขอส่งการบ้านดังนี้ 1.ในประวัติศาสตร์ของอยุธยากับอินเดียมีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร. ตอบ ศาสนาระหว่างอยุธยากับอินเดียมีความสำคัญมากเพราะเป็นศาสนาที่เกิดขึ้นในประเทศอินเดียนับว่าเป็นศาสนาที่สำคัญที่สุดในโลกศาสนาหนึ่งผู้ให้กำเนิดพระพุทธศาสนาคือพระพุทธเจ้ามีพระนามว่า สิทธัตถะ ต่อมาพระองค์ได้ตรัสรู้แล้วพระองค์ก็ทรงหาหนทางที่จะนำประชาชนทั้งหลายให้พ้นทุกข์โดยประชาชนในสมัยนั้นก็หันมานับถือศาสนา ต่อมาพระพุทธเจ้าปรินิพานสาวกของพระองค์ก็ช่วยกันเผยแผ่ศาสนาเป็นต้นมา จนกระทั่งคณะสงฆ์สายหนึ่งได้เข้ามายังสุวรรณภูมิ อันได้แก่ดินแดนในเขตประเทศพม่าและไทยในปัจจุบันพระพุทธศาสนาได้เจริญรุ่งเริองขึ้นในดินแดนนี้พระพุทธศาสนากับชนชาติไทยคลุกเคล้ากันมาเป็นเวลาอันยาวนาน ศิลปวัฒนธรรมตลอดจนขนบธรรมเนียมประเพณีของไทยก็ได้รับการหล่อหลอมมาจากพระพุทธศาสนาทั้งสิ้น 2.ไปทัวร์นอกสถานที่แล้วได้อะไรมาบ้าง ตอบ ได้รับรู้เรื่องราวความเป็นมาของประวัติศาสตร์ สมัยกรุงศรีอยุธยามากขึ้นและยังมีความรู้สึกภูมิใจอย่างมากกับการเสียสสะของบรรพบุรุษไทยในสมัยนั้น 3. สำรวจความสำพันธ์ของไทยและอินเดีย อาทิเช่น การค้าขาย การคมนาคม การเมือง. ตอบ 3.1 ในด้านการค้าขาย ไทยและอินเดียได้ร่วมลงนามในความตกลงว่าด้วยการจัดตั้งเขตการค้าเสรีไทยและอินเดีย เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2546 ในระหว่างการเยือนไทยอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรีอินเดีย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เป็นกลไกสำคัญที่ขจัดอุปสรรคทางการค้า และช่วยขยายการค้าระหว่างกันนอกจากนี้ยังดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติด้วย 3.2 ในด้านการเมือง ในช่วงแรกความสัมพันธ์ไทยกับอินเดียค่อนข้างห่างไกลกันเนื่องจากไทยเห็นว่าอินเดียมีความใกล้ชิดกับสหรัฐฯจึงไม่มีความไว้วางใจต่อกันและกันเมื่ออินเดียเปิดเสรีทางเศรษฐกิจจึงทำให้ความสัมพันธ์ของไทยและอินเดียพัฒนาไปทางที่ดีขึ้น 3.3 ทางการคมนาคม ไทยและอินเดียร่วมมือเพื่อส่งเสริมการค้าการลงทุนเพื่อการท่องเทื่ยวและการไปมาหาสู่ระหว่างประชาชน 4. เป้าหมายของตัวเราอีก 5 ปีข้างหน้าเรามีเป้าหมายของชีวิตอย่างไร. ตอบ ดิฉันจะตั้งใจพัฒนาองค์กรให้ดีกว่าทุกวันนี้ เพื่อบรรลุถึงความสำเร็จในอนาคต 5. ยุทธวิธีในการไปถึงเป้าหมายของตัวเรา. ตอบ การไปสู่เป้าหมายอันสูงสุดเราก็ต้องใช้ความพยายาม ความสามารถที่มีอยู่บวกกับความซื่อสัตว์ และมีความจริงใจกับงานที่เราทำอยู่เพื่อเป้าหมายแห่งความสำเร็จ 6. เรามีความสามารถที่จะไปสู่เป้าหมายและความสำเร็จหรือไม่. ตอบ แรงจูงใจคือบันไดแห่งความสำเร็จ เพราะถ้าเรามีความพยายามความจริงใจและความซื่อตรง ประกอบด้วยมีความตั้งใจที่จะทำ และทำอย่างต่อเนื่อง ดิฉันคิดว่าต้องถึงเป้าหมายและมีความสำเร็จ 7. เรามีความมั่นใจในตัวเองมากน้อยเพียงใด. ตอบ ดิฉันมั่นใจว่าจะนำพาองค์กร พัฒนางานที่มีคุณภาพให้กับบริษัทอินโดรามาให้ดียิ่งขึ้นไป
กราบเรียนท่านอาจารย์ ดร.จีระ ที่นับถือ
 ดิฉันยุพาพรรณ   แสวงทอง ครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ 5 ที่ได้มีโอกาสพบกับอาจารย์และคณะ และครั้งนี้นับเป็นที่น่าภาคภูมิใจเป็นอันมาก เพราะอาจารย์ได้พาพวกเราไปย้อนรอย
ประวัติศาสตร์ของกรุงศรีอยุธยา อันเป็นเมือง " ราชธานีเก่า อู่ข้าวอู่น้ำ เลิศล้ำกานท์กวี คนดีศรีอยุธยา "  ทำให้พวกเราได้รับความรู้ทางด้านประวัติศาสตร์ของไทยเราในอีกหลาย ๆ ด้าน รวมทั้งสถานที่
สำคัญ ๆ ทางประวัติศาสตร์อีกด้วย สำหรับประวัติศาสตร์และความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับอินเดียในอดีตกาล น้องทุก ๆ คนก็ได้กล่าวกันไปบ้างแล้ว ดิฉันขอเสริมส่วนที่ยังไม่มีใครกล่าว ดังนี้ค่ะ
1. ประวัติศาสตร์ของกรุงศรีอยุธยากับอินเดียในอดีตกาล  อาณาจักรอยุธยา เป็นอาณาจักรของไทยในอดีต มีหลักฐานของการเป็นเมืองในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ตั้งแต่ประมาณพุทธศตวรรษที่ 16-18  โดยมีร่องรอยของที่ตั้งเมืองโบราณสถาน โบราณวัตถุ และเรื่องราวเหตุการณ์ในลักษณะตำนานพงศาวดารไปจนถึงศิลาจารึก ซึ่งถือว่าเป็นหลักฐานร่วมสมัยที่ไกล้เคียงเหตุการณ์มากที่สุด ว่าก่อนการสถาปนากรุงศรีอยุธยาใน พ.ศ. 1893 นั้น ได้มีบ้านเมืองตั้งอยู่ก่อนแล้ว มีชื่อเรียกว่าเมืองอโยธยา หรือ อโยธยาศรีรามเทพนคร หรือ เมืองพระราม ที่ตั้งอยู่บริเวณด้านตะวันออกของเกาะ เมืองอยุธยาเป็นเมืองที่ความเจริญ
ทางการเมืองการปกครอง และมีวัฒนธรรมที่รุ่งเรืองแห่งหนึ่ง มีการใช้กฏหมายในการปกครอง 3 ฉบับ คือ พระอัยการลักษณะเบ็ดเสร็จ พระอัยการลักษณะทาส และพระอัยการลักษณะกู้หนี้
 สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 หรือพระเจ้าอู่ทอง ทรงสถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีเมื่อวันที่ 3 เมษายน ศูนย์กลางของอาณาจักรสยาม มีชื่อตามพงศาวดารว่า กรุงเทพทวาราวดี ศรีอยุธยา มหาดิลกภพนพรัตนราชธานีบุรีรมย์ ดำรงมั่นคงสืบต่อยาวนานถึง 417 ปี จนถึงวันที่  7 เมษายน พ.ศ. 2510 มีประวัติในการปกครอง การกอบกู้อิสรภาพ วีรกรรมและขนบธรรมเนียมประเพณีมากมาย เป็นเมืองที่อุดมสมบูรณ์ด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหาร ดังคำกล่าวว่า "ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว" ทั่วทั้งจังหวัดพระนครศรีอยุธยายังมากมายไปด้วย วัดวาอาราม ปูชนียสถาน และปูชยนียวัตถุมากมาย
 อาณาจักรอยุธยามีพระมหากษัตริย์ปกครองสืบต่อกันมาถึง 33 พระองค์ และมีพระราชวงศ์ผลัดเปลี่ยนกันครองรวม 5 ราชวงศ์
1. ราชวงศ์อู่ทอง มี 3 พระองค์
2. ราชวงศ์สุพรรณภูมิ มี 13 พระองค์
3. ราชวงศ์สุโขทัย มี 7 พระองค์
4. ราชวงศ์ปราสาททอง มี 4 พระองค์
5. ราชวงศ์บ้านพลูหลวง มี 6 พระองค์
*** สำหรับรายละเอียดหาดูได้ในเว็ปไซด์ ของ google.พระมหากษัติรยฺ์ไทยในรัชมัยต่าง ๆ ***
กรุงศรีอยุธยาสูญเสียเอกราชให้แก่พม่า ใน พ.ศ. 2112 สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงกู้เอกราชคืนมาได้ใน พ.ศ. 2127 และเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 ในปี พ.ศ. 2310 สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงกอบกู้เอกราชได้ในปลายปีเดียวกัน แล้วทรงสถาปนากรุงธนบุรีเป็นราชธานีแห่งใหม่ กวาดต้อนผู้คนจากกรุงศรีอยุธยาไปยังกรุงธนบุรี เพื่อสร้างบ้านเมืองแห่งใหม่ให้มั่นคง แต่กรุงศรีอยุธยาก็ไม่ได้กลายเป็นเมืองร้าง ยังมีคนที่รักถิ่นฐานบ้านเดิมอาศัยอยู่ และมีราษฏรที่หลบหนีไปอยู่ตามป่ากลับเข้ามาอาศัยอยู่รอบ ๆ เมือง รวมกันจนทางการยกเป็นเมืองจัตวา เรียกว่า " เมืองกรุงเก่า"
2. ความสัมพันธ์ไทยกับอินเดีย
ความสัมพันธ์ระหว่างอินเดียและไทย เป็นความสัมพันธ์ที่ยาวนานในแง่มุมที่ลุ่มลึก ซึ่งความสัมพันธ์นี้ สามารถแบ่งออกเป็น 2 ช่วง คือ ช่วงอดีต และช่วงปัจจุบัน แต่ทั้ง 2 ช่วงนี้ก็มีสายใยแห่งความหมาย
ที่โยงถึงกันไทยและอินเดียในอดีต ความสัมพันธ์ไทย-อินเดียในอดีต เป็นความสัมพันธ์กันในมิติทาง
ศาสนาและวัฒนธรรม ความสัมพันธ์กันในมิตินี้ มีความเก่าแก่ยิ่งกว่าประวัติศาสตร์ชาติไทย นั่นคือ ขณะที่เราเรียนรู้ประวัติศาสตร์ชาติไทยย้อนหลังไปได้ประมาณ 700 - 1,000 ปี แต่ความสัมพันธ์ของ
ประชาชนบนแผ่นดินที่ปัจจุบันเป็นประเทศไทย มีความสัมพันธ์กับอินเดียมานานกว่า 1,000 ปี
ศาสนาของชาวอินเดียทั้งพุทธและพราหมณ์ได้เข้ามามีอิทธิพลเหนือจิตใจของประชาชนแถบนี้มานานนับพันปีแล้ว ไม่ว่าในช่วงอาณาจักรสุโขทัย อาณาจักรล้านนา หรือกรุงศรีอยุธยา ล้วนแต่พบว่า ชาติไทยถูกสร้างขึ้นมาจากความรู้สึกสำนึกภายในกรอบของความเชื่อแบบอินเดีย ที่เสนอผ่าน
ศาสนาพุทธและพราหมณ์ ความเป็นชุมชนไทยที่วางตั้งอยู่บนความสัมพันธ์ ที่มีหลักธรรมใน
พุทธศาสนาเป็นฐานรองรับ ความเป็นรัฐไทยที่มีโครงสร้างของอำนาจที่กำหนดไว้ตามคติแห่ง
พุทธและพราหมณ์ ล้วนแต่เป็นผลผลิตทางความคิดจากอินเดียจึงไม่เกินความเป็นจริงหากจะกล่าวว่า เราสร้างสังคมไทยและชาติไทยขึ้นมา จากองค์ประกอบทางความเชื่อที่นำเข้ามาจากอินเดีย
แม้เมื่อเราได้สร้างสังคมและชุมชนด้วยองค์ประกอบทางความคิดจากอินเดียแล้ว เราก็ยังนำเข้าจารีต วัฒนธรรมต่าง ๆ จากอินเดียเข้ามาเป็นระยะ ไม่ว่าจะเป็นภาษา วรรณกรรม ศิลปกรรมและวัฒนธรรม อีกทั้งประเพณีต่างๆ ก็นำมาจากอินเดีย แล้วปรุงแต่งให้เหมาะสมกับชุมชนและสังคมไทยตลอดมา ความสัมพันธ์กันในมิติทางศาสนาและวัฒนธรรมระหว่างไทยและอินเดีย มาสะดุดหยุดลง
เมื่ออินเดียอ่อนแอลงในทางวัฒนธรรมและศาสนา สินค้าทางวัฒนธรรมที่ผลิตขึ้นในอินเดียเริ่ม
ขาดแคลนและลดน้อยลงสำหรับสังคมไทย ทั้งนี้ก็เพราะอินเดียซึ่งเป็นดินแดนที่ผลิตศาสนา
และวัฒนธรรมส่งออก มีปัญหาภายในที่ถูกรุกรานโดยชาวต่างชาติต่างวัฒนธรรม จึงไม่อยู่ในวิสัย
ที่จะผลิตวัฒนธรรมขึ้นมาใหม่ให้กับสังคมโลกได้ ในช่วงนี้เองที่ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและอินเดีย
สะดุดลงความสัมพันธ์ไทย-อินเดียในยุคปัจจุบันเริ่มฟื้นคืนขึ้นมาอีกครั้ง ในช่วงรัชสมัยของพระบาท
สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ขณะที่เป็นยุวกษัตริย์ ได้เสด็จประพาสอินเดีย ในปี ค.ศ. 1872 ซึ่งขณะนั้นอินเดียเป็นประเทศอาณานิคมของอังกฤษ และความสัมพันธ์ไทย-อินเดียปรากฏชัด
ยิ่งขึ้น ในช่วงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 ซึ่งพระองค์ได้ทรงเคย
ศึกษาอยู่ในประเทศอังกฤษ พระองค์ทรงสนพระราชหฤทัยวรรณกรรมของอินเดีย จนถึงกับทรงมี
พระราชนิพนธ์งานหลายชิ้นที่เป็นการรื้อฟื้นกลิ่นอายของอินเดียให้มาปรากฏในความรู้สึกของประชา
ชนคนไทยอีกครั้ง ดังงานพระราชนิพนธ์ เช่น รามเกียรติ์ ศกุนตลา มัทนะพาธา ฯลฯ เป็นต้น
นอกจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 แล้ว ก็ยังมีนักปราชญ์ท่านอื่นที่ให้ความสำคัญ
กับความเป็นอินเดีย ด้วยการถ่ายทอดความเป็นอินเดียให้ปรากฏในงานวรรณกรรมมาสู่ภาค
ภาษาไทย นักปราชญ์เหล่านั้น เช่น ท่านเสถียรโกเศศ, ท่านนาคประทีป, อาจารย์แสง มนวิทูร เป็นต้นในกระบวนการสร้างสายสัมพันธ์ไทยกับอินเดียนั้น นอกจากชาวไทยแล้ว ชาวอินเดียเองก็ได้
มีบทบาทในการสร้างสรรค์นี้ด้วยในช่วงปลายยุคอาณานิคมอังกฤษซึ่งมีอำนาจเหนือแผ่นดินอินเดีย
นั้น ชาวอินเดียได้ต่อสู้เพื่ออิสรภาพแห่งความเป็นอินเดีย ประเทศไทยได้มีส่วนโดยอ้อมคือ ได้ให้ที่พักพิงแก่นักบวชฮินดูที่ต้องลี้ภัยออกมาจากอินเดีย แล้วมาอาศัยแผ่นดินไทยอยู่ประเทศอินเดีย
มีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมไทยหลายอย่าง เช่นศาสนาหลัก ๆ ที่เรานับถือกันอยู่เวลานี้คือ
พุทธศาสนาและศาสนาฮินดูก็มาจากอินเดีย วรรณคดีที่สำคัญของเราบางเรื่องเช่น "รามเกียรติ์" ก็มาจากอินเดีย แม้ระบบการปกครองและระบบกฎหมายไทยโบราณก็ได้มาจากประเทศอินเดีย สถาบันพระมหากษัตริย์อย่างที่เรามีอยู่เวลานี้ก็มาจากแนวคิดของอินเดีย ศาสนาพราหมณ์เข้า
มาในสุวรรณภูมิก่อนพุทธศาสนา ดังหลักฐานจากโบราณสถานต่าง ๆ โดยเฉพาะ ในยุคขอมเรือง
อำนาจ พิธีกรรมของศาสนาพราหมณ์เป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตคนไทยและผสมกลมกลืนกับ
 พิธีกรรมทางพระพุทธศาสนา และเป็นพระราชพิธีที่สำคัญของสถาบันพระมหากษัตริย์ตราบ
ถึงปัจจุบัน ศาสนาพราหมณ์ ีฐานะเป็นองค์กรทางศาสนาและเป็นหน่วยงานในสังกัดสำนักพระราชวัง
คือ สำนักพราหมณ์พระราชครูในสำนักพระราชวัง มีสำนักงานอยู่ที่ เทวสถานโบสถ์พราหมณ์ เสาชิงช้า กรุงเทพมหานคร ต้นพระศรีมหาโพธิ์อินเดีย ในปี พ.ศ.2484 จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี ได้ส่งผู้แทนพิเศษไปอินเดีย โดยมี ฯพณฯ ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ เป็นหัวหน้าคณะ เพื่อขอให้รัฐบาลอินเดีย ช่วยแบ่งกิ่งตอนต้นโพธิ์ให้แก่ประเทศไทย และรัฐบาลอินเดียก็ได้รีบจัด
ส่งต้นโพธิ มาให้ประเทศไทยทางเครื่องบิน จำนวน 5 ต้น โดยรัฐบาลได้แบ่งต้นโพธิปลูกที่วัด
พระศรีมหาธาตุกรุงเทพมหานคร จำนวน 2 ต้น ส่วนที่เหลืออีก 3 ต้น ได้จัดส่งไปปลูกที่ต่างจังหวัด ราม 3 แห่ง คือ 1. จังหวัดนครศรีธรรมราช ปลูกที่วัดพระมหาธาตุ 2. จังหวัดนครพนม ปลูกที่วัดพระธาตุพนม 3. จังหวัดเชียงใหม่ ปลูกที่วัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร พิธีปลูกต้นโพธิ์ในแต่ละจังหวัดนั้น มีสมเด็จมหาวีรวงศ์ สังฆนายกเป็นประธานในพิธีทุกครั้ง
3. เรียนนอกสถานที่แล้วได้อะไร
การไปเรียนนอกสถานที่ในครั้งนี้ นับเป็นความแปลกใหม่ของพวกเรา เพราะทุกครั้งที่ผ่านมา เราจะเรียนกันในห้อง โดยมีอาจารย์เป็นผู้บรรยาย แต่ในครั้งนี้เราได้ไปเรียนกันนอกสถานที่ และยังเป็นสถานที่ที่สำคัญในประวัติศาสตร์ของกรุงศรีอยุธยา โดยมีมัคคุเทศน์เป็นผู้บรรยายให้ทราบ ทำให้เราได้สัมผัสถึงความเป็นมาของสถานที่ต่าง ๆ ปราสาท พระราชวังของราชวงศ์ต่าง ๆ การสร้างวัดวาอารามที่เกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์ในอดีต รวมทั้งการสร้างเมือง ล้วนแล้วแต่มีความหมายทั้งสิ้น อย่างเช่น การสร้างอาณาจักรอยุธยาได้ถือกำเนิดโดยพระเจ้าอู่ทองได้ตั้งขึ้นในเมืองเก่าอโยธยามาก่อน ในบริเวณที่เรียกว่า หนองโสน ซึ่งมีแม่น้ำ 3 สาย คือ แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำลพบุรี และแม่น้ำป่าสัก มาบรรจบกัน คนทั่วไปเรียกตัวเมืองอยุธยาว่า เกาะเมือง เพราะมีรูปลักษณะคล้ายเรือสำเภา โดยมีหัวเรืออยู่ทางด้านทิศตะวันออก เนื่องจากกรุงศรีอยุธยามีการขุดคูคลองเชื่อมโยงสัมพันธ์กันกับแม่น้ำใหญ่รอบเมือง จึงทำให้อยุธยามีสภาพเป็นเกาะมีแม่น้ำล้อมรอบ สาเหตุที่มาสร้างพระนครใหม่ สันนิษฐานว่า เกิดจากการระบาดของอหิวาตกโรค เจ้านาน ขุนนาง และผู้คนเสียชีวิตกันไปมาก
4. เป้าหมายในอีก 5 ปีข้างหน้า  ทุกคนคงต้องมีเป้าหมายในชีวิตอย่างแน่นอนและเป้าหมายที่ทุกคนปรารถนา ก็คงหนีไม่พ้นความสำเร็จในชีวิตตามที่ได้ตั้งเป้าหมายไว้ สำหรับตัวเองนั้นเป้าความสำเร็จในชีวิตคือ การที่เราได้ทำหน้าที่ของเราให้ดี่ที่สุดทั้งในด้านการทำงาน และครอบครัว เช่น การเลี้ยงดูบิดามารดาให้มีความสุขในบั้นปลายของชีวิต เลี้ยงดูบุตรธิดา อบรมสั่งสอนให้เขาใฝ่ดีรักดีและเป็นคนดี ส่งเสียให้เขาได้เล่าเรียนตามความสามารถ จนพวกเขาเติบใหญ่มีอาชีพที่สุจริตทำพอเลี้ยงตัวเองและครอบครัวของเขาได้ เป็นตัวอย่างที่ดีให้พวกเขาเดินตาม ถึงแม้จะไม่ได้ช่วยเหลือคนอื่นๆมากนัก แต่ก็ไม่ได้ทำให้ใครๆเดือดร้อน เป็นคนดีของสังคม ขยัน ซื่อสัตย์ อดทน อดออม และอดกลั้น ตั้งตนไว้ในที่ชอบ ไม่ประมาทในทุกสถานการณ์ มีชีวิตอยู่อย่างสมถะ พอกินพอใช้และพอเพียง รักษาศีลเว้นจากข้อห้ามทั้ง5  ใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบ นี่ก็คือความสำเร็จในชีวิตของดิฉัน
5 ยุทธวิธีที่จะไปสู่ความสำเร็จ   ความสำเร็จของชีวิต อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ทุกที่ ทุกขณะ อยู่ที่ว่าเราคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ทำให้เราประสบความสำเร็จในชีวิตของเราหรือไม่เท่านั้นเอง ขอให้มีสติ เดินสายกลาง แล้วใช้ชีวิตอย่างมีความสุข การพยายามไปสู่ความสำเร็จ บังคับตัวเอง ฝึกตัวเอง เพียรให้ตัวเอง ไปสู่เป้าหมายของความสำเร็จ การที่พยายามทำอยู่ เสมอ ตลอดเวลา คิดเสมอ ดำเนินชีวิตไปตามกรอบที่สังคมกำหนด มีทัศนคติที่ดีต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม และพร้อมที่จะลงมือทำทันที  สิ่งที่จะขาดเสียไม่ได้เลยคือการมีใจชอบ พอใจ และรักในงานนั้น ๆ เพราะงานแต่ละอย่างย่อมมีปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ มากมาย หากไม่มีแรงจูงใจอันนี้ เราก็จะไม่มีความสุขกับการทำงาน ทำให้เราขาดความอดทน อดกลั่น ขาดความบากบั่น ความพากเพียรที่จะแก้ปัญหาและอุปสรรค ให้ลุล่วงไปด้วยดี
6. มีความสามารถที่จะไปสู่ความสำเร็จได้หรือไม่ แน่นอนการที่จะไปสู่ความสำเร็จได้นั้นคงต้องใช้ความสามารถ และความเพียรพยายามอย่างมากมาย เราต้องมีสติ ตั้งสติให้มั่นไม่ว่อกแวกไปกับสิ่งรุมเร้ารอบตัวเรา เพราะหนทางที่เราก้าวเดินย่อมเต็มไปด้วยขวากหนาม ที่พร้อมจะทิ่มแทงเราทุกเมื่อ และสิ่งเหล่านี้คงต้องใช้เวลาในการฝึกฝนพอสมควร
7. มีความความมั่นใจเพียงใดที่จะไปสู่ความสำเร็จ  สิ่งสำคัญที่เราจะประสบความสำเร็จ คือเราต้องมีความมั่นใจในตัวเอง ว่าเราต้องทำได้ในสิ่งที่เราตั้งเป้าหมายไว้  (ความมั่นใจ มีชัย
ไปกว่าครึ่ง) เราสามารถที่จะสร้างความมั่นใจได้ ด้วยการหมั่นฝึกฝนหาความรู้จากสิ่งต่าง ๆ รอบตัวเราทั้งทางการงาน ครอบครัว และสังคม คือ เพื่อนร่วมงาน จากผู้บังคับบัญชา และผู้ใต้บังคับบัญชา  รวมทั้งสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ ทั้งวิทยุ-โทรทัศน์ และเทคโนโลยีที่ก้าวไกล เพีื่อที่จะได้รับข่าวสารและนำมาพูดคุยกับทุกคนได้ทุกเวลา พร้อมกับพัฒนาบุคคลิกภาพให้เหมาะสม สร้างทัศนคติที่ดีต่อคนรอบข้าง เท่านี้ก็เรียกความมั่นใจของเราได้แล้ว ขอบคุณค่ะ
เรียนอาจารย์ จีระ หงษ์ลดารมภ์ ดิฉัน บุญชู เทียนชัย จากที่ไปทัวร์นอกสถานที่เมื่อวันที่ 26/กันยายน/2550 ดิฉันขอตอบการบ้านดังนี้ 1.ในประวัติศาสตร์ของอยุธยากับอินเดียมีความเกื่ยวข้องกันอย่วงไร ตอบ การก่อตั้งอาณาจักรอยุธยาผู้สถาปนาอาณาจักรอยุธยาเป็นศูนย์กลางการปกครองคือสมเด็จพระรามาธิปดีที่ 1 เมื่อพ.ศ1893 พระเจ้าอู่ทองครองราชย์ระหว่างพ.ศ 1893-1912 อยุธยามีลักษณะภูมิประเทศเป็นเกาะมีแม่น้ำล้อมอยู่รอบ สามสายได้แก่แม่น้ำลพบุรี แม่น้ำป่าสักและแม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งถือเป็นทำเลทางภูมิศาสตร์เหมาะสมกับการตั้งเป็นราชธานี เนื่องจากอุดมสมบูรณ์และสะดวกแก่การคมนาคมค้าขายและเหมาะสมทางด้านยุทธศาสตร์การสู้รบดังนั้นอยุธยาจึงถูกตั้งเป็นราช ธานีและยิ่งใหญ่มาเป็นเวลานาน 417 ปีหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าชุมชนนี้มีความเจริญทางเทคโนโลยีการสร้างพระพุทธรูปขนาดใหญ่วัดธรรมมิกราชและพระพุทธไตรรัตนายกที่เรียกว่า หลวงพ่อโต วัดพนัญเชิงนอกจากนี้ใน พ.ศ2534.ภายในเกาะเมืองจังหวัดพระนครศรีอยุธยาได้รับประกาศให้เป็นหนึ่งในแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมของโลก สมเด็จพระรามาธิปดีที่ 1 ( พระเจ้าอู่ทอง ) ทรงขยายอำนาจโดยส่งกองทัพไปโจมตีหัวเมืองต่างๆ รวมทั้งสร้างความสัมพันธ์โดยการอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงต่างเมือง เมืองสุพรรณบุรีทำให้อยุธยาขยายอาณาเขตได้กว้างขึ้นถ้านับตั้งแต่ พ.ศ1893 สมเด็จพระรามาธิปดีที่ 1.พระเจ้าอู่ทองทรงเป็นกษัตริย์พระองค์แรกจนกระทั้งพ.ศ 2310 อยุธยามีพระมหากษัตริย์ทั้งสิ้น 33 พระองค์แม้ว่าสมัยอยุธยาได้สิ้นสุดลงแต่อยุธยาได้ถ่ายทอดความเจริญสืบถึงสมัยธนบุรีและรัตนโกสินทร์ อินเดียมีความเกื่ยวข้องกันอย่างไรพระพุทธศาสนาที่เกิดขึ้นในอินเดียก่อนพุทธศักราช 45 ปีตั้งแต่ปีที่พระพุทธเจ้าเสด็จเข้าสู่ปรินิพานเป็นศาสนาที่สำคัญในโลกศาสนาหนึ่งมีผู้นับถือหลายร้อยล้านคน ประเทศต่างๆทางเอเชียตะวันออกและเอเชียอาคเนย์ผู้ให้กำเนิดพระพุทธศาสนาคือพระพุทธเจ้าเมื่อตรัสรู้แล้วพระองค์ก็เสด็จเทื่ยวแนะนำสั่งสอนประชาชนในแคว้นๆในอินเดียชาวอินเดียในสมัยนั้นหันมานับถือพระพุทธศาสนาและเข้ามาบรรพชาอุปสมบทเป็นจำนวนมากพระพุทธเจ้าทรงสั้งสอนอยู่จนกระทั้งมีพระชนมายุได้ 80 พรรษาจึงปรินิพานแล้วสาวกของพระองค์ก็ยังช่วยกันเผยแพ่พระพุทธศาสนาสืบต่อมา 2.ไปทัวร์นอกสถานที่แล้วได้อะไรมาบ้าง ตอบ ในการไปคึกษานอกสถานที่ ได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ของอยุธยามากขึ้นว่ามีความสำคัญต่อประเทศชาติที่เราอยู่ความเป็นไปมาของเมืองเก่าได้ความรู้ได้ศึกษาบนรถ ได้ทำงานเป็นทีม 3.สำรวจความสัมพันธ์ของไทย กับอินเดีย อาทิเช่น การค้าขาย การคมนาคม การเมือง ตอบ ไทยให้ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับอินเดียโดยคำนึงถึงศักยภาพเศรษฐกิจของอินเดีย ของอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจขนาดของตลาดซึ่งมีประชากรระดับกลางสูงประมาณ 300 ล้านคน ความก้าวหน้าทางการค้ามากขึ้น 4.เป้าหมายของตัวเราอีก 5.ปีข้างหน้าเรามีเป้าหมายของชีวิตอย่างไร ตอบ จะตั้งใจทำงานหาความรู้ เวลาหัวหน้าสอนจะศึกษาหาความรู้ให้มากขึ้น และเป้าหมาย 5.ปีข้างหน้า ตั้งใจเป็นผู้นำในระดับกลางที่มีการพัฒนาอยู่ในการทำงานที่สูงขึ้นและตัวเองหวังทำงานในหน้าที่ ได้มีโอกาศช่วยบริษัทอินโดรามา ขยายบริษัทให้มากขึ้น เจริญก้าวหน้าต่อไป 5.ยุทธวิธีในการไปถึงเป้าหมายของตัวเรา ตอบ จะตั้งใจเรียนที่โรงงานได้หาอาจารย์เก่งๆ มาสอนจะทำให้ตัวเองมีความมั่นใจมากขึ้น จะพัฒนาตัวเองให้ดีที่สุดและติดตามข่าวสารต่างๆ 6.เรามีความสามรถที่จะไปสู่เป้าหมายและความสำเร็จได้หรือไม่ ตอบ ได้ มีประสบการณ์เพื่อให้เกิดความมั่นใจไปสู่เป้าหมายที่หวังว่าจะทำงานให้บริษัทเจริญก้าวหน้าต่อไป 7.เรามีความมั่นใจในตัวเองมากน้อยเพียงใด ตอบ ตัวเองต้องพัฒนาให้มากขึ้นโดยการที่ได้รับการอบรมการเรียนรู้ทำให้มีความมั่นใจสามรถทำให้ไปถึงเป้าหมาย

สวัสดีครับอาจารย์ผมนายเอกสิทธิ์  สิงห์สูง  จากการที่ได้ออกไปดูงานนอกสถานที่ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา  เมื่อวันที่  26 กันยายน  2550  อาจารย์ได้ให้การบ้านไว้ 7 ข้อ  ซึ่งผมจะขอตอบดังต่อไปนี้

ข้อ 1 พระพุทธศาสนาในประวัติศาสตร์ของอยุธยากับอินเดียมีความสัมพันธ์กันอย่างไร

ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่เกิดขึ้นที่ประเทศอินเดียก่อนพุทธศักราช 45  ปี  นับเป็นศาสนาที่สำคัญที่สุดในโลกศาสนาหนึ่งที่มีผู้นับถือหลายร้อยล้านคนสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชกษัตริย์แห่งเมืองปาฎาลีบุค ทรงเลื่อมใสพระพุทธศาสนามากจึงได้ส่งพระธรรมทูตไปเผยแพร่ศาสนาทั้งภายในและภายนอกประเทศอินเดียปรากฏว่าพระเจ้าอโศกมหาราชได้ส่งแระโสณเถระกับพระอุดเถระมายังดินแดนทีเป็นประเทศไทยภาคกลางในปัจจุบัน ซึ่งสมัยยังเป็นดินแดนอาณาจักรทวารวดีชาวอินเดียเรียกว่า สุวรรณภูมิ  โดยใช้เส้นทางเรือสู่ดินแดนที่เรียกว่า สุวรรณภูมิ  เชื่อกันว่าได้แก่ดินแดนแถบนครปฐม,ราชบุรีและสุพรรณบุรี ดังที่ปรากฎหลักฐานทางโบราณคดีในสมัยอาณาจักรทวารวดีดินแดนแถบนี้พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองมาก ศิลปะต่างๆทางพระพุทธศาสนาก็แสดงให้เห็นอิทธิพลอินเดียอย่างเห็นได้ชัด

ข้อที่ 2 ในการไปศึกษานอกสถานที่ ที่พระนครศีรอยุธยาแล้วได้อะไรบ้าง

1. ได้เป็นการศึกษานอกห้องเรียนเป็นครั้งแรกเป็นการผ่อนคลายไปในตัว

2. ได้รับรู้ประวัติศาสตร์ความเป็นมาของกรุงศรีอยุธยาในสมัยรุ่งเรืองและจนเสียกรุง

3.ได้เข้าชมโบราณสถานต่างๆ ที่มีความสวยงามและได้เข้าสักการะพระพุทธรูปที่สวยงาม

ข้อที่ 3 ความสัมพันธ์ของไทยกับอินเดีย เช่น การค้าขาย,การคมนาคม,การเมือง  มีความสัมพันธ์อย่างไร

- ไทยสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับอินเดียเมื่อ 1 สิงหาคม  2490  ขณะที่ไทยมีสถานเอกอัครราชทูตที่กรุงนิวเดลี  ส่วนอินเดียมีสถานเอกอัครราชทูตที่กรุงเทพและมีสถานกสุลใหญ่ที่เชียงใหม่และสงขลา

- การค้าขาย จะเห็นได้ว่าในปัจจุบันคนอินเดียได้มาสร้างบริษัทหรือโรงงานต่างๆในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก  เช่น ที่ลพบุรี  สระบุรี  นครปฐม  คนอินเดียกล้าที่จะมาลงทุนในประเทศไทยและเหมาะแก่การ คมนาคม  ทั้งทางบกและทางเรือ และทำให้คนไทยจำนวนมากมีงานที่มั่นคงทำ

4. เป้าหมายของตัวเราอีก 5 ปีข้างหน้าเรามีเป้าหมายชีวิตอย่างไร

- ผมตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะตั้งใจศึกษาหาความรู้ต่างๆ และนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์มากที่สุด

- จะพัฒนาตนเองให้ก้าวไปอยู่ในอีกจุดหนึ่ง และให้ทุกคนยอมรับและเป็นคนที่มีเหตุผล

- จะเป็นผู้นำที่ดีทั้งที่โรงงานและที่บ้าน

5. วิธีในการไปให้ถึงเป้าหมายของตัวเราควรทำอย่างไร

- มีความขยันอดทนซื่อสัตย์สุจริต

- มีความรอบรู้ ความรอบคอบ

- มีคุณธรรม

6. เรามีความสามารถที่จะไปสู่เป้าหมายและความสำเร็จได้หรือไม่

ได้ ความสามารถของผมจะไปสู่เป้าหมายนั้น ผมพร้อมที่จะรับทุกอย่างที่ทางบริษัทจะมอบให้เพื่อเป็นการเรียนรู้และเก็บเกี่ยวประสบการณ์ต่างๆ และนำมาใช้ประโยชน์

7. เรามีความมั่นใจในตัวเราเองมากน้อยเพียงใด

ความใจ ในตัวผมเพิ่มมากขึ้นตั้งแต่ได้รับการอบรมต่างๆ ที่ทางบริษัทมอบให้ทำให้ผมเป็นคนที่กล้าคิดกล้าแสดงออกและกล้าตัดสินใจในบางสิ่งบางอย่างในสิ่งที่ถูกต้องซึ่งเมื่อก่อนความมั่นใจในตัวผมมีน้อยมาก 

                                          ขอบคุณครับ

                                      เอกสิทธ์   สิงห์สูง

สวัสดีอาจารย์ผม  นาย กิตติ    แก้วพงษ์  ขอส่งการบ้านของอาจารย์  ดังนี้1.ในประวัติศาสตร์ของอยุธยากับอินเดีย มีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร1.1  วัฒนธรรมและศิลปกรรม วัฒนธรรมไทยสมัยอยุธยาได้รับอิทธิพลมาจากอินเดีย เป็นส่วนใหญ่  โดยอินเดียถ่ายทอดมายังขอมแล้วไทยรับมาอีกต่อหนึ่งโดยผสมผสานกับวัฒนธรรมเดิมในสมัยสุโขทัย  รูปแบบของวัฒนธรรมอินเดียที่ถ่ายทอดมายังไทยนั้นมีหลายประการ เช่น  ศาสนาพราหมณ์  ศาสนาพุทธ  ประเพณีสำหรับกษัตริย์  คำราชาศัพท์ ฯลฯ1.2 การเมืองการปกครอง  ในสมัยอยุธยาพระมหากษัตริย์ทรงเป็นสมมุติเทพพระมหากษัตริย์เป็นสถาบัน หลักในการปกครองบ้านเมืองฐานะของพระมหากษัตริย์ มีการ เปลี่ยนแปลงจากสุโขทัยไปบ้าง  เนื่องจากสมัยนี้ได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรม  เรื่องสมมุติเทพมาจากอินเดียคือ  พระมหากษัตริย์เปรียบเสมือนสมมุติเทพ ทรงมีพระราชอำนาจสูงสุดทรงเป็นเจ้าชีวิต  มีอำนาจเหนือชีวิตคนทุกคนในอาณาจักร2.ไปทัวร์นอกสถานที่แล้วได้อะไรมาบ้าง       การที่ผมได้ไปทัวร์นอกสถานที่ทำให้ผม ได้เห็น  โบราณสถาน  ศิลปกรรม วัฒนธรรมและความเป็นอยู่ของคนไทยในสมัยอยุธยา  และที่ผมตื่นเต้นมากที่สุด คือผมได้เข้าชมพระราชวังบางประอิน  เพราะผมได้เห็นและสัมผัสของจริงอย่างใกล้ชิด  ได้เห็นห้องทรงงาน  ห้องรับประทานอาหาร  ห้องรับแขก  ซึ่งจัดไว้อย่างสวยงาม  และในหลวงองค์ปัจจุบันก็ยังคงเสด็จมาที่นี่อยู่เป็นประจำ ได้รับความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในกลุ่ม เคพีดี มากขึ้น3.สำรวจความสัมพันธ์ของไทยกับอินเดีย  อาทิเช่น   การค้าขายการคมนาคมการเมือง       3.1  ความสัมพันธ์ทางการเมืองความสัมพันธ์ไทยกับอินเดียอยู่ในระดับปรกติไม่มีปัญหาใด  ๆ ระหว่างกัน  แม้ว่าในอดีตทั้งสองฝ่ายจะมีความเห็นต่อกรณีกัมพูชาแตกต่างกัน โดยอินเดียให้การรับรองระบอบเฮงสัมริน และงดออกเสียงต่อร่างข้อมติอาเซียนเรื่องกัมพูชาในสหประชาชาติ  อย่างไรก็ดี  นับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามเย็น  การเปลี่ยนแปลงนโยบายต่างประเทศและการดำเนินนโยบายเปิดเสรีทางเศรษฐกิจของอินเดีย  ทำให้ ความสัมพันธ์ของไทยกับอินเดีย  มีความใกล้ชิดกันมากขึ้นตามลำดับ        3.2  ความสัมพันธ์ทางการค้ามูลค่าการค้าไทย - อินเดียนับว่าอยู่ในระดับที่ต่ำเมื่อเทียบกับการค้าทั้งหมดของไทยโดยการส่งออกของไทยไปอินเดียมีส่วนเฉลี่ยเพียงประมาณร้อยละ  0.76  ทั้งนี้เนื่องจากโครงสร้างกาผลิตและการส่งออก  สินค้าหลายประเภทในตลาดโลก  เช่น  ข้าว  เครื่อง-หนัง  สิ่งทอ ฯลฯ  การที่อินเดียสามารถผลิตสินค้าเกษตรกรรมหลายชนิด  ได้เพียงพอกับความต้องการภายในประเทศ  ทำให้อินเดียตั้งมาตรการกีดกันสินค้าประเภทเกษตร  และสินค้าอุปโภคบริโภคจากภายนอกไว้สูง  อย่างไรก็ตามศักยภาพในการขยายปริมาณสินค้ายังมีอีมาก  ซึ่งรัฐบาลไทยกับรัฐบาลอินเดียก็ได้ตั้ง  เป้าหมายให้การค้าทั้งสองฝ่ายมีมูลค่า  2,000 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ  ภายในปี ค.ศ.1997 ตามผลของการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมสมัยที่  3  เมื่อปีค.ศ.  1996  แต่ปัจจุบันยังไม่สามารถบรรลุเป้าหมายต่าง  ๆ ได้       3.3 การเชื่อมโยงเครือข่ายคมนาคมในปี  2544นายกรัฐมนตรีไทยและอินเดียเห็นพ้องให้มีความร่วมมือไตรภาคี  ในการเชื่อมโยงถนนระหว่างไทย – พม่า – อินเดีย  เพื่อส่งเสริมการค้า  การลงทุน  การท่องเที่ยว  และการไปมาหาสู่ระหว่างประชาชน เช่น       ด้านการบิน  เมื่อเดือนตุลาคม  2546อดีตนายกรัฐมนตรี  ประกาศว่าจะดำเนินนโยบายเปิดน่านฟ้าเสรี  โดยอินเดียให้สิทธิไทยบินไปเมืองท่องเที่ยว  18  เมือง โดยไม่จำกัดจำนวนเที่ยวบิน  รัฐบาลใหม่ของอินเดียยืนยันว่า  จะสานต่อการดำเนินงานนโยบายดังกล่าว  เพื่อให้สามารถทำการบินตามนโยบายเปิดน่านฟ้าเสรีโดยไม่ต้องทำความตกลงทางพานิชย์ได้โดยเร็ว3.4 ด้านสังคมและวัฒนธรรมไทยกับอินเดียได้จัดทำความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านวัฒนธรรม  เมื่อปี 2520แต่ยังขาดการดำเนินการที่ต่อเนื่องและยังไม่มีผลที่เป็นรูปธรรมชัดเจน ในการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมฯ  ครั้งที่  4  เมื่อกุมภาพันธ์  2546  ฝ่ายไทยจึงได้เสนอ ให้มีการจัดทำแผนปฏิบัติ การเพื่อให้มีการแลกเปลี่ยน กิจกรรมที่ส่งเสริมความสัมพันธ์ทางด้านวัฒนธรรมและความเข้าใจอันดีระหว่างประชาชนกับประชาชน4.เป้าหมายของตัวเราว่า   อีก  5  ปีข้างหน้าเรามีเป้าหมายของชีวิตไว้อย่างไร       ผมตั้งเป้าหมายของตัวเองว่าจะเป็นผู้นำที่ดีและเป็นแบบอย่างที่ดีในการปฏิบัติงานและเป็นผู้นำที่ดี  ให้กับครอบครัวโดยจำนำพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในด้านการใช้ชีวิต  ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง  เช่น  เดินทางสายกลาง  ตั้งอยู่ในความพอเพียง  ไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย  ประหยัดและอดออม5.ยุทธวิธีในการไปให้ถึงเป้าหมายของตัวเรา       นำสิ่งที่ผิดพลาดในการปฏิบัติงาน  มาปรับปรุงและหาวิธีแก้ไข  หาความรู้และประสบการณ์ใหม่ๆ เพื่อนำไปใช้พัฒนาตนเองเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายที่ผมได้ตั้งใจไว้6.เรามีความสามารถที่จะไปสู่เป้าหมายและความสำเร็จได้หรือไม่       ผมคิดว่าผมทำได้  เพราะผมได้รับการฝึกอบรมความเป็นผู้นำมาบ้างแล้วและผมก็มีความมั่นใจว่าผมสามารถนำสิ่งที่ผมได้รับการอบรม  มาใช้ปฏิบัติงานแต่ละวันได้  และที่ผมจะเป็นผู้นำที่ดีให้กับครอบครัวและใช้ชีวิตอย่างพอเพียง  ผมก็คิดว่าผมก็ทำได้เพราะตอนนี้ผมก็ได้เริ่มทำบ้างแล้ว เช่น แบ่งเงินบางส่วนไปฝากธนาคารไว้  7.เรามีความมั่นใจในตนเองมากน้อยเพียงใด       ผมมีความมั่นใจในตนเองมากและผมก็เชื่อมั่นในตนเองว่า  ผมสามารถที่จะทำให้เป้าหมายที่ผมตั้งใจไว้ประสบความสำเร็จได้อย่างแน่นอน  เพราะเป้าหมายที่ผมตั้งใจจะทำนั้นมันต้องนำมาใช้ในชีวิตปัจจุบันอยู่แล้ว  และปัจจุบันผมก็ได้เริ่มนำสิ่งที่ได้รับการอบรมมาใช้บ้างแล้วในการปฏิบัติงาน  เช่น  การวางตัวในการเป็นผู้นำที่ดี  เพราะฉะนั้นในอนาคตข้างหน้าผมจึงมั่นใจว่าผมจะต้องเป็นผุ้นำที่ดีได้อย่างแน่นอน  
กราบเรียนอาจารย์จีระ  หงษ์ลดารมภ์  ดิฉันนางบุญช่วย  จงรักษ์  ได้ออกไปทัวร์นอกสถานที่ที่อยุธยาเมื่อวันที่ 26 ก.ย 2550ขอส่งการบ้านดังนี้1.     ในประวัติศาสตร์ของอยุธยากับอินเดียมีความเกี่ยวข้องกันอย่างไรตอบ  ในประวัติศาสตร์มีตำนานยูลศาสนา เขียนเป็นภาษาไทยยวน  เนื้อหาเป็นเรื่องราวของพระพุทธศาสนาที่กำเนิดขึ้นในอินเดียและเผยแพร่เข้ามาในประไทย  มีศิลปะต่างๆ ทางพระพุทธศาสนาที่แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของอินเดีย  ขนบธรรมเนียมประเพณีทางด้านการถือนํ้าพิพัฒน์สัตยา  พระพุทธสาสนานิกายมหายานและประชาชนชาวอินเดียได้หันมานับถือพระพุทธศาสนาและมาบรรพชาอุปสมบทเป็นจำนวนมาก        2.ไปทัวร์นอกสถานที่แล้วได้อะไรมาบ้างตอบ  ได้รู้ถึงประวัติความเป็นมาของสถานที่ต่างๆที่ไปเที่ยวชม  ได้ความรู้ในเรื่องของวังในสมัยรัชกาลที่5 และรัชกาลปัจจุบันว่ามีความสัมพันธ์กับชาวต่างชาติมากแค่ไหน  และรู้ว่าประวัติศาสตร์ไทก็มีสถานที่ที่สวยงามไม่แพ้ชาติอื่นๆเหมือนกัน        3.สำรวจความสัมพันธ์ของไทยกับอินเดีย  อาทิเช่น การค้าขาย  การคมนาคม การเมืองตอบ  ความสัมพันธ์ทางด้านการค้าของไทยกับอินเดีย จัดตั้งเขตการค้าเสรี และลงนามในกรอบความตกลงว่าด้วยการจัดตั้งเขตการค้าเสรี    เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม  2546 มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เป็นกลไกสำคัญที่จะขจัดอุปสรรค การค้าช่วยขยายการค้าระหว่างกันและดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติด้วย        4.เป้าหมายของตัวเราอีก 5 ปีข้างหน้า เรามีเป้าหมายของชีวิตอย่างไรตอบ  ในอีก5ปีข้างหน้าดิฉันมีเป้าหมายของชีวิตว่าจะทำงาน ในอินโดรามาให้ดีกว่าวันและทุกๆ วันของการทำงานในปัจจุบันและจะเป็นผู้ที่คอยช่วยให้อินโดรามาพัฒนาก้าวหน้าในอนาคตเรื่อยๆ ถึงแม้ว่าดิฉันจะเป็นเพียงพนักงานคนหนึ่งก็ตามแต่จะสร้างประโยชน์ให้กับบริษัทและองค์กรมากเท่าที่จะทำได้5.     ยุทธวิธีในการไปให้ถึงเป้าหมายของตัวเองตอบ   ดิฉันจะพยายามและทำตามเป้าหมายที่ตั้งใจไว้ว่าจะทำและจะทำให้สำเร็จ ตามที่ตั้งใจและจะทำงานอย่างทุ่มเทและทำให้สุดความสามารถของตัวเอง  และจะพัฒนาตนเองให้ดีขึ้นอย่างสมํ่าเสอม 6.     เรามีความสามารถที่จะไปสู่เป้าหมายและความสำเร็จได้หรือไม่ตอบ   ดิฉันคิดว่าดิฉันสามารถที่จะนำพาตัวเองไปสู่เป้าหมายและความสำเร็จให้ได้  ถึงแม้ว่ามันจะยากลำบากเพียงใดแต่ดิฉันจะเดินต่อไป อย่างผู้มีชัยชนะและมีความเชื่อมั่นในตัวเอง7.     เรามีความมั่นใจในตัวเองมากน้อยเพียงใดตอบ  ดิฉันมีความมั่นใจในตัวเองเพียงแค่ปานกลางคือไม่มากจนเกินไปและไม่น้อยจนเกินไป  สามารถที่จะทำตามความคิดของตัวเองได้โดยไม่ต้องกลัวว่ามันจะผิดถึงมันจะผิดแต่เราก็ได้เรียนรู้และได้บทเรียนในสิ่งที่เราทำไป แต่ดิฉันก็รับฟังความคิดของผู้อื่นด้วยเช่นเดียวกัน  ถ้ามั่นใจในตัวเองมากจนเกินไปอาจจะทำงานไม่ประสบความสำเร็จก็ได้                                                          บุญช่วย    จงรักษ์     
1.  ในประวัติศาสตร์ของอยุธยา อินเดียเกี่ยวข้องกันอย่างไร
 - สมัยอยุธยา จะเกี่ยวข้องกับประเทศอินเดีย คือเรื่องศาสนา ไทยนับถือศาสนาพุทธ ซึ่งมาจากประเทศอินเดีย
 ซึ่งสมัยนั้นเรียกอินเดียว่าลังกา สมัยกรุงศรีอยุธยาคือสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศได้ส่งภิกษุไปศึกษาทางด้านพุทธศาสนา
ที่ประเทศลังกา เพื่อกลับมาฟื้นฟูและเผยแผ่ ศาสนาพุทธ
 - สร้างสถาปัตยกรรม ทรงลังกา ในสมัยอยุธยา
2.  ไปทัวร์นอกสถานที่แล้วได้อะไรบ้าง
 - ได้รับความรู้ทางประวัติศาสตร์ และได้เห็นด้วยตากว่าจะก่อตั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี เป็นเรื่องที่ยาก
มากแต่กษัตริย์ไทยก็สามารถกอบกู้เอกราชมาได้ แต่ต้องถูกพม่ามารุกราน และเผากรุงศรีอยุธยา รู้สึกเสียดายเป็นเพราะ
ทางพม่ามีกำลังคนแข็งแกร่ง ฮึกเหิมทะเยอทะยาน ต้องการมาตีเมืองอยุธยาและช่วงกษัตริย์บางองค์ของกรุงศรีอยุธยา
อ่อนแอจึงถูกรุกรานได้ แต่กรุงศรีอยุธยาไม่สิ้นคนดี ได้กอบกู้เอกราชมาได้สืบจนปัจจุบัน เราในฐานะที่เป็นคนไทย รู้สึก
ทราบซึ้งถึง ความวิริยะ อุตสาหะ ของคนไทยในสมัยโบราณ
3.  สำรวจความสัมพันธ์ของไทยกับอินเดีย อาทิเช่นการค้าขาย การคมนาคมการเมือง
 - ทางด้านค้าขาย อินเดียได้มาลงทุนกิจการในเมืองไทย
 - ทางการคมนาคม ประเทศไทยมีสายการบินของไทยไปยังประเทศอินเดีย และทางประเทศอินเดียก็มีสาย
การบินของอินเดียมายังประเทศไทย
 - ทางการเมืองในประเทศไทย จะมีสถานเอกอัคราชทูต ประจำประเทศไทย ผู้นำของไทย ก็เคยไปเยือนประ
เทศอินเดีย ในประเทศไทยจะมีชุมชนชาวอินเดียรวมกันอยู่คือที่ พาหุรัด
4.  เป้าหมายของตัวเราอีก 5 ปีข้างหน้า เป็นอย่างไร
 - บริษัทนี้ยังคงผลิตงานที่นี่ตลอดไป ดิฉันจะทำงานที่นี่และจะตั้งใจทำงานให้ดีที่สุดเพื่อให้องค์กรนี้มีความ
เจริญยิ่งขึ้น
5.  ยุทธวิธีในการไปให้ถึงเป้าหมายของตัวเรา
 - ตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่ และหมั่นศึกษาความรู้เพิ่มเติม เช่น ภาษาอังกฤษ และคอมพิวเตอร์ ตรวจสอบงานไม่
ให้มีการผิดพลาด ช่วยเหลืองานของเพื่อนที่พอช่วยได้ ปรึกษางานกับเพื่อนร่วมงาน ยอมรับความคิดเห็นของเพื่อนร่วมงาน
6.  เรามีความสามารถที่จะไปสู่เป้าหมายและความสำเร็จได้หรือไม่
 - ได้แน่นอน
7.  เรามีความมั่นใจในตัวเองมากน้อยเพียงใด
 - มีความมั่นใจ เพราะองค์กรของเรา ทำงานอย่างเป็นระบบ และมีผู้นำที่มีศักยภาพ นำพาบริษัทให้ก้าวหน้า
เราก็จะทำงานในหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด
พัชรินทร์ สิงห์สา
กราบเรียนอาจารย์ ดิฉัน พัชรินทร์   สิงห์สา1.ประวัติศาสตร์ของอยุธยากับอินเดีย มีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร -  ถ้าจะดูหลักฐานทางประวัติศาสตร์ของอินเดียที่คนอยุธยาพูดถึง ก็คือ  เราได้นำต้นพระศรีมหาโพธิ์หน่อต้นกล้าเล็กๆมาในสมัยรัชกาลที่ 4 และมาปลูกเอาไว้ที่วัดสุวรรณดารามถือว่าเป็นต้นไม้ของอินเดียปัจจุบันนี้ยังอยู่ทางลังกายุคหนึ่งตอนพระเจ้าอู่ทองปกครองกรุงศรีอยุธยาที่สถาบันแรกๆศาสนาของเราก็มีผู้คนให้ความสำคัญเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามาบวชมาเรียนกันเป็นจำนวนมากเราต้องส่งพระภิกษุสงฆ์ของไทยเราไปเรียนที่ประเทศลังกาและก็นำวิชาความรู้จากของลังกานั้นเข้ามาในอยุธยามาเผยแพร่ในกรุงศรีอยุธยานั้นมีความรุ่งเรืองทางพระพุทธศาสนาสูงสุด ในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลายในแผ่นดินสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกรธองค์ที่ 31 เพราะว่าศรีลังกายุคนั้นแพร่ศาสนาของเขาเสื่อมลงทางทูตศรีลังกาได้มีการเจริญสัมพันธ์ไมตรีกับอยุธยาเพื่อที่จะขอพระจิระชั้นผู้ใหญ่ของอยุธยาให้กับไปเผยแพร่พุทธศาสนาให้กับศรีลังกาเราก็ส่งไปเราส่งพระอุบาลีไป พระอุบาลีไปเมืองแคนรี่ที่ศรีลังกาและทางศรีลังกาก็ให้ความสำคัญของประเทศไทยมาโดยตลอด โดยกระทั่งทุกวันนี้รัฐบาลศรีลังกาได้มาช่วยเหลือในการบูรณะหอไตร มาบูรณะในบริเวณของวัดธรรมมะราม ซึ่งเคยเป็นที่คำนับหรือที่พักผ่อนของพระอุบาลีด้วยศรีลังกากับอินเดียคือเรามีความสัมพันธ์ในอดีตในด้านพระพุทธศาสนา2. ไปศึกษานอกสถานที่แล้วได้อะไรมาบ้าง-  ได้รู้ประวัติศาสตร์ของไทยได้เห็นในสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อนเราสามารถรู้ได้ว่ากว่าจะได้มาเป็นประเทศไทยปัจจุบันนี้สมัยก่อนต้องผ่านอะไรมาบ้าง มีความลำบากเพียงใด เราสามารถนำมาเล่าให้เด็กรุ่นหลังฟังได้ถึงประวัติศาสตร์ของประเทศไทย3. สำรวจความสัมพันธ์ของไทยกับอินเดีย-  จะเห็นได้ว่าคนอินเดียจะสามารถมาลงทุนและสร้างบริษัทกับประเทศไทยมากขึ้น เพราะในประเทศไทยเหมาะแก่การคมนาคม ทั้งทางบกและทางเรือ4. เป้าหมายของตัวเราในอีก 5 ปี ข้างหน้า เรามีเป้าหมายชีวิตอย่างไร-  จะทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด                  -  จะเป็นคนดีของสังคมและประเทศชาติ5. ยุทธวิธีในการไปให้ถึงเป้าหมายของตัวเราควรทำอย่างไร-  ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม 6. เรามีความสามารถที่จะไปสู่เป้าหมายและความสำเร็จได้หรือไม่-  ได้ เพราะว่าเราคิดจะทำอะไรเราต้องทำให้สำเร็จและตัวเราจะมีความภาคภูมิใจ7. เรามีความมั่นใจในตัวเองมากน้อยเพียงใด                  -  เมื่อก่อนดิฉันไม่ค่อยมีความมั่นใจในตัวเองเลย เพราะดิฉันไม่กล้าที่จะแสดงออกตั้งแต่ได้อาจารย์มาสอนและให้ความรู้เพิ่มเติมทำให้ตัวของดิฉันนั้นมีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้นและกล้าที่จะแสดงออกทุกเรื่อง                           

 

สุทธินี สร้อยเสนา(คำตอบข้อที่ 1,2,4,5,6,7)
กราบเรียนอาจารย์ ดร. จีระ ดิฉันมีความยินดีมากที่ได้มีโอกาสได้ออกไปศึกษาในสถานที่จริง ที่เมื่อครั้งหนึ่ง ณ แห่งนี้เคยมีความสำคัญกับผู้คนมากมายในอดีต ปัจจุบันก็ยังคงความสำคัญนั้นไว้ แม้ว่าสิ่งที่เหลืออยู่จะเป็นซากปรักหักพังแต่อิฐทุกก้อน ทรายทุกเม็ด ยังคงสอนพวกบรรพชนรุ่นหลังให้หันมองอดีตที่ผ่านมาเพื่อเป็นบทเรียนในการมีชีวิตอยู่คนเราต้องคำนึงถึงบุคคลในสังคมรอบข้างก่อนที่จะมองเห็นประโยชน์ส่วนตัวมีความสามัคคีในหมู่คณะ อาณาจักรอยุธยาถือกำเนิดขึ้นมาจากการรวมตัวของแว่นแคว้นสุพรรณบุรีและลพบุรี พระเจ้าอู่ทองได้สถาปนาอยุธยาขึ้น เมื่อวันศุกร์ที่๔ มีนาคม พ.ศ. ๑๘๙๓ โดยตั้งขึ้นในเมืองเก่า “อโยธยา” ที่มีมาก่อน ในบริเวณที่เรียกว่าหนองโสน ซึ่งมีแม่น้ำ ๓ สาย คือ แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำลพบุรี และแม่น้ำป่าสัก มาบรรจบกัน แล้วตั้งพระนามพระนครนี้ว่า กรุงเทพมหานคร บวรทวาราวดีศรีอุธยา มหาดิลกบวรรัตนราชธานีบุรีรมย์ คนทั่วไปเรียกตัวเมืองอยุธยาว่า “เกาะเมือง”มีรูปลักษณะคล้ายเรือสำเภา โดยมีหัวเรืออยู่ทางด้านทิศตะวันตก ชาวต่างประเทศในสมัยนั้น กล่าวถึงกรุงศรีอยุธยาว่าเป็น เวนิสตะวันออก เนื่องจากกรุงศรีอยุธยามี การขุดคลองเชื่อมโยงสัมพันธ์กันกับแม่น้ำใหญ่รอบเมือง จึงทำให้อยุธยามีสภาพเป็นเกาะมีแม่น้ำล้อมรอบ กรุงศรีอยุธยามีกษัตริย์ปกครองทั้งหมด ๓๓ พระองค์ จาก ๕ ราชวงศ์ ได้แก่ ราชวงศ์อู่ทอง ราชวงศ์สุพรรณบุรี ราชวงศ์สุโขทัย ราชวงศ์ปราสาททอง ราชวงศ์บ้านพลูหลวง กรุงศรีอยุธยาเจริญรุ่งเรืองมาเป็นเวลา ๔๑๗ ปี เสียกรุงให้แก่พม่า ๒ ครั้งคือ ครั้งแรกปีพ.ศ. ๒๑๑๒ ในสมัยสมเด็จพระมหินทราธิราช ตกเป็นเมืองขึ้นของพม่าเป็นเวลา ๑๕ ปี และเมื่อปี พ.ศ. ๒๑๒๗ พระนเรศวรมหาราชทรงกู้เอกราชกลับคืนมาและเมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. ๒๓๑๐ กรุงศรีอยุธยาก็ถึงกาลล่มสลาย 1. ในประวัติศาสตร์ของอยุธยามีการเชื่อมโยงกับอินเดียอย่างไร ในราว พ.ศ. ๒๓๔ พระอโศกมหาราชทรงจัดให้มีการสังคยานาพระธรรมวินัยขึ้นเป็นครั้งที่ ๓ ณ อโศการาม เมืองปาฏลีบุตร โดยพระโมคคัลลีบุตรติสสะเถระ เป็นประธานสงฆ์มี่พระสงฆ์ เข้าร่วมสังคยานา ๑๐๐๐ รูป หลังจากเสร็จสิ้นการสังคยานาพระเจ้าอโศกมหาราชได้ทรงส่งคณะสมณฑตูไปเผยแผ่พระพุทธศาสนายังดินแดนต่างๆ รวม ๙ สายด้วยกัน สายที่ ๑. พระมัชฌติกเถระเป็นหัวหน้าไปแคว้นแคชเมียร์ อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของอินเดีย ซึ่งได้แก่ แคว้นแคชเมียร์ในปัจจุบัน สายที่ ๒. พระมหาเทวเถระเป็นหัวหน้า ไป มหิสสกณฑล อยู่ทางทิศใต้ของแม่น้ำโคธาวารีซึ่งได้แก่ แคว้นไมซอร์ในปัจจุบัน สายที่ ๓. พระรักขิตตเถระเป็นหัวหน้า ไปวนวาสีประเทศ อยู่ในเขตกะนะระ แคว้นบอมเบย์ในปัจจุบัน สายที่ ๔. พระโยนกธัมมรักขิตตเถระเป็นหัวหน้า ไปอปรันตชนบท อยู่ริมฝั่งทะเลอาระเบียนทางทิศเหนือของบอมเบย์ สายที่ ๕. พระมหาธัมมรักขิตตเถระเป็นหัวหน้า ไปมหารัฏฐประเทศ ได้แก่ แคว้นอันธรประเทศของอินเดียในปัจจุบัน สายที่ ๖. พระมหารักขิตตเกถระเป็นหัวหน้า ไปโยนกประเทศ ได้แก่ เขตแดนบากเตรียนของ(อิหร่าน) เปอร์เซียในปัจจบัน สายที่ ๗. พระมัชฌิเถระเป็นหัวหน้าไปหิมวันตประเทศ ได้แก่เนปาล ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของอินเดีย สายที่ ๘. พระโสณเถระและพระอุตตรเถระ ไปสุวรรณภูมิ สายที่ ๙. พระมหินทเถระเป็นหัวหน้า ไปทวีปลังกา ได้แก่ ประทศศรีลังกาในปัจจุบัน สำหรับสายที่ ๘. ดินแดนสุวรรณภูมินั้นจากการค้นพบหลักฐานทางประวัติศาสตร์ พอที่จะสันนิษฐานได้ว่า พระพุทธศาสนาได้เผยแผ่เข้ามายังดินแดนแห่งนี้ ก่อนพ.ศ.๕๐๐ (ราวพ.ศ.๒๗๔-๓๐๔) ซึ่งมีหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาที่สร้างขึ้นในช่วงก่อน พ.ศ.๕๐๐ ปรากฏอยู่หลายอย่างในดินแดนแห่งนี้ เช่น พระพุทธรูป พระสถูปเจดีย์ ศิลารูปพระธรรมจักรและกวางหมอบ เป็นต้น โดยพระพุทธศาสนาที่เผยแผ่เข้ามาในช่วงแรกนั้นเป็นนิกายเถรวาทหรือหินยาน ต่อมาจึงเป็นนิกายอาจริยวาทหรือมหายาน ทำให้ลัทธิความเชื่อในพระโพธิสัตว์เผยแพร่เข้ามาในดินแดนสุวรรณภูมิด้วย พระโพธิสัตว์ฝ่ายเถรวาท หมายถึง ผู้บำเพ็ญบารมี หรือบุคคลผู้ยังบารมีให้ ในขณะที่คิดมหายาน นับถือว่าผู้ปรารถนาพุทธภูมิทั้งหมด คือ พระโพธิสัตว์ ผู้จะเข้าสู่ความเป็นพระโพธิสัตว์มีข้อวัตรปฏิบัติกำหนดชัดเจน จะต้องเป็นผู้เสียสละยอมแบกรับความทุกข์ทรมานแทนสรรพสัตว์ แม้จะต้องตกนรกกี่หมื่นกี่แสนกัปก็ตาม ทำให้เกิดคิดการบูชาพระโพธิสัตว์เป็นจำนวนมาก และมีความชัดเจนขึ้นเมื่อราวพุทธศตวรรษที่ ๑๑ - ๑๒ จากหลักฐานที่แสดงถึงคตินับถือพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทและมหายาน จนกระทั่งหลังพุทธศตวรรษที่ ๑๘ เป็นต้นมา มีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ จากการรับอิทธิพลจากลัทธิลังกาวงศ์ ทำให้คติการนับถือพระโพธิสัตว์คล้อยไปตามแนวทางฝ่ายเถรวาทลัทธิลังกาวงศ์ ความนับถือทศบารมี มีพระเวสสันดรเป็นพระชาติสุดท้าย ซึ่งถือเป็นพระชาติสำคัญที่สุดในการบำเพ็ญพระบารมีของพระโพธิสัตว์ ก่อให้เกิดประเพณีสำคัญในทุกภูมิภาค คือ การเทศน์มหาชาติมาจนถึงทุกวันนี้ เป้าหมายในชีวิตอีก 5 ปี ข้างหน้ายังไม่สามารถที่จะระบุได้ว่าเป็นอะไร คิดเพียงว่าทำวันนี้ให้ดีที่สุดแต่ก็มีภาระชิ้นใหญ่ให้รับผิดชอบคือ การปลูกบ้านหลังใหม่ให้กับพ่อ แม่ ในขณะที่เรายังสามารถทำงานได้จะพยายามจ่ายเงินคืนให้กับธนาคารให้ได้มากที่สุด เพื่อในวันข้างหน้าภาระนี้จะได้ไม่ตกกับผู้ที่อยู่ร่วมกับเรา วิธีการที่จะเดินไปสู่เป้าหมายนั้นก็คงจะพยายามพัฒนาการทำงานของตนเองให้เป็นไปอย่างเสมอต้นเสมอปลาย คิดว่าวิธีการนี้น่าจะทำให้ไปสู่เป้าหมายในฃีวิตได้อย่างแน่นอน สุทธนี สร้อยเสนา
สุทธินี สร้อยเสนา(คำตอบข้อที่3)
อินเดีย' ตลาดใหญ่ของโลก อินเดีย เป็นประเทศในเอเชียใต้ที่กำลังมีบทบาทสำคัญทางเศรษฐกิจอย่างยิ่ง โดยมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจค่อนข้างสูงและต่อเนื่อง กำลังเป็นที่สนใจของนักลงทุนทั่วโลก เป็นแหล่งดึงดูดการลงทุนที่สำคัญอันดับต้น ๆ ค่าที่มีประชากรที่มีกำลังซื้อสูงอยู่ถึงราว ๓๐๐ ล้านคน 0 0 0 หลังจากอินเดียเปิดเสรีทางเศรษฐกิจเมื่อปี ๒๕๓๔ ได้มีการแปรรูปรัฐวิสาหกิจในกิจการไฟฟ้า พลังงาน และอุตสาหกรรมต่าง ๆ รวมทั้งเปิดเสรีกิจการโทรคมนาคมและการสื่อสารในปี ๒๕๔๓ ทำให้มีเงินลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาในอินเดียจำนวนมาก ช่วยให้เศรษฐกิจอินเดียเติบโตต่อเนื่องในช่วง ๑๐ ปีที่ผ่านมา โดยอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเฉลี่ยร้อยละ ๖ ต่อปี ภาคบริการของอินเดียเป็นภาคที่เติบโตมากที่สุด โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยีสารสนเทศที่การส่งออกสินค้าและบริการด้านนี้ ได้สร้างรายได้เข้าประเทศเป็นจำนวนมาก แม้ว่ารายได้ประชาชาติเฉลี่ยต่อคนของอินเดียค่อนข้างต่ำราว ๖๒๗ เหรียญสหรัฐฯ ต่อปี แต่ประชากรที่มีรายได้ระดับกลาง-สูง ซึ่งมีกำลังซื้อสูง มีถึงราว ๓๐๐ ล้านคนจากประชากรทั้งหมด ๑,๐๘๐.๓ ล้านคน ถือเป็นประเทศที่มีประชากรมากเป็นอันดับ ๒ รองจากจีน ที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้น องค์การสหประชาชาชาติ ประเมินว่า อินเดียจะมีประชากรมากเป็นอันดับ ๑ แซงหน้าจีนภายในปี ๒๕๗๓ อินเดียจึงเป็นตลาดขนาดใหญ่ที่สำคัญ สินค้าส่งออกสำคัญของอินเดีย ได้แก่ อัญมณีและกึ่งอัญมณี ผลิตภัณฑ์ซอฟท์แวร์ เสื้อผ้าสำเร็จรูป เคมีภัณฑ์ เวชภัณฑ์ และเครื่องหนัง ส่วนสินค้านำเข้าที่สำคัญ ได้แก่ ปิโตรเลียม น้ำมันดิบ เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องจักร เหล็ก และปุ๋ย ตลาดส่งออกหลักของอินเดีย ได้แก่ สหรัฐฯ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ฮ่องกง อังกฤษ เยอรมนี จีน ญี่ปุ่น และเบลเยี่ยม ส่วนประเทศที่อินเดียนำเข้าหลัก ได้แก่ สหรัฐฯ เบลเยี่ยม จีน สวิตเซอร์แลนด์ อังกฤษ เยอรมัน ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และมาเลเซีย ปัจจุบันอินเดียถือเป็นแหล่งดึงดูดนักลงทุนต่างชาติเข้าไปลงทุนในประเทศมากเป็นอันดับ ๓ ของโลก รองจากจีน และสหรัฐฯ โดยอินเดียพยายามลดกฎระเบียบด้านการลงทุนของต่างชาติ และใช้มาตรการดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ปัญหาความล่าช้าของระบบราชการของอินเดียยังเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการลงทุนของต่างชาติในอินเดีย การลงทุนโดยตรงของต่างชาติ (FDI) ทั้งหมดในอินเดียปี ๒๕๔๗ มีมูลค่า ๓,๗๕๐ ล้านเหรียญสหรัฐฯ ประเทศที่เข้าไปลงทุนโดยตรงในอินเดียมากที่สุด ได้แก่ มอริเชียส คิดเป็นร้อยละ ๓๑.๒๓ ของ FDI ทั้งหมดในอินเดีย รองลงมาคือสหรัฐฯ ร้อยละ ๒๐.๑๕ โดยส่วนใหญ่เข้าไปลงทุนเกี่ยวกับอุปกรณ์เครื่องไฟฟ้า เวชภัณฑ์ และบริการด้านการให้คำปรึกษา สำหรับประเทศในเอเชียที่เข้าไปลงทุนในอินเดียมาก ได้แก่ ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ 0 0 0 อินเดีย ยังเป็นประเทศที่มีความสำคัญในฐานะสมาชิกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจ BIMST-EC (Bay of Bengal Initiative for Multi-Sectoral Technical and Economic Cooperation) ซึ่งเป็นกลุ่มที่ก่อตั้งในปี ๒๕๔๐ ปัจจุบันประกอบด้วยสมาชิก ๗ ประเทศ รวมบังคลาเทศ พม่า ศรีลังกา ภูฏาน และเนปาล กุมภาพันธ์ ๒๕๔๗ กลุ่ม BIMST-EC ได้พัฒนาความร่วมมือไปสู่การจัดทำเขตการค้าเสรี (FTA) โดยได้ลงนามกรอบความตกลงเขตการค้าเสรี BIMST-EC ครอบคลุมการลดภาษีศุลกากรสินค้าระหว่างสมาชิก การเจรจาเปิดเสรีการค้าบริการ การเปิดเสรีการลงทุน การส่งเสริมการลงทุน และความร่วมมือทางเศรษฐกิจอื่นๆ เช่น ความร่วมมือด้านศุลกากร การจัดทำความตกลงยอมรับร่วมกันด้านมาตรฐาน (Mutual Recognition Arrangement : MRA) นับว่ากลุ่ม BIMST-EC เป็นตลาดใหญ่ที่มีประชากรรวมกันกว่า ๑,๓๐๐ ล้านคน ซึ่งประเทศสมาชิกในกลุ่มจะได้รับประโยชน์จากการลดอุปสรรคทางภาษีและมาตรการที่มิใช่ภาษี และขณะนี้กลุ่ม BIMST-EC อยู่ระหว่างการเจรจาเปิดเสรีภายใต้กรอบความตกลงฯ ที่กำหนดให้เจรจาเปิดเสรีด้านการค้าสินค้าเสร็จสิ้นในปี ๒๕๔๘ และเจรจาการค้าบริการและการลงทุนให้เสร็จสมบูรณ์ในปี ๒๕๕๐ (เรียบเรียงจากเรื่อง 'ไทยเยือนอินเดีย & ภูฏาน :สานสัมพันธ์ - ผลักดัน FTA' ของศูนย์วิจัยกสิกรไทย) ความสัมพันธ์ไทย-อินเดีย ความสัมพันธ์ทางด้านการค้าไทย-อินเดีย ที่ผ่านมามูลค่าการค้าระหว่างไทย-อินเดียค่อนข้างน้อย โดยมีสัดส่วนประมาณร้อยละ ๑ ของการค้าระหว่างประเทศของไทยทั้งหมด แต่มูลค่าการค้าก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก ๘๐๐.๒ ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี ๒๕๔๒ เพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๕๖ เป็น ๒,๐๔๙ ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี ๒๕๔๗ ซึ่งคิดเป็นร้อยละ ๑.๐๖ ของการค้าระหว่างประเทศของไทยทั้งหมด โดยไทยขาดดุลการค้ากับอินเดียมาโดยตลอดในช่วง ๑๐ ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ไทยค้ากับอินเดียมากที่สุดในเอเชียใต้คิดเป็นสัดส่วนราวร้อยละ ๗๐ ของมูลค่าการค้าทั้งหมดของไทยกับเอเชียใต้ มีแนวโน้มว่าในปี ๒๕๔๘ มูลค่าการค้าระหว่างไทย-อินเดียจะเพิ่มขึ้น และไทยน่าจะเกินดุลการค้ากับอินเดียเป็นปีแรก เนื่องจากช่วง ๔ เดือนแรกของปี ๒๕๔๘ มูลค่าการค้าไทย-อินเดีย เพิ่มขึ้นร้อยละ ๓๘.๘ เป็น ๙๗๖.๕ ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับช่วงเดียวกันปี ๒๕๔๗ ที่มีมูลค่าการค้า ๗๐๓.๔ ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยการส่งออกไปอินเดียขยายตัวถึงร้อยละ ๑๐๕.๔๖ จาก ๒๔๕.๖ ล้านเหรียญสหรัฐฯ ใน ๔ เดือนแรกปี ๒๕๔๗ เป็น ๕๐๔.๖ ล้านเหรียญสหรัฐฯ ส่วนการนำเข้าของไทยจากอินเดียขยายตัวร้อยละ ๓.๑๐ มูลค่า ๔๗๑.๙ ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับ ๔ เดือนแรกปี ๒๕๔๗ ที่ไทยนำเข้าจากอินเดียมูลค่า ๔๕๗.๗ ล้านเหรียญสหรัฐฯ ทำให้ไทยเป็นฝ่ายเกินดุลการค้ากับอินเดียใน ๔ เดือนแรกของปี ๒๕๔๗ มูลค่า ๓๒.๗ ล้านเหรียญสหรัฐฯ จากที่เคยขาดดุลการค้า ๒๑๒.๑ ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในช่วงเดียวกันของปี ๒๕๔๗ สินค้าส่งออกสำคัญของไทยไปอินเดียช่วง ๔ เดือนแรกที่ขยายตัวได้ดี ได้แก่ น้ำมันดิบ เม็ดพลาสติก เครื่องยนต์สันดาปภายในแบบลูกสูบและส่วนประกอบ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ รถยนต์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ เครื่องรับวิทยุ โทรทัศน์และส่วนประกอบ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบของเครื่องจักรกล ยางพารา และอัญมณีและเครื่องประดับ ขณะนี้การเจรจาการค้าเสรีไทย-อินเดียอยู่ระหว่างเจรจาแลกเปลี่ยนรายการสินค้าอ่อนไหว (Sensitive Products) ซึ่งมีกระแสกดดันภายในประเทศอินเดียที่กังวลว่าจะอินเดียจะเสียเปรียบดุลการค้ากับไทยมากขึ้นจากการลดภาษีศุลกากรให้ไทยภายใต้ FTA และแรงกดดันจากประเทศที่สามซึ่งเป็นประเทศหลักที่เข้าไปลงทุนในอินเดีย ได้แก่ ญี่ปุ่นและเกาหลีที่ไม่ต้องการให้อินเดียลดภาษีให้ไทย เพราะกลัวเสียเปรียบทางการแข่งขัน ทำให้การเจรจา FTA ไทย-อินเดียหยุดชะงักไป แต่คาดว่าการเจรจาจะดำเนินต่อไปตามเป้าหมายภายในปี ๒๕๔๘ ด้านการท่องเที่ยวไทย-อินเดีย นักท่องเที่ยวไทยเดินทางไปอินเดีย ๒๙,๘๓๕ คน ในปี ๒๕๔๗ เพิ่มขึ้น ๓๒.๒๑ เมื่อเทียบกับปี ๒๕๔๖ เป็นสัดส่วนราวร้อยละ ๑ ของนักท่องเที่ยวไทยเดินทางไปต่างประเทศทั้งหมด และคิดเป็นร้อยละ ๕๙ ของนักท่องเที่ยวไทยเดินทางไปภูมิภาคเอเชียใต้ทั้งหมด โดยอินเดียถือเป็นประเทศที่ไทยเดินทางท่องเที่ยวอันดับ ๑ ในเอเชียใต้ สำหรับชาวอินเดียที่เดินทางมาท่องเที่ยวในไทยปี ๒๕๔๗ เพิ่มขึ้นร้อยละ ๓๐.๓๓ จากปี ๒๕๔๖ เป็น ๓๐๐,๑๖๓ คน คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ ๒.๕๘ ของนักท่องเที่ยวต่างประเทศเดินทางมาไทยทั้งหมด และสัดส่วนร้อยละ ๖๔ ของนักท่องเที่ยวในเอเชียใต้ที่เดินทางมาไทยทั้งหมด โดยอินเดียถือเป็นประเทศในเอเชียใต้ที่เดินทางมาท่องเที่ยวในไทยเป็นอันดับ ๑ เช่นกัน สำหรับการลงทุนไทย-อินเดีย บริษัทอินเดียเริ่มเข้ามาลงทุนในไทยตั้งแต่ปี ๒๕๑๓ โดยร่วมลงทุนกับบริษัทของคนไทย และขยายการลงทุนในไทยอย่างต่อเนื่อง มีมูลค่าการลงทุนรวมราว ๑,๐๐๐ ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยเข้ามาลงทุนผลิตเส้นใย สิ่งทอ คาร์บอน และยา โดยโครงการของอินเดียที่ขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ในปี ๒๕๔๗ มี ๒๐ โครงการ มูลค่ารวม ๒,๐๙๖ ล้านบาท และใน ๔ เดือนแรกของปี ๒๕๔๘ มีโครงการของอินเดียขอรับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI รวม ๖ โครงการ มูลค่า ๔๐๙ ล้านบาท โดยโครงการลงทุนของอินเดียในสาขาต่างๆ ได้แก่ เคมีภัณฑ์และกระดาษ ธุรกิจบริการ อุตสาหกรรมเบาและสิ่งทอ ภาคเกษตร แร่ธาตุและเซรามิก และเหล็กและเครื่องจักร และอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า ส่วนการลงทุนของไทยในอินเดีย ไทยเป็นประเทศที่เข้าไปลงทุนในอินเดียมากเป็นอันดับ ๓ของประเทศอาเซียน รองจากมาเลเซียและสิงคโปร์ และเป็นอันดับที่ ๑๘ ของนักลงทุนต่างชาติทั้งหมดในช่วง ๑๐ ปีที่ผ่านมา โดยนักลงทุนไทยไปลงทุนในอินเดียด้านอิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า ผลิตผลทางการเกษตร อุตสาหกรรมเบาและสิ่งทอ 0 0 0 บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เห็นว่าความร่วมมือและการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับอินเดียภายใต้กรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจ BIMST-EC และกรอบทวิภาคี โดยเฉพาะการจัดทำ FTA ไทย-อินเดีย จะส่งผลดีต่อไทย ดังนี้ - ไทยมีแหล่งวัตถุดิบในการผลิตสินค้าส่งออกที่สำคัญของไทย เช่น เพชรพลอย อัญมณี เหล็กและเศษโลหะ เคมีภัณฑ์ และอาหารทะเล เป็นต้น โดยการลดภาษีของกลุ่ม BIMST-EC จะทำให้ต้นทุนวัตถุดิบของไทยต่ำลง เพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันให้สินค้าส่งออกไทยในตลาดโลก - เป็นตลาดส่งออกใหม่ของไทย เพื่อขยายตลาดสินค้าส่งออกของไทย และลดการขาดดุลการค้าที่กำลังเป็นปัญหาอยู่ในขณะนี้ นอกเหนือจากการพึ่งพาการส่งออกไปยังตลาดหลักเดิม ซึ่งไทยมักประสบปัญหากีดกันทางการค้าจากประเทศพัฒนาแล้วที่ใช้มาตรการเก็บภาษีต่อต้านการทุ่มตลาด (Anti-Dumping: AD) หรือมาตรฐานด้านสุขอนามัยพืชและสัตว์ (Sanitary and Phytosanitary Measure : SPS) ที่เข้มงวด 0 0 0 เมื่อเร็ว ๆ นี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางไปเยือนอินเดีย คาดว่าจะกระตุ้นให้การค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวระหว่างกันขยายตัว เป็นช่องทางกระจายสินค้าส่งออกไทยไปสู่ภูมิภาคเอเชียใต้ และผลักดันให้การเจรจา FTA ไทย-อินเดียเกิดผลคืบหน้าต่อไป นอกจากนี้ยังเป็นการสร้างโอกาสที่นักธุรกิจไทยจะสานต่อความสัมพันธ์ สร้างพันธมิตรในการทำธุรกิจ/ลงทุนร่วมกัน โดยเฉพาะอินเดียซึ่งมีความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีและเวชภัณฑ์ ไทยจึงควรพิจารณาร่วมมือทำธุรกิจกับอินเดีย เช่น ด้าน IT เพื่อพัฒนาภาคอุตสาหกรรม และด้านไบโอเทคเพื่อพัฒนาภาคเกษตรและยารักษาโรค
กราบเรียนท่านอาจารย์ จีระ หงส์ลดารมภ์ ตามที่ท่านอาจารย์ได้ให้การบ้่านไว้เมื่อ วันที่ 26 ก.ย 2550 ดิฉัน บัวหลง ชูชัย ขอตอบการบ้านดั้งนี้ 1 ประวัติศาสตร์ของอยุธยากับอินเดียมีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร ตอบ ศิลปวัฒนธรรมสมัยอยุธยา เป็นการผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมไทยและวัฒนธรรมที่รับมาจากต่างชาติแล้วนำดัดแปลงให้เหมาำะสม วัฒนธรรมต่างชาติที่รับเข้ามามากที่สุดคือวัฒนธรรมอินเดียบางอย่างยังปรากฏอยู่จนปัจจุบันนี้ที่เห็นได้เด่นชัดคือวัฒนธรรมเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา 2 ไปศึกษานอกสถานที่แล้วได้อะไรบ้าง ตอบ ได้ความรู้ และได้รู้เรื่องเกี่ยวกับประวัติสมัยเก่าๆและได้เห็นสถานที่ว่าสถานที่ตรงนี้ประวัติความเป็นมาอย่างไรเราเราก็ได้เห็นและได้ความรู้และเอามาเปรียบเทียบในการทำงานของดิฉันได้ว่าให้รู้จักกันและสามัคคีกันปองดองกันไว้จะได้ไม่เกิดเรื่อง 3 สำรวจความสำพันธ์ของไทยกับอินเดียอาทิ เช่นการค้าขาย การคมนาคม การเมือง ตอบ การรับอารยธรรมอินเดียในดินแดนไทยมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ทางด้านโบราณคดีและเอกสารทางประวัติิศาสตร์ที่ปรากฏหลักฐานสมัยก่อนพุทธกาลว่ามีการติดต่อระหว่างอินเดียและดินแดนสุวรรณภูมิ มีความหมายเป็็นแผ่นดินทองหรือดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ นักโบราณคดีสันนิฐานว่าจะเป็นภาคกลางภาคใต้ของไทย ปรากฏหลักการติดต่อค้าขายกับอินเดียอยู่มากสาเหตุสำคัญอินเดียเข้ามาติดต่อในเมืองดินแดนไทยเพื่อการค้าขาย 4 เป้าหมายของตัวเราอีก 5 ปีข้างหน้าเรามีเป้าหมายชีวิตอย่งไร ตอบ อยากมีความรู้ให้มากขึ้นมากกว่าเดิมอยากเป็นคนดีของประเทศชาติและสังคมที่ดีและจะปฎิบัติงานในหน้าที่ที่ดิฉันกำลังทำอยู่ให้ดีที่สุด 5 ยุทธวิธีในการไปให้ถึงเป้าหมายของตัวเราควรทำอย่างไร ตอบ ต้องเชืี่อมั่นตัวเราเอง รู้จักคิดให้รอบคอบเราก็จะไปสู่เป้าหมายที่เรากำลังทำสิ่งนั้นอยู่ 6 เรามีความสามารถที่จะไปสู่เป้าหมายและความสำเร็จได้หรือไม่ ตอบเราต้องมีความสามารถที่ไปสู่เป้าหมายได้และสำเร็จได้เพื่ออนาคตและความเจริญก้าวหน้าในภายหน้า 7 เรามีความมั่นใจในตัวเองมากน้อยเพียงไร ตอบ ความมั่นใจของดิฉันก็มีมากพอที่ทำงานและทำหน้าที่มองหัวหน้าที่ดีและทำสิ่งที่ถูกต้องเสมอ

         สวัสดีค่ะอาจารย์ ดิฉัน ณัฐสุดา  กลัดงาม   ขอส่งการบ้านของอาจารย์เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2550 ดังนี้ค่ะ

  1. ในประวัติศาสตร์ของอยุธยา กับอินเดียมีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร

             -   สมัยอยุธยา จะเกี่ยวข้องกับอินเดีย คือเรื่องศาสนา เนื่องจากศาสนาพุทธมีต้นกำเนิดมาจากประเทศอินเดีย  และในสมัยกรุงศรีอยุธยาสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศได้ส่งภิกษุไปศึกษาทางด้านศาสนาที่ประเทศลังกา เพื่อนำกลับมาฟื้นฟูและเผยแผ่ศาสนาพุทธต่อไป

       2.     ไปทัวร์นอกสถานที่แล้วได้อะไรบ้าง

                -   ได้รับความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของกรุงศรีอยุธยา ครั้งที่เคยเป็นราชธานีและได้เห็นโบราณสถาน         ต่างๆ ของกรุงศรีอยุธยา  และได้รับทราบถึงประวัติความเป็นมาสมัยกรุงศรีอยุธยาเพิ่มขึ้นอย่างมากๆ

 

        3.   สำรวจความสัมพันธ์ของไทยกับอินเดีย  อาทิเช่นการค้า การคมนาคม การเมือง

              -     ด้านการค้า อินเดียได้มาลงทุนในไทย และทั้ง  2  ประเทศยังมีเป้าหมายในการเพิ่มมูลค่าทางด้านการค้าให้มากขึ้น

              -     ด้านคมนาคม ในปี 2544 นายกรัฐมนตรีไทยและอินเดียมีความร่วมมือ ไตรภาคี ในการเชื่อมโยงถนนระหว่างไทย- อินเดีย เพื่อใช้ในการค้า การลงทุนต่างๆ

              -    ด้านการเมือง ในประเทศไทยมีสถานทูตประจำประเทศไทย  และผู้นำทั้ง 2 ประเทศก็เคยไปเยือนซึ่งกันและกัน เพื่อสร้างความสัมพันธ์ยิ่งขึ้น

 

         4.    เป้าหมายของตัวเราอีก 5 ปีข้างหน้าเป็นอย่างไร

              -    ดิฉันจะทำงานด้วยความตั้งใจ ทำงานให้ดีที่สุดเพื่อให้องค์กรมีความเจริญยิ่งขึ้น  และเป้าหมายของดิฉัน ต้องการเห็นบริษัทเจริญก้าวหน้าควบคู่กันไปพร้อมกับบุคลากรในองค์กรต่อไปยิ่งๆ ขึ้น

 

           5.   ยุทธวิธีในการไปให้ถึงเป้าหมายของตัวเรา

              -   ดิฉันจะตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่  และจะพยายามศึกษาหาความรู้เพื่มเติมทั้งในด้าน ภาษา  คอมพิวเตอร์  และการอบรมต่างๆ ที่ษริษัทเปิดโอกาสให้ได้รับการอบรม ดิฉันจะตั้งใจทุกๆด้าน

 

            6.   เรามีความสามารถที่จะไปสู่เป้าหมายและความสำเร็จได้หรือไม่

              -    ดิฉันมีความเชือมั่นว่าดิฉันจะทำให้สู่เป้าหมาย และความสำเร็จได้แน่นอน

 

            7.    เรามีความมั่นใจในตัวเองมากน้อยเพียงใด

              -   ดิฉันมีความมั่นใจมากค่ะ เพราะการได้รับความรู้จากการอบรม การเรียนรู้ต่างๆ ทำให้ดิฉันมีความมั่นใจในตัวเองมาก                                                                            สวัสดีค่ะ
1. ประวัติศาสตร์ของอยุธยากับอินเดีย มีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร
    ในสมัยของพระเจ้าบรมโกศ ได้มีการนำต้นพระศรีมหาโพธิ์มาปลูกที่เมืองไทย และในสมัยนี้ศาสนาพุทธรุ่งเรืองมาก ได้ส่งพระภิกษุไปเรีียนที่อินเดีย
2. ไปทัวร์นอกสถานที่แล้วได้อะไร
    ได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ของไทยเรา ทำให้รู้ว่ากรุงศรีอยุธยาพระเจ้าอู่ทองเป็นผู้ทรงสร้างขึ้นมา การปกครองเป็นแบบพ่อไปสู่ลูก การชิงดีชิงเด่นแย่งชิงราชสมบัติ เป็นแบบพี่ฆ่าน้องหรือน้องฆ่าพี่
3. สำรวจความสัมพันธ์ของไทยกับอินเดีย การค้าขาย การเมือง การคมนาคม
    ทางด้านการเมืองที่ผ่านมาไม่นานนี้ ประมาณต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา มีการจัดสัมนาว่าด้วยการค้าของอินเดียตะวันออกเฉียงเหนือ เกี่ยวกับการแปรรูปอาหาร และัยางพารา ส่วนการคมนาคมปัจจุบัน สะดวกรวดเร็วมากทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ
4. เป้าหมายของตัวเราอีก 5 ปีข้างหน้า
    เราก็คือเรา เชื่อมั่นในตัวเอง ไม่ทำตัวเป็นคนหนักแผ่นดิน และต้ัองทำในวันนี้ให้ดีที่สุด
5. เราจะมีความสามารถไปสู่เป้าหมาย และความสำเร็จได้หรือไม่
    คนเราทุกคนสามารถไปสู่เป้าหมายได้ ถ้ามีความขยัน ประหยัด อดทน ต่อสู้
6. ยุทธวิธีในการไปถึงเป้าหมายของเรา
    ยุทธวิธีที่จะไปถึงเป้าหมาย คือ ทุกอย่างจะต้องรู้จริง ทำจริง ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคใด ๆ
7. เรามีความมั่นใจในตัวเองมากน้่อยเพียงใด
    ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำลงไป จะต้องมั่นใจ กล้าทำ กล้ารับผิดชอบ และสิ่งที่สำคัญ คือ จะต้องปลอดภัยในทุก ๆ ด้าน
   
               กราบเรียน อาจารย์ จีระ หงษ์ลัดดารมภ์ กระผมนาย อภิชาติ ดีสุภาพ จากที่ไปทัวร์นอกสถาณที่มา ผมขอตอบการบ้านดังนี้      1.ในประวัติศาสตร์ของอยุธยากับอินเดียมีความเกี่ยวข้องกันอย่างไรตอบ ในสมัยของพระเจ้าบรมโกศได้มีการนำต้นพระศรีมหาโพธิมาปลูกที่เมืองไทยและสมัยนี้ศาสนาพุทธรุ่งเรืองมากได้ส่งพระภิกษุไปเรียนที่อินเดียด้วย     2.ไปทัวร์นอกสถานที่แล้วได้อะไรมาบ้างตอบ ได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ของประเทศไทย ทำให้รู้ว่ากรุงศรีีีอยุธยาพระเจ้าอู่ทองเป็นคนสร้างขึ้น การปกครองจะเป็นแบบรุ่นพ่อสู่รุ่นลูกการแกร่งแย่งราชสมบัติจะเป็นแบบพี่ฆ่าน้อง หรือน้องฆ่าพี่ ซึ่งปัจจุบันก็ยังมีอยู่ เช่น ตระกูลธรรมวัฒนะ     3.สำรวจความสัมพันธ์ของไทยกับอินเดียอาทิเช่น การค้าขาย การคมนาคม การเมืองตอบ เมื่อวันที่ 1-3 ตุลาคมนี้ได้มีการสัมมนาว่าด้วยการค้าอินเดียตะวันออกเฉียงเหนือเกี่ยวกับการแปรรูปอาหารและยางพารา ส่วนการคมนาคมเดี๋ยวนี้เดินทางสะดวกมากไปได้ทั้งการบิน ทางเรือและผ่านพม่า การเมืองอินเดียจะมีชาวฮินดูปกครองประเทศเพราะชนชาวฮินดูจะมีมากในประเทศอินเดีย     4.เป้าหมายของตัวเราอีก 5 ปีข้างหน้าเรามีเป้าหมายชีวิตอย่างไรตอบ เราต้องวางแผนชีวิตของเราก่อนว่าจะทำอะไรบ้าง เช่นการพัฒนางานของเรา ในแผนกของเรา ต้องทำงานคล่องขึ้น     5.ยุทธวิธีในการไปถึงเป้าหมายของเราตอบ เราสามรถเข้าถึงเป้าหมายของเราได้ด้วยการลงมือทำด้วยตัวเอง ไม่ใช่จะอาศัยคนอื่นอยู่ตลอดเวลา     6.เรามีความสามารถที่จะไปสู่เป้าหมายและความสำเร็จได้หรือไม่ตอบ ทุกๆคนสามารถที่จะไปสู่เป้าหมายและความสำเร็จของตัวเองได้ เมื่อมีอุปสรรคก็อย่าท้อ  ท้อได้แต่อย่าถอย     7.เรามีความมั่นใจในตัวเองมากน้อยเพียงใดตอบ ถ้าเมื่อใดที่ลงมือทำด้วยตัวเอง จะต้องมีความมั่นใจมากแต่ในทางกลับกันถ้าใช้ลูกน้องทำงานแทนตัวเราเราต้องรู้ด้วยว่าลูกน้องมีความสามารถแค่ไหน ถ้าไม่แน่ใจเราต้องตรวจความเรียบร้อยอีกครั้ง  
การตัดสินใจ การตัดสินใจที่ดีควรอยู่บนประโยชน์ของส่วนรวมแต่มันไม่แน่เสมอไปเพราะบางทีการตัดสินใจมันไม่ได้มีผลดีด้านเดียวเราต้องคิดด้วยว่าหากเกิดผลเสียตามมาก็พยายามทำให้เกิดผลเสียน้อยที่สุด และ เราสามารถยอมรับผลเสียนั้นได้โดยที่เราต้องมีแผนรองรับหากเกิดผลเสีย ทุกอย่างที่ต้องตัดสินใจมันมีสอง อย่างที่จะเกิด คือ ผลดีและผลเสีย อยู่ที่ว่าดีมากกว่าหรือเสียมากกว่าแต่ทุกคนที่ต้องตัดสินใจโดยทั่วไปแล้วจะคิดแต่ผลดีเพียงอย่างเดียว การตัดสินใจต้องมีองค์ประกอบหลายๆอย่าง ไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์ ไหวพริบ เหตุผล และข้อมูลต่างๆ สิ่งเหล่านี้ต้องนำมาประกอบกันก่อนที่เราจะทำการตัดสินใจ แต่ในบางครั้ง ที่เป็นสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งยากต่อการตัดสินใจ เราจึงจำเป็นที่จะต้องปรึกษาหารือจากหลายฝ่ายเพื่อหาตัวเลือกที่ออกมาแล้วดีที่สุดสำหรับส่วนรวมหรืออาจจะเสียบ้างก็ให้น้อยที่สุด ซึ่งการตัดสินใจเราทุกคนสามารถที่จะนำมาใช้ประโยชน์ได้ ในหน้าที่การงานและในชีวิตประจำวัน จริงๆแล้วเราทุกคนใช้มัน อยู่ทุกวันแต่อาจจะยังไม่รู้ ไม่ว่าจะเป็นการกินการนอนและอื่นๆ การตัดสินใจที่ดีโดยส่วนตัวของผม ต้องคิดให้มาก คิดให้เร็วและ คิดให้ดีเพราะบางสถานการณ์มันไม่รอให้ตัดสินใจนาน จุดสำคัญ ต้องคิดให้เป็นและมองถึงอนาคต ในหน้าที่การงานหรือในครอบ ครัวการตัดสินใจสำคัญมากซึ่งการตัดสินใจมันจะแบ่งเป็น 2 แบบ 1.การตัดสินใจในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า(ระยะสั้น) 2.การตัดสินใจในการแก้ปัญหาระยะยาว โดยส่วนใหญ่แล้วทุกคนจะตัดสินใจแก้ปัญหาระยะสั้นเพียงอย่างเดียว ซึ่งมันก็มีส่วนดี ตัวอย่างเช่นอะไหล่ตัวหนึ่งแตกทำให้เครื่อง จักรไม่สามารถทำการผลิตได้ อะไหล่สำรองก็ไม่มีซึ่งส่งผลเสียให้กับบริษัท เราตัดสินใจนำอะไหล่ตัวนั้นไปเชื่อมเพื่อที่จะให้เครื่องจักรสามารถทำการผลิตได้ แต่เราไม่สามารถที่จะทราบได้เลยว่าอะไหล่ตัวที่ซ่อมจะใช้ได้นานแค่ไหน หรืออาจจะใช้ได้ตลอดไป ส่วนการตัดสินใจระยะยาวเราต้องคิดด้วยว่าในอนาคตมันจะเกิดอะไรขึ้น คือ อะไหล่ทุกตัวต้องมีการสึกหรอเราต้องใช้ประสบการณ์ที่เคยผ่านมา คือ อะไหล่ตัวใดมีการสึกหรอบ่อย และอะไหล่ตัวไหนมีการสึกหรอน้อย เราจึงควรที่จะมีอะไหล่สำรองเพื่อเตรียมไว้สำหรับรองรับสถานการณ์ สรุป ความผิดพลาดคือบทเรียนที่เราสามารถนำมาใช้ในการตัดสินใจครั้งต่อๆ ไป เพราะความผิดพลาดคือปัจจัยอย่างหนึ่งที่จะนำเราไปสู่การแก้ไขปัญหาระยะยาว ไม่เคยมีใครที่ตัดสินใจแล้วมีแต่ผลดีตามมาเสมอ ประสบการณ์เรื่องค่าจ้าง โดยส่วนตัว ไม่ว่าเราจะทำหน้าที่อะไรหรือสิ่งใดที่เราได้รับมอบ หมายให้ทำการปฎิบัติ เราต้องรู้สิ่งนั้นให้จริงโดยการที่เราต้องรู้ ข้อมูลทั้งในอดีตและปัจจุบันเพื่อที่จะให้เกิดประโยชน์กับส่วนรวมให้มากที่สุดเพราะสิ่งต่างๆเหล่านี้มีส่วนที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จไม่ว่าเราจะทำหน้าที่อะไรเราต้องรู้จังหวะและ ความเหมาะสม มีเหตุผล ไหวพริบ เราสามารถที่จะประสบความสำเร็จได้ทุกคนขอเพียงเรา มีเหตุ มีผล และยึดประโยชน์ส่วนรวมเป็นสำคัญ
วันเพ็ญ สุขประเสริฐ
กราบเรียน อาจารย์ จีระ หงส์ลดารมภ์ ที่เคารพ ดิฉัน นางวันเพ็ญ สุขประเสริฐ เป็นลูกศิษย์ของบริษัทอินโดรามาโฮลดิ้งส์ จํากัด เรื่อง ขอตอบการบ้านของอาจารย์ดังนี้ ข้อ 1. เรียนเรื่องการตัดสินใจ DECISION MAKING แล้วได้อะไร ตอบ การตัดสินใจของมนุษย์เรานั้นมีอยู่หลายวิธีด้วยกัน บางครั้งก็ตัดสินที่ถูกต้องและอีกทางบางครั้งก็อาจจะตัดสินใจที่ผิด ๆไปบ้างขอยกตัวอย่างคือ ข้อที่1 การตัดสินใจของการทํางานทั่วไปหรืองานประจําที่ทําอยู่ทุกวันนั้นคือบางอย่างก็ตัดสินใจได้เลย เช่นผลผลิตของวันนี้มีมากหรือน้อยก็จะตัดสินใจได้ว่าจะเปิดเครื่องจักรบ้างขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของระดับหัวหน้างานขั้นต้น ข้อที่2 การตัดสินใจของเรื่องงานที่เร่งด่วนหรือเรื่องฉุกเฉินที่กระทันหันนั้นต้องตัดสินใจอย่างรอบคอบและมั่นใจต้องดูด้วยว่าจะมีผลกระทบทางบวกหรือทางลบหรือเปล่า ข้อที่3 การตัดสินใจนั้นต้องมียุทธวิธีและมีกลยุทธที่จะมองหาทางออกของปัญหานั้นได้เช่นการที่เราจะยุติปัญหาขององค์กรที่มีปัญหากันนั้นต้องดูทั้งจุดอ่อนและจุดแข็งขององค์กรและต้องหาข้อมูลและนำมาพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนที่จะตัดสินใจลงไป ข้อที่4 การตัดสินใจวางแผนทั่วๆไป การตัดสินใจแบบ CONSENSUS หรือให้ทุกคนมีส่วนร่วม เช่น การทำงานให้เป็นระบบนั้นต้องให้ทุกคนมีส่วนร่วมแน่นอนว่าจะปฏิบัติแบบไหนดีที่จะให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่วางแผนไว้ก็จะได้ไม่มีข้อขัดแย้งกัน สรุปได้ว่าการเรียนเรื่องของการตัดสินใจนั้นทำให้ตัวเราเองได้แง่คิดอยู่ว่าการที่ตัวเราจะตัดสินใจทำอะไรนั้นต้องคิดอย่างรอบคอบและคิดอย่างถ้วนถี่ก่อนที่จะตัดสินใจลงไปนั้น และสิ่งที่แน่นอนก็คือต้องมีประสบการณ์และมีไหวพริบของตัวเราเอง ข้อ2. ใน SHEET ของอาจารย์ที่แจกให้ CASE STUDY ของอาจารย์จะนำไปใช้ในอินโดรามาอย่างไร ตอบ CASE STUDY ของอาจารย์นั้น ยกตัวอย่างในอินโดรามาก็คือเป็นเรื่องของ การขัดแย้งกันระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างในอินโดรามา กับการที่จะขอปรับเงินขึ้นค่าแรงนั้นต้องดูผลกระทบของทั้งสองฝ่ายด้วยว่าใครมีจุดอ่อนและมีจุดแข็งอย่างไร ถ้าเราเป็นคนตัดสินใจก็ถือได้ว่าระหว่างทั้งสองฝ่ายนั้นต้องรู้ข้อมูลและต้องวิเคราะห์ให้ถูกด้วยว่า LOGIC หรือต้องหาหลักเหตุผลมาตกลงกันให้ได้ว่ามีปัญหาอะไรบ้างซึ่งจะนำมาตกลงกันด้วยดี สิ่งที่จะนำมาใช้คือ ต้องมีวิจารณญาณ ไหวพริบและดูอารมณ์ของทั้งสองฝ่ายว่ามีอารมณ์ที่รุนแรงหรือไม่ จะได้มีการยุติกันด้วยดี ซึ่งจะได้ไม่มีปัญหาที่ขัดแย้งกันอีก สรุปได้ว่า CASE STUDY นี้ สำหรับในอินโดรามานั้น บางอย่างต้องกล้าคิดกล้าตัดสินใจ และต้องดูสถานการณ์ด้วยว่าภาวะตอนนั้นเป็นเช่นไรจะได้แก้ไขสถานการณ์นั้นได้โดยไม่มีปัญหาและผลกระทบใดๆตามมา
จากการเรียนเมื่อวันที่ 16 ต.ค 2550 ผมขอตอบการบ้านของท่าน อาจารย์ จีระ ดังต่อไปนี้ 1เรียนเรื่องการตัดสินใจ ( Decision Making ) แล้วได้อะไร ตอบ ประโยชน์จากการเรียน ทำให้เราได้รู้ว่า การตัดสินใจมีเวลาเพียงนิดเดียวแต่จะมีผลกระทบทั้งทางบวกและทางลบ ทั้งในระยะสั้นและในระยะยาวต่อองค์กรของเรา ซึ่งบางครั้งเราอาจแก้ไขได้และบางครั้งอาจแก้ไขไม่ได้ ถ้ามีการแก้ไขได้เราควรมีการเปรียบเทียบกับสถานการณ์เดิมก่อน ถ้าสถานการณ์เดิมดีอยู่แล้วเราก็ไม่จำเป็นต้องแก้ไข การตัดสินใจมีอยู่่ 3ประเภท การตัดสินใจแบบทุกคนมีส่วนร่วม การตัดสินใจแบบแกนนำมีส่วนร่วม การตัดสินใจแบบผู้นำ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์และความเหมาะสมว่าจะตัดสินใจอย่างไร การตัดสินใจเราต้องมอง ปัญหา มีการวิเคราะห์ปัญหา มองจุดแข็งจุดอ่อนว่ามีีีความเสี่ยงหรือไม่ แต่ละคนมี STYLE ในการตัดสินใจไม่เหมือนกัน อย่างที่อาจารย์สอนไว้ว่า เราควรมีความรู้ข้อมูล มีการวิเคราะห์ มีเหตุผล มีประสบการณ์และไหวพริบในการตัดสินใจ แต่เราไม่ควรใช้อารมณ์ในการตัดสินใจในการทำงาน เพราะจะทำให้เกิดผลเสีย ต่อองค์กร ต่อตัวเรา และคนรอบข้าง 2 ใน SHEET ของอาจารย์ที่แจกให้ CASE STUDY ของอาจารย์ จะนำไปใช้กับอินโดรามาได้อย่างไร ตอบ จากประสบการณ์ของอาจารย์ จะเห็นได้ว่าอาจารย์มี ความรู้ มีข้อมูล มีการวิเคราะห์เหตุผล มีประสบการณ์ไหวพริบและสัญชาตญาณ ช่วงระยะเวลาในการพูด และการตัดสินใจของปัญหา ทำให้คนทั้งสองกลุ่มคือ ลูกจ้างและนายจ้าง สามารถตกลงกันได้ด้วยดีซึ่งจากประสบการณ์ของอาจารย์ สามารถนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์กับบริษัทอินโดรามาของเรา โดยเฉพาะ กับหัวหน้างานของเรา และ ลูกน้องของเรา ในการพูดปราณี ปราณอม มีหลักการ มีเหตุมีผล ช่วงระยะเวลาในการที่จะพูดจะทำให้อินโดรามาของเราก้าวไปสู่ความสำเร็จในอนาคตได้ นาย วีระศักดิ์ เกษร
นางนิภาพัฒ มิ่งมงคล
กราบเรียนอาจารย์ จีระ หงส์ลดารมภ์ดิฉัน นิภาพัฒ มิ่งมงคล ขอตอบการบ้านที่อาจารย์ให้ไว้เมื่อวันที่ 16 ต.ค 2550 ดังต่อไปนี้ 1 เรียนเรื่องการ ตัดสินใจ( Decision Making )แล้วได้อะไร ตอบ จากการเรียนเรื่องการตัดสินใจกับอาจารย์ จีระ หงส์ลดารมภ์เมื่อ วันที่ 16 ต.ค 2550 ทำให้ดิฉันได้มีความรู้เพิ่มเติมเรื่อง การตัดสินใจ ในแต่ละเรื่องเช่นการตัดสินใจ เรื่องเกี่ยวกับหน้าที่การงานและเรื่องส่วนตัว การตัดสินใจนั้นต้องมีองค์ประกอบหลายอย่าง การรตัดสินใจนั้นเราต้องคิดให้นาน บางคครั้งชั่วพริบตาก็ตัดสินใจผิดพลาดได้จะเป็นการตัดสินใจชั่วขณะและการตัดสินใจมีทั้งโทษและประโยชน์ เพราะฉนั้นการตัดสินใจ ต้องใช้ระยะเวลานานคิดให้รอบคอบ ว่ามีผลกระทบกับตัวเราและผู้อื่นหรือไม่ เราจึงมีการตัดสินใจให้มีประสิทธิภาพได้โดย การตัดสินใจ ต้องตัดสินใจแล้ว ต้องหลีกเลี่ยงปัญหาที่จะเกิดขึ้น และผลกระทบอย่างรอบคอบ บางครั้งการตัดสินใจไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องเก่าหรือเรื่อง ใหม่เสมอไป การตัดสินใจในแต่ละครั้งถ้าในระยะสั้นตัดสินใจไม่ดี ก็อย่าไปตัดสินใจในระยะยาว การตัดสินใจนั้นต้องรอบคอบ มีเหตุมีผลรู้จุดอ่อนจุดแข็งของปัญหาต่างๆ บางครั้งการตัดสินใจ ในส่วนรวมเราต้องคำนึงถึงทุกคนที่มีส่วนร่วมในการตัดสินใจบางครั้งการตัดสินใจก็ไม่จำเป็น ก็ไม่จำเป็นต้องใช้คนมากในการตัดสินใจขึ้นอยู่กับสถานการณ์ขณะนั้นเป็นอย่างไร ก่อนจะตัดสินใจในเรื่องใดนั้นต้องคำนึงถึงปัญหา และนำมาวิเคราะห์ สิ่งที่ดีหรือไม่ดีถูกต้องหรือไม่และดำเนินการแก้ไข สรุป การตัดสินนั้นต้องตัดสินใจ ให้ดีมีคุณภาพตามที่ดิฉันได้กล่าวไว้ข้างต้นแล้ว จึงเป็นการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพ 2. ใน sheet ของอาจารย์ที่แจกให้ case study ของอาจารย์จะนำมาใช้ในอินโดรามาได้อย่างไร ตอบ ดิฉันคิดว่าก่อนการตัดสินใจ เรื่องต่างๆ ต้องมีความรู้และข้อมูล ก่อนการตัดสินใจใดๆ ข้อมูลนั้นต้องมีเหตุมีผลและนำมาวิเคราะห์ การตัดสินใจนั้นต้องไม่ใช้อารมย์ ในการตัดสินใจมีความคิด สร้างสรรค์ ไม่เป็นไปในทางบวกหรือทางลบมากเกินไป ต้องคำนึงถึงความอยู่รอดและเศรษฐกิจ ขององค์กรว่ามีรายได้และรายจ่ายเป็นอย่างไร เพราะถ้าองค์กรอยู่รอดเราก็อยู่ได้ ดั้งนั้นเราจึงไม่ ควรคำนึงถึงตัวเราเพียงฝ่ายเดียวเราควรคิดว่าเราต้องทำงานให้มีคุณภาพให้กับองค์กรด้วย ไม่ใช่แต่ทำงานแบบเช้าชามเย็นชามอยู่ไปวันๆ แต่ในทุกนี้เมื่อเราทำงานออกมาดี ผลที่ตามมาก็คือ องค์กรก็ให้การตอบแทนแก่เราดี
เรียนท่าน ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ ดิฉัน นาง สำลี ธูปหอม สมาชิกกลุ่ม KPD ของ INDORAMA ได้ทำการบ้าน ที่ท่านอาจารย์ได้ให้ไว้ในวันที่ 16.ต.ค.2550 ที่ผ่านมานี้ซึ่งมี ถามอยู่ว่า ข้อ 1. เรียนเรื่องการตัดสินใจ ( DECISION MAKING ) แล้วได้อะไร ตอบ . ดิฉันและเพื่อนๆสมาชิกมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ ทางองค์กรของเราได้เชิญ ท่านอาจารย์มาสอนและให้ความรู้ต่างๆทำให้เราได้มีโอกาสร่วมแสดงความคิ ดเห็น และได้ร่วมทำกิ จกรรมต่างๆร่วมกันทำให้ได้รับความรู้ใหม่ๆเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก และทำให้มีทักษะในการทำงานมี ความคิดริเริ่ม กล้าที่ จะแสดงออกมากขึ้น และทำให้ มีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น ทำให้เรารู้จักกับ ทฤษฎี 8.K’s และได้เรียนรู้ว่าจะนำมา ใช้ให้เกิดประโยชน์ในองค์กรของเราให้มากที่สุดได้อย่างไร และยังทำให้รับรู้ถึงผล กระทบที่เกิ ดจากการตัดสินใจ ว่าสิ่งที่เราได้ตัดสินใจไปแล้ ว นั้นจะส่งผลกระทบในแง่ มุมไหนอย่างไร ถ้าเราตัดสินใจผิดจะได้รับผลกระทบระยะสั้นและระยะยาวอย่างไร การตัดสินใจที่ ดีนั้นเราต้องไม่ใช้อารมณ์เพียงชั่ววู บ เพราะอาจจะเป็นการตัดสินใจที่ ผิดพลาดไม่ถู กต้องการจะตัดสินใจทำเรี่องอะไรเราต้องมีความรู้และข้อมูลของเรื่อง นั้นๆด้วย แล้วจึงนำมาทำการวิเคราะห์สร้างความเข้าใจกับเรื่องที่ จะทำ และต้องหาเหตุ ผลต่างๆมาพิจรณาว่าสมควรทำอย่างไร เมื่อตัดสินใจทำลงไปแล้วจะส่งผลกระทบ หรือไม่ เราสามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้ไม่ว่าจะที่บ้านหรือที่ทำงาน โดยเฉพาะการนำมาใช้ในที่ทำงานถ้าเราตัดสินใจผิดพลาดแม้แต่นิ ดเดียว อาจทำให้ สินค้าของเรามีปัญหาตามมามากมาย ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบระยะยาวทำให้องค์กร ของเราเสียหายได้ ข้อ 2. ใน SHEET ของอาจารย์ที่แจกให้ CASE STODY ของอาจารย์จะนำไปใช้ กับ INDORAMA ได้อย่างไร ตอบ . ใน CASE ของอาจารย์ที่ จะนำมาใช้ใน INDORAMA ได้คือต้องลดความขัด แย้งกันระหว่าง หัวหน้าคนไทยกับคนอินเดีย ลงให้ได้และต้องทำให้คนไทยด้ วยกัน เกิดการสามัคคีกัน ไม่แตกแยกกันเองในองค์กร เพราะถ้าทุ กคนในองค์ กรไม่มีความ สามัคคีกันก็ จะส่งผลไปยั งงานที่รั บผิดชอบอาจทำให้เกิ ดความเสียหายตามมามากมาย เช่นสินค้าไม่ได้คุณภาพถ้าสินค้ามีปั ญหาบ่อยๆลูกค้าเกิ ดความไม่เชื่อมั่นในสินค้าของเรา ก็จะทำให้ทางองค์กรได้รับผลกระทบระยะยาว ซึ่งจะส่งผลมายั งตั วพนักงานในองค์กร เองด้วย.
เรียนอาจารย์จีระ หงส์ลดารมภ์ หลังจากที่กระผมได้เข้าเรียนเมื่อวันที่ 16 ต.ค ในหัวข้อเรื่องการตัดสินใจ (Decision Making)กระผมนายฉัตรเทพ ศรีห่วงขอส่งการบ้านดังนี้ คำจำกัดความของการตัดสินใจ ทางเลือกระหว่างกรณีที่ 1 หรือกรณีที่ 2 หรือกรณีที่ 3 เพื่อนำไปปฎิบัติผมจึงเห็นว่าการตัดสินใจมีข้อสังเกตุว่าใช้ เวลาเพียงประเดี๋ยวเดียวแต่ก็มีผลกระทบต่อตัวเอง.องค์กรและระยะยาวบางครั้งอาจแก้ไขไม่ได้เลยคนเราควรฝึกการตัดสินใจให้มีประสิทธิภาพ ประโยชน์ที่ได้รับของการตัดสินใจที่ถูกต้อง -สามารถนำองค์กรไปสู่ความสำเร็จหรือหลีกเลี่ยงปัญหาที่จะเกิดขึ้นได้ -ก่อนที่เราจะตัดสินใจตัวเราคงต้องมองผลกระทบทั้งทางบวกและทางลบอย่างรอบครอบ -แต่ถ้ามีการตัดสินใจใหม่ต้องเปรียบเทียบสถานการณ์เดิมว่าเป็นอย่างไรและเราไม่จำเป็นต้องตัดสินใจใหม่ เสมอถ้าสถานการณ์เดิมยังดีอยู่ ถ้าสถานการณ์เดิมเปลี่ยนไปเราควรจะหาทางออกหรือตัดสินใจใหม่อย่างรอบครอบ ผลระยะสั้นระยะยาวเราสามารถวิเคราะห์การตัดสินใจจากทฤษฎี 8K's ได้ดังเช่นตัวอย่าง การตัดสินใจเรื่องการใช้เงินถ้าเรามีรายได้ 100 บาทต่อวันใช้เพื่อดำรงค์ชีวิต 80 บาทยังเหลือเก็บอีก 20 บาทเพื่อเก็บออมไว้วันข้างหน้าผลระยะยาวที่ได้รับเรามีเงินเงินออมสะสมไว้กินแน่นอน กระผมจึงใช้การตัดสินใจในงานประจำที่ทำอยู่นี้แต่ระครั้งต้องรู้ข้อมูล.เหตุผลและผลกระทบไหวพริบมาวิเคราะห์ผลที่ได้จะส่งผลดีหรือเสียในระยะสั้นและระยะยาวหรือไม่ถ้าปัญหาจากการตัดสินใจผิดพลาดถ้าเป็นเรื่องฉุกเฉินเร่งด่วนเราต้องนิ่งและวิเคราะห์อย่างรอบครอบสไตล์การตัดสินใจของคนเรานั้นไม่เหมือนกันทั้งนี้ขึ้น อยู่กับเวลาและโอกาส ซึ่งทฤษฎีของEdward De Bono กล่าวว่าการตัดสินใจในเรื่องใดก็แล้วแต่เราจะต้องรู้ข้อมูลเรื่องราวให้มากใช้อารมณ์ที่นุ่มนวลและรอบครอบบวกกับความคิดที่สร้างสรรค์วิเคราะห์หลักเหตุและผลพร้อม กับประสบการณ์ที่มีอยู่และไหวพริบมองภาพระยะสั้นระยะยาวและผลกระทบที่จะตามมาว่าขัดแย้งต่อตัวเราและองค์กรหรือไม่ผมเคยนำทฤษฎี 5K'sของอาจารย์มาใช้บวกกับทุนทางความรู้ที่มีอยู่ผสมกับความคิดในเชิงสร้างสรรค์แบบมีระบบและจินตนาการจริยธรรมใช้แล้วสำริดผลดีทั้งระยะสั้นและระยะยาว ตัวอย่างและประสบการณ์ของอาจารย์จีระ หงส์ลดารมภ์ อาจารย์ท่านเคยดำรงค์ตำแหน่งเป็นกรรมการค่าจ้างขั้นตำถึง 6 ปี 3 สมัยจากที่ได้ฟังอาจารย์ท่านมีสไตล์ความคิดที่รอบครอบเพราะท่านต้องเป็นคนกลางเข้าไปไกล่เกลี่ยระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างจะทำอย่างใรไม่ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ต้องเสียเปรียบและพอใจตกลงกันทั้งสองฝ่ายให้สำเร็จอาจารย์ได้ใช้ไหวพริบและสัญชาติญาณดูเวลาที่เหมาะสมใน การพูดควรที่จะใช้เวลาไหนพูดกับใครแล้วจะใช้คำพูดอย่างไรใช้ประสบการณ์ความรู้มีข้อมูลแล้ววิเคราะห์ถึงสถานการณ์หาหลักเหตุผล ผลกระทบทั้งระยะสั้นและระยะยาวที่จะตามมารู้จักจุดอ่อนจุดแข็งของทั้งสองฝ่ายประณีประนอมการเจรจาจึงสำเร็จด้วยดี ฉัตรเทพ ศรีห่วง

สวัสดีครับท่านอาจารย์จีระ หงส์ลดารมภ์ที่นับถือ

เพิ่งจะเจอบันทึกนี้ครับ

ผมเคยพบอาจารย์ครั้งหนึ่งที่คลังสมอง วปอ.เพื่อสังคม ช่วงเดือนมีนาคม ปีนี้เอง ซึ่งท่านอาจารย์ไปบรรยายเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงให้ผู้เข้ารับการอบรมหลักสูตรผู้นำตามแนวพระราชดำริและปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งในครั้งนั้นมีอาจารย์ ดร.ธันวาฯ และผมในฐานะประธานผู้เข้ารับการอบรม รุ่น 1 ร่วมอภิปรายบนเวทีด้วย

ในขณะนั้นผมเป็นเจ้าหน้าที่การทูต 9 ของกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งต่อมาอีกไม่กี่เดือนก็ได้รับคำสั่งให้ไปรับตำแหน่งอัครราชทูต ที่สถานเอกอัครราชทู่ตไทย ณ กรุงนิวเดลี ซึ่งจนถึงบัดนี้ อยู่อินเดียมาได้ 3 เดือนแล้วครับ

เห็นบันทึกนี้แล้วก็ดีใจเพราะเกี่ยวกับอินเดีย ที่ผมกำลังศึกษาถึงความมหัศจรรย์และความเหลือเชื่อทุกวันเช่นกัน

ผมพบว่าอินเดียมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับสยามและไทยอย่างลึกซึ้งในหลายๆ ด้านซึ่งหลายคนในบันทึกนี้ได้กล่าวไปบ้างแล้ว

สิ่งที่ผมเห็นว่าสำคัญมากก็คือเราต้องรู้ถึงตรรกของคนอินเดียให้ได้ เพราะสิ่งนี้คืออินเดียในปัจจุบัน

ผมได้มีโอกาสพบศาสตราจารย์สาคชิดอนันท์ สหายผู้เขียนเรื่อง"ร.5 เสด็จอินเดีย" พบว่ามีข้อมูลที่สำคัญมากหลายประเด็นให้น่าติดตามมาก....ซึ่งผมจะได้ศึกษาต่อไป

ก็ขออนุญาตเข้ามาร่วมแจมบันทึกนี้ด้วยคนนะครับ

ด้วยความเคารพครับ

 

 

 

 

 

กราบเรียนท่านอาจารย์จีระที่เคารพ

ดิฉันยุพาพรรณ   แสวงทอง  ครั้งนี้พวกเราได้เรียนกับอาจารย์ในหัวข้อการตัดสินใจ (DECISION MAKING) ซึ่งนับว่าเกี่ยวข้องกับชีวิติประจำวันของพวกเรามาก เพราะตลอดชีวิตของคนเราต้องใช้การตัดสินใจในหลายๆ เรื่องด้วยกัน ทั้งในเรื่องของหน้าที่การงาน ชีวิตประจำวัน และในเรื่องของครอบครัว ทุกคนคงต้องตัดสินใจด้วยตนเอง คงไม่มีใครให้คนอื่นมาตัดสินใจแทนตัวเรา เพราะว่าเราต้องรู้ตัวเราเองดีที่สุด

ฉนั้นดิฉันขอตอบการบ้านของอาจารย์ดังนี้ค่ะ

1.  เรียนเรื่องการตัดสินใจแล้วได้อะไร

1.1 ได้รู้ความหมายที่แท้จริงของการตัดสินใจ (Decision Making) ว่าหมายถึง  การพิจารณาตกลงใจชี้ขาดเลือกทางเลือก ที่มีอยู่มากกว่าหนึ่งทางเลือก  ในอันที่ให้มีการกระทำในลักษณะเฉพาะใด ๆ หรือหมายถึงการตกลงใจเลือกข้อยุติ  ข้อขัดแย้ง ข้อถกเถียง  เพื่อให้มีการกระทำไปในทางหนึ่งทางใดที่ได้มีการพิจารณาเลือกหรือตรวจสอบอย่างรอบคอบแล้วการตัดสินใจ เป็นการนำหลักเกณฑ์หรือเครื่องมือต่างๆเข้ามาช่วยในการการตัดสินใจเพื่อทำให้ผู้ตัดสินใจมีโอกาสผิดพลาดน้อยลงหรือการตัดสินใจได้ถูกต้องมากขึ้น  การตัดสินใจที่จะมีขึ้นภายใต้สถานการณ์ต่างๆ  การทำการตัดสินใจได้นำเอาความน่าจะเป็นเและผลกระทบต่อตัวเองและองค์กรทั้งระยะยาวและระยะสั้น แต่ถ้ามีทางเลือกเพียงทางเดียว  ปัญหาการตัดสินใจก็ไม่เกิดขึ้นเพราะถึงอย่างไรก็ต้อง

เลือกตามวิถีทางเดียวที่มีอยู่นั้น ซึ่งจะไม่มีการเปรียบเทียบว่าผลลัพธ์หรือผลตอบแทน  ที่ดีที่สุด  หรือไม่  แต่ถ้ามีวิธีให้ผลตอบแทน

มากกว่าหนึ่งทางแล้ว ก็จะต้องมีการตัดสินใจเลือกทางหรือวิธีที่จะทำให้ได้ผลตอบแทนมากที่สุด  ซึ่งการตัดสินใจเลือกดังกล่าวนี้

เป็นเรื่องที่ยุ่งยากและสลับซับซ้อนยิ่งขึ้น   ดังนั้นจึงได้พยายามหาสิ่งที่จะช่วยในการตัดสินใจเพื่อให้ได้รับผลตอบแทนสูงสุด

                1.2 ได้เรียนรู้ประโยชน์ของการตัดสินใจที่จะนำองค์กรไปสู่ความสำเร็จ หรือหลีกเลี่ยงปัญหาที่เกิดขึ้น ก่อนการตัดสินใจ ต้องมองผลกระทบทั้งทางบวกและทางลบอย่างรอบคอบ หากมีการตัดสินใจใหม่ต้องนำการตัดสินใจมาเปรียบเทียบกับสถานการณ์เดิมว่าเป็นอย่างไร

                1.3 ได้ทราบว่าการตัดสินใจมีหลายแบบ หลายชนิดด้วยกันทั้งงานทั่วไป งานประจำ งานเร่งด่วน ฉุกเฉิน ต้องใช้ยุทธวิธี ยุทธศาสตร์ขององค์กร เข้ามาร่วมในการตัดสินใจ โดยให้มองภาพรวมให้กว้าง ๆ ก่อนการตัดสินใจ ว่าจะใช้การตัดสินใจแบบ CONSENSUS คือทุกคนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ หรือจะใช้แบบแกนนำจำนวนหนึ่งเข้ามามีส่วนร่วมในการตัดสินใจ หรือการใช้การตัดสินใจโดยผู้นำเบ็ดเสร็จ ทั้งนี้ต้องแล้วแต่สถานการณ์ เลือกให้เหมาะสมกับบุคคล เวลาและสถานที่

ข้อดีของการตัดสินใจโดยผู้นำเบ็ดเสร็จคือ เสียเวลาไม่มาก ไม่เกิดการแบ่งพรรคแบ่งพวก และข้อมูลไม่รั่วไหล  ข้อเสีย คือ การไม่ยอมรับผลของการตัดสินใจ ขาดข้อมูล ข่าวสารที่ดี มีทางเลือกน้อยและเสียเวลาในการทำความเข้าใจในปัญหา

ข้อดีของการตัดสินใจโดยทุกคนมีส่วนร่วม คือ เกิดความเป็นประชาธิปไตย ลดข้อข้องใจ ความขัดแย้ง ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็น มีข้อมูลมาช่วยเสริมความคิดในการตัดสินใจ ข้อเสีย คือ เสียเวลามาก หาข้อสรุปยาก ทำให้เกิดความขัดแย้ง และอาจทำให้เกิดการคิดตามกลุ่ม

กระบวนการในการตัดสินใจนั้น คงต้องเริ่มตั้งแต่ การนำปัญหามาวิเคราะห์หาสาเหตุ ว่าเป็นปัญหาอะไรกันแน่ เพื่อค้นหาวิธีการแก้ไขอย่างถูกต้องเหมาะสม แล้วนำปัญหานั้นมาวิเคราะห์หาทางออก โดยการมองหาจุดแข็งและจุดอ่อนของปัญหานั้น ๆ แล้วหาทางเลือกที่ดีที่สุด แล้วจึงดำเนินการทันที

                2. CASE STUDY  ของอาจารย์ นำมาใช้กับริษัทอินโดรามาได้อย่างไรแน่นอนมีความเกี่ยวข้องใกล้เคียงกันมาก เพราะเกี่ยวข้องในเรื่องของค่าจ้าง รางวัล และสวัสดิการต่าง ๆ ของบริษัทที่มีให้กับพนักงาน หากวันนึงมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นในบริษัทอินโดรามา ผู้บริหารและพนักงานคงต้องใช้หลักการของอาจารย์มาประกอบในการพิจารณาเพื่อหาข้อยุติ ซึ่งทฤษฏีของ EDWARD DE BONO คงใช้ได้ทุกข้อ ยกเว้นในเรื่องของอารมณ์ของผู้เข้าร่วมการตัดสินใจ คงจะใช้ร่วมด้วยไม่ได้ ทฤษฏีในการนำมาพิจารณาถึงการตัดสินใจมีหลายอย่างด้วยกัน เช่น ความรู้ ข้อมูล อารมณ์ ความคิดเชิงสร้างสรรค์ หลักการวิเคราะห์ หลักของเหตุผล ประสบการณ์ความรู้ และไหวพริบและสัญชาตญาณ โดยการนำทุกทฤษฏีมาประยุกต์ใช้เข้าด้วยกัน ทุกปัญหาก็จะสามารถสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี อย่าใช้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล เพราะโดยทั่วไปแล้ว การตัดสินใจมักกระทำตามความพอใจของแต่ละคน และทำตามความต้องการของตัวเองเป็นหลัก หากทุกคนได้ทำความเข้าใจถึงปัญหา มีการอภิปรายหาข้อสรุปถึงปัญหา และได้รับการยินยอมและเห็นพ้องต้องกันแล้ว ปัญหาทุกอย่างก็จะยุติลงได้   ขอบคุณค่ะ  สวัสดีค่ะ
นายสมจิตร เรืองบุญ
กระผมนายสมจิตร เรืองบุญได้ตอบคำถามอาจารย์ดังต่อไปนี้ 1.เรียนเรื่องการตัดสินใจ แล้วได้อะไร 9 1.1ความรู้ ข้อมูล คือก่อนการตัดสินใจเรื่องอะไรเราต้องมีข้อมูลและความรู้ เรื่องนั้นอย่างละเอียดและแม่นยำโดยสั่งไปแล้วคนอื่นเห็นด้วยโดยสามารถบอกถึง เหตุผลที่ไปที่มาได้ว่าทำไมถึงให้เราทำอย่างนี้ 1.2 อารมณ์ คือ การตัดสินใจทำอะไรหรือสั่งงานไปนั้นเราต้องนิ่งในทุกสถานการณ์ เช่น สั่งไปแล้วไม่มีคนปฎิบัติตามหรือทำงานออกมาแล้วไม่ดีเราต้องไปดูหน้างาน ก่อนว่าเป็นเพราะอะไรถึงเป็นอย่างนี้ตรวจดูสิว่ามันผิดพลาดจากเราหรือคนปฎิบัติ ผิดพลาดไม่ใช้ไม่ดูเหตุผลอะไรเลยไปถึงใช้อารมณ์ว่าและดุด่าว่าสั่งงานไปแล้วทำไมไม่ทำ และออกไม่ดี คือ ต้องลองคุยกับเขาดูก่อนว่าเป็นเพราะอะไรหรือมีปัญหาอะไรแล้วกันหาทางแก้ไข 1.3 ความคิดสร้างสรรค์ การสั่งงานหรือการตัดสินใจสั่งงานเราต้องมีกลยุทธวิธีการหลาย ๆอย่าง เช่น มีงานชิ้นหนึ่งเคยใช้คนปฎิบัตงานอยู่ 5 คน ในระยะเวลา 8 ชั่วโมง เรามาคิดแล้วถ้าต้องการ ลดคนปฎิบัตงานลงและเวลาการทำงานให้น้อยลงเราต้องคิดวิธีใหม่ๆเข้ามาแทนตรงจุดนี้ให้ได้ 1.4 การวิเคราะห์ การจะตัดสินใจอะไรต้องวิเคราะห์ร่วงหน้าไปเลยว่าถ้าเกิดเราตัดสินใจสั่งทำ ออกไปว่าจะมีผลกระทบอะไรตามมาหรือไมหรือตามมาน้อยที่สุด 1.5 Logic หรือหลักเหตุผล ก่อนการตัดสินใจต้องมีหลักที่แน่นอนและคืออะไรและผลที่ตามมาต้อง ต้องมีสิ่งที่อ้างอิงถึงกันได้ 1.6 ประการณ์หรือความรู้ การจะตัดสินใจทำอะไรหรือสั่งงานเราต้องมีประสบการณ์ในงานชิ้นนั้น อย่างดีและแม่นยำและศึกษาหาความรู้กับงานชิ้นนั้นก่อนจึงก่อนจะลงมือตัดสินใจทำหรือสั่งคนอื่นทำ 1.7 ไหวพริบและสัญชาตญาณ รู้จักการตัดสินใจในการสั่งงานและเกิดการปฎิบัตงานผิดพลาดเราสามารถ แก้ไขสถานการณ์ที่จะเหลวร้ายให้กับมามีประสิทธิภาพเหมือนเดิมและพาองค์กรที่เรารับผิดชอบ ให้หลุดพ้นวิกิฤตไปได้โดยที่ไม่ต้องให้ใครมารับผิดชอบที่เราปฎิบัตงานผิดพลาดไว้ 2. ใน SHEET ของอาจารย์ที่แจกให้ CASE STUDY ของอาจารย์จะนำไปใช้กับอินโดยรามาได้อย่างไร 2.1 ในการตัดสินใจและสั่งงานต้องมีเหตุและผลมาอ้างอิงและสั่งงานอย่างสุภาพเรียบร้อยไม่ใช้อารมณ์ ในการสั่งงาน 2.2 การตัดสินใจที่ดีในโครงงานต่างๆต้องมีคนหลายคนออกมาแสดงความคิดเห็นและหาเหตุผลของแต่ละคน ว่าแต่ละจุดมีจุดแข็งและจุดอ่อนมาเปรียบเทียบกันแล้วเลือกเอาโครงงานที่ดีที่สุดที่มีประสิทธิภาพมาใช้ในบริษัท 2.3 องค์กรจะนำเอาหลักทุนแห่งความยั่งยืนมาใช้ในบริษัทคือจะพัฒนาในองค์กรของตัวเราให้พัฒนาอย่างต่อ เนื่องไปเรื่อยๆในวันต่อวันให้มีประสิทธิภาพแก่ทางบริษัทลงทุนไป 2.4 ในกรณีเกิดปัญหหาในองค์กรของเราที่รับผิดชอบอยู่ไม่ว่าจะเป็นปัญหาใหญ่หรือเล็กเราต้องนิ่งและวิเคราะห์ หาสาเหตุออกมาว่าปัญหามีจุดอ่อนและจุดแข็งอะไรเราจะได้แก้ไขไปในทิศทางที่ถูกต้องและไม่เสียเวลา 2.5 องค์กรจะนำหลักการตัดสินใจที่มีอยู่ 3 ประเภท มาใช้ คือ - การตัดสินใจแบบ Consensus หรือทุกคนมีส่วนร่วม -การตัดสินใจแบบแกนนำจำนวนหนึ่งมีส่วนร่วม -การตัดสินใจโดยผู้นำเบ็ดเสร็จ จะนำมาประยุกต์ใช้ในบริษัท องค์กร และแผนกที่เราผิดชอบโดยจะดูสถานการณ์ว่าจะใช้ในโอกาสใดที่ควรใช้และเหมาะสม 2.6 อาจารย์สอนให้รู้ การรู้จักใช้ไหวพริบและสัญชาตญาณกับหัวหน้างานต่างชาติเราต้องรู้ถึงวัฒนธรรมของเขาว่าเขาต้อง การอะไรและออ่นตามไปก็จะทำให้องค์กรของเราเข้มแข็งไม่อะไรเดินหน้าไปอย่างมีประสิทธิภาพทั้งสองฝ่ายและทำให้บริษัท ของเราเจริญก้าวหน้า
นายสมจิตร เรืองบุญ
กระผมนายสมจิตร เรืองบุญได้ตอบคำถามอาจารย์ดังต่อไปนี้ 1.เรียนเรื่องการตัดสินใจ แล้วได้อะไร 9 1.1ความรู้ ข้อมูล คือก่อนการตัดสินใจเรื่องอะไรเราต้องมีข้อมูลและความรู้ เรื่องนั้นอย่างละเอียดและแม่นยำโดยสั่งไปแล้วคนอื่นเห็นด้วยโดยสามารถบอกถึง เหตุผลที่ไปที่มาได้ว่าทำไมถึงให้เราทำอย่างนี้ 1.2 อารมณ์ คือ การตัดสินใจทำอะไรหรือสั่งงานไปนั้นเราต้องนิ่งในทุกสถานการณ์ เช่น สั่งไปแล้วไม่มีคนปฎิบัติตามหรือทำงานออกมาแล้วไม่ดีเราต้องไปดูหน้างาน ก่อนว่าเป็นเพราะอะไรถึงเป็นอย่างนี้ตรวจดูสิว่ามันผิดพลาดจากเราหรือคนปฎิบัติ ผิดพลาดไม่ใช้ไม่ดูเหตุผลอะไรเลยไปถึงใช้อารมณ์ว่าและดุด่าว่าสั่งงานไปแล้วทำไมไม่ทำ และออกไม่ดี คือ ต้องลองคุยกับเขาดูก่อนว่าเป็นเพราะอะไรหรือมีปัญหาอะไรแล้วกันหาทางแก้ไข 1.3 ความคิดสร้างสรรค์ การสั่งงานหรือการตัดสินใจสั่งงานเราต้องมีกลยุทธวิธีการหลาย ๆอย่าง เช่น มีงานชิ้นหนึ่งเคยใช้คนปฎิบัตงานอยู่ 5 คน ในระยะเวลา 8 ชั่วโมง เรามาคิดแล้วถ้าต้องการ ลดคนปฎิบัตงานลงและเวลาการทำงานให้น้อยลงเราต้องคิดวิธีใหม่ๆเข้ามาแทนตรงจุดนี้ให้ได้ 1.4 การวิเคราะห์ การจะตัดสินใจอะไรต้องวิเคราะห์ร่วงหน้าไปเลยว่าถ้าเกิดเราตัดสินใจสั่งทำ ออกไปว่าจะมีผลกระทบอะไรตามมาหรือไมหรือตามมาน้อยที่สุด 1.5 Logic หรือหลักเหตุผล ก่อนการตัดสินใจต้องมีหลักที่แน่นอนและคืออะไรและผลที่ตามมาต้อง ต้องมีสิ่งที่อ้างอิงถึงกันได้ 1.6 ประการณ์หรือความรู้ การจะตัดสินใจทำอะไรหรือสั่งงานเราต้องมีประสบการณ์ในงานชิ้นนั้น อย่างดีและแม่นยำและศึกษาหาความรู้กับงานชิ้นนั้นก่อนจึงก่อนจะลงมือตัดสินใจทำหรือสั่งคนอื่นทำ 1.7 ไหวพริบและสัญชาตญาณ รู้จักการตัดสินใจในการสั่งงานและเกิดการปฎิบัตงานผิดพลาดเราสามารถ แก้ไขสถานการณ์ที่จะเหลวร้ายให้กับมามีประสิทธิภาพเหมือนเดิมและพาองค์กรที่เรารับผิดชอบ ให้หลุดพ้นวิกิฤตไปได้โดยที่ไม่ต้องให้ใครมารับผิดชอบที่เราปฎิบัตงานผิดพลาดไว้ 2. ใน SHEET ของอาจารย์ที่แจกให้ CASE STUDY ของอาจารย์จะนำไปใช้กับอินโดยรามาได้อย่างไร 2.1 ในการตัดสินใจและสั่งงานต้องมีเหตุและผลมาอ้างอิงและสั่งงานอย่างสุภาพเรียบร้อยไม่ใช้อารมณ์ ในการสั่งงาน 2.2 การตัดสินใจที่ดีในโครงงานต่างๆต้องมีคนหลายคนออกมาแสดงความคิดเห็นและหาเหตุผลของแต่ละคน ว่าแต่ละจุดมีจุดแข็งและจุดอ่อนมาเปรียบเทียบกันแล้วเลือกเอาโครงงานที่ดีที่สุดที่มีประสิทธิภาพมาใช้ในบริษัท 2.3 องค์กรจะนำเอาหลักทุนแห่งความยั่งยืนมาใช้ในบริษัทคือจะพัฒนาในองค์กรของตัวเราให้พัฒนาอย่างต่อ เนื่องไปเรื่อยๆในวันต่อวันให้มีประสิทธิภาพแก่ทางบริษัทลงทุนไป 2.4 ในกรณีเกิดปัญหหาในองค์กรของเราที่รับผิดชอบอยู่ไม่ว่าจะเป็นปัญหาใหญ่หรือเล็กเราต้องนิ่งและวิเคราะห์ หาสาเหตุออกมาว่าปัญหามีจุดอ่อนและจุดแข็งอะไรเราจะได้แก้ไขไปในทิศทางที่ถูกต้องและไม่เสียเวลา 2.5 องค์กรจะนำหลักการตัดสินใจที่มีอยู่ 3 ประเภท มาใช้ คือ - การตัดสินใจแบบ Consensus หรือทุกคนมีส่วนร่วม -การตัดสินใจแบบแกนนำจำนวนหนึ่งมีส่วนร่วม -การตัดสินใจโดยผู้นำเบ็ดเสร็จ จะนำมาประยุกต์ใช้ในบริษัท องค์กร และแผนกที่เราผิดชอบโดยจะดูสถานการณ์ว่าจะใช้ในโอกาสใดที่ควรใช้และเหมาะสม 2.6 อาจารย์สอนให้รู้ การรู้จักใช้ไหวพริบและสัญชาตญาณกับหัวหน้างานต่างชาติเราต้องรู้ถึงวัฒนธรรมของเขาว่าเขาต้อง การอะไรและออ่นตามไปก็จะทำให้องค์กรของเราเข้มแข็งไม่อะไรเดินหน้าไปอย่างมีประสิทธิภาพทั้งสองฝ่ายและทำให้บริษัท ของเราเจริญก้าวหน้า
กราบอาจารย์ จีระ หงส์ลดารมภ์ ดิฉัน บุญชู เทียนชัยสมาชิกกลุ่ม KPD ของอินโดรามาได้ทำการบ้านที่อาจารย์ให้ไว้วันที่ 16 ต.ค 2550 1.หลังจากที่ได้เรียนเรื่องการตัดสินใจ (Decision Making )แล้วได้อะไร ตอบ ในการตัดสินใจในเรื่องการทำงานเราต้องมีความยุติธรรมกับพนักงานวิเคราะห์ที่เขาทำถูกต้องหรือเปล่วสิ่งสำคัญต้องมีแรงจูงใจในการทำงาน ทำงานดีมีความสามารถนำองค์กรไปสู่ความสำเร็จเราต้องมองผลกระทบทางบวกต้องมีการหารือกันว่าเป็นอย่างไรเช่นเดียวกันเราต้องมองด้านทางลบด้วยว่ามีความยุติธรรมความโปร่งใสหรือเปล่วการตัดสินใจแบบมีส่วนร่วมทุกคนมีโอกาศออกความคิดได้ต้องมีความคิดสร้างสรรค์ต้องคิดเป็นระบบการตัดสินใจเพือเน้นระยะยาวใช้คนมีส่วนร่วมตัดสินใจวิธีคิดเป็นระบบความคิดเป็นปัญญาการตัดสินใจที่ดีและเด็จขาดเปลื่ยนผลกระทบไม่ได้การตัดสินใจรุนแรงมากเปลื่ยนผลกระทบได้ตัดสินใจไปแล้วเปรียบได้ทดลองการเป็นผู้นำมีเงื่อนไขไปต่างจังหวัดไปสู่ความสำเร็จเป็นขั้นตอน ตัดสินใจเป็นขั้นตอนรอเวลาตัดสินใจที่เหมาะสมการตัดสินใจรอได้ก่อนตัดสินใจปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ต้นทุนวัถุดิบผลกระทบกับระยะสั้นและระยะยาวต้องให้ระยะยาวอยู่รอดตอบสนองลูกค้าการตัดสินใจที่เราใช้ คือความรู้ ข้อมูล ความคิดสร้างสรรค์ การวิเคราะห์ประสบการณ์ความรู้หลักเหตุผลไหวพริบการตัดสินใจที่อาจารย์สอน ดิฉันจะนำเอาไปใช้เป็นทุนปัญญา 2.ใน (Sheet ) ของอาจารย์ที่แจกให้ ( Case Study )ของอาจารย์นำไปใช้กับอินโดรามาอย่างไร ตอบ ทำให้เขาใจวัฒนธรรมที่หลากหลายระหว่างอินเดียและไทยมีผลให้การตัดสินใจไม่เหมือนกันได้ประสบการณ์นำเอาไปใช้ในงานหรือในชีวิตของตัวเองก็ได้ เช่นการเป็นผู้นำการตัดสินใจที่ถูกต้องแบบอย่างทางความคิดเรียนเป็นทีมคิดมีเหตุผลความคิดสร้างสรรค์ยังได้รู้จักยุทธวิธี ยุทธศาสตร์ องค์กรคืออะไร จุดอ่อน จุดแข็ง ต้องศึกษาคู่แข่งของเราเลือกนำองค์กรไปสู่ความสำเร็จจะทำหน้าที่อะไรเราต้องรู้จังหวะ และความเหมาะสม มีเหตุผลและยึดประโยชน์ส่วนรวมเป็นสำคัญ บุญชู เทียนชัย
เรียนอาจารย์จีระ หงส์ลดารมภ์ ดิฉัน บุญช่วย พูลทอง ได้เข้าเรียน KPD เมื่อวันที่ 16 ต.ค 2550จะขอส่งการบ้านดังนี้ หลังจากเรียนเรื่องการตัดสินใจ(Decision Making)แล้วได้อะไรบ้าง. ตอบ ได้รู้ผลดีและผลเสีย ผลกระทบทั้งระยะสั้นและระยะยาวต่อตนเองและองค์กรการที่เราจะตัดสินใจอะไรสักอย่างต้องรู้ข้อมูลความเป็นมาของเรื่องราวมีการวิเคราะห์ใช้วิจารณายานไหวพริบ การตัดสินใจแบบเร่งด่วนเราต้องรู้ถึงฐานข้อมูลเก่าต้องนิ่งและวิเคราะห์อย่างรอบครอบประโยชน์ของการตัดสินใจสามารถนำองค์กรไปสู่ความสำเร็จได้หรือหลีกเลี่ยงปัญหาที่จะเกิดขึ้นก่อนตัดสินใจต้องมองถึงผลกระทบทั้งทางบวกและทางลบอย่างรอบครอบทุกครั้งถ้าจะมีการตัดสินใจใหม่ต้องเปรียบเทียบสถานการณ์เดิมว่าเป็นเช่นไร ไม่จำเป็นต้องตัดสินใจใหม่เสมอถ้าสถานการณ์เดิมยังนิ่งอยู่ถ้าเกิดสถานการณ์เดิมเปลี่ยนไปควรต้องหาทางออกหรือตัดสินใจใหม่ผลกระ ทบระยะสั้นและระยะยาวถ้าจะนำเอาทฤษฎี 8K's ของอาจารย์มาวิเคราะห์ก็จะส่งผลดีมากเรามี ทรัพยากรมนุษย์เป็นทุนเราควรจะนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ต้องใช้ปัญญาและไหวพริบเข้าแก้ไขร่วมกับการตัดสินใจและกระบวนการที่อาจารย์สอน 1. มอง2. ถึง3. ปัญ4. หาว่าปัญ5. หาที่เราจะทำคืออะไรเกิดขึ้นอย่าง6. ไรค้นหารากเง7. ่าข้อง8. ปัญ9. หา 10. วิเคราะห์ทาง11. ออกของ12. ปัญ13. หาจะแก้ไขโดยวิธีใดอย่าง14. ไรจะไม่ให้ตัวเราและอง15. ค์กรเกิดปัญ16. หาภายหลัง17. ถ้าเกิดขึ้นจะแก้ไขหาทาง18. ออกอย่าง19. ไร 3. มองจุดอ่อนจุดแข็งของปัญหาที่จะส่งผลถึงระยะสันและระยะยาว 4. เลือกการตัดสินใจที่ดีที่สุดแล้วนำมาตัดสินใจโดยใช้ไหวพริบและประสบการ 5. หลังจากนั้นดำเนินการแก้ไข การตัดสินใจมีอยู่หลายวิธี การตัดสินใจที่เปลี่ยนผลกระทบไม่ได้ ถ้าตัดสินใจไปแล้วไม่สามารถเปลี่ยนกลับได้ การตัดสินใจที่เปลี่ยนผลกระทบได้ เวลาเราตัดสินใจไปแล้วสามารถกลับได้ การตัดสินใจด้วยการทดลอง ซึ่งผู้บริหารชอบนำมาใช้ การตัดสินใจแบบมีเงื่อนไข การตัดสินใจแบบมีขั้นตอน การตัดสินใจทั้งหมดถ้าไม่พร้อมต้องรอเวลาที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับโอกาสและสถานการในตอนนั้น อธิบายประสบการณ์ของอาจารย์กับการตัดสินใจ ตอบ อาจารย์เคยเป็นกรรมการค่าจ้างค่าแรงขั้นตำประสบการณ์มากถึง 6 ปี 3 สมัยเพราะต้องเป็นคนกลางเจรจาไกล่เกลี่ยระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างไม่ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเดือดร้อนและกระทบกระทั่งอาจารย์ได้นำเอาทฤษฎี 5K's กับความรู้ประสบการณ์ที่สะสมมาพร้อมทั้งต้องมีข้อมูลเหตุผลมาวิเคราะห์หาโอกาสที่เหมาะสม สมควรที่จะนำมาพูดตอนในช่วงไหนมีไหวพริบต้องรู้เขารู้เราว่านายจ้างต้องการอย่างไรและยอมให้เท่าไรทั้งนี้และทั้งนั้นท่านก็ยังมองถึงฝ่ายลูกจ้างทำอย่างไรคิดอย่างไรพวกเขาทั้งสองฝ่ายถึงจะตกลงกันได้จะมีผลถึงระยะสั้นและระยะยาวหรือไม่ซึ่งต้องดูถึงเศษกิจเป็นเช่นไรและได้นำข้อมูลมาอ้างอิง การนำเอาความคิดและการตัดสินใจที่อาจารย์สอนมาประยุคใช้ในหน่วยงานบริษัทอินโดรามาดิฉันคิดว่ามีประโยชน์มากที่สุดค่ะ บุญช่วย พูลทอง

ผมดีใจมากที่คุณพลเดช ได้ไปเป็นอัครราชทูตที่อินเดีย และผมขอชมเชยที่สามารถค้นหา Blog ของผมได้ ถ้าคุณพลเดช อยากอ่านเรื่องอื่น ๆ ซึ่งเป็นผลงานของผม ให้เข้าไปดูที่ www.chiraacademy.com ผมขอชื่นชมวิธีการเรี่ยนรู้ของคุณพลเดชเป็นอย่างมาก

โครงการของผมกับอินเดีย เป็นโครงการต่อเนื่อง 2 โครงการใหญ่ ๆ ในขณะนี้คือ

1 .  พัฒนาบุคลากรให้กับบริษัท Indorama ซึ่งเป็นบริษัทที่มีบทบาทในธุรกิจสิ่งทอในประเทศไทย บริษัทนี้เห็นความสำคัญในการพัฒนาบุคลากรในระดับ ปวช. ปวส. ซึ่งขาดทักษะในการจัดการ และกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่มีความกระตือรือร้นในการหาความรู้ ซึ่งผมจะพัฒนา และอบรมกลุ่มนี้เป็นเวลา 10 เดือน 

2.  โครงการความร่วมมือกับสถาบัน IIT และสถานทูตอินเดีย ซึ่งจัดสัมมนาให้ความรู้ด้านเทคโนโลยีแก่มหาวิทยาลัย และสถาบันต่าง ๆ ในประเทศไทย

การที่คุณพลเดช ได้มาประจำที่อินเดีย จะเป็นผลดี เพราะผมมีโครงการที่จะไป Lecture ที่ิอินเดียเร็ว ๆ นี้ ผมเชื่อว่าการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่ดีต้องเชื่อมโยงกับอินเดีย เพราะแนวคิดของเขาในด้านนี้จะเป็นประโยชน์ต่อโลก

ขอให้คุณพลเดช ส่งข้อมูลที่เป็นประโยชน์มาเป็นระยะ ๆ เป็นพยายามติดต่อ GURU ชาวอินเดียในด้านการจัดการ ซึ่งเราสามารถเชิญมาเป็นวิทยากรได้

ผมหวังว่าคงจะได้มีโอกาสพบกับคุณพลเดชในประเทศอินเดียครับ ซึ่งเราจะได้เป็นแนวร่วมกันพัฒนาทรัพยากรมนุษย์กันต่อไป

                                           จีระ  หงส์ลดารมภ์ 

                        
 

เรียนท่านอาจารย์จีระที่เคารพครับ

ขอบพระคุณท่านเป็นอย่างมากครับ ความจริงผมแอบไปอ่านข้อเขียนของท่านตั้งแต่วันที่ผมพบท่านที่คลังสมองเป็นต้นมาครับและก็ดีใจแทนคนไทยที่จะได้มีโอกาสเรียนรู้เรื่องการบริหารจัดการที่ดีจากเว็บของอาจารย์และบันทึกใน G2K ซึ่งผมถือว่าเป็นคลังสมองแห่งหนึ่งของเมืองไทย

ผมเห็นด้วยกับอาจารย์ที่ว่าการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่ดีของไทย ควรและต้องเชื่อมโยงกับอินเดียเพราะโดยเฉพาะไทยซึ่งมีจุดร่วมกันในเรื่องของวัฒนธรรมที่ลึกซึ้งยิ่งนัก จะบอกว่าไทยกับอินเดียเป็นญาติกันในทางวัฒนธรรมก็ว่าได้ และไทยก้ควรใช้จุดนี้ร่วมไปกับการส่งเสริมกระชับความสัมพันธ์กับอินเดีย

บริษัท Indorama

(ต่อครับ...คงกดคีย์ผิด เลยบันทึกไปแล้ว) 

เรียนท่านอาจารย์จีระที่เคารพครับ

ขอบพระคุณท่านเป็นอย่างมากครับ ความจริงผมแอบไปอ่านข้อเขียนของท่านตั้งแต่วันที่ผมพบท่านที่คลังสมองเป็นต้นมาครับและก็ดีใจแทนคนไทยที่จะได้มีโอกาสเรียนรู้เรื่องการบริหารจัดการที่ดีจากเว็บของอาจารย์และบันทึกใน G2K ซึ่งผมถือว่าเป็นคลังสมองแห่งหนึ่งของเมืองไทย

ผมเห็นด้วยกับอาจารย์ที่ว่าการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่ดีของไทย ควรและต้องเชื่อมโยงกับอินเดียเพราะโดยเฉพาะไทยซึ่งมีจุดร่วมกันในเรื่องของวัฒนธรรมที่ลึกซึ้งยิ่งนัก จะบอกว่าไทยกับอินเดียเป็นญาติกันในทางวัฒนธรรมก็ว่าได้ และไทยก็ควรใช้จุดนี้ร่วมไปกับการส่งเสริมกระชับความสัมพันธ์กับอินเดีย

บริษัท Indorama นั้น ผมได้มีโอกาสพบผู้บริหารระดับสูงหลายคนในช่วงที่ท่านรองนายกฯ โฆษิตไปเยือนอินเดียปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ต้องยอมรับในความสามารถในเชิงธุรกิจของคนอินเดีย ที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกลและทำงานในระบบเครือญาติที่เข้มแข็งมาก

ยิ่งได้มาอยู่อินเดีย จนวันนี้ 3 เดือน ก็ยิ่งเห็นลักษณะดีๆ ที่แฝงอยู่ของคนอินเดีย ที่คนไทยสามารถนำมาเสริมได้ ซึ่งลูกศิษย์ของอาจารย์หลายคนก็ได้ส่งการบ้านที่มีคำตอบน่าสนใจทีเดียว

สิ่งสำคัญในการเรียนรู้เกี่ยวกับอินเดียก็คือการไปสัมผัสกับสังคมอินเดีย ผมถือว่านั่นคือหน่วยกิตที่สำคัญมากเลยนะครับ ถ้าจะจบวิชาอะไรก็ตามที่เกี่ยวกับอินเดีย ต้องไปสัมผัสอินเดียโดยตรงครับ และที่ผมทราบจากการเยือนของผู้บริหารระดับสูงของ กพ. ก็คือกำลังจะมีโครงการที่จะจัดให้ผู้ที่จะผ่านการอบรมผู้บริหารในทุกระดับของราชการต้องไปทัศนศึกษาที่อินเดียเพิ่มจากการทัศนศึกษาตามปรกติ เพราะการไปอินเดีย ได้เห็นสิ่งต่างๆ จะให้แง่คิดกับชีวิตได้มากครับ รวมทั้งการบริหารจัดการชีวิต

โครงการของอาจารย์เป็นโครงการที่ดีและหากมีอะไรให้ผมช่วยคิดช่วยทำ ก็ยินดีนะครับ

ในอีก 4 วัน ผมก็จะเข้าร่วมโครงการอุปสมบทเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา ที่พุทธคยาแล้ว (28 ตค.-6 พย.) จึงขอกราบลาอุปสมบท มา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ

ด้วยความเครารพ

มาเรียม เหลืองอร่าม
เรียน อาจารย์ ด.ร. จีระ หงส์ลดารมภ์ ดิฉัน มาเรียม เหลืองอร่าม ขอตอบการบ้าน ดั้งนี้ 1. การตัดสินใจ มีข้อสัง2. เกตว่าใช้เวลา ประเดี๋ยวเดียวแต่มีผลกระทบต่อตัวเอง3. และอง4. ค์กร และระยะยาว ยกตัวอย่าง5. เช่น การตัดสินใจแบบเฉียบผลัน โดยไม่คิิดว่าหลัง6. จากนั้นจะมีผล อย่าง7. ไร ในวันข้าง8. หน้า ก่อนตัดสินใจ ต้อง9. มอง10. ผลที่จะตามมาและต้อง11. ไม่ให้มีผลกระทบต่อตัวเอง12. และอง13. ค์กรด้วย เช่นเดียวกับ คนอินเดีย มีการมอง14. การไกล ก่อนตัดสินใจ ต้อง15. มอง16. ผลทาง17. บวกและทาง18. ลบ อย่าง19. รอบคอบ เช่น ให้พนักง20. าน เรียนภาษา อัง21. กฤษ เพราะ เขาเห็นว่าต่อไปข้าง22. หน้า จะมีผลในการทำง23. าน การสื่อสารระหว่าง24. ชาวอินเดีย กับพนักง25. านที่เป็นคนไทย ให้มีการสื่อสารที่ดีขึ้น แล้วง26. านก็จะไม่ผิดพลาดด้วย นั่นคือการตัดสินใจในเชิง27. บวก ที่ให้มีการเรียนภาษาอัง28. กฤษในที่ทำง29. าน จัดให้มีการเรียนคอมพิวเตอร์ เพราะในเวลาทำงานบางครั้งต้องมีการเบิกของ หรืออหลั่ยเครื่องจักรฝึกให้พนักงานก้าวหน้า ก็มีผลในการทำงานและประหยัดเวลาแทนที่จะต้องเดินไปติดต่องานก็สอนให้ใช้คอมพิวเตอร์ในการติดต่องานหรือส่ง อีเมล์แทน จัดให้มีการฝึกอบรม K.P.D ซึ้งได้จัดหาบุคคล ที่มีความรู้ ความสามารถสูง เช่น ด.ร. จีระ มาสอนเพราะท่านผู้นำเล็งเห็นว่าพนักงานของบริษัทต้องได้รับความรู้จากอาจารย์อย่างมากและต้องได้นำความรู้ที่ได้รับมาพัฒนา คนในองค์กร ให้มีความรู้ ความสามารถมากขึ้น และการปฏิบัติงานก็จะดีขึ้น นี่คือการตัดสินใจที่ไม่มีผลกระทบในระยะสั้น และระยะยาว ระมัดระวัง อย่าให้ระยะยาวสร้างปัญหาให้เราให้ระยะสั้นมีผลที่ดีต่อระยะยาว การตัดสินใจ ในงานทั่วไปหรืองานประจำ การระมัดระวังน้อยหน่อยเรื่องเร่งด่วน เรื่องฉุกเฉิน นิ่งก่อนวิเคาระห์ให้ดีก่อน อย่ารีบร้อนในการตัดสินใจ ยุทธวิธี ยุทธศาสตร์ในการตัดสินใจ เราต้องดูจุดอ่อน จุดแข็ง ดูสภาพแว้ดล้อม ต้องศึกษาจุดอ่อนจุดแข็ง ก่อนตัดสินใจ การตัดสินใจแบบแกนนำ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ การตัดสินใจที่ดีควรอยู่กับสถานการณ์ การที่จะให้ทุกคนเก่งได้ต้องมีการตัดสินใจเชิงรุก การตัดสินใจเกี่ยวกับความเสี่ยง ปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ หรือคาดไม่ถึง คือค่าเงินบาท ต้นทุนวัตถุดิบ ความไม่แน่นอนของการเมือง 30. ใน sheet ของ31. อาจารย์ ที่แจกให้ case study จะนำไปใช้กับอินโดรามาได้อย่าง32. ไร จากที่ได้อ่านประวัติการทำงาน และประสบการณ์ของอาจารย์ก็เข้าใจ ว่าอาจารย์เป็นคนที่ รู้จักจังหวะในการพูดการตัดสินใจศึกษาค้นหาข้อมูล และมาวิเคราะห์ถึงเหตุผล จาก ประสบการณ์ของอาจารย์ต้องนำมาใช้ให้เกิดประโยนช์ และต้องมีไหวพริบและสัญชาตญาณว่าต้องไม่ใช้อารมณ์ในการตัดสินใจ ต้องมีความยุติธรรมไม่เข้าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดควรทำตัวเป็นกลาง และเรียกทั้งสองฝ่ายเข้ามาคุยหรือหาข้อตกลงกันอย่างสันติไม่มีการขัดแย้ง และดิฉันคิดว่าจะนำ ประสบการณ์ของอาจารย์มาใช้ให้เป็นประโยนช์มากที่สุดกับที่ทำงานและสังคมในชุมชนที่ดิฉันอยู่ด้วย มาเรียม เหลืองอร่าม
เรียน อาจารย์ ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ ดิฉันบุญช่วย จงรักษ์ ขอตอบการบ้านดังนี้ 1.เรียนเรื่องการตัดสินใจ(Decision Making) แล้วได้อะไร ตอบ .ในเรื่องของการตัดสินใจในแต่ละคนอาจจะมีความคิดแตกต่างกันไป จึงเป็นที่มาของการตัดสินใจที่แตกต่างกันออกไป เพราะบางคนอาจนำบางสิ่งบางอย่างมาตัดสินใจหรือบางคนอาจใช้ความคิดของตัวเองมาใช้ในการตัดสินใจ ด้วยการมองตัวเองก่อนที่จะมองคนอื่นๆ และเราจะต้องมีความเชื่อมั่นในตนเอง ทำงานอย่างมีมีประสิทธิภาพ และสามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้เป็นอย่างดี การที่เราตจะตัดสินใจด้วยตัวเองนั้นอาจทำให้เรามีมุมมองในชีวิตที่เพิ่มมากขึ้นและกว้าง ออกไปได้ศึกษาสิ่งแวดล้อมและสิ่งต่างๆของสังคมที่เราได้เผชิญกับตัวเองในการตัดสินใจว่ามีผลกระทบต่อผุ้อื่น และต่อสังคมรอบข้างมากหรือน้อยเพียงใด และเราก็จะได้รู้ว่าเราสามารถเป็นผู้นำที่ดีของผู้อื่นได้หรือไม่ในการตัดสินใจแต่ละครั้งจะมีขอสังเกตต่างๆมากมาย ที่เราอาจจะมองเห็นหรือไม่เห็น แต่ในการตัดสินใจของบางคนอาจใช้เวลานานหรือบางคนแค่เพียงนิดเดียว เพราะฉะนั้นการตัดสินใจอาจมีผลกระทบต่อตัวเองหรือต่อหน่วยงานที่ทำงานอยู่ และมันอาจมีผลกระทบระยะยาวสำหรับการตัดสินใจที่ใช่เวลาเพียงนิดเดียวเราจึงควรหาทางรับมือแก้ไขข้อผิดพลาดนั้นไว้เสียก่อน ดังนั้นเราจึงควรที่จะฝึกการตัดสินใจให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าเดิมในการตัดสินใจอาจมีแรงจูงใจทั้งทางด้านบวกและด้านลบ อย่างเช่นการขาดความร่วมมือจากหัวหน้าหน่วยงาน ผู้ควบคุมต่างชาติหรือ อาจเกิดการเหลือมลํ้าของหัวหน้างานชาวต่างชาติิ ที่พยายามกดขี่พนักงานให้ทำตามใจตัวเองอันนี้เป็นแรงจูงใจทางด้านลบ แต่แรงจูงใจทางด้านบวกคือ เขายอมรับความคิด ข้อเสนอแนะของพนักงานที่เป็นชาวไทยทุกคน และอีกอย่างพวกเขาทำให้เรามีโอกาสได้ออกไปศึกษาดูงานในสถานที่ต่างๆเพื่อเพิ่มประสบการณ์ให้เราและแรงจูงใจจะทำให้องค์กรของเราประสบความสำเร็จ เราจะต้องทำงานในหน้าที่่ของเราทุกคนให้ดีที่สุดและทำอย่างเต็มที่ ทำให้สุดความสามารถและทำอย่างตั้งใจมันจึงเกิดประโยชน์กับองค์์กร และตัวเราเองมากที่สุดและมันจะสามารถนำองค์กรไปสู่ความสำเร็จ การตัดสินใจจะต้องมองผลกระทบทั้งทางด้านดีและไม่ดีถ้าตัดสินใจไปแล้วเกิดผลกระทบมากการตัดสินใจครั้งต่อไปต้องเปรียบเทียบสถานการณ์เก่าและใหม่ให้มีผลกระทบน้อยที่สุดและพยายามอย่าให้เกิดผลกระทบกับความยั่งยืนขององค์นั้นๆเราจึงควรวิเคราะห์และพิจารณาการตัดสินใจของเราให้ดีเสียก่อน การตัดสินใจมีระบบหรือกระบวนการตัดสินใจในแต่ละขั้น ตัดสินใจแบบทุกคนมีส่วนร่วมหรือขึ้นอยู่กับสถานการณ์หรือใช้การตัดสินใจเพื่อเน้นผลระยะยาวและให้ผู้มีส่วนร่วมช่วยกันตัดสินใจหรืออาจใช้ความคิดที่แตกต่างเพื่อเสริมความมั่งคงและความเชื่อมั่นในการวิเคราะห์การตัดสินใจ ใช้เหตุผล ใช้ความรู้ ใช้ความเข้าใจและสถานการณ์ที่เกิดขึ้นมาแล้วเป็นตัวประกอบในการตัดสินใจให้ถูกต้องมากขึ้น ในการตัดสินใจของแต่ละคนมีแบบการตัดสินใจไม่เหมือนกันอาจดูได้จากสิ่งต่างๆเหล่านี้คือ ความรู้และข้อมูล อารมณ์ความคิดสร้างสรรค์ การวิเคราะห์ เหตุผล ประสบการณ์ สุดท้ายไหวพริบและสันชาตญาณของผู้ตัดสินใจแต่ละคนการตัดสินใจคิดได้แต่ต้องใช้เหตุผล คิดอย่างระมัดระวังคิดเร็ว คิดไปข้างหน้าแล้ววิเคราะห์ว่าที่คิดมาทั้งหมดดีและถูกต้องมากน้อยเพีียงใด แบบการคิดขึ้นอยู่กับทฤษฎีทั้ง5ของท่านดร.จีระ มาเป็นตัวประกอบในการตัดสินใจเพราะนั่นเป็นทุนแห่งความรู้และความคิดสร้างสรรค์ การคิดควรคิดแบบเป็นเหตุผลดังกฎของ Peter ที่ว่า รู้อะไรรู้ให้จริงแล้วจะมีแบบอย่างทางความคิด แล้วจึงจะเห็นอนาคตทำอะไรทำเป็นทีม และคิดให้มีเหตุผล สุดท้ายตัดสินใจให้เด็ดขาด และดีที่สุด แต่การตัดสินใจมีวิธีการ คือ เปลี่ยนผลกระทบได้หรือไม่ได้สามารถทดลอง มีเงื่อนไข เป็นขั้นตอน และสุดท้ายก็รอเวลาการตัดสินใจที่เหมาะสม ดังนั้นเราจึงควรที่จะพิจารณาการตัดสินใจลงไป เพื่อที่เราจะได้เกิดข้อผิดพลาดน้อยที่สุด และสุดท้ายการตัดสินใจของเราก็จะประสบความสำเร็จมากที่สุด 2.ใน SHEET ของอาจารย์ที่แจกให้ CASET ของอาจารย์จะนำไปใช้กับอินโดรามาได้อย่างไร ตอบ ในการอ่านประวัติการทำงานและประสบการณ์ของท่านอาจารย์ ก็ทำให้รู้ว่าท่านอาจารย์มีประสบการณ์มากถึง6ปี3สมัย และท่านอาจารย์ยังเป็นคนที่รู้จักการตัดสินใจที่ดีและมีเหตุผล และทำให้เข้าใจถึงวัฒนธรรมที่หลากหลายระหว่างไทยกับอินเดียในเรื่องของการตัดสินใจที่ไม่เหมือนกัน และจากประสบการณ์ที่ได้เรียนรู้มาก็ใช้ประโยชน์ได้มากในองค์กรของเรา และการตัดสินใจจะต้องมีไหวพริบ ทำตัวเป็นคนกลาง และรู้จักการตัดสินใจที่ถูกต้องตามแบบอย่างทางความคิดรู้จักเขารู้จักเราว่านายจ้างต้องการจะให้เราทำอะไรและท่านก็ยังมองถึงฝ่ายลูกจ้างทำอย่างไรและพยายามหาข้อตกลงและยุติปัญหาของทั้งสองฝ่ายให้ได้ เพื่อที่จะได้นำเอาความคิดและการตัดสินใจที่อาจารย์บอกมาประยุกต์ใช้ในหน่วยงานเพื่อที่หน่วยงานของเราจะได้ไปสู่ความสำเร็จ และใช้ประโยชน์มากที่สุดสำหรับองค์กรของเรา และต้องคํานึงถึงผลกระทบระยะสั้นและระยะยาวให้มากที่สุดโดยการนำเอาเศรษฐกิจและข้อมูลต่างๆ มาอ้างอิงใช้ในการตัดสินใจที่ดี บุญช่วย จงรักษ์
วิชาญ สุริยะหิรัญ
กระผม นายวิชาญ สุริยะหิรัญ ขอตอบการบ้านอาจารย์ดังต่อไปนี้ 1. เรียนเรื่องการตัดสินใจ COECISION MAKING แล้วได้อะไร จากการที่เรียนได้รู้วิธีหลากหลายอย่างในการที่จะตัดสินใจ ทำอะไรลงไปต้องมีความรอบคอบและต้องเพิ่มความระมัดระวังอย่างมากและจะต้องดูสภาพแวดล้อมก่อน โดยคำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้งและต้องไม่มีผลกระทบต่อตัวเองและองค์กร และยังได้รับรู้ถึงวิธีการตัดสินใจแบบมีกระบวนการ คือ ต้องรู้ถึงปัญหาแล้วนำมาวิเคราะห์ หาที่มาที่ไปของปัญหาแล้วเลือกวิธีแก้ที่ดีก่อนลงมือแก้ไขปัญหาและการแก้ไขปัญหาให้เกิดประสิทธิภาพที่สูงสุด คนที่แก้ปัญหาต้องไม่ควรใช้อารมณ์ในการตัดสินใจแก้ไขปัญหา 2. ในSHEET ของอาจารย์ที่แจกให้ CASE STUDY ของอาจารย์จะนำไปใช้กับอินโดรามาได้อย่างไร การที่จะนำแบบอย่างของอาจารย์มาใช้กับอินโดรามานั้นจะต้องเป็นคนที่มีความรู้กว้างมากและจะต้องรู้วัฒนธรรมที่หลากหลายของคนอินเดียที่เป็นระดับผู้บริหาร ในอินโดรามา ว่ามีจุดอ่อน จุดแข็งอย่างไรบ้าง ระหว่างลูกจ้างกับนายจ้าง และในอินโดรามายังสามารถนำไปใช้ในการตัดสินใจพูดให้ประสบความสำเร็จแบบที่ ทุกคนมีส่วนร่วม (CONSENSUS ) คือต้องมีการประชุมและต้องมียุทธศาสตร์ ยุทธวิธี และรู้สถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นในด้านการ ต่อรองกับบริษัทเกี่ยวกับขอคนเพิ่มหรือในด้านค่าจ้างแรงงานหรือสวัสดิการต่าง ๆ ที่ลูกจ้างควรจะได้รับให้เป็นผลสำเร็จ คือจะต้องเป็นคนที่มีข้อมูลที่ดีทั้งในบริษัทและนอกบริษัทไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ การเมือง ทั้งในระดับประเทศและนอกประเทศ และ ที่สำคัญ คือ จะต้องเป็นคนที่ คิดเป็น ทำเป็น และกล้าตัดสินใจ
นายศรายุทธ ยิ้มอยู่

            สวัสดีครับอาจารย์ผมนายศรายุทธ  ยิ้มอยู่ จากการได้ศึกษาเรียนเรื่อง การตัดสินใจ  DECISION  MAKING ในวันที่  16  ตุลาคม  2550  ซึ่งอาจารย์ก็ได้นำหลักการ และทฤษฏีต่างๆ มาแนะนำเพื่อให้ผู้เข้ารับการอบรมเรียนรู้  ของ INDORAMA เกิดความเข้าใจ และเห็นความสำคัญกับคำว่า การตัดสินใจ  เพราะการดำเนินงานต่างๆ ซึ่งไม่ว่าจะอยู่ในสถานะผู้บริหาร  ผู้นำ  ผู้ตาม แม้แต่ในครอบครัวของเรา แล้วเรื่องการตัดสินใจเราต้องมีบทบาทในบางเรื่อง ถ้าเราเล็งเห็นแล้วว่าสิ่งที่เราจะตัดสินใจอะไรลงไป จะเป็นประโยชน์ทั้งในระยะสั้น-และระยะยาว ซึ่งการเรียนครั้งนี้ก็เป็นประโยชน์อย่างยิ่งที่จะสามารถนำไปใช้ในการพัฒนาบริษัท และองค์กร พร้อมทั้งในชีวิตประจำวันได้อย่างมากครับ  และอาจารย์ได้ให้คำถามไว้  2  ข้อ ที่เกี่ยวกับการเรียนในครั้งนี้ ซึ่งผมขอให้คำตอบดังนี้ครับ

             1.   เรียนเรื่องการตัดสินใจ  DECISION   MAKING   แล้วได้อะไร  ? 

              ซึ่งการเรียนครั้งนี้แล้ว สิ่งที่ผมได้รับและสามารถนำไปใช้ประโยชน์  เพื่อพัฒนาบริษัทฯ  งาน   และองค์กรก็คือ ได้รับทราบถึงหลักการต่างๆ ในการตัดสินใจว่า การตัดสินใจไม่ใช่ว่าจะทำกันแบบง่ายๆ แต่ต้องคำนึงถึงหลักการต่างๆ  เช่นเมื่อเราตัดสินใจไปแล้วจะมีผลกระทบในระยะสั้น และระยะยาวหรือไม่ ตัดสินใจไปแล้วจะสามารถยกเลิกได้หรือไม่  และการตัดสินใจเราควรจะใช้หลักการต่างๆ ในการตัดสินใจและเราควรทราบถึงสภาวะของเรื่องนั้นๆที่เราจะตัดสินใจอะไรลงไป  ซึ่งการตัดสินใจเราก็ต้องนำหลักการต่างๆ เข้ามาช่วยเช่น  ความรู้   ข้อมูล   การวิเคราะห์  เหตุผล  ประสบการณ์  ไหวพริบ   เข้ามาร่วมช่วยในการตัดสินใจต่างๆ  แล้วแต่สถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น  และเช่นเดียวกันการที่เราจะสามารถพัฒนาบริษัทฯ  องค์กร  บุคลากรต่างๆ ให้เกิดความก้าวหน้าแล้ว จำเป็นอย่างยิ่งที่ระดับผู้บริหาร  ผู้นำ  ควรจะต้องเป็นแบบอย่างในเรื่องของการตัดสินใจในบางเรื่อง  ถ้าเรื่องที่เราตัดสินใจไปแล้ว จะเป็นผลดีกับทางบริษัทฯ ไม่ไปกระทบกับปัญหาต่างๆ ที่จะตามมาไม่ว่าจะเป็นผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม  กระทบกับบริษัทฯ ตลอดจนผู้บริหารทุกระดับ  และลงไปถึงบุคลากรในองค์กร  หรือแม้แต่สภาพแวดล้อมทั้งภายในและภายนอกของบริษัทฯ เพราะว่าการตัดสินใจเพียงครั้งเดียว  อาจจะมีผลทั้งในระยะสั้น และระยะยาว ซึ่งปัญหาการตัดสินใจที่เกิดการผิดพลาดและทำให้เกิดผลตามมาในองค์กรซึ่งอย่างเช่นปัญหาที่เราพบเห็นอยู่บ่อยๆ เช่น ปัญหาการเกิดข้อขัดแย้งระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างในบริษัทฯหลายๆแห่ง  ไม่ว่าจะเป็นปัญหาในเรื่องค่าแรง  ค่าจ้าง  O.T  สวัสดิการต่างๆ ซึ่งปัญหาเหล่านี้ล้วนเป็นปัญหาที่เมื่อเกิดขึ้นแล้ว  ก็จะเป็นผลให้บริษัทฯ ลงไปถึงองค์กร  เกิดความเสื่อมเสียทั้งสิน และอาจส่งผลถึงความน่าเชื่อถือไปถึงลูกค้า ซึ่งปัญหาดังกล่าวส่วนมากจะเกิดจากการตัดสินใจเป็นส่วนใหญ่  เช่น นายจ้างตัดสินใจจ่าย  O.T  ค่าแรง  สวัสดิการต่างๆ  ไม่เป็นไปตามระบบ หรือลูกจ้างตัดสินใจ ประชุมรวมตัวกันต่อต้านบริษัทฯ  ต่อต้านนายจ้าง  นี้แหละครับคือปัญหาที่เกิดจากการตัดสินใจทั้งสิน  แต่ถ้าทั้ง  2  ฝ่ายมีการใช้ข้อมูล ความรู้  มีการวิเคราะห์ต่างๆ รวมถึงเหตุผล เข้ามาช่วยในการตัดสินใจ ปัญหาต่างๆ ก็จะไม่เกิดขึ้น ก็จะเป็นผลดีทั้งบริษัทฯ องค์กร บุคลากร รวมถึงผู้บริหาร ผู้นำ ผู้ตาม ก็จะอยู่กันอย่างมีความสุข  ดังนั้นทั้งฝ่ายผู้บริหาร ผู้นำ นายจ้าง และลูกจ้าง  ถ้าต่างฝ่ายต่างมีหลักการหรือมีความรู้ในเรื่องการตัดสินใจ  แล้วก็จะเป็นผลที่จะช่วยกันพัฒนาบริษัทฯ และองค์กรให้ก้าวหน้าต่อไป

    2.      จากตัวอย่างใน  Case  Study  ของอาจารย์ได้อะไรจากการศึกษา และสามารถนำมาใช้ได้อย่างไร ?

              จากการได้ศึกษาจะเห็นว่าอาจารย์ได้ดำรงตำแหน่งเป็นประธานการประชุม  APEC  HRPRG  หรือการประชุมของคณะทำงานกลุ่มผู้นำของประเทศ   21  ประเทศ  และได้เห็นถึงประสบการณ์เกี่ยวกับการได้เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเรื่องค่าจ้างขั้นต่ำถึง 6  ปี  3  สมัย   อาจารย์ได้ใช้  Styie  ต่างๆ ของอาจารย์เข้ามาช่วยในฐานะประธานที่ประชุม แต่สิ่งที่สำคัญผมมองเห็นว่าอาจารย์จะมีรูปแบบในการตัดสินใจในแต่ละเรื่องนั้น อาจารย์จะยึดหลัก  8K’s คือหลักของทุนแห่งความยั่งยืน คืออาจารย์จะมองไปถึงในระยะสั้นและระยะยาว  ก่อนการตัดสินใจ  ต้องมองผลกระทบทั้งทางบวกและทางลบอย่างรอบคอบ และอาจารย์จะใช้ความรู้  ข้อมูล  หลักการ  เหตุผล  การวิเคราะห์  ประสบการณ์  ไหวพริบ   ของอาจารย์นำมาช่วยในการตัดสินใจในแต่ละเรื่อง  ซึ่งอาจารย์จะดูว่าปัญหาคืออะไร  และมีการวิเคราะห์  มองจุดอ่อน  จุดแข็ง  และอาจารย์จะเลือกสิ่งที่ดีที่สุด  เพื่อดำเนินการต่อไป  ซึ่งในแต่ละครั้งการตัดสินใจของอาจารย์เพียงครั้งเดียวจะส่งผลไปถึงธุรกิจในอีกหลายๆที่  ซึ่งถ้าอาจารย์ไม่ใช้การวิเคราะห์ ที่ถูกต้องแล้ว ย่อมเป็นผลนำมาซึ่งความเสียหายอีกหลายๆ ธุรกิจ หรือจะเสียหายถึง นายจ้างและลูกจ้าง เป็นอย่างมาก  หรืออาจส่งผลกระทบถึงขั้นการปิดกิจการไปเลยก็อาจจะเป็นไปได้  อาจารย์จะมองที่ความอยู่รอดทั้ง  2  ฝ่าย  หากอาจารย์เน้นที่ฝ่ายนายจ้าง ลูกจ้างผู้ใช้แรงงานก็อาจจะอยู่ไม่ได้  แต่ถ้าหากอาจารย์เน้นที่ฝ่ายลูกจ้าง นายจ้างก็อาจจะเกิดความเดือดร้อน   ดังนั้นการวิเคราะห์  ข้อมูล เหตุผล การตัดสินใจของอาจารย์มีความสำคัญอย่างยิ่งที่จะส่งผลไปในระยะสั้นและระยะยาวอย่างมากๆ  และใน  Case  Study   ผมสามารถนำรูปแบบและแบบอย่างของอาจารย์มาใช้ในการทำงาน รวมถึงในชีวิตประจำวันได้อย่างมาก โดยในภาพรวมๆ คือเรื่องของการตัดสินใจ   หลักการ  วิธีการต่างๆ เป็นแบบอย่างและตัวอย่างที่จะนำไปใช้ในการปรับปรุงพัฒนาบริษัทฯและองค์กร ได้อย่างดีมากๆ ครับ                                                                                                                           

                                                                                                                 สวัสดีครับ 
สวัสดีครับอาจารย์ ดร จีระ ที่เคารพ ผมนายกิตติ แก้วพงษ์
         ซึ้งพบกับอาจารย์ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 6 แล้วซึ้งทำให้ผมมีความรู้ความ
เข้าใจเพิ่มมากขึ้นเกี่ยวกับการเป็นผู้นำทุกครั้งที่พบกับอาจารย์และทีมงาน
รู้สึกเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน มีความคุ้นเคยมากขึ้นและกล้าที่จะ
แสดงออกมีการเรียนการสอนนอกสถานที่ได้เห็นของจริงทำให้เกิดความ
เข้าใจมากยิ่งขึ้น ทำให้เกิดความผูกพันกันมากขึ้น เกิดความสามัคคีกันภายในกลุ่ม
 KPDสำหรับครั้งนี้ก็เป็นอีกครั้ง หนึ่งที่มีเกมมาให้พวกเราเล่นเพื่อผ่อนคลายระ
หว่างการเรียน ซึ้งเกมที่เล่นก็มีข้อคิดเล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับการตัดสินใจซึ้งมี
ประโยชน์กับตัวผมมาก และการวางตัวระหว่างอาจารย์กับลูกศิษย์ก็เป็นกัน
เองมากขึ้นเหมือนลดช่องว่างระหว่างอาจารย์กับลูกศิษย์ให้น้อยลงและที่กล้าที่จะ
ตัดสินใจทำในสิ่งที่อาจารย์มอบมายให้ ซึ้งได้รับรู้และเข้าใจในหลักการและวิธี
การต่างๆมาปรับปรุงแก้ไขและนำไปใช้ในชีวิตประจำวันไม่ว่าจะเป็นครอบ
ครัวหรือหน้าที่การงาน ซึ้งเป็นประโยชน์อย่างมาก เนื่องมาจากในปัจจุบัน
การดำเนินชีวิตของแต่ละบุคคลนั้นมีวิถีชีวิตที่หลากหลายมีทั้งปัญหาให้
ต้องแก้ไขไปตลอดเว้นแต่ละวัน ว่าปัญหานั้นจะยากหรือง่ายจึงต้องใช้สติ
ปัญญาและประสบการณ์ในการตัดสินใจ ในการแก้ไขให้ปัญหาเหล่านั้นให้
ลุล่วงไปด้วยดีและการตัดสินใจที่จะแก้ไขปัญหานั้นจะต้องคำนึงถึงว่าใน
อนาคตจะตัองไม่เกิดปัญหาที่เป็นปัญหาซ้ำซ้อนเพราะคนเราไม่ใช้จะมี
ปัญหาอย่างเดียวหรือสองอย่าง ตราบใดที่เรายังดำเนินชีวิตอยู่บนโลก
นี้จึงจำเป็นต้องศึกษาหาความรู้จากหนังสือหรือการอบรมจากผู้ทีมี
ประสบการณ์เพื่อทีจะได้รับการถ่ายทอดประสบการณ์ต่างๆ ให้เราทราบเพื่อที่จะได้
นำไปประยุกต์ใช้ในการตัดสินใจ แก้ไขปัญหาต่างๆให้สำเร็จ ลุล่วงไปด้วย
ดีและครั้งนี้ก็ได้รับการบ้านของอาจารย์มา 2ข้อ เพื่อที่จะทำให้เราเกิดความเข้าใจ
มากยิ่งขึ้น เกี่ยวกับหลักการ และวิธีการวิเคราะห์ให้กับเราเพื่อนำไปใช้ในการตัดสินใจ
นั้นจบลงอย่างมีเหตุผลเสมอ
      คือข้อที่ 1. เรียนเรื่องการตัดสินใจ Decision Making แล้วได้อะไร
 การตัดสินใจก็เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง ที่เกิดขึ้นในที่ทำงานเพื่อให้งานนั้นๆ
ดำเนินได้อย่างต่อเนื่องไม่เกิดความเสียหายต่อขบวนการผลิตและการ
แก้ไขปัญหา แต่ละครั้งนั้นให้สิ้นสุดลงได้โดยไม่ต้องย้อนกลับมาแก้ไขปัญหาใหม่เผื่อ
ที่จะได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาอื่นๆที่จะเกิดขึ้นมาใหม่ หากการตัดสินใจที่เกิดขึ้น
ผิดพลาดอันเนื่องมาจากการขาดความรู้ ขาดการใตร่ตรองปัญหาที่เกิดขึ้นโดย
ไม่ละเอียดถี่ถ้วนอาจ ทำให้เกิดความผิดพลาด ร่วมทั้งเสียเวลาในการทำงานเพราะ
จะต้องย้อนกลับมาทำงานใหม่ การเริ่มต้นทำงานใหม่แทนที่จะเริ่มทำงานชิ้นต่อไป
 สาเหตุเช่นนี้เกิดจากการตัดสินใจผิดพลาดหวังผลในระยะสั้นเพื่อให้งาน
เสร็จไปวันๆ แต่สิ่งที่กลับมาคือการ เสียเวลา เพิ่มค่าใช้จ่าย เพราะฉะนั้นใน
เรื่องการตัดสินใจจำเป็นอย่างยิ่งต่อองค์กร ไม่ว่าองค์กรนั้นจะทำธุรกิจ
ประเภทใด จะประสบความสำเร็จหรือไม่ มีผลกระทบมากน้อยเพียงใด
 ต้องคิดให้รอบคอบว่ามีผลดีและผลเสียในระยะสั้น หรือระยะยาวควรจะ
มีแผนในการตัดสินใจไว้รองรับเพื่อมี การตัดสินใจใหม่อย่างเช่นในบริษัท
 Indorama ของเราหรือแผนกที่ผมทำงานอยู่ ไม่ว่า จะเกี่ยวกับเครื่องจักร
ที่ควบคุมดูแลอยู่หรือบุคคลที่ร่วมงานกันไม่ว่าจะเป็นระดับผู้บริหาร
 ผู้ใต้บังคับบัญชาเมื่อเกิดปัญหาขึ้นมาไม่ว่าจะเป็นปัญหาเล็กหรือ
ปัญหาใหญ๋มีผลกระทบต่อองค์กรมากน้อยเพียงใดเช่น
           1.1  เครื่องจักรที่ควบคุมดูแลอยู่ซึ้งเป็นระบบต้นกำลัง เมื่อเกิด
ปัญหาขึ้นมาซึ้งมีผลกระทบมากต่อขบวนการผลิตมาก ก่อนตัดสินใจว่า
จะทำอะไรหรือแก้ไขอย่างไรต้องมองปัญหาให้กว้างๆคิดดูว่ามีผลกระทบ
ทั้ง ในแง่บวกและแง่ลบอย่างไร ว่ามีผลดีผลเสียมากน้อยเพียงใดถ้าเราไม่มีเวลา
มากหรือเป็นเรื่งฉุกเฉิน Emergency ควรจะวิเคราะห์ให้ดีและรอบคอบ
กับสถานการณ์ทีเกิดขึ้นก่อนตัดสินใจแก้ไขปัญหากับเครื่องจักรที่ควบคุม
ดูแลอยู่ ให้ลุล่วงไปด้วยดี
        1.2  บุคคลที่ร่วมงานกันไม่ว่าจะเป็นระดับผู้บริหาร ผู้ใต้บังคับบัญชา
 ซึ้งเราต้องติดต่อกันในหลายแผนกซึ้งมีความจำเป็นมากในการตัดสินใจ
 เพราะมีบุคคลหลายระดับ อย่างเช่นการติดต่องานหรือประสานงานกัน
ระหว่างแผนกมักจะมีปัญหา ข้อโต้แย้งหรือไม่เข้าใจกันซึ้งเป็นปัญหาหลัก
ที่ต้องนำมาตัดสินใจแก้ไขซึ้งแต่ละคนมี Style การตัดสินใจไม่เหมือนกัน
 ควรปรับแผนการทำงานใหม่โดยใช้แนวทางปฏิบัติในการตัดสินใจ
 DM Process ว่าปัญหาเกิดจากอะไรนำมาวิเคราะห์แก้ไขว่าแต่ละคนมี
จุดอ่อนจุดแข็งอย่างไร โดยเลือกสิ่งที่ดีที่สุดของแต่ละคนมาดำเนินการ
แก้ไข และควรศึกษาสภาพแวดล้อมโดยนำหลักทฤษฎี 8K's คือทุนแห่งความยั่งยืน
 Sustainability Capital  มาช่วยแก้ไขด้วย.
    ข้อที่ 2. ใน SHEET ของอาจารย์ที่แจกให้ CASE STUDY ของอาจารย์
 จะนำไปใช้กับอินโดรามาได้อย่างไร ?
 ซึ้งเป็นแบบอย่างที่ดีมีประโยชน์กับตัวผมเองเกี่ยวกับการตัดสินใจในการ
แก้ไขปัญหาในบริษัท Indorama ของเราโดยที่ ผมยกตัวอย่างไว้ใน ข้อ1.2
 เกี่ยวกับบุคคลที่ร่วมงานกันมักมีปัญหาตกลงกันไม่ได้ บางคนตัดสินใจ
โดยไม่ศึกษาถึง ผลกระทบระยะยาว บางครั้งการตัดสินใจโดยการใช้
อารมณ์ไม่ใด้วิเคราะห์สถานการณ์นั้นให้ดีที่สำคัญ ขาดไวพริบในการแก้ไข
ปัญหาจึงทำให้เกิดปัญหาซ้ำซากซึ้งไม่เป็นผลดีต่อองค์กร ทำให้เกิดการ
แบ่งแยกเป็นพวกเป็นหมู่ ทำให้เกิดความล้าช้าในระบบงาน ซึ้งนำหลักการ
และประสบการณ์ของอาจารย์มาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ให้มากที่สุด
เท่าที่จะ มากได้คือ ควรจะสังเกตุลักษณะ อุปนิสัยใจคอ และ ความประพฤติ
ของแต่ละบุคคล ว่าเป็นอย่างไรแล้วใช้จังหวะ และโอกาสในช่วงเวลาที่
 เหมาะสมรับฟังปัญหาทั้งสองฝ่ายนำมาวิเคราะห์หาทางออกที่เหมาะสมไม่
ส่งผลกระทบต่อองค์กรทำให้องค์กรได้รับประโยชน์มากที่สุด และลดความ
ขัดแย้งในระยะยาวให้น้อยลง ทำให้เกิดความเข้าใจซึ่งกันและกันมากขึ้น
สำหรับในเรื่องการตัดสินใจแก้ไขปัญหาเป็นขั้นตอนเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง
หากเราไม่ได้รับการเรียนรู้จากผู้ที่มีประสบการณ์การแก้ปัญหานั้นคงจะเป็น
ไปได็ยากและคงไม่ยั่งยืน ...ขอบคุณครับ....
สวัสดีค่ะ ท่านอาจารย์ จิระที่เครพดิฉันวราภรณ์ ระวิงทองขอตอบการบ้านดังนี้ ข้อ 1 จากที่เรียนเมื่อวันที่ 16 ตุลาคมที่ผ่านมานั้นดิฉันได้ความรู้จากอาจารย์มากมายโดยเฉพาะเรียนเรื่องการตัดสินใจนั้นถ้าเราตัดสินใจนั้นถ้าเราตัดสินใจโดยไม่มีประสิทธิภาพอาจมีผลต่อตัวเองและองค์กรในระยะยาวบางครั้งอาจแก้ใขไม่ได้เราควรฝึกความคิดอย่างรอบคอบหลีกเลี่ยงปัญหาที่จะเกิดขึ้นถ้าเป็นการตัดสินใจใหม่ต้องเปรียบเทียบจากสถานการณ์เดิมว่ายังดีอยู่หรือไม่การตัดสินใจของคนเรานั้นไม่เหมือนกันบางคนอาจใช้อารมณ์ในการตัดสินใจก่อให้เกิดผลกระทบอย่างรุนแรงต่อตัวเราและองค์กรเช่นกันหรือเราอาจมีความรู้น้อยขาดประสบการณ์สติปัญญาและไหวพริบเราไม่ควรคิดอยู่ในกรอบเราอาจจะคิดนอกกรอบได้คิดแบบเชิงรุกค้นพบสิ่งใหม่ๆอยู่เสมอไม่จำเป็นต้องคิดเรื่องเดิมหรือตามแบบอย่างใคร วัฒนธรรมในอินโดรามาทำให้เกิดการตัดสินใจที่หลากหลายในระหว่างอินเดียและไทยมีผลในทางบวกและทางลบถ้าเราไม่พูดไม่คุยหรือปรึกษากันจะทำให้เกิดผลกระทบในทางลบได้มากมายในองค์กรถ้าทุกคนมีความคิดที่จะสร้างสรรค์ให้องค์กรมีความเจริญก้าวหน้าไปด้วยดีเราต้องหันหน้าคุยกันถึงแม้ว่าจะมีวัฒนธรรมที่ไม่เหมือนกันก็ตามเราก็สามารถจะทำงานร่วมกันได้เป็นอย่างดีและประสบความสำเร็จได้การคิดควรคิดแบบมีเหตุผลฟังความคิดของเพื่อนร่วมงานบ้างไม่ควรเอาความคิดของตัวเองเป็นหลักเวลาทำงานก็ต้องทำงานเป็นทีมไม่ควรทำคนเดียวคิดคนเดียวต้องมีการลงมติเลือกทำในสิ่งที่ดีที่สุด การที่อาจารย์ให้ทำ WORKSHOP เรื่องผู้นำชาวอินเดียได้เข้าใจความรู้สึกของคนไทยและทำให้มีประโยชน์ในการทำงานมีความคิดที่ดีต่อกันต่างฝ่ายต่างปรับตัวเข้าหากันทำให้ขวัญและกำลังใจดีขึ้น ข้อ 2 สำหรับในอินโรามามีวัฒนธรรมที่หลากหลายการตัดสินใจต้องพูดคุยกันให้เข้าใจไม่ควรใช้อารมณ์ในการตัดสินใจควรมีเหตุผลจะได้ไม่เกิดผลกระทบกับตัวเองและองค์กรใช้ความถูกต้องและความยุติธรรมเป็นหลัก ประสบการเรื่องค่าจ้างขั้นต่ำของอาจารย์การเป็นประธาน APEC HRDWG APEC คือองค์กรความร่วมมือทางเศรษฐกิจแห่งเอเชียและแปซิฟิกก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2532 เพื่อให้เกิดความร่วมมือทางเศรษฐกิจให้มากขึ้นระหว่างประเทศเอเชียและแปซิฟิกปัจจุบันองค์กรเป็นเครื่องมือสำคัญในการเปิดตลาดการค้าในภูมิภาคและเป็นองค์กรความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่สำคัญของภูมิภาคมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่สิงคโปร์มีสมาชิก 21 ประเทศได้แก่ ออสเตรเลีย บรูไน แคนาดา ชิลี จีน ฮ่องกง อินโดนีเซีย ญี่ปู่น เกาหลีใต้ มาเลเซีย เม็กซิโก นิวซีแลนด์ ปาปัวนิวกินี เปรู ฟิลิปปินส์ รัสเซีย สิงคโปร์ ใต้หวัน ไทย สหรัฐอเมริกา เวียดนาม อาจารย์มีประสบการณ์ในการแก้ใขค่าแรงขั้นต่ำระดับโลกก็ว่าได้เนื่องจากในภูมิภาคนั้นมีหลายประเทศการประชุมเป็นไปด้วยความยากลำบากไม่ว่าจะเป็นเรื่องวัฒนธรรมนั้นหลากหลายความคิดแตกต่างกันออกไปอาจารย์ต้องใช้การตัดสินใจที่ถูกต้องและเหมะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันการประชุมนั้นบางครั้งก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จในห้องประชุมแต่อาจจะคุยกันนอกรอบได้ผลมากกว่าอาจารย์มีเทคนิคในการคุยและรอเวลาในการตัดสินใจที่เหมาะสม
กาญจนาพร ยุบลพันธ์
ดิฉัน กาญจนาพร ยุบลพันธ์ ขอตอบการบ้านของอาจารย์ดังนี้ 1. หลังจากได้ฟังบรรยายของอาจารย์เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม เรื่องการตัดสินใจ (DECISION MAKING [ DM] ) ทำให้มองตัวเองว่าชอบงานแบบไหน ชอบการเรียนรู้ไหม มีความเชื่อมั่นในตนเองมากน้อยแค่ไหน รู้จัการทำงาน เป็นทีม มีมุมมองในชีวิตที่กว้างขึ้น และยังเข้าใจเกี่ยวกับการเป็นผู้นำที่ดี พร้อมที่จะกล้าตัดสินใจ การตัดสินใจที่เกี่นวข้องกับการเสี่ยงหรือมีผลกระทบระยะสั้น และระยะยาวต้องระวัง ต้องรู้ถึงปัญหาและมีข้อมูลมีความรู้ วิเคราะห์ต้องมีไหวพริบและสัญชาตญาณ ไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน รู้จังหวะและเวลาในการต่อรอง ไม่ใช้อารมณ์ การตัสินใจที่ไม่รอบคอบและมีความเสี่ยง ใช้เวลานิด เดียวหรือมีความเกรงใจก็จะทำให้มีผลกระทบต่อองค์กร บางครั้งอาจทำให้ไม่สำเร็จได้ จึงควรตัดสินใจให้มีประสิทธิภาพ ก่อนตัดสินใจต้องมองผลกระทบในด้อนบวกและด้านลบ อย่างรอบคอบหรือถ้ามีการตัดสินใจใหม่ต้องเปรียบเทียบสถานการณ์เดิมก่อนว่าเป็นอย่างไร สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือ การทำงานกับคนต่างชาติเราต้องรู้เขารู้เรา การเหลื่อมล้ำในองค์กรและเรียนรู้วัฒนธรรมของเขาเพราะคนอินเดียมีความหลากหลาย ชอบแก้ปัญหาและเรียนรู้ตลอดเวลา 2. ใน SHEET ของอาจารย์ที่แจกให้ CASE STUDY ของอินโดรามาจะนำไปใช้อย่างไร การที่จะนำแบบอย่างการตัดสินใจที่จะนำมาใช้ในองค์กร จะต้องมีความรู้ที่กว้าง เข้าใจวัฒนธรรมที่หลากหลาย ระหว่างอินเดียและไทย มีผลการตัดสินใจที่ไม่เหมือนกัน ต้องวิเคราะห์ก่อนว่ามีผลได้ผลเสีย ดูจุดอ่อนจุดแข็ง ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ มองผลกระทบระยะสั้น ( แต่ถ้ามีผลกระทบระยะยาวไม่ดีห้ามทำ ) การต่อรองต้องรู้เวลาที่เหมาะสมและมีข้อมูลที่ดีและต้องเป็นคนที่คิดเป็นและกล้าตัดสินใจ แต่ถ้าการตัดสินใจผิดพลาดถือว่าเป็นบทเรียน
นายเอกสิทธิ์ สิงห์สูง
สวัสดีครับ อาจารย์ ด.ร จีระหงส์ลดารมภ์  ผมนายเอกสิทธิ์  สิงห์สูง ขอตอบการบ้านที่อาจารย์ให้ไว้ดังต่อไปนี้(1.)  เรียนเรื่องการตัดสินใจ ( DECISION  MAKING)  แล้วได้อะไรบ้าง1.1 ทำให้เรามีความรู้หลายอย่างในการตัดสินใจที่จะทำอะไรลงไปแต่ละอย่างที่ต้องมีความรู้ที่แน่นอน คือ  การรู้จริง1.2 อารมณ์  คือ การทำงานในบริษัทร่วมกับบุคคลอื่นหรือจะเป็นลูกน้อง,หัวหน้างานที่เป็นคนต่างชาติไม่ควรใช้อารมณ์ในการทำงาน1.3 ความคิดสร้างสรรค์  คือตัวของเราเองต้องมีจินตนาการในการทำงานต้องมีการทดลองสิ่งใหม่ๆเสมอ ต้องมีความคิดที่จะประยุกต์สิ่งที่ใหม่ๆมาใช้ในหน่วยงานเสมอ1.4 การวิเคราะห์  จะต้องทราบที่มาของผลเสียในหน่วยงาน เช่น งานเสีย เราต้องมารวมกลุ่มกันเพื่อนประชุมในการวิเคราะห์หาสาเหตุของที่มาของปัญหาที่ทำให้เกิดการทำงานที่ผิดพลาด1.5  LOGIE  หลักและเหตุผล  ทุกครั้งที่เกิดปัญหาขึ้นในหน่วยงานของเราเราต้องรู้แหล่งที่มาที่แน่นอนว่าเกิดอะไรขึ้นกับการผลิตที่แผนกของเรา1.6 ประสบการณ์หรือความรู้  เราทำงานที่บริษัทมานานย่อมมีประสบการณ์ต่างๆมากมายไม่ว่าจะเป็นเรื่องการซ่อมบำรุง เครื่องจักร ประสบการณ์ต่างๆ จะสอนตัวของเราเองในเวลาทำงานหรือการเรียนรู้ต่างๆ ที่ทางบริษัทมอบให้นำมาใช้ในชีวิตประจำวันของเรา1.7 ไหวพริบและสัญชาตญาณ  คนเราทุกคนต้องมีไหวพริบในการเอาตัวเองให้รอดอยู่แล้วไม่ว่าจะเป็นการซ่อมบำรุงเครื่องจักรทำอะไหล่ถ้าอะไหล่ชิ้นไหนชำรุด หรือเสีย ก็จะมีการทำการดัดแปลงแล้วนำมาใส่เครื่องเพื่อทำการผลิตต่อไป(2.)  อาจารย์เป็นบุคคลที่มีความสามารถสูงเป็นที่ยอมรับของทุกหน่วยงานเป็นที่นับถือของทุกคนเป็นคนที่บริษัททุกๆหน่วยงานต้องการคนอย่างอาจารย์มาเป็นที่ปรึกษาหรือเป็นระดับสูงของบริษัทจะได้มีคนที่มีความยุติธรรมและเป็นกลางสามารถประสานงานหรือเป็นกลางทั้งฝ่ายนายจ้างและลูกจ้างจะได้รับความยุติธรรมทั้งสองฝ่าย เพราะอาจารย์เป็นที่ยอมรับทั้งฝ่ายนายจ้างและลูกจ้าง ฝ่ายนายจ้างก้อยอมรับความคิดเห็นหรือข้อเสนอแนะของอาจารย์และฝ่ายลูกจ้างก้อยอมรับฟังความคิดเห็นของอาจารย์ที่เสนอแนะข้อมูลต่างๆหรือนำเสนอข้อมูลที่เป็นความจริง 
นายเอกสิทธิ์ สิงห์สูง
สวัสดีครับ อาจารย์ ด.ร จีระหงส์ลดารมภ์  ผมนายเอกสิทธิ์  สิงห์สูง ขอตอบการบ้านที่อาจารย์ให้ไว้ดังต่อไปนี้(1.)  เรียนเรื่องการตัดสินใจ ( DECISION  MAKING)  แล้วได้อะไรบ้าง1.1 ทำให้เรามีความรู้หลายอย่างในการตัดสินใจที่จะทำอะไรลงไปแต่ละอย่างที่ต้องมีความรู้ที่แน่นอน คือ  การรู้จริง1.2 อารมณ์  คือ การทำงานในบริษัทร่วมกับบุคคลอื่นหรือจะเป็นลูกน้อง,หัวหน้างานที่เป็นคนต่างชาติไม่ควรใช้อารมณ์ในการทำงาน1.3 ความคิดสร้างสรรค์  คือตัวของเราเองต้องมีจินตนาการในการทำงานต้องมีการทดลองสิ่งใหม่ๆเสมอ ต้องมีความคิดที่จะประยุกต์สิ่งที่ใหม่ๆมาใช้ในหน่วยงานเสมอ1.4 การวิเคราะห์  จะต้องทราบที่มาของผลเสียในหน่วยงาน เช่น งานเสีย เราต้องมารวมกลุ่มกันเพื่อนประชุมในการวิเคราะห์หาสาเหตุของที่มาของปัญหาที่ทำให้เกิดการทำงานที่ผิดพลาด1.5  LOGIE  หลักและเหตุผล  ทุกครั้งที่เกิดปัญหาขึ้นในหน่วยงานของเราเราต้องรู้แหล่งที่มาที่แน่นอนว่าเกิดอะไรขึ้นกับการผลิตที่แผนกของเรา1.6 ประสบการณ์หรือความรู้  เราทำงานที่บริษัทมานานย่อมมีประสบการณ์ต่างๆมากมายไม่ว่าจะเป็นเรื่องการซ่อมบำรุง เครื่องจักร ประสบการณ์ต่างๆ จะสอนตัวของเราเองในเวลาทำงานหรือการเรียนรู้ต่างๆ ที่ทางบริษัทมอบให้นำมาใช้ในชีวิตประจำวันของเรา1.7 ไหวพริบและสัญชาตญาณ  คนเราทุกคนต้องมีไหวพริบในการเอาตัวเองให้รอดอยู่แล้วไม่ว่าจะเป็นการซ่อมบำรุงเครื่องจักรทำอะไหล่ถ้าอะไหล่ชิ้นไหนชำรุด หรือเสีย ก็จะมีการทำการดัดแปลงแล้วนำมาใส่เครื่องเพื่อทำการผลิตต่อไป(2.)  อาจารย์เป็นบุคคลที่มีความสามารถสูงเป็นที่ยอมรับของทุกหน่วยงานเป็นที่นับถือของทุกคนเป็นคนที่บริษัททุกๆหน่วยงานต้องการคนอย่างอาจารย์มาเป็นที่ปรึกษาหรือเป็นระดับสูงของบริษัทจะได้มีคนที่มีความยุติธรรมและเป็นกลางสามารถประสานงานหรือเป็นกลางทั้งฝ่ายนายจ้างและลูกจ้างจะได้รับความยุติธรรมทั้งสองฝ่าย เพราะอาจารย์เป็นที่ยอมรับทั้งฝ่ายนายจ้างและลูกจ้าง ฝ่ายนายจ้างก้อยอมรับความคิดเห็นหรือข้อเสนอแนะของอาจารย์และฝ่ายลูกจ้างก้อยอมรับฟังความคิดเห็นของอาจารย์ที่เสนอแนะข้อมูลต่างๆหรือนำเสนอข้อมูลที่เป็นความจริง 

การเรียนรู้ไม่เท่าพฤติกรรม
1.  การตัดสินใจ
 การตัดสินใจใช้กับทุกคน และใช้ในชีวิตประจำวัน เช่นวันหยุดจะไปเที่ยวพักผ่อนที่ไหน นั่นเป็นการตัดสินใจ
แบบง่ายๆ เป็นพื้นฐาน ไม่จำเป็นต้องรอบคอบมาก มักไม่มีปัญหาตามมา อาจตัดสินใจได้ทันทีไม่ต้องคิดนานแต่ถ้าเป็นผู้
บริหารงานในการตัดสินใจบางเรื่องต้องใช้ระยะเวลารอบคอบเพราะอาจมีผลกระทบร้ายแรงตามมา
 การตัดสินใจที่มีผลกระทบต้องใช้การวิเคราะห์ ต้องมีความรู้ประสบการณ์ ต้องทราบข้อมูลเพิ่มเติมมาประกอบ
ใช้เหตุผลไม่ใช้อารมณ์ เหนือกว่านั้นต้องมีไหวพริบในการตัดสินใจ
 การตัดสินใจต้องคิดถึงผลระยะยาวมากกว่าระยะสั้น ถ้าไม่ใช่เรื่องด่วนต้องรอการตัดสินใจ เก็บไปคิดวิเคราะห์
ก่อนเมื่อคิดถี่ถ้วนแล้วค่อยให้คำตอบเพราะการตัดสินใจที่รวดเร็วอาจมีผลกระทบตามมาภายหลัง อาจจะไม่มีโอกาสแก้ไข
แต่ถ้าโชคดีมีโอาสแก้ไขได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระดับผู้บริหาร
 การตัดสินใจมีความจำเป็นอย่างยิ่งในหน่วยงานของเรา มีผลกระทบต่องาน เช่น พนักงานขอหยุดงานวันเดียว
กันหลายคน ต้องคิดถึงเหตุผลขอให้คนที่มีความจำเป็นที่สุด ขอความร่วมมือบางส่วนให้มาทำงาน ช่วยเหลือองค์กรให้แรง
จูงใจทาง บวกขอบใจพนักงานที่มาทำงาน
 ดังนั้นการตัดสินใจจึงเป็นเรื่องจำเป็นต่อชีวิตประจำวัน ต้องหมั่นใช้ความคิด ใช้ความรู้ประกอบ รวมทั้งความ
สุภาพ การมีจริยธรรมควบคู่ไปด้วย เพราะการตัดสินใจอย่างง่าย ๆ เป็นผลกระทบต่องาน ต่อตนเองอาจมีผลระยะยาว ถึง
แก้ไขไม่ได้ เราจึงต้องฝึกการตัดสินใจ ให้มีประสิทธิภาพ
 2.1  ประสบการณ์เรื่องค่าจ้างขึ้นต่ำของ ดร.จิระ
 นับว่าเป็นโอกาสที่ดีที่ได้เรียนกับดร.จิระเพราะได้ทราบว่า ดร.จิระเป็นผู้ริเริ่มจัดตั้งองค์กรทรัพยากรมนุษย์ จัด
ตั้งกรมแรงงานขึ้นมา และได้ประสบผลสำเร็จเป็นตัวอย่างที่ดีโดยตรง
 เป็นการยากมากที่จะนำผู้ประกอบกิจการ และลูกจ้างมาประจัญหน้ากันเพื่อเรียกร้องสิทธิของตน แน่นอนต้องมี
เรื่องวุ่นวาย ชุลมุน เพราะแต่ละคนต้องการผลประโยชน์ของตนเอง การเป็นผู้ไกล่เกลี่ยทั้ง 2 ฝ่ายให้เข้าใจกันและตกลงกัน
ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ นับว่าอาจารย์อัจฉริยะมากที่สามารถทำได้สำเร็จทำให้ทั้งสองฝ่ายพอใจ การที่ประสบผลสำเร็จได้
อาจารย์ต้องมีความรู้เรื่องนายจ้างและลูกจ้างเป็นอย่างดี มีประสบการณ์ ไหวพริบ และไม่ใช่อาจารย์ประสบความสำเร็จผู้
เดียวทุกคนที่อยู่ภายใต้กรมแรงงาาน รู้สึกพอใจ ที่มีกรมแรงงานคุ้มครองเรื่องนี้นับว่า เป็นบทเรียน โดยตรงที่มีค่า และจะ
นำความรู้ที่ได้รับนำกลับมาปรับใช้ในการทำงานต่อไป
 2.2  ประสบการณ์การเป็นประธาน APEC HRDWG
 -  การเป็นประธานทรัพยากรมนุษย์ในกลุ่มเอเปก ต้องมีความรู้ ความสามารถ ทำให้ทุกคนโหวดเสียงให้ได้รับ
คัดเลือก
 -  ต้องเข้าใจถึงนิสัยในกลุ่มเพื่อนบ้านแต่ละประเทศว่าแต่ละชนชาติ มีนิสัยใจคออย่างไร แต่ละกลุ่มชนชาติจะมี
นิสัย วัฒนธรรม อาจคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันต้อง เคารพ สิทธิของผู้อื่น มีความสุภาพ ไม่ก้าวร้าว ดูถูกผู้อื่น
 - การพูดนอกรอบ นับว่าเป็นไหวพริบที่สำคัญ ต้องมีความเป็นกันเองกับทุกคนให้เกียรติกัน และการขอร้องบาง
เรื่องก็ต้องใช้การพูดคุยนอกรอบมีส่วนในการประสบผลสำเร็จด้วยเหมือนกัน
 -  ประสบการณ์ของอาจารย์ที่ได้ถ่ายทอดมานับเป็นประสบการณ์ตรงเป็นประโยชน์และมีค่ามาก ดิฉันจะนำมา
ปรับปรุงตนเอง นำมาใช้กับเรื่องการทำงานและการใช้ในชีวิตประจำวัน
      ขอบคุณมากค่ะ
                       รพีพร  ศรีปลั่ง

 

กราบเรียนท่านอาจารย์จีระ ดิฉันเสน่ห์ แก้วสกุล จากการที่ได้เรียนเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2550 ดิฉันขอตอบคำถามของอาจารย์ดังนี้ 1. เรียนเรื่องการตัดสินใจ DECISON MAKING แล้วได้อะไร มนุษย์เราทุกคนย่อมมีการตัดสินใจ ด้วยกันทั้งนั้นไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ ผู้มีอำนาจวาสนา หากแต่ว่าใครจะตัดสินใจแบบใหนคือผิดหรือถูก ผิดมากผิดน้อย ถูกมากถูกน้อย หากผลกระทบไม่รุนแรงจนเกินไปก็ถือว่าการตัดสินใจของบุคคลนั้นอยู่ในเกณฑ์ดี จากการที่อาจารย์ได้สอนมานั้น การตัดสินใจที่จะกระทำอะไรลงไป ในเรื่องบางเรื่องของบางอย่าง เราต้องมีหลักเกณฑ์ในการคิด วิเคราะห์ หาเหตุผล ใช้ทั้งความสามารถและไหวพริบ ประสบการณ์ ความรู้ มาประกอบกันหลากหลายวิธีการ เพื่อให้มีเหตุและผลออกมาเป็นที่น่ายินดี ฉะนั้นก่อนการตัดสินใจทุกครั้งเราจะต้องหยุดคิด " ดังคำพูดของอาจารย์ที่ว่าหยุดคิดสักนิดช้าหน่อยก็ไม่เป็นไร " ซึ่งผลดีย่อมเกิดมากกว่า การตัดสินใจทำในสิ่งที่ผิด จริงอยู่เรื่องบางเรื่องเราอาจนำมาแก้ใขได้ แต่ในกรณีนี้เรื่องบางเรื่องของบางอย่างถึงแม้ได้รับการแก้ใขแล้วก็ตามแต่ก็ยังมีรอยปรากฏให้เราเห็นอยู่มิใช่หรือ ดังนั้นการตัดสินใจของคนเราย่อมเป็นสิ่งที่สำคัญมากควบคู่กัยการดำรงค์ชีวิตในสังคมของความเป็นมนุษย์ ดิฉันจึงมีความเข้าใจว่าการตัดสินใจทำอะไรสักอย่างเราต้องคิดให้มากๆ มองเหตุและผลให้ยาวไกลในบางครั้ง การตัดสินใจของเราทำให้ตัวเราได้ผลกำไรของชีวิต โดยที่เราไม่คาดคิดมาก่อนเลยก็อาจเป็นไปได้ 2. ใน SHEET ของอาจารย์ที่แจกให้ CASE STUDY ของอาจารย์จะนำไปใช้กับ INDORAMA ได้อย่างไร ประสบการณ์ของอาจารย์ จีระ จากการที่อาจารย์ได้เป็นประธาน ประชุม APEA นั้นตามที่ดิฉันเข้าใจคืออาจารย์ต้องใช้ไหวพริบในการเจรจา อนึงอาจารย์ยังต้องใช้ความรู้มากเป็นอย่างยิ่ง เพื่อมองเหตุและผลมารวมกัน เพื่อให้ประสบกับความสำเร็จ เหมือนดังเช่นที่อาจารย์ต้องเจรจาต่อรองขอค่าแรงอาจารย์ได้วิเคราะห์เหตุและผลภายหน้าว่าจะเป็นเช่นไรจึงจะเกิดผลทั้งสองฝ่าย ต่างยอมรับข้อเท็จจริงโดยไม่มีความขัดแย้งทั้งสองฝ่าย คือนายจ้างและลูกจ้าง ให้อยู่ได้ด้วยความปรองดองซึ่งกันและกัน ต่างฝ่ายต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน เพื่อนำพาธุรกิจนั้นๆให้อยู่รอด ในสถานการณ์ต่างๆได้ จากความเข้าใจตรงนี้ของดิฉัน จะนำมาใช้ใน INDORAMA ก็คือ การที่ดิฉันเป็นลูกจ้างระดับกลาง คือดิฉันต้องรับการสั่งงานของผู้บริหารที่เป็นชาวอินเดีย และดิฉันต้องนำไปสั่งงานอีกที่หนึ่ง ถึงตรงนี้ในบางครั้ง ดิฉันอาจไม่เห็นด้วยกับการที่ได้รับงานมาแต่ด้วยความที่เราเป็นผู้ปฏิบัติงาน และนำงานนั้นไปกระจายให้เกิดผลสำเร็จโดยที่อีกฝ่ายก็อาจไม่พอใจ ดิฉันก็ต้องอธิบายถึงเหตุผลที่จะต้องกระทำให้สำเร็จดังคำสั่งของผู้บริหารเพื่อความพึงพอใจของทั้ง 2 ฝ่ายและในการทำงานกับคนกลุ่มใหญ่ ย่อมมีการที่จะกระทบกระทังกันบ้างเป็นบางครั้ง พอถึงตรงนี้ดิฉันต้องคอยช่วยในการแก้ปัญหาเพื่อให้อยู่ด้วยกันอย่างสงบสุข และเพื่อไมตรีที่ดีต่อกันแต่เนื่องจากนิสัยใจคอ และสภาพแว้ดล้อมของแต่ละบุคคลจะไม่เหมือนกัน จึงยากต่อการที่จะปรับตัวเข้าหากัน ดิฉันต้องใช้หลักและวิธีการต่างๆ ที่จะทำให้บุคคลในองค์กรสามารถอยู่ร่วมกันได้ด้วยความสงบสุข เพื่อป้องกันเหตุเกิดการทะเลาะวิวาทในที่ทำงาน และการบริหารงานในองค์กร เราต้องรู้จักการใช้บุคลากรเพื่อให้เกิดประโยชน์และเหมาะสมกัยงาน อย่างเช่น ดิฉันจะใช้บุคลากร 1 คนกับงาน 1 อย่าง ดิฉันต้องคิดก่อนว่าบุคคลนี้จะมีความสามารถเหมาะสมกับงานที่จะทำหรือไม่และมีความรู้กับชิ้นงานที่จะทำแค่ใหน ซึ่งแต่ละคนก็จะมีความสามารถไม่เหมือนกันเราก็ต้องดูว่า บุคคลใดที่สามารถทำงานแล้วให้งานนั้นออกมามีคุณภาพ ดิฉันก็จะเลือก เพื่อให้เขาได้นำพาผลงานให้ประสบความสำเร็จและอาจเป็นผลดีต่อเขาได้ในการงานนั้นๆ และอาจเป็นโอกาสในความก้าวหน้าต่อไป

เรียนท่านอาจารย์ จีระ กระผมนายสุทิน  สุขประเสรีฐ ขอ ตอบการบ้านดังนี้

1. เรียนเรื่องการตัดสินใจ( Decision    Making )แล้วได้อะไร

เมือเรียนเรื่องการตัดสินใจแล้วนั้นทำให้มีความรู้เกียวกับการตัดสินใจนั้นใช้เวลาในการตัดสินใจใช้เวลาประเดี๋ยวเดียวแต่อาจมีผลกระทบต่อตัวเองและองค์กรดังนั้นจึงควรฝึกการตัดสินใจให้มีประสิทธิภาพการตัดสินใจนั้นมีประโยชน์มากและสามารถนำองค์กรสู่ความสำเร็จและการตัดสินใจต้องมองผลกระทบทั้งทางบวกและทางลบดังนั้นก่อนตัดสินใจอะไรลงไปแล้วนั้นต้องคิดให้รอบคอบและคิดถึงผลดีและผลเสียก่อนที่จะตัดสินใจ

2.  จากตัวอย่างใน  Ctsdy   Study  ของอาจารย์ได้อะไรจากการศึกษาและสามารถนำมาใช้ได้อย่างไร

จากการศึกษาจะเห็นว่าอาจารย์ได้ดำรงตำแหน่งเป็นประธานการประชุมAPEC   HRPRG หรือการประชุมผู้นำของประเทศ21ประเทศและประสบการณ์เกียวกับการทำงานเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเรืองค่าจ้างขั้นต่ำถึง6ปี3สมัยและสิ่งที่สำคัญผมมองเห็นว่าอาจารย์มีรูปแบบในการตัดสินใจในแต่ละเรื่องนั้นอาจารย์จะมองถึงผลกระทบทั้งระยะสั้นและระยะยาวและมองผลกระทบทั้งทางลบและทางบวกและอาจารย์ใช้ความรู้  ข้อมูล   หลักการ  เหตุผล  วิเคราะห์    และประสบการณ์   ไหวพริบ ของอาจารย์นำมาช่วยในการตัดสินใจ

พิสิทธิ์ พานิชประเสริฐ
กระผม พิสิทธิ์ พานิชประเสริฐขอตอบการบ้านอาจารย์ดังต่อไปนี้ 1. เรียนเรื่องการตัดสินใจ COECISION MAKING แล้วได้อะไร จากการที่เรียนได้รู้วิธีหลากหลายอย่างในการที่จะตัดสินใจ ทำอะไรลงไปต้องมีความรอบคอบและต้องเพิ่มความระมัดระวังอย่างมากและจะต้องดูสภาพแวดล้อมก่อน โดยคำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้งและต้องไม่มีผลกระทบต่อตัวเองและองค์กร และยังได้รับรู้ถึงวิธีการตัดสินใจแบบมีกระบวนการ คือ ต้องรู้ถึงปัญหาแล้วนำมาวิเคราะห์ หาที่มาที่ไปของปัญหาแล้วเลือกวิธีแก้ที่ดีก่อนลงมือแก้ไขปัญหาและการแก้ไขปัญหาให้เกิดประสิทธิภาพที่สูงสุด คนที่แก้ปัญหาต้องไม่ควรใช้อารมณ์ในการตัดสินใจแก้ไขปัญหา 2. ในSHEET ของอาจารย์ที่แจกให้ CASE STUDY ของอาจารย์จะนำไปใช้กับอินโดรามาได้อย่างไร การที่จะนำแบบอย่างของอาจารย์มาใช้กับอินโดรามานั้นจะต้องเป็นคนที่มีความรู้กว้างมากและจะต้องรู้วัฒนธรรมที่หลากหลายของคนอินเดียที่เป็นระดับผู้บริหาร ในอินโดรามา ว่ามีจุดอ่อน จุดแข็งอย่างไรบ้าง ระหว่างลูกจ้างกับนายจ้าง และในอินโดรามายังสามารถนำไปใช้ในการตัดสินใจพูดให้ประสบความสำเร็จแบบที่ ทุกคนมีส่วนร่วม (CONSENSUS ) คือต้องมีการประชุมและต้องมียุทธศาสตร์ ยุทธวิธี และรู้สถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นในด้านการ ต่อรองกับบริษัทเกี่ยวกับขอคนเพิ่มหรือในด้านค่าจ้างแรงงานหรือสวัสดิการต่าง ๆ ที่ลูกจ้างควรจะได้รับให้เป็นผลสำเร็จ คือจะต้องเป็นคนที่มีข้อมูลที่ดีทั้งในบริษัทและนอกบริษัทไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ การเมือง ทั้งในระดับประเทศและนอกประเทศ และ ที่สำคัญ คือ จะต้องเป็นคนที่ คิดเป็น ทำเป็น และกล้าตัดสินใจ
กราบเรียรอาจารย์ ดร. จีระ การเรียนครั้งที่ 5 ในเรื่อง การตัดสินใจบรรยากาศในการเรียนรู้ว่าจะไม่เครียดเท่าไร รู้สึกถึงความเป็นกันเองของอาจารย์และทีมงาน การที่อาจารย์ต้องการที่จะพูดคุยนอกรอบกับบรรดาลูกศิษย์ เป็นสิ่งที่ดี แต่บรรดาลูกศิษย์ก็ไม่กล้าที่จะพูดคุยอย่างสนิทสนมและเป็นกันเอง อาจเพราะดูถึงความเหมาะสม ในเรื่องคุณวุฒิกลัวว่าเมื่ออาจารย์ซักถามมาก ๆ เกรงจะตอบไม่ได้ 1. เรียนเรื่อง การตัดสินปัญหาไม่ว่าปัญหานั้นจะเป็นปัญหาแบบใดการตัดสินใจแต่ละครั้ง ควรจะมองถึง 1.1 ผลกระทบทั้งทางบวกและทางลบอย่างรอบคอบ ศึกษาถึงผลกระทบระยะสั้น ระยะยาว อันที่จะทำให้เกิดปัญหากับตนเอง สังคมรอบข้าง ผิดจริยธรรม ขาดความยั่งยืน 1.2 เรื่องที่จะตัดสินใจเป็นประเภทใด ถ้าเป้นปัญหาทั่วไปมี ความสำคัญไม่มาก ปัญหาเร่งด่วน ปัญหานี้ต้องวิเคราะห์ให้ดี ถ้าตัดสินใจพลาดเพียงนิด จะเกิดผลกระทบที่รุนแรง ต้องตัดสินใจด้วยความรอบคอบ ทางด้านยุทธศาตร์องค์กร ก่อนที่จะทำเรื่องใด ควรจะศึกษาคู่แข่ง สภาพแวดล้อม จุดแข็ง จุดอ่อน ข้อมูลทางด้านต่างๆให้รอบคอบก่อนตัดสินใจ 1.3 แบ่งแยกประเภทของการตัดสินใจออกได้ตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แม้เราจะเกิดความจริงปราศจากการตัดสินใจพลาด แต่ก็จะเป็นบันไดไปสู่ความสำเร็จ 1.4 การตัดสินใจเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงที่เป็นปัจจัยที่คาดไม่ถึง 1.5 style การตัดสินใจของแต่ละคนไม่เหมือนกัน เช่น วัฒนธรรม การทำงานของญี่ปุ่นเขาเข้มงวดในเรื่องคุณภาพ และเรื่องการลดต้นทุนการผลิตมาก แต่เขาก็ให้ความสำคัญที่พนักงานของเขา คนญี่ปุ่นมีวีธีในการผลักดันเรื่องคุณภาพอย่างเข้มงวดและมีวินัยมากนั่นคือ การตัดความรู้สึกแบบ "เกรงใจ"ออกไป ซึ่งคงรุนแรงเกินไปถ้านำมาใช้กับคนไทย แต่ถ้าต้องการจะแข่งขันในโลกได้ก็ต้องทำ การลงโทษของญี่ปุ่นก็รุนแรง เวลาหัวหน้าเรียกลูกน้องมาต่อว่ามักจะพูดให้ได้อายกันเลย ฉะนั้นในเรื่องการปรับปรุง การเพิ่มผลผลิตของญี่ปุ่นจึงไปได้เร็ว ปัจจัยสำคัญอีกอย่างหนึ่งในการทำให้การเพิ่มผลผลิตประสบความสำเร็จก็คือ ความมีวินัยของคนในองค์กรให้คนมีวินัยนั้นไม่ได้อยู่ที่การสอน การเปลี่ยนแปลงใดๆ ต้องอายผู้นำที่มีความสามารถในการตัดสินใจสูง ถ้าเชื่อว่าเรื่องนี้ดีต้องทำให้ได้ไม่ใช่บอกว่าดีแต่ปากแล้วไม่ทำอะไร ก็จะทำให้ผลดีเกิดขึ้นไม่ได้ การสร้างคนในองค์กรเราไม่ได้สร้างเฉพราะระดับใดระดับหนึ่งเราต้องสร้างทั้งหมด ตั้งแต่คนงานของเราในโรงงานจะต้องมีการฝึกอบรมมาตลอด ึงจะรับทอดกันไปได้ ถึงจะพูดจาภาษาเดียวกันได้ ถ้าไปทำส่วนใดส่วนหนึ่งก็จะรู้เรื่องเฉพาะระดับนั้น ระดับชั้นล่างไม่รู้เรื่องด้วย ก็มีปัญหาเรื่องการสื่อสาร การสื่อข้อความติดขัดทำให้ขาดประสิทธิภาพ การทำงานอย่างมีคุณธรรมช่วยเราในระยะยาวทำให้ไปที่ใหนได้รับการเชื่อถือได้รับการยกย่อง เราจะติดต่อกับต่างประเทศจะพูดคุยกันได้ง่ายมาก ถ้าเรามีความน่าเชื่อถือในระยะสั้นอาจมองไม่เห็น แต่ระยะยาวดีมากๆทีเดียว 2. Case study ของอาจารย์ ใช้กับอินโดรามาได้อย่างไร 1. ศึกษาข้อมูลในหลายๆด้าน ในส่วนที่เป็นผลกระทบระยะยาว,สั้น สภาพเศรษฐกิจ ความอยู่รอดของบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจ 2. อธิบายถึงการวิเคราะห์มีหลักเหตุผลว่าอย่างไร ไม่ควรใช้อารมณ์ประกอบการตัดสินใจ ควรจะมีความคิดสร้างสรรค์ 3. ประสบการณ์ในการตัดสินใจ ในแต่ละเรื่องก็เป็นส่วนสำคัญอย่างมาก รวมทั้งควรจะมีไหวพริบและรู้จักช่วงเวลาโอกาส 4. ควรเรียนรู้วัฒนธรรมทางสังคม สภาพแวดล้อมของการดำรงชีวิต สภาพเศรษฐกิจที่หลากหลายของคนในท้องถิ่น ไปจนถึงระดับประเทศ
เรียน อาจารย์จีระ หงส์ลดารมภ์ ดิฉัน เฉลิม ชอบเจริญ ขอตอบการบ้านที๋อาจารย์ให้ไว้ 2 ข้อ ข้อที๋ 1 การเรียนเรื่องการตัดสินใจdeeision making เเล้วได้อะไร ตอบ การตัดสินใจต้องคิดผลกระทบทั้งทางตรงเเละทางอ้อมว่ามีวิธีทางเเก้ไขปัญหาเหล่านั้นได้หรือไม่ต้องมีหลักการต่างเช่นมีความรู้ความมีเหตุผลมีข้อมูลการวิเคราห์มีประสบการณ์เข้ามาช่วยในการตัดสินใจเเก้ไขปัญหาต่างที่เกิดขึ้นเราสามารถนําการตัดสินใจมาใช้ในชีวิตครอบครัวตลอดจนองค์ของเราได้การตัดสินใจเพียงครั้งเดียวก็สามารถทำให้เราผิดพลาดได้เราต้องดูผลกระทบระยะสั้น ระยะยาวนั้นด้วยผลที่จะเกิดปัญหาตามมาต่อองค์กรของเรา ข้อที๋ 2 ในsheetของอาจารย์ที่ให้case stody ของอาจารย์จะนำไปใช้ในอินโดรามาอย่างไรตอบสามารถนำเเบบอาจารย์ในการตัดสินหลักการวิธีการต่างเป็นเเบบอย่างเเละตัวอย่างที่จะนำไปใช้ในองค์กรในการปรับปรุงพัฒนาความสำเร็จโดยให้ทุกคนมีส่วนร่วมคิดมีเหตุผลความสร้างสรรศ์ยังได้รู้จัดจะทำหน้าที่อะไรเราต้องรู้จังหวะเเละความเหมาะสมและยึดประโยชน์ส่วนรวม
นายศรายุทธ ยิ้มอยู่

              สวัสดีครับคุณพลเดช   วรฉัตร  ก่อนอื่นผมขอใช้  Biog ของท่านอาจารย์ ดร.จีระ   หงส์ลดารมภ์  เป็นสื่อเพื่อขอขอบคุณท่านครับ  ที่ท่านได้ให้เกียรติเข้าชม  และร่วมแสดงความคิดเห็นใน  Biog  การพัฒนาบุคลากรสร้างผู้นำของบริษัท Indorama  ลพบุรี  ซึ่งบริษัทฯ ที่ผมทำงานเป็นธุรกิจของคนอินเดีย  ประกอบธุรกิจประเภทสิ่งทอ ผลิตเส้นด้ายจากเส้นใยขนแกะ ส่งออกต่างประเทศ 100%

           ทางด้านผู้บริหารท่านได้เล็งเห็นความสำคัญในการพัฒนาบุคลากร ในระดับหัวหน้างานที่อยู่ในระดับกลาง ให้มีความรู้ ความสามารถ เพื่อนำหลักสูตรที่ได้รับจากการพัฒนามาช่วยในการพัฒนาองค์กรต่อไป  และก็เป็นโอกาสดีที่ทางผู้เข้ารับการอบรมของ  Indorama ได้มีโอกาสได้พบกับท่านอาจารย์ ดร.จีระ   หงส์ลดารมภ์  ซึ่งทางผู้เข้ารับการอบรมของ  Indorama  ทุกคนยอมรับว่าท่านเป็นผู้ฝึกสอน ที่มีความสามารถ  ทักษะ  ความรู้  ประสบการณ์  และหลักทฤษฎีต่างๆ มาช่วยในการอบรมเพื่อให้เกิดประโยชน์อย่างมาก และท่านยังสร้างให้บุคลากรทุกคนรักที่จะใฝ่รู้  และเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ต่อเนื่อง  และต่อเนื่อง  เพื่อนำความรู้ที่ได้ไปต่อยอด  เพื่อพัฒนาองค์กรต่อไป    ซึ่งโครงการนี้จะมีต่อเนื่องเป็นเวลา  10  เดือน ซึ่งก็ผ่านไปแล้ว  6  เดือน  ยังคงมีเวลาอีก  4  เดือนที่จะได้ศึกษาอบรม  กับท่านอาจารย์ ดร.จีระ   หงส์ลดารมภ์   ก็ขอให้คุณพลเดช   ติดตามความเคลื่อนไหว  ของโครงการพัฒนาบุคลากรของ  Indorama  ต่อไปได้ครับ   และถ้าท่านมีอะไรที่เป็นความรู้เพื่มเติมก็ขอรบกวนท่านช่วยลงข้อความผ่าน  Biog  นี้ เพื่อให้ทางผู้เข้ารับการอบรม  ได้ศึกษาเพื่อเป็นความรู้เพิ่มเติม

            ผมในนามผู้เข้ารับการอบรมของ  Indorama  ขอขอบคุณท่านเป็นอย่างสูงครับ

                                                            นายศรายุทธ     ยิ้มอยู่
นางวันเพ็ญ สุขประเสริฐ
กราบเรียน อาจารย์ จีระ หงส์ลดารมภ์ ที่นับถือ ดิฉันนางวันเพ็ญ สุขประเสริฐ ขอตอบการบ้านของอาจารย์ ดังนี้ จากการที่เข้าอบรมและพบกับอาจารย์ทั้ง 6 ครั้งที่ผ่านมานั้น ดิฉันมีความรู้สึกว่าตัวเองนั้นเปลี่ยนไปจากเดิมคือ จากที่ไม่เคยสนใจเรื่องของโลกาวิวัฒน์ของประเทศกับการที่คิดจะเป็นผู้นําของอินโดรามาแต่อาจารย์ จีระ ท่านสอนให้ตัวดิฉันได้คิดว่าการที่จะเป็นผู้นําขององค์กรนั้นต้องมีบทบาทอะไรบ้างคือต้องคิดเป็นและคิดอย่าง รอบคอบก่อนที่จะตัดสินใจทําอะไรลงไปควรจะคิดให้ดีก่อนการที่จะเป็นผู้นําขององค์กรนั้นต้องทําให้องค์กรเชื่อมั่นในตัวเราก่อนและ รู้จักการทํางานเป็นทีมรักเพื่อนร่วมงานและรักองค์กรห่วงใยผู้อื่นตลอดเวลามากกว่าจะเห็นประโยชน์ ส่วนตัว ดิฉันเองก็ได้รับความรู้จากอาจารย์หลายอย่างเช่น ได้นําความรู้จากอาจารย์มาพัฒนาบุคลากร และสอนให้คนในองค์กรรู้จักว่าการพัฒนาตัวเองให้เป็นผู้นําและการทํางานร่วมกัน [TEIM WORK] จึงจะอยู่ร่วมกันได้โดยไม่มีปัญหาตามมาหรือมีข้อขัดแย้งกัน ระหว่างหัวหน้างานและบุคลากรในบริษัท ทั้งนี้ต้องขอขอบคุณ คุณโลเฮีย ซึ่งเป็นเจ้าของบริษัทอินโดรามา ที่ท่านให้การสนับสนุนพวกเรากลุ่ม K P D ทั้ง 31 คนที่ท่านกล้าลงทุนให้กับพวกเราและเปิดโอกาสให้กับคนไทยได้มีบทบาทที่จะโชว์ประสิทธิภาพ ของตัวเองออกมาถึงแม้ว่าการลงทุนครั้งนี้จะแลกด้วยเงินหลายแสนบาทก็ตาม คุณโลเฮียท่านก็ยังเปิด โอกาสให้การสนับสนุนกับคนไทยมีความรู้เพิ่มขึ้นอีก และทั้งนี้ต้องขอขอบคุณ คุณบัคชี และคุณ โมต้า ที่จัดหาและนําพานักพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่มีชื่อเสียงระดับประเทศมาอบรม และเพิ่มความรู้ให้กับพวกเรา เกี่ยวกับการเป็นผู้นําระดับมืออาชีพและการเป็นผู้นําของอินโดรามาครั้งนี้ ว่าควรจะมีบทบาทอะไรบ้าง ถ้าไม่ได้รับความกรุณาจากคุณบัคชี และคุณโมต้าพวกเราก็คงจะไม่ได้รู้จักกับอาจารย์ จีระ หงส์ลดารมภ์ และทีมงานผู้โด่งดังระดับมืออาชีพของประเทศ พวกเรากลุ่ม K P D ทุกคนต้องขอขอบคุณ คุณ วิรัตน์ จันทร์สืบสาย ซึ่งเป็น HR ของอินโดรามาโฮลดิ้งส์ที่เปิดโอกาสให้พนักงานระดับล่างอย่างพวกเรา ทั้ง 31 คนนี้ได้รู้จักการเปิดใช้อินเตอร์เนต และรู้จักการเข้า BLOGของอาจารย์ จีระ หงส์ลดารมภ์ พวกเราทุกคนกลุ่ม KPD ทั้ง 31 คนต้องขอขอบคุณทุกท่านที่เอ่ยชื่อมาทั้งหมดนี้ ที่ท่านกรุณาเชื่อมั่น ในตัวของพวกเรา และตัวของดิฉันเองจะขอตอบแทนความมีน้ำใจของท่านทั้งหลายโดยจะทำงาน ให้กับอินโดรามาให้ดีที่สุดและจะเป็นผู้นำของอินโดรามาอย่างที่ท่านตั้งใจไว้ให้เหมาะสมกับการลงทุน ของท่าน ดิฉันรู้สึกดีใจมาก และนับว่าเป็นเกียรติอย่างสูง ที่คุณพลเดช วรฉัตร ท่านได้เป็นถึงอัครราชทูต ที่ประเทศอินเดีย ที่เข้ามาใน BLOG ของอาจารย์จีระ หงส์ลดารมภ์ ซึ่งเป็นอาจารย็ของพวกเรา กลุ่ม KPD ของอินโดรามาที่เป็นบุคลากรที่กำลังจะพัฒนาตัวเองให้เป็นผู้นำ และพวกเราทุกคนนับว่าเป็นเกียรติ อย่างมากที่มีการศึกษาระดับม.ต้น หรือระดับปวช. ปวสก็ได้มีโอกาสที่เข้ามารู้จักกับคุณ พลเดช ที่ใน BLOG ของอาจารย์ จีระ หงส์ลดารมภ์ ขอให้คุณ พลเดช ช่วยกรุณาส่งข้อมูลเกี่ยวกับชาวอินเดียมาทางอินเตอร์เนต บ่อยๆ ด้วยนะคะเพราะว่าพวกเราทำงานอยู่กับผู้บริหารชาวอินเดีย จะได้รู้จักการบริหารจัดการของ ชาวอินเดียมากกว่านี้ค่ะและหวังว่าคุณ พลเดช จะให้แนะแนวความคิดใหม่ๆ กับพวกเราเพื่อจะนำมา พัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่ดีของคนไทยต่อไป ขอขอบคุณในคำชมของคุณพลเดชมากที่กล่าวชมพวกเรา ว่าได้คิดและส่งการบ้านได้ดี ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพราะว่า อาจารย์ จีระ ท่านให้ความรู้และสอนให้พวกเรารู้จักคิด และคิดให้ก้าวไกลทันต่อเหตุณ์การในปัจจุบันให้มองถึงอนาคตเราจะมีแผนอย่างไรกับการที่จะเป็นผู้นำ ขององค์กรต่อไป.
นายศรายุทธ ยิ้มอยู่

          สวัสดีครับท่านอาจารย์ และทีมงานทุกๆท่าน จากการได้เรียนและอบรมกับอาจารย์ในเรื่อง องค์กรแห่งการเรียนรู้ ( Learning  Organization )  เมื่อวันอังคารที่  20  พฤศจิกายน  2550  ซึ่งสิ่งที่ผมได้ประโยชน์จากการเรียนในครั้งนี้คือทำให้สามารถทราบในสิ่งใหม่ๆ หลายๆเรื่อง อย่างเช่นในการเรียนรู้นั้น ไม่ใช่ว่าเราจะได้ความรู้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น  แต่เรายังสามารถที่จะนำความรู้ที่ได้มาแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน และยังนำไปสร้างมูลค่าเพิ่มได้  และองค์กรแห่งการเรียนรู้นั้นผมคิดว่ามีความจำเป็นอย่างมาก  ซึ่งบุคคลในองค์กรจะต้องเปลี่ยนนิสัยในการใฝ่รู้  ด้วยตนเอง  เนื่องจากสังคมคนไทยนั้นส่วนมากไม่ชอบที่จะใฝ่รู้  ส่วนใหญ่คิดว่าการเรียนจำเป็นเฉพาะเวลาอยู่ในห้องเรียนเท่านั้น  เมื่อเรียนจบแล้วก็คิดว่าไม่จำเป็นที่จะต้องเรียนรู้อะไรเพิ่มเติม  ซึ่งความคิดเหล่านี้จึงเป็นผลทำให้คนส่วนใหญ่ขาดการใฝ่รู้  แต่ในปัจจุบันกระแสโลกาภิวัตน์เกิดขึ้น  การเรียนรู้  การใฝ่รู้  จะเป็นแนวทางหนึ่งที่จะนำพาเราให้ก้าวทันและอยู่รอดได้ในศตวรรษใหม่นี้  และการทำงานเราก็ยังต้องมีการเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา  ไม่ว่าจะเรียนรู้ด้วยตนเอง ในหน้าที่การงานประจำวัน  หรือการเรียนรู้จากผู้บริหาร  หัวหน้างาน  ผู้ร่วมงาน  ซึ่งถ้าตัวเราเป็นคนที่ใฝ่รู้แล้วเราย่อมจะทราบได้เสมอ  สามารถทันต่อเหตุการณ์ต่างๆ  ดังนั้นการได้เรียนในเรื่ององค์กรแห่งการเรียนรู้   Learning  Organization   จะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะนำไปสู่สังคมของการเรียนรู้   การสร้างสังคมให้เกิดการเรียนรู้   จึงต้องนำหลักทฤษฎี  4L’S  และทฤษฎี   2R  ของอาจารย์มาใช้

          ทฤษฎี  4L’S

1.   Learning   Methodology   การเข้าใจวิธีการเรียนรู้  เป็นการเน้นการวิเคราะห์  แลกเปลี่ยนความคิดเห็น  จัดให้มีการ  Workshop

2.   Learning   Environment     การสร้างบรรยาการในการเรียนรู้  โดยการให้ความสำคัญกับวีธีของการนั้งเรียน  และการจัดห้องเรียน

3.   Learning   Opportunities    การสร้างโอกาสในการเรียนรู้  โดยการแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน  ร่วมหารือกับผู้ฝึกสอน ผู้เชี่ยวชาญ  ซึ่งจะสามารถสร้างให้เกิดโอกาสมูลค่าเพิ่มให้แก่กันและกัน  ซึ่งจะนำมาสู่ความคิดที่สร้างสรรค์

4.   Learning   Communities    การสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้  โดยใช้ห้องเรียนเป็นจุดเริ่มต้น  และสามารถขยายผลต่อไปในวงกว้างต่อไปได้

          ทฤษฎี  2R

1.    Reality   การมองความจริง

2.    Relevance   การมองให้ตรงประเด็น

          นอกจากทฤษฎี 4L’S  และทฤษฎี  2R  ของอาจารย์  แล้วกฎของ  Peter  Senge  ที่ว่า

Personal  Mastery        รู้อะไร  รู้ให้จริง

Mental  Models           แบบอย่างทางความคิด

Shared  Vision             เห็นอนาคตร่วมกัน

Team  Learning            เรียนเป็นทีม

System  Thinking          คิดมีเหตุผล

          และนอกจากทฤษฎีต่างๆ ที่อาจารย์นำมาสอนแล้ว ยังมีตัวอย่างวิธีคิด  4  แนวของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ  ที่ท่านได้กล่าวว่า  ก่อนที่จะเริ่มทำงานใดๆ  ให้คิดถึงสิ่งต่อไปนี้

  1. ทำอะไร
  2. ทำอย่างไร
  3. ทำเพื่อใคร
  4. ทำแล้วได้อะไร

          หลักการต่างๆ นี้ทำให้ผมสามารถมองเห็นโอกาสและแบบอย่างที่จะนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างมาก  และที่สำคัญที่ผมได้ทราบถึงแนวคิดใหม่ของการบริหารองค์กรคือ  องค์กรต้องมีการเรียนรู้อยู่ตลอดเวลาจึงจะอยู่รอดและปรับตัวตามกระแสโลกาภิวัตน์ได้  เพราะในอนาคตการบริหารองค์กรให้มีการเรียนรู้ และพัฒนาบุคลากรให้มีการใฝ่รู้  จะยังคงเป็นปัจจัยสำคัญอันหนึ่งที่ตัดสินความอยู่รอดขององค์กรต่อไปเพราะความเปลี่ยนแปลงทั้งหลายที่รุมเร้าเข้ามาทำให้ไม่มีทางเลือกอื่นใดในการบริหารและพัฒนาองค์กรนอกจากการเรียนรู้  ซึ่งการพัฒนาบุคลากรในองค์กรให้มีความรู้  ความสามารถ  และใฝ่รู้  จะทำให้สามารถปรับตัวให้ทันต่อกระแสโลกาภิวัตน์  เพราะในยุคโลกาภิวัตน์สามารถทำให้องค์กรรุ่งเรือง  และดับวูบได้ในเวลาเพียงชั่วข้ามคืน  นอกจากนี้องค์กรต่างๆ ต้องแข่งขันกันเองมากขึ้น  ไม่ใช้แค่ในระดับประเทศ แต่ต้องเป็นในระดับโลก  องค์กรข้ามชาติต่างๆ ต้องมีการเรียนรู้  และปรับตัวเพื่อความอยู่รอดมากขึ้น  และในปัจจุบันมีการนำเทคโนโลยีเข้ามาประยุกต์ใช้อย่างมาก  ดังนั้นการพัฒนาองค์กรต้องมีความตื่นตัวในด้านการเรียนรู้ในองค์กรของตนเอง  และต้องรู้จักปรับตัวด้วยแนวคิดใหม่ๆ ซึ่งถ้าเรามัวยึดติดกับแนวคิดเดิมๆ  ธรรมเนียมเดิมๆ  หรือเอาแต่ทำงาน  ก็อาจส่งผลให้องค์กรนั้นเกิดการอยู่รอดไม่ได้ในศตวรรษใหม่นี้  ซึ่งเหตุผลนี้ก็คงไม่มีอะไรสำคัญเท่าการเรียนรู้

          องค์กรแห่งการเรียนรู้ของ Indorama  เกิดขึ้นมาได้ผมก็ต้องขอขอบคุณท่านผู้บริหารชาวอินเดียและท่านผู้บริหารคนไทยทุกๆ ท่าน ที่ท่านได้เปิดโอกาสให้มีการเรียนรู้เกิดขึ้นใน  Indorama  ทำให้บุคลากรของ Indorama  เป็นคนที่รักที่จะใฝ่รู้มากขึ้น  และผมหวังว่าบุคลากรเหล่านี้จะนำความรู้และประสบการณ์ที่ได้จากการอบรมมาช่วยเป็นแนวทางในการพัฒนาองค์กรต่อไป เพื่อเป็นการตอบแทนที่ผู้บริหารทุกๆ ท่านเปิดโอกาสดีๆ ให้กับผม  ซึ่งทำให้ผมได้ข้อคิดดังนี้ครับ

-         ได้วิธีคิด

-         ได้ทราบว่าการเรียนรู้นั้นต้องเรียนรู้ตลอดชีวิต

-         มองเห็นความสุขและมองเห็นคุณค่าของตนเอง

-         ทำให้ผมได้เกิดความภูมิใจใน  Indorama และทำให้มองเห็นความหวังดีที่บริษัทฯ และท่านผู้บริหารมีกับตัวผม

-         ได้ทราบว่าทุกอย่างต้องเริ่มจากการพัฒนาตนเองก่อน

-         ได้ทราบว่าความรู้ที่มีต้องเป็นความรู้ที่รู้อะไรต้องรู้ให้จริง 

และเป็นความรู้ที่มีคุณภาพสามารถนำไปสร้างมูลค่าเพิ่มได้

    ดังนั้นผมขอสรุปว่า  เมื่อ  Indorama  มีองค์กรแห่งการเรียน

รู้เกิดขึ้นในองค์กร  ผมคิดว่าโอกาสภายหน้าจะทำให้                    I ndorama  มีความก้าวหน้ามากขึ้น เพราะบุคลากรในองค์กรจะเป็นผู้ใฝ่รู้เพิ่มมากขึ้น เมื่อบุคลากรใฝ่รู้มากขึ้นก็สามารถช่วยแก้ปัญหาต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นในองค์กรด้วยความรู้ที่ได้จากการเรียนและอบรมต่างๆ  ซึ่งองค์กรแห่งการเรียนรู้นี้ผมคิดว่าถ้า บริษัทฯ อื่นๆ อีกหลายๆที่  ได้มีโอกาสจัดให้มีการเรียนรู้ให้กับพนักงานอย่างเช่น  Indorama  ที่ทำอยู่ในโครงการขณะนี้  ผมคิดว่าจะเป็นประโยชน์อย่างมากภายในองค์กรต่อไปอย่างแน่นอนครับ

                                                               สวัสดีครับ

                                                      นายศรายุทธ      ยิ้มอยู่
กระผมนายสมจิตร เรืองบุญ ในห้องเรียนที่ผมได้เรียนในวันที 20 พฤศจิกายน 2550 ได้ความรู้หลายด้าน เช่น การจะทำอะไรต้องรู้จริงและมีประสบการณ์ในงานด้านนั้น ๆองค์กรจึงจะอยู่รอดทันในยุคเศรษฐกิจที่แข่งขันกันสูงขึ้นเรื่อย ๆโดยที่เราทำงานร่วมกับคนอินเดียโดยทั้งสองฝ่ายจะต้องทำงานร่วมกันคอยดูแลและเป็นพี่เลี้ยงให้กันและกันในทุกๆเรื่องก่อนทำควรปรึกษาหารือกันก่อนว่าจะไปในทิศทางไหน (ตอนนี้คนอินเดียมีพฤติกรรมเปลี่ยนไปจากเดิมมากจากไม่ค่อยมีเหตุผลและไม่ค่อยฟังความคิดเห็นคนอื่น ทุกวันนี้เริ่มดีขึ้น ผมจึงเริ่มเชื่อมั่นในตัวเองมากขึ้นไม่ว่าจะทำงานในด้านไหนคือคนอินเดียเริ่มให้เราปฎิบัติทำตามที่เราคิดและทำ เขาจะคอยดูอยู่ห่าง ๆและให้คำชี้แนะงานชิ้นนั้นให้ออกมาสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ) อาจารย์สอนอีกเรื่องที่ผมสนใจมาก คือ Learning organization (องค์กรแห่งการเรียนรู้ที่ Indorama ) คือ 4L ตัวเราต้องใฝ่หาความรู้ในรอบตัวเราให้มากที่สุดเพื่อจะได้ยุคนั้น ๆ ถ้าได้ความใหม่ ๆมานำมาวิเคราะห์ก่อนว่าเรื่องนั้นที่มาที่ไปจริงหรือไม่และมีมูลเหตุที่แน่นอนแคร่ไหนก่อนที่เราจะไปคุยต่อกับคนอื่น โดยที่เขาย้อยกลับมาเราจะได้ตอบได้อย่างถูกต้องโดยที่คนรับฟังจากเราไปแล้วจะได้นำไปสนทนาต่อในชุมชน สังคมและในครอบครัวของเขาเอง ) ก่อนจบกระผมของกล่าวขอบคุณ คุณโลเฮีย คุณบัคชี และ คุณโมต้า ที่ท่านให้โอกาสสำหรับคนไทยในหน่วยงานระดับล่างที่ท่านมองเห็นความสำศัญแก่พวกผม กระผมก็จะของตอบแทนท่าน คือจะปฎิบัติงานต่อหน้าที่รับผิดชอบให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นและอีกท่านที่ผมไม่ลืม คือ คุณ วิรัตน์ เป็นบุคคลหนึ่งที่ประสานงานจนมีโครงการต่าง ๆมากมายและทำให้บริษัทหรือองค์กรอยู่ในแนวหน้าของโลก กระผม นาย สมจิตร เรืองบุญ ขอขอบคุณมาก ๆครับสำหรับทุก ๆท่านที่ให้โอกาสพวกผมครับ ท้ายนี้ผมขอขอบคุณ คุณ พลเดช วรฉัตร ที่ได้มีเวลาแวะมาเยี่ยมชมใน BLOG ของพวกเราและให้คำติชมไว้หลายอย่างโดยที่ท่านไม่คิดว่าเป็นองค์กรเล็ก ๆ
นายวีระศักดิ์ เกษร
จากการเรียนใน วันที่ 20 พฤศจิกายน 2550 ผมขอส่งการบ้านของอาจารย์ จีระ ดังนี้ จากการเรียนในครั้งนี้แล้วได้อะไรบ้าง จากการเรียนในครั้งนี้ทำให้ได้เรียนรู้ถึง ทฤษฎี 4 L's เพื่อสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ และ องค์กรแห่งการเรียนรู้ เมื่อได้รับความรู้แล้วเราควรมีการแบ่งปันความรู้และแลกเปลี่ยนความรู้กันเพื่อนำไปแก้ปัญหา และการสร้างโอกาสใหม่ๆ เราต้องมีความคิดหลากหลาย หลายแบบ คิดเป็นระบบ มีเหตุ- มีผล และการแสวงหาทางออกแบบฉลาด องค์กรแห่งการเรียนรู้คนทั้งองค์กรต้องไปด้วยกัน มีการมองจุดแข็ง มองจุดอ่อน มีการมองอนาคตไกล การเรียนรู้ต้องเน้นการคิด การวิเคราะห์ รู้อะไรรู้ให้จริง เพื่อให้เกิดไอเดียใหม่ๆ เรียนรู้แล้วต้องนำไปทำ และปฎิบัติจริงจึงจะเกิดประโยชน์ต่อองค์กร และผมขอขอบคุณ คุณ A.P. LOHIA คุณ D.K. BAKSHI คุณ S.N. MOHTA ที่ได้จัดกิจกรรมโปรแกรม Learning English Computer K.P.D ในครั้งนี้ให้แก่พวกเราทุกคน ทำให้พวกเรามีการพัฒนาการที่ดีหลายอย่าง และจากการเรียนนำมาพัฒนาตนเองและบริษัทให้ก้าวหน้าต่อไปขอขอบคุณครับ นาย วีระศักดิ์ เกษร
มาเรียม เหลืองอร่าม
เรียน อาจารย์ ด.ร. จีระ หงส์ลดารมภ์ ดิฉัน มาเรียม เหลืองอร่าม ขอส่งการบ้าน ของอาจารย์ดังต่อไนี้ หลังจากที่ได้เรียน กับอาจารย์ ความรู้ที่ได้รับหลายๆ อย่าง เช่นเราต้องใฝ่รู้ตลอดเวลา เรียนรู้ตลอดเวลา และนำความรู้ที่ได้รับมา พัฒนาในกลุ่มของพนักงานให้กล้าคิด กล้าตัดสินใจ กล้าทำ สร้างให้ทุกคนคิดนอกกรอบ และเอาผลการเรียนรู้ไปสร้างมูลค่าเพิ่มให้องค์กร และเราต้องมีทัศนคติที่เปิดกว้างเพื่อรับการเรียนรู้ใหม่ๆ มีการสื่อสารที่ดี สนใจเรียนรู้ต่อเนื่อง และต่อยอด รู้วิธีลดความขัดแย้ง ในองค์กร สร้างองค์กรให้เกิดกระแสการเรียนรู้ หาความรู้ตลอดเวลาต่อเนื่อง ว่าทำไม การสร้างสังคมการเรียนรู้จึงเป็นเรื่องที่สำคัญและเปิดวีดิทัศน์ ทฤษฎี 4 Lเพื่อสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ เราต้องเรียนรู้ และพัฒนาตนเองตลอดเวลา หลังจากที่ได้เรียนรู้กับอาจารย์แล้ว เราต้องคิดอย่างมีเหตุผล เหตุเป็นอะไร ผลเป็นอะไร และถามตนเองตลอดเวลาว่าได้อะไรบ้าง ต้องไม่คิดในกรอบ ต้องคิดนอกกรอบ อย่าคิดว่าตัวเองโง่ ควรคิดว่าตัวเองฉลาด เหมือน ด.ร. จีระ ที่ชอบค้นหาตลอดเวลา และรู้ให้กว้าง อย่ารีบร้อน ทำอะไรให้เป็นขั้นเป็นตอน เราต้องไม่โอเวอร์ เดินสายกลางเรามีเหตุมีผล เราต้องมีการบริหารงานแบบเป็นกลาง ความเสี่ยงในความหมายของวัฒนธรรมระหว่างไทย กับอิน เดียองค์กรแห่งการเรียนรู้เราต้องพบกันครึ่งทาง คนกับองค์กรต้องไปด้วยกัน องค์กรมีการฝึกอบรม และให้ความรู้ต่อพนักงาน บรรยากาศ และแหล่งการให้ความรู้ต้องคู่กัน สุดท้าย ขอขอบคุณ ผู้บริหาร ระดับสูงทุกท่านที่จัดให้มีการเรียนรู้หลายๆ อย่างเช่น จัดให้ ด.ร.จีระ ผู้ที่มีความรู้สูงมาสอนในการเป็นผู้นำที่ดีและอีกหลายๆ อย่างที่ไม่ได้กล่าวถึง รวมทั่ง ต้องขอขอบคุณ คุณ พลเดช วรฉัตรเป็นอย่างมากที่แวะมาเยี่ยม BOX อินโดรามาของเรา ต้องขอขอบคุรมากๆนะคะ มาเรียม เหลืองอร่าม
เรียนอาจารย์จีระ หงษ์ลดารมภ์ กระผมนายฉัตรเทพ ศรีห่วง นักเรียน KPD บริษัทอินโดรามาเท็กซ์ไทล์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้เข้ารับการฝึกอบรมเมื่อวันที่ 24 พ.ย 2550 จะขอส่งการบ้านดังนี้. กระผมขอขอบพระคุณท่านเจ้าของบริษัทฯคือคุณอโลค โลเฮีย เจ้าของบริษัทในเครืออินโดรามารวมทั้งคุณดีเค บัคชี และคุณเอ็นเอส โมต้า ประทานบริษัทฯที่ได้มองเห็นความสำคัญในระดับกลุ่มหัวหน้างานคือส่งเสริมพนักงานด้วยการจัดฝึกอบรมต่างๆท่านมุ่งมั่นที่จะพัฒนาพนักงานให้มีประสิทธิภาพทั้งทางด้านภาษาต่างประเทศหาการเรียนและกิจกรรมคิวซีซีมาพัฒนาเพื่อที่จะให้พนักงานได้เข้าใจและใช้เครื่องมือของคิวซีซีเป็นเพื่อนำมาใช้ในการวิเคราะห์และหาสาเหตุและมาปรับปรุงคุณภาพของผลิตพันธุ์ให้ดียิ่งขึ้นเพื่อแข่งขันในตลาดโลกต่อไปและกลุ่มของกระผมจะนำความรู้ที่ได้เหล่านั้นมาพัฒนาองค์กรให้มั่นคงยิ่งขึ้นตลอดไป เรียนเรื่องสังคมแห่งการเรียนรู้แล้วได้อะไร. ตอบ ได้รู้เรื่องทฤษฏี 4L'sกับการนำมาเพื่อสร้างวัฒนธรรมในการเรียนรู้ในองค์กร L ที่ 1 คือวิธีการเรียนรู้ L ที่ 2 คือการสร้างบรรยากาศในการเรียนรู้ Lที่ 3 คือโอกาศในการเรียนรู้ L ที่ 4 คือชุมชนแห่งการเรียนรู้
เรียนอาจารย์จีระ หงส์ลดารมภ์ ดิฉัน บุญช่วย พูลทองได้เข้าเรียน KPDเมื่อวันที่ 20.พ.ย 2550 จะขอส่งการบ้านดังนี้ ก่อนอื่นดิฉันต้องขอขอบพระคุณ คุณ อโลคโลเฮีย ซึ่งเป็นเจ้าของบริษัทอินโดรามา คุณ ดีเค บัคชีที่ HEAP OFFICE ได้ดูแลและพัฒนาบุคลากรและคุณ เอ็นเอสโมต้าซึ่ง เป็นประธานบริษัทอินโดรามา ที่ได้ให้ดิฉันมีโอกาศได้เรียน KPD และเรียนอื่นๆเช่น COMPUTER ภาษาอังกฤษ กิจกรรม QCC ซึ่งท่านเหล่านี้ได้เร็งเห็นถึงความสำคัญ ของพนักงานระดับหัวหน้างานได้จัดหากิจกรรมใหม่ๆมาพัฒนาบุคลากรของท่านเพื่อจะ ได้นำเอาความรู้เหล่านี้มาประยุคใช้เพื่อพัฒนาองค์กรของท่านอีกต่อไป ดิฉันจะนำเอาความรู้เหล่านี้ไปต่อยอดให้ได้ประโยชน์มากที่สุดเพื่อตอบแทนพระคุณของท่าน จะสอน พนักงานภายใต้การดูแลของดิฉันให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อองค์กร เรียนครั้งนี้แล้วได้อะไรบ้าง. ตอบ ดิฉันได้รู้ถึงทฤษฎี 4L'S ของอาจารย์เพื่อสร้างวัฒนธรรมในการเรียนรู้และนำมาใช้ในองค์กร Lที่1 คือวิธีการเรียนรู้ (LEARNING METHODOLOGY ) เริ่มตั้งแต่การสนใจหา ความรู้ด้วยตัวเอง เน้นการคิด วิเคราะห์แลกเปลื่ยนความคิดเห็น L ที่2 คือการสร้างบรรยากาศในการเรียนรู้ซึ่งบรรยากาศในการเรียนรู้ที่ดีนั้นจะนำไป สู่ CREATIVITY เช่น การอ่านหนังสือ พูดคุยแลกเปลื่ยนความคิดเห็นกันร่วมกันสัมมนาแบบโต๊ะกลมทำ WORK SHOP กัน L ที่3 คือโอกาศการเรียนรู้ (LEAMING OPPORTUNITIES ) โอกาศที่เกิดขึ้นจาก การเรียนรู้เมื่อได้พบปะแลกเปลื่ยนความรู้ซึ่งกันและกันรวมถึง ร่วมกันหารือกับวิทยากรที่เชี่ยวชาญซึ่งจะสร้างให้เกิดความคิดใหม่ๆ L ที่4 คือชุมชนแห่งการเรียนรู้ ( LEARNING COMMUNITIES ) คือการสร้างชุมชนในการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นโดยอาจใช้ห้องเรียนเป็นจุดเริ่มต้นและขยายผลไปยังกลุ่มเพื่อน,ครอบครัว,ชุมชนและสังคมต่อไป ดิฉันจะนำเอาความรู้ที่ได้มานั้นไปพัฒนาองค์กรต่อไป ขอบคุณค่ะ บุญช่วย พูลทอง
นิภาพัฒน์ มิ่งมงคล
กราบเรียนท่านอาจารย์ จีระ หงส์ลดารมภ์ ดิฉัน นิภาพัฒ มิ่งมงคล ขอตอบการ บ้านอาจารย์ เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2550 ดั้งนี้ ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณ คุณโลเฮีย คุณโมต้า ที่กรุณาให้ทุกสิ่งทุกอย่างกับ K.P.D ทุกท่านตลอดมาไม่ว่าจะเป็นผู้บริหารชาวอินเดียหรือผู้บริหารคนไทย หัวหน้าทุกคน สนใจที่จะให้ K.P.Dทุกคนได้มีความรู้ในด้านต่างๆเพื่อผันดัน ให้ทุกคนมีความรู้ในโปรแกรมต่างๆ ไม่ว่าจะฝึกในสถานประกอบการณ์หรือนอกสถาน สถานประกอบการณ์ก็ดีทุกวันนี้ดิฉัน ได้มีความรู้เพิ่มเติมอีกมากมาย เช่น การฝึกการเป็นผู้นำที่ดี กับ อาจารย์ จีระ หงส์ลดารมภ์ เรียนภาษาอังกฤษ QCC เป็นต้น จากเราที่ไม่เคยรู้หรือรู้น้อย ดิฉันก็พัฒนาตลอด ให้ใฝ่รู้มากขึ้น รู้ การตัดสินใจที่ดี ภาวะการเป็นหัวหน้าที่ดี รู้จักเคารพผู้บังคับบัญชา ใช้ว่า จาที่สุภาพ ให้อภัยซึ่งกันและกัน และสุดท้ายขอขอบคุณ คุณพลเดช วรฉัตร มากที่ได้รู้จักพวกเราชาวอินโดรามา
วิชาญ สุริยะหิรัญ
สวัสดีท่านอาจารย์ ดร .จีระ หงส์ลดารมถ์และทีมงานทุกท่าน การเรียนครั้งนี้เป็นครั้งนี้ที่ 6 ผมได้รับความรู้เกียวกับองค์แห่งการเรียนรู้ ให้ประสบความสําเร็จโดยการประทะทางความคิดหรือแลกเปลี่ยนความคิด ซึ่งกันและกัน หรือ เรียกอีกอย่างว่าชุมชนแห่งการเรียนรู้ สิ่งที่สำคัญคือ การสื่อสารที่ดี คือ ต้องสนใจในการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง หรือ ต่อยอดทาง ความรู้ต้อง แสวงหาความรู้ใหม่ ๆ ให้ทันต่อยุคโลกาภิวัฒน์และต้องรุ้จ้ดเก็บข้อมูลข่าวสารที่ได้และจัดเก็บให้เป็นหมวดหมู่และสามารถนำความรู้ไปใช้โดยใช้ปัญญาตรึกตรอง โดยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กล้บองค์กรได้และในการเรียนครั้งนี้ยังได้รุ้วิธีคิดที่เป็นระบบคือ คิดแบบมีเหตุและผล สามารถรับฟังความคิดของ ผู้อื่น ได้หรือแชร์ความคิดระหว่าง คนไทย กับ คนอินเดีย เพื่อลดปัญหาความขัดแย้งหรือการแบ่งแยกความคิดในองค์กรนั้นได้ และเหนือสิ่งอื่นใด ผมต้องขอขอบคุณไปยังคุณโลเฮีย และ คุณโมต้าที่ท่านเสียสละงบประมาณ ในการจัดโครงการมอบความรู้ให้กับ KPD ทั้ง 31 ท่านเพื่อนำความรู้ที่ได้รับนั้นมาพัฒนาให้องค์กรเจริญก้าวหน้า และยังขอขอบคุณไปยังคุณบัดชี ที่ท่านได้ค้นหานักพัฒนาทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้ของนักคิดและนักปฏิบัติ แห่งยุคโลกาภิวัฒน์ที่มีทั้งความรู้ ความคิดใหม่ ๆ ในทีมงานของท่าน อาจารย์ จีระ หงส์ลดารมภ์ มาอบรม สั่งสอน และมอบความรู้ให้พวกผมทั้ง 31 ท่าน และที่ขาดเสียมิได้ ผมต้องขอขอบคุณ คุณวิรัตน์ จันทร์สืบสาย และ คุณดำรงค์ เข็มอรุณ ที่ท่านได้มอบความรู้เกี่ยวกับ การเปิด BLOGใช้ อินเตอร์เนต เพื่อค้นหาความรู้ใหม่ ๆ ใน BLOG ต่าง ๆ เพื่อนำมาพัฒนาในองค์กร และขอขอบคุณไปยังคุณพลเดช วรฉัตร ที่ท่านให้เกียรติเข้าเยี่ยมชม BLOG ของอินโดรามา ในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ขอขอบคุณครับ กระผม นายวิชาญ สุริยะหิรัญ
สุทธินี สร้อยเสนา
กราบเรียรอาจารย์ ดร. จีระ การเรียนครั้งที่ 5 ในเรื่อง การตัดสินใจบรรยากาศในการเรียนรู้ว่าจะไม่เครียดเท่าไร รู้สึกถึงความเป็นกันเองของอาจารย์และทีมงาน การที่อาจารย์ต้องการที่จะพูดคุยนอกรอบกับบรรดาลูกศิษย์ เป็นสิ่งที่ดี แต่บรรดาลูกศิษย์ก็ไม่กล้าที่จะพูดคุยอย่างสนิทสนมและเป็นกันเอง อาจเพราะดูถึงความเหมาะสม ในเรื่องคุณวุฒิกลัวว่าเมื่ออาจารย์ซักถามมาก ๆ เกรงจะตอบไม่ได้ 1. เรียนเรื่อง การตัดสินปัญหาไม่ว่าปัญหานั้นจะเป็นปัญหาแบบใดการตัดสินใจแต่ละครั้ง ควรจะมองถึง 1.1 ผลกระทบทั้งทางบวกและทางลบอย่างรอบคอบ ศึกษาถึงผลกระทบระยะสั้น ระยะยาว อันที่จะทำให้เกิดปัญหากับตนเอง สังคมรอบข้าง ผิดจริยธรรม ขาดความยั่งยืน 1.2 เรื่องที่จะตัดสินใจเป็นประเภทใด ถ้าเป้นปัญหาทั่วไปมี ความสำคัญไม่มาก ปัญหาเร่งด่วน ปัญหานี้ต้องวิเคราะห์ให้ดี ถ้าตัดสินใจพลาดเพียงนิด จะเกิดผลกระทบที่รุนแรง ต้องตัดสินใจด้วยความรอบคอบ ทางด้านยุทธศาตร์องค์กร ก่อนที่จะทำเรื่องใด ควรจะศึกษาคู่แข่ง สภาพแวดล้อม จุดแข็ง จุดอ่อน ข้อมูลทางด้านต่างๆให้รอบคอบก่อนตัดสินใจ 1.3 แบ่งแยกประเภทของการตัดสินใจออกได้ตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แม้เราจะเกิดความจริงปราศจากการตัดสินใจพลาด แต่ก็จะเป็นบันไดไปสู่ความสำเร็จ 1.4 การตัดสินใจเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงที่เป็นปัจจัยที่คาดไม่ถึง 1.5 style การตัดสินใจของแต่ละคนไม่เหมือนกัน เช่น วัฒนธรรม การทำงานของญี่ปุ่นเขาเข้มงวดในเรื่องคุณภาพ และเรื่องการลดต้นทุนการผลิตมาก แต่เขาก็ให้ความสำคัญที่พนักงานของเขา คนญี่ปุ่นมีวีธีในการผลักดันเรื่องคุณภาพอย่างเข้มงวดและมีวินัยมากนั่นคือ การตัดความรู้สึกแบบ "เกรงใจ"ออกไป ซึ่งคงรุนแรงเกินไปถ้านำมาใช้กับคนไทย แต่ถ้าต้องการจะแข่งขันในโลกได้ก็ต้องทำ การลงโทษของญี่ปุ่นก็รุนแรง เวลาหัวหน้าเรียกลูกน้องมาต่อว่ามักจะพูดให้ได้อายกันเลย ฉะนั้นในเรื่องการปรับปรุง การเพิ่มผลผลิตของญี่ปุ่นจึงไปได้เร็ว ปัจจัยสำคัญอีกอย่างหนึ่งในการทำให้การเพิ่มผลผลิตประสบความสำเร็จก็คือ ความมีวินัยของคนในองค์กรให้คนมีวินัยนั้นไม่ได้อยู่ที่การสอน การเปลี่ยนแปลงใดๆ ต้องอายผู้นำที่มีความสามารถในการตัดสินใจสูง ถ้าเชื่อว่าเรื่องนี้ดีต้องทำให้ได้ไม่ใช่บอกว่าดีแต่ปากแล้วไม่ทำอะไร ก็จะทำให้ผลดีเกิดขึ้นไม่ได้ การสร้างคนในองค์กรเราไม่ได้สร้างเฉพราะระดับใดระดับหนึ่งเราต้องสร้างทั้งหมด ตั้งแต่คนงานของเราในโรงงานจะต้องมีการฝึกอบรมมาตลอด ึงจะรับทอดกันไปได้ ถึงจะพูดจาภาษาเดียวกันได้ ถ้าไปทำส่วนใดส่วนหนึ่งก็จะรู้เรื่องเฉพาะระดับนั้น ระดับชั้นล่างไม่รู้เรื่องด้วย ก็มีปัญหาเรื่องการสื่อสาร การสื่อข้อความติดขัดทำให้ขาดประสิทธิภาพ การทำงานอย่างมีคุณธรรมช่วยเราในระยะยาวทำให้ไปที่ใหนได้รับการเชื่อถือได้รับการยกย่อง เราจะติดต่อกับต่างประเทศจะพูดคุยกันได้ง่ายมาก ถ้าเรามีความน่าเชื่อถือในระยะสั้นอาจมองไม่เห็น แต่ระยะยาวดีมากๆทีเดียว 2. Case study ของอาจารย์ ใช้กับอินโดรามาได้อย่างไร 1. ศึกษาข้อมูลในหลายๆด้าน ในส่วนที่เป็นผลกระทบระยะยาว,สั้น สภาพเศรษฐกิจ ความอยู่รอดของบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจ 2. อธิบายถึงการวิเคราะห์มีหลักเหตุผลว่าอย่างไร ไม่ควรใช้อารมณ์ประกอบการตัดสินใจ ควรจะมีความคิดสร้างสรรค์ 3. ประสบการณ์ในการตัดสินใจ ในแต่ละเรื่องก็เป็นส่วนสำคัญอย่างมาก รวมทั้งควรจะมีไหวพริบและรู้จักช่วงเวลาโอกาส 4. ควรเรียนรู้วัฒนธรรมทางสังคม สภาพแวดล้อมของการดำรงชีวิต สภาพเศรษฐกิจที่หลากหลายของคนในท้องถิ่น ไปจนถึงระดับประเทศ
กาญจนาพร ยุบลพันธุ์
สวัสดีค่ะ ท่านอาจารย์ ดร. จีระ หงส์ลดารมภ์
    
     ดิฉันรู้สึกภูมิใจมากที่ได้รับการอบรมในครั้งนี้ซึ่งผู้บริหารได้เล็งเห็นความสำคัญของบุคลากรที่จะพัฒนาองค์กรในระดับหัวหน้างาน ซึ่งมีระดับการศึกษาที่ปานกลางโดยให้ อาจารย์ ดร. จีระ หงส์ลดารมภ์ ซึ่งเป็นทรัพยากรมนุษย์  ซึ่งท่านมีประสบการณ์มากในการที่จะพัฒนาทรัพยากรมนุษย์โดยเฉพาะในประเทศไทย ให้เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ตลอดเวลา คิดเป็น การเป็นผู้นำที่ดีการสื่อสาร และคอมพิวเตอร์ รวมถึงภาษาอังกฤษที่สามารถนำไปใช้ในองค์กร ซึ่งการอบรมในครั้งนี้เกิดขึ้นได้ต้องขอขอบคุณ คุณโลเฮีย คุณโมต้า คุณบัคชี และคุณวิรัตน์ จันทร์สืบสาย รวมถึงคุณดำรง เข็มอนุสุข ที่ร่วมประสานงานเป็นอย่างดียิ่ง และดิฉันจะตั้งใจพัฒนาองค์กรให้ดียิ่งขึ้นไป และขอขอบคุณ      คุณพลเดช ที่เห็นความสำคัญของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของอินโดรามา
                                                                     
                                                                      กาญจนาพร ยุบลพันธุ์
สวัสดีครับอาจารย์ ดร จีระ ที่เคารพ ผมนายกิตติ แก้วพงษ์ หลังจากที่ได้เรียนรู้เกี่ยวกับองค์กรแห่งการเรียนรู้
ใน Indorama ซึ้งสามารถนำมาปรับปรุงแก้ไขในความคิดของตัวเองว่าการเรียนรู้มีหลายรูปแบบหลากหลาย
วิธีซึ้งมีประโยชน์ซึ้งเราอาจหาแนวคิดใหม่ๆไปปรับปรุงเพื่อใช้ในชีวิตประจำวันได้เป็นอย่างดีไม่ว่าจะเป็นงานที่
เราทำอยู่ เราได้สร้างโอกาสในการเรียนรู้ได้ ไม่ว่างานที่เราทำเป็นกลุ่ม เช่น กิจกรรม Qcc ซึ้งเป็นกิจกรรม
ที่ทำงานเป็นกลุ่ม แต่ละคนมีไอเดียและประสบการณ์ที่ไม่เหมือนกัน นำมาพูดคุยปรึกษาหาแนวคิดใหม่ๆทำให้
เกิดความสนุกสนานเป็นการเรียนรู้อีกรูปแบบหนึ่งเหมือนโลกสมัยนี้ เป็นโลกาภิวัฒน์ไม่มีการหยุดนิ่งในทุกๆด้าน
ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้ถ้าคนเราใฝ่คว้าหาความรู้สมัยนี้เปิดกว้างไม่ว่าจะเป็นโลกของอินเตอร์เน็ต เป็นแหล่ง
ของการเรียนอีกวิธีหนึ่งที่เปิดกว้างมากซึ้งสามารถนำมาวิเคราะห์หรือนำมาพัฒนาในระบบงานในอินโดรามาของ
เราได้ คือเชื่อมโยงมาถึง ทฤษฎี 4 L ที่มีประโยชน์เกี่ยวกับการเรียนรู้คือ
  L ที่1วิธีการเรียนรู้ ( Learning Methodology ) ซึ้งล้วนแล้วแต่หลากหลายแนวทางของแต่ละบุคคลซึ้ง
อาจจะไม่เหมือนกันซึ้งบางคนอาจจะชอบศึกษาด้วยตนเองเช่น ลองผิดลองถูกเกี่ยวกับการปฏิบัติ หรือ
ลงมือทำ หรือบางคนชอบหาความรู้จากผู้ที่มีความรู้และผู้ที่มีประสบการณ์เหมือนกับตัวผมกับแผนกที่ผม
ทำงานอยู่คือเรียนรู้จากงานที่ทำจากหัวหน้างาน หรือเพื่อนร่วมงานซึ้งเป็นการเรียนรู้อีกรูปแบบหนึ่ง
  L ที่2 การสร้างบรรยากาศในการเรียน ( Learning Environment ) เช่นตัวอย่างที่อาจารย์จัดให้มีการ
คุยนอกรอบ คือช่วงเวลาก่อนเข้าห้องเรียน หรือช่วงเบรคทานกาแฟ เป็นการให้ผู้เรียนเกิดความคุ้นเคย
และเป็นกันเองมากขึ้น ทำให้ช่วงเวลาที่เรียนในห้องเรียนเกิดความผ่อนคลาย ไม่เครียดในการเรียนมากนัก
คือเป็นการสร้างบรรยากาศในการเรียนอีกวิธีหนึ่ง หรือการเรียนเป็นกลุ่มทำให้เกิดความเข้าใจมากขึ้น เช่น
ถ้าเราไม่เข้าใจหรือมีปัญหาอะไรบ้างอย่างเรายังปรึกษากันได้ หรือช่วงเวลาลง Workshop เรายังช่วยกัน
ปรึกษาหาคำตอบทำให้เกิดความมั่นใจ ในการตอบคำถามเกิดอาการไม่เครียดเป็นการสร้างบรรยากาศอีก
รูปแบบหนึ่ง
  L ที่3 โอกาสในการเรียนรู้ ( Learning Opportunities ) ซึ้งมีอยู่แล้วในชีวิตประจำวันเว้นเสียแต่ว่าใครจะมี
โอกาสมากน้อยแค่ใหนหรือใครจะไขว่รู้มากน้อยแค่ใหนซึ้งจะมีประโยชน์มากถ้าเรานำไปขยายผลให้คนอื่นได้
รับรู้และนำไปปฏิบัติเผื่อขยายผลต่อไป
 สำหรับ L ที่4 นั้นคือชุมชนแห่งการเรียนรุ้ ( Learning Communities ) ซึ้ง Lที่4 นี้มีผลไปในหลายด้าน
อีกมากมาย เช่นเมื่อผมเรียนแล้วยังสามารถไปบอกต่อกับเพื่อนร่วมงาน และครอบครัวเหมือนต่อยอดให้
คนอื่นได้รับรุ้นำไปปฏิบัติและเมื่อนำไปบอกต่อแล้วยังเกิดไอเดียใหม่ๆสำหรับตัวผมอีกด้วย
     สำหรับกฎของ Peter Senge การสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้
        - รู้อะไรให้รู้จริง ( Personal Mastery )
        - แบบอย่างทางความคิด ( Mental Models ) คือคิดอย่างมีระบบ ว่าเหตุคืออะไร ผลคืออะไรและนำไป
ปรุงแก้ไขอย่างไร ให้มีประโยชน์มากที่สุดในระบบองค์กร สิ่งที่จะขาดเสียมิได้ " อย่าคิดว่าตัวเองโง่ "
        - เห็นอนาคตร่วมกัน ( Shared Vision )
        - เรียนเป็นทีม ( Team Learning )
        - คิดมีเหตุผล ( System Thinking )
    สำหรับแนวคิดของพระเจ้าอยู่หัวนั้นมี 4 แนวคิด ก่อนที่เราเริ่มจะทำงานอะไรลงไป 1. ทำอะไร 2. ทำอย่างไร
3. ทำเพื่อใคร 4. ทำแล้วได้อะไร ซึ้งสามารถนำมาประยุกต์ใช้ใน Indorama และครอบครัวได้เป็นอย่างดี
  สรุปว่าองค์กรแห่งการเรียนรู้ การพัฒนาด้านความรู้จะต้องพัฒนาให้ยั่งยืน และเดินสายกลาง ต้องพบกัน
ครึ่งทาง จะคิดอะไร ทำอะไร ศึกษาอะไรต้องทำแล้วมีความสุข และสิ่งเหล่านั้นก็จะประสบความสำเร็จ และ
 การเรียนรู้ของคนเราไม่มีวันสิ้นสุด คือ " ต้องเรียนรู้ตลอดชีวิต "
    สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณ    คุณ A.P LOHIA   คุณ D.K BAKSHI  คุณ S.N MOHTA ที่ทำให้กิจกรรม
K.P.D เกิดขึ้นทำให้ตัวผมและเพื่อนๆ ได้พัฒนาการเป็นผู้นำเพิ่มมากขึ้น และต้องขอขอบคุณ คุณ พลเดช
วรฉัตร ที่ให้เกียรติเข้าเยี่ยมชม และแสดงความคิดเห็นผ่านใน Biog การพัฒนาผู้นำที่ Indorama และถ้าท่าน
มีข้อคิดเห็นเพิ่มเติมอะไรไห้ช่วยแนะนำผ่าน Biog นี้ด้วย....ขอบคุณมากครับ.
กราบเรียนอาจารย์ จีระ หงส์ลดารมภ์ ดิฉันเฉลิม ชอบเจริญ ขอตอบการบ้านของอาจารยํ จากการที่ได้เรียนและอบรมกับอาจารย์ในเรื่ององศ์แห่งการเรียนรู้ เมื่อว้นที่ 20 พฦศจิกายน 2550 องศ์กรแห่งการเรียนรู้นั้นมีความจําเป็นอย่างมากฃึ่งสามารถทําให้องศ์กรนั้นเปลี่ยนนิสัยบุคลากรให้เป็นคนที่ใฝ่ศึกษาหาความรู้ด้วยตนเองมากยิ่งขึ้นสามารถพัฒนาตนเองให้ทันต่อเหตุการณ์ต่างๆ ในยุคโลกาพิวัฒน์ได้ จึงเป็นประโยชน์ที่สำศัญที่จะนำไปสู่สังคมแห่งการเรียนรู้ดังนั้นองศ์กรต่างๆ ต้องมีการเรียนรู้ตลอดเวลาเพื่อจะสามารถปรับตัวเพื่อความอยู่รอดขององศ์กรนั้น และขอบคุณโลเฮีย คุณโมต้า ที่เปิดโอกาสให้พวกเราทุกคนได้มีความรู้เกี่ยวกับเรื่อง KPD ตลอดจนผู้บริหารชาวไทยทุกคนที่สนับสนุนให้เรามีความรู้ในเรื่องการเรียนภาษาอังกฤษ เรียน QCC จนสามารถนําความรู้ต่างๆ มาใช้ในการทํางานของพวกเราได้ สุดท้ายขอขอบคุณพลเดช วรฉัตรที่เข้ามาชมของพวกเราชาวอินโดรามา
กาญจนาพร ยุบลพันธุ์
สวัสดีค่ะ ท่านอาจารย์ ดร. จีระ หงส์ลดารมภ์ ดิฉันรู้สึกภูมิใจมากที่ได้รับการอบรมในครั้งนี้ซึ่งผู้บริหารได้เล็งเห็นความสำคัญของบุคลากรที่จะพัฒนาองค์กรในระดับหัวหน้างาน ซึ่งมีระดับการศึกษาที่ปานกลางโดยให้ อาจารย์ ดร. จีระ หงส์ลดารมภ์ ซึ่งเป็นทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งท่านมีประสบการณ์มากในการที่จะพัฒนาทรัพยากรมนุษย์โดยเฉพาะในประเทศไทย ให้เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ตลอดเวลา คิดเป็น การเป็นผู้นำที่ดีการสื่อสาร และคอมพิวเตอร์ รวมถึงภาษาอังกฤษที่สามารถนำไปใช้ในองค์กร ซึ่งการอบรมในครั้งนี้เกิดขึ้นได้ต้องขอขอบคุณ คุณโลเฮีย คุณโมต้า คุณบัคชี และคุณวิรัตน์ จันทร์สืบสาย รวมถึงคุณดำรง เข็มอนุสุข ที่ร่วมประสานงานเป็นอย่างดียิ่ง และดิฉันจะตั้งใจพัฒนาองค์กรให้ดียิ่งขึ้นไป และขอขอบคุณ คุณพลเดช ที่เห็นความสำคัญของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของอินโดรามา กาญจนาพร ยุบลพันธุ์
นายเอกสิทธิ์ สิงห์สูง

สวัสดีครับอาจารย์ ด.ร.จีระ  หงส์ลดารมณ์ ผมนายเอกสิทธิ์   สิงห์สูง จะขอส่งการบ้านของอาจารย์ดังนี้

1. อาจารย์สอนให้รู้อะไรให้รู้จริงไม่ใช่ว่ารู้แค่นิดเดียววแล้วเอาไปพูดหรือไปสอนคนอื่นๆ

2. อาจารย์สอนให้รู้จักทำตัวให้ตรงกับยุคสมัย เช่น ในปัจจุบันนี้เป็นยุคโลกาภิวัฒน์ หรือ ยุคสภาวะโลกร้อน

3. อาจารย์สอนให้รู้จักกับทฤษฎี 4L และที่สำคัญที่สุด คือการสร้างวัฒนธรรมในการเรียนรู้และนำมาใช้ในองค์กรของตนเองได้

และต้องขอขอบคุณ คุณดีเค  บัคชี  ,คุณโลเฮีย และคุณโมตา  ที่ท่านได้เปิดโอกาสให้ผมได้มีโอกาสเข้าอบรมกิจกรรมต่างๆ เช่น เรียนภาษาอังกฤษ ,คอมพิวเตอร์, กิจกรรม QCC และอื่นๆ อีกมากมายถ้าไม่มีพวกท่านผมคงไม่มีโอกาสที่จะได้ความรู้ต่างๆ เหล่านี้ได้ และสุดท้ายนี้ผมต้องขอขอบคุณคุณพลเดช  วรฉัตร เป็นอย่างสูง ที่ได้สละเวลาเข้ามาเยี่ยมชมและอ่านข้อความของพวกผมชาว INDORAMA  ขอขอบคุณมากครับ

กราบเรียนท่านอาจารย์ ดร.จีระ ที่นับถือ                ดิฉันยุพาพรรณ   แสวงทอง ครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ 6 แล้วที่พวกเราได้พบกับทีมงานผู้เชี่ยวชาญของอาจารย์ พร้อมกับสิ่งใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้น ณ  อินโดรามา ทั้งตัวผู้เข้าร่วมการอบรม ที่ได้รับประโยชน์อย่างสูง องค์กรในอินโดรามาได้ปรับเปลี่ยนตามไปด้วย สิ่งต่าง ๆ คงจะไม่เกิดขึ้นได้ หากไม่มีการสนับสนุนจากผู้บริหารระดับสูง ที่ได้เล็งความสำคัญของพวกเรา ในการท่ีจะสร้างผู้นำที่แข็งแกร่งให้เกิดขึ้นในอินโดรามาในอนาคตและจากการที่ได้เข้่าร่วมการสัมมนาในครั้งสิ่งที่ได้เรียนรู้เพิ่มเติม คือ LEARNING  ORGANZATION ปัจจุบันนี้ถือได้ว่าเป็นยุคของความไม่แน่นอนอันเกิดผลจากอิทธิพลของกระแสโลกาภิวัตน์ ที่ทั้งเทคโนโลยี (IT) , ระบบการค้าและธุรกิจ , สภาพสังคม และวิกฤตเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป ฉะนั้นความรู้จึงกลายเป็นปัจจัย

สำคัญในการดำรงชีวิต , การทำงานและการอยู่ให้รอดไปสู่ความสำเร็จในโลกของการเปลี่ยนแปลง อันที่จริงคนที่จะอยู่ในโลกของโลกาภิวัตน์ได้นั้นจะต้องเน้นใน5 เรื่องเป็นสำคัญ คือ ข้อมูล (Data)

 ข่าวสาร (Information) ความรู้ (Knowledge) มูลค่าเพิ่ม (Value Added) ความเฉลียวฉลาด (Wisdom) การที่คนเราจะฉลาดได้นั้น เราต้องรู้จักนำเอาการเรียนรู้, ความรู้ที่เรามีอยู่ หรือจากประสบการณ์ที่สั่งสมเหล่านั้นมาใช้ประโยชน์ เพื่อจะไปสร้างมูลค่าเพิ่มแก่ตัวเอง, ครอบครัว, องค์กร และประเทศชาติ การแสวงหาความรู้นั้นไม่มีขอบเขต และไม่มีการหยุดนิ่ง นอกจากความรู้ที่เราได้จาก

การเรียนทั้งในระบบ และนอกระบบ คือการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง  ก็จะเป็นการเรียนรู้ตลอดเวลา  ได้มีโอกาสนำไปใช้ และนำไปหาความรู้อย่างต่อเนื่อง จะเป็นการเรียนแบบท่องจำ หรือการเรียนโดยไม่มีการถกเถียงในห้องเรียนการเรียนรู้ ใช่ว่าจะเกิดแต่เพียงในห้องเรียนเท่านั้นยังสามารถเกิดขึ้นได้จากการทำงาน มีทฤษฎีที่ชื่อว่า "Learning Loop" มาใช้ในชีวิตการทำงานของเราก็จะทำให้งานของเรานั้นเกิดประสิทธิผล และความสำเร็จตามมา

ทฤษฎีมูลค่าเพิ่ม

ทฤษฎีมูลค่าเพิ่ม เน้นให้ทุกคนสามารถที่จะเปลี่ยนข้อมูล เป็นข่าวสาร เป็นความรู้ และสามารถนำ

ไปสร้างมูลค่าเพิ่ม และก่อให้เกิดความฉลาดเฉลียว ในการปฏิบัติงานได้เป็นอย่างดี โดยมีลำดับดังนี้ มีการเก็บข้อมูล (data) และจัดหมวดหมู่ (coding) ก่อให้เกิดข่าวสาร (information) เมื่อนำข่าวสารมาคิดต่อ วิเคราะห์ วิจัยจะเกิดเป็นความรู้ (knowledge) หากมีการนำความรู้ไปใช้เกิดการสร้างมูลค่าเพิ่ม (value added) นั่นคือ เป็นการเปิดโลกทัศน์ เปลี่ยนวิธีคิดในการทำงานให้สอดคล้องกับสังคมจุดใดจุดหนึ่ง ซึ่งการสร้างมูลค่าเพิ่มนี้ต้องการ การบริหารจัดการมาก และสุดท้ายจะก่อให้เกิดความฉลาดเฉลียว (wisdom) ขึ้น ดังนั้นจะต้องแสวงหาความรู้ที่ทันสมัย มีการแบ่งปันความรู้อย่างถูกต้อง และสร้างมูลค่าเพิ่มให้เกิดขึ้น

ทฤษฎี  4  L’s     มีรายละเอียด ดังนี้L  ที่ 1  คือ Learning Methodology  วิธีการเรียนรู้แบบใหม่เน้นการวิเคราะห์แลกเปลี่ยนความคิดเห็น  Workshop การทำ assignment โดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและ MultimediaL  ที่ 2  คือ Learning Environment คือ การสร้างบรรยากาศในการเรียนรู้บรรยากาศของการหาความรู้ที่ดีนั้นจะนำไปสู่ Creativity เช่น -  การให้ความสำคัญกับวิธีการนั่งเรียน ใช้การจัดห้องเรียนแบบ U-Shape หรือโต๊ะกลม  เพื่อกระตุ้นให้ผู้เข้าร่วมสัมมนา สนุก สนใจ และมีส่วนร่วม-  สร้างบรรยากาศให้ Relax (ผ่อนคลาย)-  มีความทันสมัย มีมุมห้องสมุด / หนังสือดีๆ มีมุมกาแฟ Internet·       เน้นปรัชญาการศึกษาแบบ Coaching (การเป็นโค้ช/ พี่เลี้ยง) , Facillitator (ผู้อำนวยความสะดวก), และ Mentoring (การเป็นที่ปรึกษา/ พี่เลี้ยง)L  ที่ 3  คือ Learning Opportunityคือ โอกาสที่เกิดขึ้นจากการเรียนรู้เมื่อได้พบปะแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกันรวมทั้งโอกาสในการได้

เรียนรู้และร่วมหารือกับวิทยากรหรือผู้เชี่ยวชาญซึ่งจะสามารถสร้างให้เกิดโอกาสสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่กันและกัน

L  ที่ 4 คือ  Learning Communities คือ การสร้างชุมชนในการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นโดยใช้ห้องเรียนเป็นจุดเริ่มต้นและขยายผลต่อไปในวงกว้าง เช่น เพื่อน ครอบครัว ชุมชนและสังคมทฤษฎีของ  Peter Senge ได้พูดถึงการเรียนรู้ในองค์ (Organization Learning) ภายในองค์กรนั้นมีหลายฝ่าย แต่ละฝ่ายก็มีเป้าหมาย (Goal) ที่ทั้งเหมือนกันและแตกต่างกันออกไป  เพราฉะนั้น ถ้าทุกคนสามารถเรียนรู้ได้ก็จะทำให้องค์กรสามารถปรับตัวเองไปสู่ความเป็นเลิศได้ ซึ่งกฎของ Peter Senge มีดังนี้ - Personnel Mastery คือ รู้อะไรต้องรู้ให้จริง - Mental Models คือ สำรวจข้อสมมติฐานในการคิดของเรา แบบอย่างทางความคิด- Shared Vision คือ มีวิสัยทัศน์ที่ร่วมกัน เห็นอนาคตร่วมกัน- Team Learning คือ การรู้จักหาความรู้เป็นทีม เรียนกันเป็นทีม- System Thinking คือ การคิดอย่างมีระบบ มีการคิดอย่างมีเหตุมีผลทฤษฎีหมวก 6 ใบ (6 Hats) ของ Edward de Bono                วิธีการคิดมีหลายชนิด บางคนชอบคิดทางลบ บวก มีอารมณ์ในการคิด มีข้อมูลก่อนจึงจะคิด ในการจะก่อให้เกิดความคิดขึ้นมาได้ต้องพูดเรื่องใดเรื่องหนึ่งเท่านั้น เช่น พูดเกี่ยวกับความคิดใหม่เท่านั้น อย่าเพิ่งขัดแย้ง โดยทฤษฎีหมวก 6 ใบ ประกอบด้วยหมวกสีขาว                 หมายถึง                 ข้อมูลข่าวสาร มีการคิดโดยใช้ข้อมูลข่าวสาร คิดอย่างมีเหตุมีผลหมวกสีเหลือง                 หมายถึง                 การมองในแง่ดีเต็มไปด้วยความหวัง คิดเร็ว คิดไปข้างหน้า ช อบความเสี่ยงหมวกสีแดง                 หมายถึง                 อารมณ์ความรู้สึก คิดไปตามอารมณ์และความรู้สึกหมวกสีเขียว                 หมายถึง                 การคิดอย่างสร้างสรรค์ มีจินตนาการในความคิด

หมวกสีดำ                 หมายถึง                การตั้งคำถามหรือตั้งข้อสงสัย คิดเยอะ เก่งคิด คิดอย่างระมัดระวัง อนุรักษ์นิยม

หมวกสีฟ้า           หมายถึงการสามารถควบคุมความคิดทั้งหมดหรือมองเห็นภาพรวมของการคิดมีการวิเคราะห์ ก่อนการตัดสินใจ

 การเป็นผู้เรียนรู้ที่ฉลาดและได้ผล ซึ่งก่อนที่เราจะเป็นผู้รู้ที่ฉลาดนั้น เราจะต้องมีพฤติกรรม คือ ต้องรู้จักท้าทายความคิดที่ถูกยอมรับ เช่น ในอดีตมีการถกเถียงว่า โลกแบน หรือโลกกลม หรือลองหาทางออกใหม่ๆ รู้จักเป็นคนที่มองโลกและคิดอย่างกว้างๆ ไม่ใช่แค่เพียงมองด้านใดด้านหนึ่ง นำเอาศาสตร์ต่างๆ มาใช้ เป็นการมองศาสตร์อย่างผสมผสาน และลองดัดแปลงให้เข้ากับเรามากที่สุด  ในเรื่องของการเรียนรู้ การเรียนนั้นไม่ว่าจะเป็นการเรียนแบบใด ต้องรู้จักให้ Incentive เช่น การให้รางวัลเมื่อทำได้ตรงตามเป้าหมาย แต่ในบางครั้งเราจะต้องมีการบังคับเล็กน้อย  นอกจากนี้ จะต้องให้มีการเรียนเป็นทีม (Team) โดยให้ปัจจัยที่ต้องมีการผนึกกำลัง ร่วมมือกัน และอาจจะต้องมีการสร้างสรรค์ (Creativity) หรือ นวัตกรรมใหม่ (Innovation) ให้มาก                 คนที่ฉลาดนั้น ต้องทำตัวเป็นผู้ฟังที่ดี เปิดโอกาสให้มีการแลกเปลี่ยนมุมมอง หรือประสบการณ์แบบ คุณพูด ผมพูด และมีความแตกต่างทางความคิดได้ เพราะคนเราไม่เหมือนกันก็ย่อมมีความคิดที่ตกต่างกันไปด้วย ในการแลกเปลี่ยนมุมมองจะต้องไม่มีคำว่า "ชนะ หรือ แพ้" ไม่มีการโกรธกัน ถ้ามีความคิดเห็นที่ไม่ตรงกัน เราก็ต้องช่วยหาข้อสรุปร่วมกัน อย่าคิดว่าตนมีความรู้มากแล้วจะแสดงความคิดเห็นโดยไม่ฟังผู้อื่น เอาความคิดของตนเองเป็นใหญ่ ซึ่งการกระทำแบบนี้ถือว่าเป็นคนโง่มากกว่าฉลาด การสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ให้เหมาะสมก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่ช่วยส่งเสริมให้เราใส่ใจที่จะเรียนรู้ในสิ่งต่างๆ เช่น บรรยากาศในห้องเรียน ที่ทำงาน หรือแม้แต่ภายในบ้าน ต้องเป็นที่โล่งโปร่งสบาย มีต้นไม้ที่ช่วยในการพักผ่อนสายตา การที่มีบรรยากาศที่ดีก็จะช่วยให้การเรียนรู้นั้นมีความสุข และสร้างความสนใจที่อยากจะเรียนรู้เพิ่มเติม ฉะนั้นการที่เราจะสร้างนิสัยการเรียนรู้ตลอดชีวิตได้นั้น เราจะต้องเป็นคนที่มีความเชื่อมั่นว่าเราสร้างสังคมการเรียนรู้ได้นั่นเอง ภายในองค์กรก็สามารถสร้างสังคมการเรียนรู้ได้เช่นกัน ถ้า ผู้นำทุกระดับขององค์กรต้องเชื่อในการเรียนรู้ มีวิสัยทัศน์ที่กว้าง และจัดหาความรู้เหล่านี้เข้ามา เช่น การจัดอบรม สัมมนา  อย่างสม่ำเสมอ เพื่อสร้างโอกาสที่ทำให้ความรู้ต่างๆ เกิดขึ้น ในยุคของโลกาภิวัตน์การรู้จักนำเอา Technology สารสนเทศมาใช้อย่างจริงจังเป็นสิ่งที่สำคัญ โดยเฉพาะ Internet , Cable TV , CD-Rom หรือ การจัดห้องสมุดให้เป็นห้องสมุดที่มีข้อมูลข่าวสารที่ทันสมัย และมีความหลากหลาย ควรจะเริ่มสะสมข้อมูลข่าวสารที่หลากหลาย หรือจัดสถานที่ที่เหมาะสมกับการใช้เวลาเงียบๆ (มุมสงบ) ที่เราจะหาความรู้อย่างจริงจัง รวมทั้งลงทุนใน Technology ต่างๆ ที่เหมาะสม หรืออาจจะเริ่มจากสิ่งที่เราชอบหรือที่สนใจ หลักคิดและการทำงานของพระเจ้าอยู่หัวฯ   รู้-รัก-สามัคคีรู้ คือ ปัญญามีความรู้ ความเข้าใจในงานที่จะต้องทำรัก คือ การมีความรัก ความพอใจในงานที่จะต้องทำสามัคคี คือ การร่วมกันทำงานด้วยความจริงใจอย่างพร้อมเพรียงกัน ไม่ทะเลาะเบอะแว้ง อิจฉาริษยากัน ไม่แบ่งพรรคแบ่งพวก ทำงานนั้นเพื่อผลประโยชน์ของส่วนรวมอย่างแท้จริง ไม่หวังผลประโยชน์ตอบแทน เพื่อเข้าพกเข้าห่อของตน หรือญาติมิตรพรรคพวกของตนท้ายสุดนี้ใกล้จะถึงวันปีใหม่แล้ว ขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย ช่วยปกป้องคุ้มครองอาจารย์และทีมงานให้มีพลานามัยสมบูรณ์    สมบัติเพิ่มพูนทวีผล   อุปสรรคผ่านไปไม่อับจน  มีความสุขล้นปีใหม่เทอญ 

 

การเรียน อ.จิระ หงส์ลดรมณ์
 จากการที่ได้เรียนกับอาจารย์ นับว่ามีประโยชน์ต่อตัวดิฉันเป็นอย่างมากเพราะทำให้มีกำลังใจในการทำงาน
เพิ่มขีดความสามารถในการทำงาน ใฝ่รู้เรื่องโลกาภิวัฒน์ เพราะทุกสิ่งมีผลกระทบกับตัวเรา
 ก่อนที่จะพัฒนาคนอื่นต้องเริ่มพัฒนาที่ตัวเราเองก่อน เราต้องเป็นผู้นำที่ดี มีความคิดริเริ่ม มองนอกกรอบ
ทฤษฎี 4L ของอาจารย์มีความสำคัญมาก นอกจากเราได้รับความรู้เองแล้วยังมีโอกาสสร้างความรู้ให้แก่องค์กรอีก เพื่อ
พัฒนาบุคคลอื่นอีกต่อ ๆ ไป
 สังคมมนุษย์เป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ การแข่งขัน แต่ต้องมีความสามัคคีกัน ช่วยเหลือกัน ต้องทำงานเป็น
TEAM WORK จะประสบผลสำเร็จ
 ขอขอบคุณอาจารย์ที่ถ่ายทอดความรู้และแนะแนวทางให้ดิฉันได้ปฏิบัติตัวต่อไป ดิฉันจะหมั่นฝึกฝนอย่าง
ต่อเนื่อง และต้องขอขอบคุณประธานบริษัทคือคุณโมต้า ที่กรุณาให้มีหลักสูตรการเรียนรู้ที่มีประโยชน์นับว่าเป็นเกียรติ
อย่างสูงที่ท่านทูตพลเดช ได้ส่งข้อความเยี่ยมเยียน BLOCK ของเรา
     ขอขอบคุณทุกท่านมากค่ะ
กราบเรียนอาจารย์ จีระ หงส์ลดารมภ์ ดิฉันเฉลิม ชอบเจริญ ขอตอบการบ้านของอาจารยํ จากการที่ได้เรียนและอบรมกับอาจารย์ในเรื่ององศ์แห่งการเรียนรู้ เมื่อว้นที่ 20 พฦศจิกายน 2550 องศ์กรแห่งการเรียนรู้นั้นมีความจําเป็นอย่างมากฃึ่งสามารถทําให้องศ์กรนั้นเปลี่ยนนิสัยบุคลากรให้เป็นคนที่ใฝ่ศึกษาหาความรู้ด้วยตนเองมากยิ่งขึ้นสามารถพัฒนาตนเองให้ทันต่อเหตุการณ์ต่างๆ ในยุคโลกาพิวัฒน์ได้ จึงเป็นประโยชน์ที่สำศัญที่จะนำไปสู่สังคมแห่งการเรียนรู้ดังนั้นองศ์กรต่างๆ ต้องมีการเรียนรู้ตลอดเวลาเพื่อจะสามารถปรับตัวเพื่อความอยู่รอดขององศ์กรนั้น และขอบคุณโลเฮีย คุณโมต้า ที่เปิดโอกาสให้พวกเราทุกคนได้มีความรู้เกี่ยวกับเรื่อง KPD ตลอดจนผู้บริหารชาวไทยทุกคนที่สนับสนุนให้เรามีความรู้ในเรื่องการเรียนภาษาอังกฤษ เรียน QCC จนสามารถนําความรู้ต่างๆ มาใช้ในการทํางานของพวกเราได้ สุดท้ายขอขอบคุณพลเดช วรฉัตรที่เข้ามาชมของพวกเราชาวอินโดรามา
สวัสดีอาจารย์จีระ ที่เคารพ ดิฉันวราภรณ์ ระวิงทอง ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณ คุณโลเฮีย คุณบัคชี คุณโมต้า และท่านผู้บริหารอีกหลายๆ ท่านที่กรุราให้มีการจัดกิจกรรมในครั้งนี้ เพราะทุกคนที่ร่วมโครงการมีการพัฒนาการที่ดีขึ้นในหลายๆด้าน คือมีความคิดริเริ่ม และมีความคิดสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ เข้ามาพัฒนาในองค์กรของเรา นอกจากองค์กรแล้วเรายังสามารถที่จะนำไปใช้ที่บ้านสอนลูกหลานและในชุมชนของเราอีกก็ได้ในอีกทางหนึ่ง โดยเฉพาะที่อาจารย์จีระ สอนเรื่องโลกาภิวัตน์ เพื่อจะช่วยพัฒนาเศรษฐกิจให้ก้าวหน้าทันต่อยุคโลกาภิวัตน์ ให้สมดุลและพร้อมต่อการรองรับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วกว้างขวางทั้งด้านวัตถุสังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรมจากโลกภายนอกได้เป็นอย่างดี อีกท่านหนึ่งที่ดิฉันขอขอบคุณมากคือคุณพลเดช วรฉัตร ที่ท่านเข้ามาเยี่ยมชมที่บล็อก ของ Indorama พวกเรารู้สึกเป็นเกียรติมากที่ท่านให้ความสำคัญกับพวกเรา
เรียนท่านศ.ดร. จีระ หงส์ลดารมภ์ ดิฉันนางสำลี ธูปหอม สมาชิกกลุ่มเค.พี.ดี.ของอินโดรามาขอตอบคำถาม ที่อาจารย์ให้ไว้เมื่อวันที่ 20.พย.2550 ที่ผ่านมานี้ว่าข้อ1.เรียนแล้วได้อะไร จากการที่ดิฉันได้เรียนกับอาจารย์มา6เดือนนั้นทำให้ดิฉันได้รับความรู้เพิ่มมากขึ้น รู้จักค้นคว้าหาความรู้ใหม่ๆเพิ่มเติมอยู่ตลอดเวลามีความกล้าแสดงออกมากขึ้น กล้าพูดกล้าคิดกล้าทำในสิ่งใหม่ๆมากขึ้นทำให้หัวหน้ามีความไว้ใจให้รับผิดชอบงาน ใหม่มากขึ้น อาจารย์ยังทำให้ดิฉันมีมุมมองที่กว้างขึ้นรู้จักวิเคราะถึงสถานณ์การที่จะ เกิดขึ้นในปัจจุบันและในอนาคตรู้ถึงผลกระทบที่จะเกิดตามมาว่าเป็นผลทางบวกหรือ ผลทางผบได้นำทฤษฎี4L’sของอาจารย์มาใช้ให้เกิดประโยชน์ในองค์กรและชุมชน ที่เราอาศัยอยู่ และยังสามารถนำหลักการคิดของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯมาใช้ ให้เกิดประโยชน์ได้คือรู้-รัก-สามัคคี รู้คือต้องมีความรู้ในงานที่ทำหรือรับผิดชอบ รักคือต้องรักในงานที่ทำอยู่ สามัคคีคือทุกคนต้องมีความสามัคคีกันจึงจะทำงานให้ สำเร็จได้ถ้านำ3คำนี้มารวมกันแล้วนำมาใช้ในองค์กรก็จะเกิดประโยชน์มากค่ะ ดิฉันและเพื่อนๆสมาชิกเค.พี.ดี.ทุกคนต้องขอขอบคุณท่านผู้บริหารทุกท่านทั้งผู้บริหาร ชาวอินเดิยและผุ้บริหารคนไทยที่ได้เปิดโอกาสให้พวกเราได้ฝึกอบรมในหลักสูตรต่างๆ เพื่อเพิ่มความรู้ให้กับตนเองทำให้มีความสามารถมากขึ้นและท่านยังได้เปิดโอกาสให้ ดิฉันได้แสดงความสามารถของตนเองออกมาว่ามีมากน้อยเพียงใดขอบคุณที่ได้สอน คอมพิวเตอร์และภาษาอังกฤษให้พวกเรามีความรู้เพิ่มมากขึ้นดิฉันจะนำความรู้ที่ได้รับ กลับมาพัฒนาตนเองและหน่วยงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นจะทำให้เกิดประโยชน์ ต่อองค์กรให้มากที่สุดและจะทำหน้าที่ ที่ได้รับมอบหมายให้ทำให้สุดความสามารถและ ดีที่สุด สุดท้ายนี้ดิฉันต้องขอขอบคุณ ท่านพลเดช วรฉัตรที่ให้ความสนใจBLOGการ เรียนรู้ของท่านอาจารย์จีระและพวกเราถ้าท่านมีสิ่งหนึ่งประการใดจะติชมพวกเราขอน้อม รับด้วยความยินดีค่ะ
สุทิน สุขประเสริฐ
เรียนท่านอาจารย์ จิระ หงส์ลดารมภ์ ผมนาย สุทิน สุขประเสริฐ ขอตอบการบ้านเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2550 ดังนี้ ก่อนอื่นผมต้องขอขอบคุณ คุณโลเฮีย และคุณโมต้า ที่ท่านได้เปิดโอกาสให้กับผมและเพื่อนๆหัวหน้างานหลายคนได้มีโอกาสในการพัฒนาความรู้ความสามารถเพื่อให้มีการพัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลา และยังสนับสนุนในการจัดทำโครงการแห่งการเรียนรู้หลายอย่าง เช่น ได้จัดให้มีการฝึกอบรม เคพีดี เพื่อให้เราได้รู้จักการพัฒนาตนเองและการทำงานเป็นทีม การเรียนด้านภาษา อังกฤษ ก็ทำให้หลายคนได้เข้าใจทางด้านภาษาเพิ่มมากขึ้น และสามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้ สำหรับการเรียนด้าน คอมพิวเตอร์ ก็ทำให้ได้นำ ไปใช้ประโยชน์ในงานได้หลายอย่าง แล้วเรายังนำมาบวกใช้กับการฝึกอบรมกิจกรรมกลุ่ม QCC ได้อีกด้วย จากที่หลายคนไม่เคยมีประสบการณ์เรื่องนี้ก็ได้มีความรู้เพิ่มมากขึ้น จึงทำให้เห็นได้ว่าการเรียนครั้งนี้ เป็นโอกาสที่ดีของหัวหน้างานหลายคนที่จะได้นำความรู้ ที่ได้รับ และความสามารถมาใช้ ปฏิบัติเพื่อให้องค์กรได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง แล้วต้องขอขอบคุณ คุณ พลเดช วรฉัตร ที่ท่านได้เข้ามาเยี่ยมชม อินโดรามา ของเรา ผมจึงขอขอบคุณมาในโอกาสนี้

สวัสดีอาจารย์และทุกท่านนะครับ

ต้องขออภัยจริงๆ ที่ไม่ได้เข้ามาทักทายเพราะบันทึกเปลี่ยนกันไวมาก ผ่านตาไปบ้าง กลับมาอีกทีก็หายไปแล้ว

เมื่อวันก่อน ผมได้มีโอกาสคุยกับผู้บริหารบริษัทยาชั้นนำชาวอินเดียท่านหนึ่ง บริษัทนี้มีสาขาที่เมืองไทยด้วย ท่านชอบเมืองไทยมาก เช่นเดียวกับคนอินเดียจำนวนมาก

คำตอบในเรื่องว่าทำไมคนอินเดียส่วนหนึ่งถึงได้เก่ง โดยเฉพาะในการค้าขายในระดับระหว่างประเทศ ท่านผุ้บริหารท่านนี้ยืนยันว่าเป็นเพราะระบบการศึกษาที่ดีที่ได้เป็นรากฐานให้ทุกคนต้องเอาตัวรอด แข่งขันกันเรียนรู้และต้องทำให้ดีที่สุด

ท่านว่าคนไทยก็เก่ง แต่มักจะอายไม่ค่อยกล้าแสดงออก โดยเฉพาะในเรื่องภาษาต่างประเทศ

การที่คนอินเดียที่เก่งมองคนไทยว่าเป็นคนเก่งเหมือนกันนั้นนับว่าเป็นเรื่องดี แสดงว่าเราก็คงมีดีจริงๆ แต่ในบางเรื่องอาจจะต้องปรับปรุงตัวเองให้สามารถแข่งขันกับชาติอื่นได้

ดังนั้นความรู้จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นครับ ในโลกยุคปัจจุบัน ที่คนที่รู้ และรู้ถูกต้องเท่านั้นที่จะได้เปรียบ

ผมชื่นชมครับที่คนไทยได้สนใจความรู้และได้มีโอกาสเรียนรู้มากขึ้น เราคงต้องกล้าที่จะออกไปสู้โลกภายนอก ในระดับระหว่างประเทศให้มากขึ้นนะครับ

อินเดียเป็นอีกพื้นที่หนึ่งที่คนไทย เช่นคนบริษัทอินโดรามานี้จะได้พัฒนาตนเองเพื่อก้าวไปสู่ระดับระหว่างประเทศได้ในอนาคต

ขอให้กำลังมา ณ ที่นี้ครับ

 

 

 

สว้สดี ท่านอาจารย์ ดร . จีระ หงส์ลดารมภ์ และทีมงานทุกท่านเรียนครั้งนี้เป็นครั้งที่ 6 ดิฉันได้รู้เกี่ยวกับองศ์กรการเรียนรู้แลกเปลี่ยนความคิดกันและกันสิ่งที่สำศ้ญการสื่อสารที่ดีต้องสนใจในความรู้อย่างต่อเนื่องต้องแสวงหาความรู้ใหม่และเรียนครั้งนี้ยังได้รู้วิธีคิดเป็นระบบคิดแบบมีเหตุผลรับฟังความคิดของผู้อื่นได้เพื่อลดปัญหาความขัดแย้งหรือการแบ่งแยกดิฉันของขอบคุณ คุณโลเฮียและคุณโมต้าที่ท่านมอบความรู้ให้กับ KPD ทั้ง 31 ท่านเพื่อนำความรู้ที่ได้มาพัฒนาองศ์กรเจริญก้าวหน้า ขอขอบคุณ คุณบัคชี ที่ท่านได้ค้นหานักพัฒนาทรัพยากรมนุษ์พันธ์แท้ที่มีความรู้ความคิดใหม่ของท่านอาจารย์ จีระ หงส์ลดารมภ์มาอบรมและมอบความรู้ให้พวกดิฉัน 31 ท่านขอขอบคุณวิรัตน์ จันทร์สืบสายและคุณดำรงที่ท่านได้มอบความรู้เกี่ยวกับการเปิด BLOG ใช้ ขอขอบคุณพลเดช วรฉัตร ที่ท่านได้ให้เกียรเข้าเยี่ยมชม BLOG ของอินโดรามาพัฒนาทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้ของ ดร. หงส์ลดารมภ์ ขอขอบคุณค่ะ ดิฉัน บุญชู เทียนชัย
นายศรายุทธ ยิ้มอยู่

         สวัสดีครับคุณวรเดช  วรฉัตร  ก่อนอื่นขอสวัสดีปีใหม่ครับ และต้องขอขอบคุณท่านอย่างสูงที่ท่านได้สละเวลาเข้ามาทักทายผู้เข้ารับการพัฒนาใน  Blog  ของ   Indorama  อีกครั้งหนึ่ง  และท่านยังได้นำประสบการณ์เกี่ยวกับการได้พบและพูดคุยกับผู้นำของบริษัทผลิตยาชั้นนำของอินเดีย  และท่านยังได้สนทนากันในเรื่องของการเรียนรู้  และวัฒนธรรมข้อแตกต่างระหว่างไทยกับอินเดียในเรื่องของการศึกษาเรียนรู้มาให้ทางเราได้รับทราบ  ซึ่งทางผู้เข้ารับการพัฒนาของ    Indorama  ทุกคนก็รู้สึกดีใจเพราะเรื่องที่ท่านได้นำมากล่าวลงใน  Blog  นั้นเป็นประโยชน์ที่สามารถช่วยกระตุ้นให้ทุกคนเกิดความรู้ความคิดใหม่ ๆ ทีเป็นประโยชน์และสามารถนำไปแก้ปัญหา หรือสร้างมูลค่าเพิ่มได้ และรักที่จะเป็นคนที่ใฝ่รู้มากขึ้น  ผมเห็นว่าเป็นโอกาสดีของทุกคนที่ได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนประสบการณ์ความรู้กับท่านครับ   และก็ต้องขอขอบคุณท่านอาจารย์จีระ   หงส์ลดารมภ์ ที่ท่านได้เปิด  Blog  นี้ให้กับผู้เข้ารับการพัฒนาของ   Indorama  เพื่อใช้ประโยชน์ในการศึกษาหาความรู้และประสบการณ์ต่าง ๆ   ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีและมีประโยชน์มากๆ ครับ

         และในโอกาสนี้ผม และทุก ๆ คนของ  Indorama  ก็ต้องขอขอบคุณ  คุณวรเดช  อีกครั้งหนึ่งที่ท่านได้กล่าวเพื่อขอที่จะเป็นกำลังใจให้กับทุก ๆ คนในโปรแกรมพัฒนาหัวหน้างานให้เป็นผู้นำอย่างมืออาชีพในครั้งนี้  และทุก ๆ คนหวังว่าคงได้มีโอกาสทักทายเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับท่านอีกในครั้งต่อ ๆ ไปครับ

                                                                                         สวัสดีครับ

                                                                                นายศรายุทธ   ยิ้มอยู่

                                                                            (   Indorama   ลพบุรี  )
สุทธินี สร้อยเสนา
กราบเรียนอาจารย์ ดร. จีระ จากการที่ได้เรียนกับอาจารย์ในครั้งที่ 6 ทำให้มีความเข้าใจในทฤษฏีการเรียนรู้ที่ถูกต้องมากขึ้น การศึกษา เรียนรู้ไม่จำเป็นต้องมาจากตำราเพียงอย่างเดียว ในปัจจุบันสามารถหาได้จากที่ไหนก็ได้ เราควรแยกประเภทข่าวสารที่ได้รับว่าเป็นข้อมูลแบบไหน สิ่งนั้นสามารถนำไปแลกเปลี่ยนกับผู้คนรอบข้างตัวเรา เพื่อเป็นการเปิดโลกทัศน์ส่วนตัว มีความฉลาดเฉียวในการโต้ตอบกับบุคคลที่สนทนาด้วย ที่สำคัญทำให้ทีความเข้าใจใน วิธีคิด หลักการคิดและหลักการทำงานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของคนไทยทุกคน        ขอขอบคุณคณะผู้บริหารที่สนับสนุนให้มีโครงการที่ดีเพื่อพัฒนาบุคคลากร                                                สุทธินี สร้อยเสนา
                  แต่ละวันที่ได้รับรู้ข่าวสารจากสื่อต่างๆ เป็นการเรียนรู้ทางหนึ่งเพียงแต่ไม่มีกฏเกณฑ์ ขั้นตอนในการเรียงลำดับก่อนหลัง จากการที่ได้รับการอบรมเพิ่มเติมทำให้เข้าใจถึงขั้นตอนต่างๆ      การเรียนรู้ของคนเราไม่ควรที่จะหยุดนิ่งอยู่กับที่ ต้องมีการหาความรู้เพิ่มเติมตลอดเวลาเพื่อที่จะนำความรู้มาโต้ตอบกับคู่สนทนาด้วยความเฉลียวฉลาด เป็นการเพิ่มมูลค่า แยกแยะประเภทของข่าวสารที่ได้รับว่าเป็นอย่างไรจากประสบการณ์ การวิเคราะห์ที่ดีมีแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ เพื่อเป็นฐานในการเรียนรู้ การเรียนรู้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใด ควรที่จะมีหลักเกณฑ์ ซึ่งสามารถศึกษาได้จากทฤษฏีต่างๆ เช่น หลักการคิด หลักการทำงาน ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ของพวกเราคนไทยทุกคนซึ่งเป็นหลักเกณฑ์ที่ง่ายต่อการนำมาปรับใช้ให้เข้ากับชีวิตประจำวันไม่ว่าจะเป็ฯเรื่องการทำงาน การใช้ชีวิตให้อยู่รอดในสังคมและการมีครอบครัวที่อบอุ่น เพื่อที่จะลดปัญหาความรุนแรงทางสังคม ความเสื่อมทางวัฒธรรมที่ดีงาม      สุดท้าย ขอขอบคุณคณะผู้บริหารที่มีโครงการอบรมเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของพนักงาน                              นายสยาม ลาภรวย

สวัสดีลูกศิษย์ที่ Indorama ทุกคนครับ

ก่อนอื่นขอส่งความสุขปีใหม่ มายังทุกคนและ ถึงแม้เราจะไม่ได้พบกันมา 2 เดือนแล้ว ก็ยังมีคนส่งการบ้าน ผ่านทาง Blog มาเสมอ ซึ่งผมดีใจมาก ที่ทุกคนเริ่มใช้ Blog กันมากขึ้น แสดงให้เห็นถึง ความตั้งใจอย่างแท้จริงและขอให้ทำต่อไป

เราคงจะพบกันในเดือนกุมภาพันธ์นี้

ฏฉฉฏฉฏฆฤ))ฆฆ)ฆ)ฆ)ฆ)ฆ)ฆ(ฟ
เกสสิณี ตรีพงศ์พันธุ์

ขอบคุงมากน่ะค้ะ

ดิฉันขอไปปรับใช้ในการเรียนและการสอบ

กราบเรียน อาจารย์ จีระ หงส์ลดารมภ์ ที่นับถือ ดิฉันวันเพ็ญ สุขประเสริฐ ที่เป็นลูกศิษย์ของบริษัทอินโดรามา ขอตอบการบ้านของอาจารย์ดังนี้ ดิฉันขอให้คะแนนตัวเองอยู่ที่ระดับ 7 ค่ะ ด้วยความนับถือ วันเพ็ญ สุขประเสริฐ
ขอกราบเรียน ดร. จีระ หงส์ลดารมภ์ ที่นับถือ ดิฉันนิภาพัฒ มิ่งมงคล ที่เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ของบริษัทอินโดรามาดิฉันขอตอบการบ้านของอาจารย์ดังนี้ ดิฉันขอให้คะแนนตัวเองอยู่ที่ระดับ 5 ค่ะ ขอบคุณค่ะ นิภาพัฒ มิ่งมงคล
กราบเรียน อาจารย์ จีระ หงส์ลดารมภ์ ที่นับถือ กระผมนายสมจิตร เรืองบุญ ที่เป็นลูกศิษย์ของบริษัทอินโดรามาผมขอตอบการบ้านของอาจารย์ดังนี้คือ ผมขอให้คะแนนตัวเองอยู่ที่ระดับ 5 ขอบคุณมากครับ สมจิตร เรืองบุญ
กราบสวัสดี อาจารย์ จีระ หงส์ลดารมภ์ ที่นับถือดิฉันรพีพร ศรีปลั่ง เป็นลูกศิษย์ของอินโดรามา จังหวัดลพบุรี ขอตอบการบ้านของอาจาร์ดังนี้คือ ดิฉันขอให้คะแนนตัวเองอยู่ที่ระดับ 5 ด้วยความนับถือ รพีพร ศรีปลั่ง
กราบเรียน อาจารย์ จีระ หงส์ลดารมภ์ ที่นับถือ ดิฉันบุญช่วย พูลทอง ที่เป็นลูกศิษย์ของบริษัทอินโดรามา ขอตอบการบ้านของอาจารย์ดังนี้ ดิฉันขอให้คะแนนตัวเองอยู่ที่ระดับ 5 ค่ะ ด้วยความนับถือ บุญช่วย พูลทอง
กราบเรียน อาจารย์ จีระ หงส์ลดารมภ์ ที่นับถือ ดิฉันบุญช่วย จงรักษ์ ที่เป็นลูกศิษย์ของบริษัทอินโดรามา ขอตอบการบ้านของอาจารย์ดังนี้ ดิฉันขอให้คะแนนตัวเองอยู่ที่ระดับ 6 ค่ะ ด้วยความนับถือ บุญช่วย จงรักษ์
กราบเรียน อาจารย์ จีระ หงส์ลดารมภ์ ที่นับถือ ดิฉันมาเรียม เหลืองอร่าม ที่เป็นลูกศิษย์ของบริษัทอินโดรามา ขอตอบการบ้านของอาจารย์ดังนี้ ดิฉันขอให้คะแนนตัวเองอยู่ที่ระดับ 6 ค่ะ ด้วยความนับถือ มาเรียม เหลืองอร่าม
กราบเรียน อาจารย์ จีระ หงส์ลดารมภ์ ที่นับถือ กระผมฉัตรเทพ ศรีห่วง ที่เป็นลูกศิษย์ของบริษัทอินโดรามา ขอตอบการบ้านของอาจารย์ดังนี้ ดิฉันขอให้คะแนนตัวเองอยู่ที่ระดับ 6 ค่ะ ด้วยความนับถือ ฉัตรเทพ ศรีห่วง
ขอแก้ไขการบ้านกราบเรียน อาจารย์ จีระ หงส์ลดารมภ์ ที่นับถือ กระผมฉัตรเทพ ศรีห่วง ที่เป็นลูกศิษย์ของบริษัทอินโดรามา ขอตอบการบ้านของอาจารย์ดังนี้ ขอให้คะแนนตัวเองอยู่ที่ระดับ 4 ด้วยความนับถือ ฉัตรเทพ ศรีห่วง
กราบเรียน อาจารย์ จีระ หงส์ลดารมภ์ ที่นับถือ กระผมวีระศักดิ์ เกษร ที่เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ที่บริษัทอินโดรามา ขอตอบการบ้านของอาจารย์ดังนี้ ขอให้คะแนนตัวเองอยู่ที่ระดับ 5 ด้วยความนับถือ วีระศักดิ์ เกษร
กราบเรียน อาจารย์ จีระ หงส์ลดารมภ์ ที่นับถือดิฉันบุญชู เทียนชัย ที่เป็นลูกศิษย์ของบริษัทอินโดรามา ขอตอบการบ้านของอาจารย์ดังนี้ ขอให้คะแนนตัวเองอยู่ที่ระดับ 5 ด้วยความนับถือ บุญชู เทียนชัย
กาญจนาพร ยุบลพันธุ์
กราบเรียน อาจารย์ จีระ หงส์ลดารมภ์ ที่นับถือดิฉัน กาญจนาพร ยุบลพันธ์ ที่เป็นลูกศิษย์ของบริษัทอินโดรามา ขอตอบการบ้านของอาจารย์ดังนี้ ขอให้คะแนนตัวเองอยู่ที่ระดับ 6 ด้วยความนับถือ กาญจนาพร ยุบลพันธ์
กราบเรียน อาจารย์ จีระ หงส์ลดารมภ์ ที่นับถือดิฉัน เฉลิม ชอบเจริญ ที่เป็นลูกศิษย์ของบริษัทอินโดรามา ขอตอบการบ้านของอาจารย์ดังนี้ ขอให้คะแนนตัวเองอยู่ที่ระดับ 5 ด้วยความนับถือ เฉลิม ชอบเจริญ
กราบเรียน อาจารย์ จีระ หงส์ลดารมภ์ ที่นับถือดิฉัน สำลี ธูปหอม ที่เป็นลูกศิษย์ของบริษัทอินโดรามา ขอตอบการบ้านของอาจารย์ดังนี้ ขอให้คะแนนตัวเองอยู่ที่ระดับ 6 ด้วยความนับถือ สำลี ธูปหอม
นายศรายุทธ ยิ้มอยู่

   

        สวัสดีครับอาจารย์  จากการได้ศึกษาในเรื่องความคิดในเชิงบวกเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 51  ที่ผ่านมา  แล้วอาจารย์ได้ให้มีการประเมินความคิดของตนเองว่ามีความคิดในเชิงบวกอยู่ที่เท่าใด  สำหรับตัวผมเองนั้นผมขอให้คะแนนความคิดของผมในเชิงบวกอยู่ที่   6   ครับ

                     สวัสดีครับ

              นายศรายุทธ   ยิ้มอยู่

 

               

 

                                                               

วิชาญ สุริยะหิรัญ
กราบเรียน อาจารย์ จีระ หงส์ลดารมภ์ ที่นับถือ กระผมนายวิชาญ สุริยหิรัญ ที่เป็นลูกศิษย์ของบริษัทอินโดรามา ขอตอบการบ้านของอาจารย์ดังนี้ ขอให้คะแนนตัวเองอยู่ที่ระดับ 5 ด้วยความนับถือ วิชาญ สุริยหิรัญ
กราบเรียน อาจารย์ จีระ หงส์ลดารมภ์ ที่นับถือ กระผมนายสยาม ลาภรวย ที่เป็นลูกศิษย์ของบริษัทอินโดรามา ขอตอบการบ้านของอาจารย์ดังนี้ ขอให้คะแนนตัวเองอยู่ที่ระดับ 6 ด้วยความนับถือ สยาม ลาภรวย
เอกสิทธิ์ สิงห์สูง
กราบเรียน อาจารย์ จีระ หงส์ลดารมภ์ ที่นับถือ กระผมนายเอกสิทธิ์ สิงห์สูง ที่เป็นลูกศิษย์ของบริษัทอินโดรามา ขอตอบการบ้านของอาจารย์ดังนี้ ขอให้คะแนนตัวเองอยู่ที่ระดับ 6 ด้วยความนับถือ เอกสิทธิ์ สิงห์สูง
สุทิน สุขประเสริฐ์
กราบเรียน อาจารย์ จีระ หงส์ลดารมภ์ ที่นับถือ กระผมนายสุทิน สุขประเสริฐ์ ที่เป็นลูกศิษย์ของบริษัทอินโดรามา ขอตอบการบ้านของอาจารย์ดังนี้ ขอให้คะแนนตัวเองอยู่ที่ระดับ 5 ด้วยความนับถือ สุทินสุขประเสริฐ์
กราบเรียน อาจารย์ จีระ หงส์ลดารมภ์ ที่นับถือ ดิฉัน วราภรณ์ ระวิงทอง ที่เป็นลูกศิษย์ของบริษัทอินโดรามา ขอตอบการบ้านของอาจารย์ดังนี้ ขอให้คะแนนตัวเองอยู่ที่ระดับ 5 ด้วยความนับถือ วราภรณ์ ระวิงทอง
กราบเรียน อาจารย์ จีระ หงส์ลดารมภ์ ที่นับถือกระผม นาย สมาน นนทบท ที่เป็นลูกศิษย์ของบริษัทอินโดรามา ขอตอบการบ้านของอาจารย์ดังนี้ ขอให้คะแนนตัวเองอยู่ที่ระดับ 7 ด้วยความนับถือ สมาน นนทบท
พิสิทธิ์ พานิชประเสริฐ
กราบเรียน อาจารย์ จีระ หงส์ลดารมภ์ ที่นับถือกระผม นาย พิสิทธิ์ พานิชประเสริฐ ที่เป็นลูกศิษย์ของบริษัทอินโดรามา ขอตอบการบ้านของอาจารย์ดังนี้ ขอให้คะแนนตัวเองอยู่ที่ระดับ 6 ด้วยความนับถือ พิสิทธิ์ พานิชประเสริฐ
กราบเรียน อาจารย์ จีระ หงส์ลดารมภ์ ที่นับถือกระผม นาย อภิชาติ ดีสุภาพ ที่เป็นลูกศิษย์ของบริษัทอินโดรามา ขอตอบการบ้านของอาจารย์ดังนี้ ขอให้คะแนนตัวเองอยู่ที่ระดับ 6 ด้วยความนับถือ อภิชาติ ดีสุภาพ
กราบเรียน อาจารย์ จีระ หงส์ลดารมภ์ ที่นับถือกระผม นาย กิตติ แก้วพงษ์ ที่เป็นลูกศิษย์ของบริษัทอินโดรามา ขอตอบการบ้านของอาจารย์ดังนี้ ขอให้คะแนนตัวเองอยู่ที่ระดับ 7 ด้วยความนับถือ กิตติ แก้วพงษ์
กราบเรียน อาจารย์ จีระ หงส์ลดารมภ์ ที่นับถือ ดิฉัน สมใจ กลัดงาม ที่เป็นลูกศิษย์ของบริษัทอินโดรามา ขอตอบการบ้านของอาจารย์ดังนี้ ขอให้คะแนนตัวเองอยู่ที่ระดับ 5 ด้วยความนับถือ สมใจ กลัดงาม

กราบเรียนท่านดร.จีระและทีมงานทุกท่าน

จากการที่ได้เข้าอบรมในหัวข้อการคิดนั้น ทำให้ได้ข้อคิดในหลายๆด้าน การคิดเชิงบวก จะทำให้เรามีแรงผลักดันทั้งภายใน และ ภายนอก ในการทำสิ่งใดๆให้ประสบความสำเร็จ คนเราถ้ามีทัศนคติเชิงบวก มากเท่าไหร่ ก็เปลี่ยนแปลงตัวเองได้รวดเร็วเท่านั้นทัศนคติ เชิงบวก จะนำมาซึ่ง การนับถือตัวเอง ทำให้เรามองโลกในแง่ดี มีความคิดที่จะมุ่งสู่ ทิศทาง ที่ต้องการ เมื่อสิ่งที่ดีๆเหล่านี้เกิดขึ้นในตัว ก็จะทำให้เราเปลี่ยนแปลงได้อย่างมาก แต่การ สร้าง ให้เรามีทัศนคติเชิงบวกนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย วิธีการที่จะสร้างให้มีทัศนคติเชิงบวก การตั้งสติที่จะสนุกกับเรื่องที่เกิดขึ้น เรียนรู้สิ่งใหม่ กล้าที่จะลองเปลี่ยน และปรับปรุงในแต่ละวัน ทำให้ดีที่สุดแล้วไม่ต้องไปมองอดีต  พบคนใหม่ๆ พูดคุยซักถาม แลกเปลี่ยนความคิด แล้วก็หมั่นตรวจสภาพร่างกายและจิตใจให้สม่ำเสมอ เมื่อทำอย่าง

นี้ไปเรื่อยๆเราก็กำลังเปลี่ยนหรือสร้างความคิดเชิงบวกมากขึ้นๆ สุดท้ายเราก็จะเป็น อย่าง ที่เราจะคิด แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น ก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ด้วยว่า เรากำลังคิดหรือทำเรื่องใด ทำให้ไม่สามารถที่จะประเมินตัวเองได้ว่า อยู่ในลำดับไหน บางเรื่องเราอาจจะอยู่ที่ลำดับมากกว่า 5 ขึ้นไป เมื่อเรื่องนั้นนำมาซิ่งการคิดในสิ่งดี ๆ(คิดเชิงบวก) แต่ถ้าหากเรากำลังมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น(คิดเชิงลบ) ความคิดของคนเราอาจจะอยู่ในลำดับต่ำกว่า 5 ก็เป็นได้

ขอบคุณค่ะ 

ยุพาพรรณ 

จากการเรียนเมื่อครั้งที่แล้ว ทำให้เราได้อะไรมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นรอบๆตัวเรา ไม่ว่าจะเป็นสภาวะเศรษฐกิจโลกในขณะนี้ เราอย่าคิดว่ามันไม่เกี่ยวอะไรกับเรา เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะต้องแก้ไข ถึงเดือนก็รับเงินเดือนไม่สนว่าเศรษฐกิจมันจะเป็นอย่างไร มันจะกระทบกระเทือนองค์กรของเราหรือไม่ สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่กระทบกับตัวเราทั้งสิ้น เราต้องเตรียมตัวรับกับสถานการณ์ที่จะเกิด เราจะทำอย่างไรหารองค์กรของเราได้รับผลกระทบเหล่านี้ สุดท้ายคือเราต้องปรับตัวให้ทันต่อเหตุการณ์อยู่ตลอดเวลา และที่จะขาดไม่ได้อย่าลีมดูแลสุขภาพตัวเองเพราะความไม่มีโรค เป็นลาภ อันประเสริฐ

มาเข้าเรื่อง 4Q กันดีกว่า ผมคิดว่าทุกคนมีเจ้า 4Q อยู่ในตัวกันทุกคน แต่อาจจะไม่ครบทุกตัว บางคนอาจจะมี 1 ตัว บางคนอาจจะมี 2 ตัว บางคนอาจจะมี 3 ตัว หรือบางคนอาจจะมี 4 ตัว เลยก็ได้ แต่ผมคิดว่าเป็นไปไม่ได้ มาเข้าใจกันดีกว่าว่า 4Q คืออะไร เริ่มตั้งแต่

IQ คือ ความฉลาดทางด้านปัญญาหรือความคิด

EQ คือ ความฉลาดในการใช้อารมณ์ หรือการควบคุมอารมณ์

AQ คือ มีความสามารถในการอดทน

MQ คือ มีจริยธรรม หรือความดี

สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่มีประโยชน์กับตัวบุคลากรเองหรือกับหน่วยงานทุกหน่วยงานทุกที่ต้องการบุคลากรที่มีสิ่งเหล่านี้อยู่ในตัว(4Q)

เพราะสิ่งเหล่านี้จะทำให้หน่วยงานหรือองค์กรนั้นๆ มีศักยภาพในทุกๆด้านดดยส่วนตัวผมคิดว่า Q ที่สำคัญที่ทุกคนจะต้องมีก็คือ IQ และ MQ คือเราต้องมีปัญญา หรือความคิด และเราต้องเป็นคนดี เมื่อสองQ มารวมกันก็จะเป็น การมีความคิดที่ทำให้เราและคนรอบข้างหรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับเราทั้งทางตรง และทางอ้อมได้รับสิ่งดีๆจากความคิดของเรา

การที่จะให้ทั้ง 4Q มีอยู่ในคนเดียวผมคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้และหาบุคลากรที่มีสิ่งเหล่านี้อยู่ในตัวตรบทั้งหมดก็หายากมาก ตัวองค์กรหรือหน่วยงานจะต้องรู้ว่าบุคลากรที่เรามีอยู่มี Q อะไรอยู่ในตัว แล้วมอบหมายงานที่มันเหมาะกับ Q ที่เขามี เราอาจจะต้องใช้ถึง 4 คน เพื่อทำงานเพียงชิ้นเดียว หรืออาจจะให้แค่ 2 คน ขึ้นอยู่กับว่างานนั้นมันมีความสำคัญต่อส่วนรวมหรือองค์กรขนาดไหน (ใช้คนให้เหมาะสมกับงาน)

เพราะคนคือทรัพยากรที่มีความสำคัญ เพราะฉะนั้นบุคลากรที่มี 4Q หรืออาจจะมีมากบ้างน้อยบ้าง แต่เชื่อว่าต้องมากันทุกคน ล้วนแล้วแต่ความสามารถที่จะสร้างประโยชน์ให้กับองค์กรนั้นๆ ทั้งสิ้น องค์กรหรือหน่วยงานใดๆ จะมีศักยภาพมากน้อยแค่ไหนขึ้นอย่กับบุคลากรทั้งสิ้น ในทางตรงกันข้ามเราก็ต้องนำความรุ้ความสามารถหรือ Q ที่เรามีออกมาใช้ให้มากที่สุด เพื่อตัวเราและหน่วยงาน เพื่อที่จะทำให้องค์กรหรือหน่วยงานมีศักยภาพมากขึ้น ในความเข้าใจของผม ส่วนมากเราจะให้ความสำคัญกับลูกค้าเป็นอันดับแรก ก็เป็นเรื่องที่ถูกต้อง แต่เราก็อย่าลืมดูแลบุคลากรของเราไปพร้อมๆกัน หากบุคลากรได้รับการดูแล จากองค์กรหรือหน่วยงาน ผมเชื่อว่าสิ่งที่บุคลากรได้รับมันก็จะย้อมกลับมาหาองค์กรหรือหน่วยงานนั้นๆ เช่นกัน เพราะบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถจะทุ่มเทความรู้ความสามารถ (4Q) ที่เขามีเพื่อที่จะทำให้องค์กรหรือหน่วยงานนั้นๆ แข็งแกร่งในทุกๆด้าน

สุดท้าย ทุกฝ่ายไม่ว่าจะเป็นองค์กรหรือบุคลากร ต้องรวมกันให้ได้เป็นหนึ่ง ไม่ว่าอุปสรรคจะใหญ่ขนาดไหน เราก็สามารถที่จะฝ่าไปได้เสมอเพราะความสามัคคี

จากการเรียนเมื่อครั้งที่แล้ว ทำให้เราได้อะไรมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นรอบๆตัวเรา ไม่ว่าจะเป็นสภาวะเศรษฐกิจโลกในขณะนี้ เราอย่าคิดว่ามันไม่เกี่ยวอะไรกับเรา เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะต้องแก้ไข ถึงเดือนก็รับเงินเดือนไม่สนว่า เศรษฐกิจมันจะเป็นอย่างไร มันจะกระทบกระเทือนองค์กรของเราหรือไม่ สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่กระทบกับตัวเราทั้งสิ้น เราต้องเตรียมตัวรับกับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น เราจะทำอย่างไรหากองค์กรของเราได้รับผลกระทบเหล่านี้ สุดท้าย คือ เราต้องปรับตัวให้ทันต่อเหตุการณ์อยู่ตลอดเวลา และที่จะขาดไม่ได้อย่าลืมดูแลสุขภาพตัวเองเพราะความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ

มาเข้าเรื่อง 4Q กันดีกว่า ผมคิดว่าทุกคนมีเจ้า 4Q อยู่ในตัวกันทุกคน แต่อาจจะไม่ครบทุกตัว บางคนอาจจะมี 1 ตัว บางคนอาจจะมี 2 ตัว บางคนอาจจะมี 3 ตัวหรือบางคนอาจจะมี 4 ตัวเลยก็ได้ แต่ผลคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ มาเข้าใจกันดีกว่าว่า 4Q คืออะไร เริ่มตั้งแต่

IQ คือ ความฉลาดทางด้านปัญญา หรือความคิด

EQ คือ ความฉลาดในการใช้อารมณ์ หรือการควบคุมอารมณ์

AQ คือ มีความสามารถในการอดทน

MQ คือ มีจริยธรรม หรือความดี

สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่มีประโยชน์ กับตัวบุคลากรเองหรือกับหน่วยงานทุกหน่วยงาน ทุกที่ต้องการบุคลากรที่มีสิ่งเหล่านี้อยู่ในตัว(4Q) เพราะสิ่งเหล่านี้จะทำให้หน่วยงานหรือองค์กรนั้นๆมีศักยภาพในทุกๆด้านโดยส่วนตัวผมคิดว่า Q ที่สำคัญที่ทุกคนจะต้องมีก็คือ IQ และ MQ คือ เราต้องมีปัญญาหรือความคิด และเราต้องเป็นคนดี เมื่อสอง Q มารวมกันก็จะเป็น การมีความคิดที่ทำให้เราและคนรอบข้างหรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับเราทั้งทางตรงและทางอ้อมได้รับสิ่งดีๆ จากความคิดของเรา

การที่จะให้ทั้ง 4Q มีอยู่ในคนๆเดียวผมคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ และหาบุคลากรที่มีสิ่งเหล่านี้อยู่ในตัวครบทั้งหมดก็หายากมาก ตัวองค์กรหรือหน่วยงานเองจะต้องรู้ว่าบุคลากรที่เรามีอยู่มี Q ที่เขามี เราอาจจะต้องใช้ถึง 4 คน เพื่อทำงานเพียงชิ้นเดียวหรืออาจใช้แค่ 2 คน ขึ้นอยู่กับว่างานนั้นมันมีความสำคัญต่อส่วนรวมหรือองค์กรขนาดไหน (ใช้คนให้เหมาะกับงาน)

เพราะคนคือทรัพยากรที่มีความสำคัญ เพราะฉะนั้นบุคลากรที่มี 4Q หรืออาจจะมีมากบ้างน้อยบ้าง แต่เชื่อว่าต้องมากันทุกคน ล้วนแล้วแต่ความสามารถที่จะสร้างประโยชน์ให้กับองค์กรนั้นๆทั้งสิ้น องค์กรหรือหน่วยงานใดๆ จะมีศักยภาพมากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับบุคลากรทั้งสิ้น ในทางตรงกันข้าม เราก็ต้องนำความรู้ความสามารถหรือ Q ที่เรามีออกมาใช้ให้มากที่สุด เพื่อตัวเราและหน่วยงาน เพื่อที่จะทำให้องค์กรหรือหน่วยงานมีศักยภาพมากขึ้น ในความเข้าใจของผมส่วนมากเราจะให้ความสำคัญกับลูกค้าเป็นอันดับแรก ก็เป็นเรื่องที่ถูกต้อง แต่เราก็อย่าลืมดูแลบุคลากรของเราไปพร้อมๆกัน หากบุคลากรได้รับการดูแล จากองค์กรหรือหน่วยงาน ผมเชื่อว่า สิ่งที่บุคลากรได้รับมันก็จะย้อนกลับมาหาองค์กรหรือหน่วยงานนั้นๆ เช่นกัน เพราะบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถจะทุ่มเทความรู้ความสามารถ (4Q) ที่เขามี เพื่อที่จะทำให้องค์กรหรือหน่วยงานนั้นๆ แข็งแกร่งในทุกๆด้าน

สุดท้าย ทุกฝ่ายไม่ว่าจะเป็นองค์กรหรือบุคลากร ต้องมารวมกันให้ได้เป็นหนึ่ง ไม่ว่าอุปสรรคจะใหญ่ขนาดไหน เราก็สามารถที่จะฝ่าไปได้เสมอเพราะความสามัคคี

วันเพ็ญ สุขประเสริฐ

กราบเรียน อาจารย์จีระ หงส์ลดารมภ์ ที่นับถือดิฉัน นางวันเพ็ญ สุขประเสริฐ ที่เป็นลูกศิษย์ของอินโดรามา ขอตอบการบ้านของอาจารย์ดังนี้คือ

ข้อที่1.เรียนแล้วได้อะไร 4 Q

ตอบ.สำหรับตัวตัวดิฉันเองนั้นปรกติเป็นคนที่มี EQ อยู่ในตัวอยู่แล้วเพราะเป็นคนที่มีอารมณ์ที่ดีชอบสนุกกับการทำงานมีนิสัยเฮฮาเข้ากับเพื่อนทุกคนได้เสมอ

บางครั้งจะเห็นเพื่อนๆมีการขัดแย้งกันบ้างแต่ตัวเรา

เองก็ต้องใช้ IQ เข้ามาช่วยเพื่อที่จะให้ทั้งสองฝ่ายนั้นตกลงกันด้วยดีเราจะต้องมีสติปัญญาคิดที่จะหาหนทางมาไกล่เกลี่ยให้ตกลงกันได้โดยหาขัอยุติที่ดีและตกลงกันได้บางครั้งดูแล้วจะเป็นไปได้ยากมากแต่ตัวของ

เราก็ต้องมี AQ เข้ามาช่วยเพื่อที่จะให้ตัวเรานั้นมีความอดทนและอดกลั้นที่จะมีความพยายามที่เพื่อจะต่อสู้เพื่อให้สิ่งทั้งหลายทั้งปวงกับเข้าสู่เหตุการณ์ปรกติเหมือนเดิมเมื่อตัวเราเองมี AQ อยู่ แล้วนั้นตัวเราจะต้องใช้ MQ นั้นควบคู่กันไปด้วยสิ่งที่ดีก็คือต้องมีจริยธรรมและมีคุณธรรมให้ติดตัวของเราเองนั้นตลอดไป

สรุปได้ว่าการเรียน 4Q ในครั้งนี้นั้นได้รู้ว่าตัวของเราเองได้ใช้ 4Q ให้เป็นประโยชน์ได้ดีจริงและได้นำมาใช้ประโยชน์ได้ดีอย่างเห็นได้ชัด

ข้อ.2การทำงานมีความสุขเกี่ยวอะไรกับ 4Q

ตอบ.อย่างแรกก็คือตัวเราเองตัองมี EQ มีอารมณ์ที่ดีการมีอารมณ์ที่แล้วนั้นก็จะมีสติปัญญามีความคิดที่ดีก็จะทำให้งานออกมาได้เห็นผลงานที่เห็นเด่นชัด

แต่ถ้าตัวเราไม่มี EQ และ IQ แล้วละก็งานที่ทำออกมาดูแล้วจะไม่ประสบความสำเร็จเพราะฉนั้นตัวเราหรือ

หลายๆคนควรจะใช้ 4Q เข้ามาประกอบกับการทำงานหรือนำมาใช้กับชีวิตประจำวันตัวเราก็จะทำให้

มีความสุขกับการทำงานของเราหรือมีความสุขกับหลายๆสิ่งต่อไป

นายเอกสิทธิ์ สิงห์สูง

        กราบเรียน อาจารย์จีระ หงส์ลดารมภ์ ที่เคารพกระผม     นายเอกสิทธิ์ สิงห์สูง ขอตอบการบ้านของอาจารย์ดังนี้คือ

ข้อที่1.เรียนแล้วได้อะไร 4 Q

           จากการเรียนเมื่อครั้งที่ผ่านมา ผมได้เรียนรู้และได้ประโยชน์อะไรมากมาย เกี่ยวกับ 4Q และสามารถนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันไม่ว่าจะเป็นที่ทำงานกับเพื่อนร่วมงานทั้งระดับหัวหน้างานและระดับพนักงาน หรือแม้แต่ครอบครัวผมก็สามารถนำมาใช้ โดยปรับตัวให้เข้ากับสภาวะแวดล้อมที่อยู่รอบข้าง ผมคิดว่าถ้าทุกคนนำ 4Q มาใช้ในชีวิตประจำ ทุกคนก็สามารถที่จะประสบความสำเร็จได้ไม่ว่าหน้าที่การงานหรือแม้แต่ชีวิตครอบครัว ไม่มีใครที่จะมี 4Q ได้ครบทุกคน ถึงแม้จะมี IQ คือ ความฉลาดทางด้านปัญญา หรือความคิด แต่ถ้าไม่มี EQ คือ ความฉลาดในการใช้อารมณ์ หรือการควบคุมอารมณ์ , AQ คือ มีความสามารถในการอดทน และ MQ คือ มีจริยธรรม หรือความดี ก็จะไม่สามารถประสบความสำเร็จในชีวิตได้ ทุกอย่างต้องประกอบกัน แล้วแต่ว่าแต่ละคนจะมีมากน้อยเท่าใด แต่ละคนจะมีภาวะไม่เท่ากันแน่นอน บางคนอาจมีมาก บางคนอาจมีน้อย แต่ทุกคนสามารถที่จะค่อย ๆ ปรับตัวไปได้ หน่วยงานก็เช่นกันบุคลากรทุกหน่วยมีความสำคัญเท่ากัน ถ้าทุกคนในหน่วยงานต่างนำ 4Q มาใช้ ผมคิดว่าหน่วยงานนั้นต้องประสบความสำเร็จและฝ่าฟันอุปสรรคไปได้อย่างแน่นอน

ข้อ.2 การทำงานมีความสุขเกี่ยวอะไรกับ 4Q

ผมคิดว่าการทำงานให้มีความสุขนั้นเกี่ยวข้องกับ 4Q เพราะว่าถ้าเรามีสติปัญญา ก็สามารถที่จะควบคุมอารมณ์ มีความอดทน และมีจริยธรรม เราก็สามารถที่จะแก้ไขปัญหาและสามารถผ่านพ้นอุปสรรคไปได้ด้วยดี สามารถกับเพื่อนร่วมงานได้ทุกระดับ ผมคิดว่าสิ่งประกอบเหล่านี้คือความสุขในการทำงานอย่างแท้จริง

นางนิภาพัฒ มิ่งมงคล

กราบเรียนท่าน อาจารย์ จีระ หงส์ลดารมภ์ ดิฉัน นางนิภาพัฒ มิ่งมงคล ขอตอบการบ้านอาจารย์ เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2551 ดังนี้ ข้อ1 ขอตอบว่า ดิฉันเองได้ความรู้จากการเรียนในครั้งนี้มากเลยนอกจากจะรู้เรื่องเกี่ยวกับ IQ , EQ , AQ และ MQ แล้วอาจารย์ยังสอนเรื่องการใช้เงินอย่างประหยัด เรื่องที่อาจารย์สอนในครั้งนี้ก็คือการที่เราจะทำอะไรก็แล้วแต่จะต้องมีการคิดให้ถี่ถ้วน IQ คือความฉลาดทางปัญญา ซึ่งในแต่ละคนก็มีความฉลาดทางปัญญาไม่เท่ากันบางคนอาจจะมีมาก แต่บางคนก็อาจจะมีน้อยขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมรอบตัวเรา ดิฉันคิดว่าการศึกษาก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ คนมี IQ ที่พัฒนาและดีขึ้นสามารถใช้ความคิดอย่างฉลาดก่อนที่จะตัดสินใจทำอะไรต่อไป ตัวต่อไปก็คือ EQ ซึ่งขาดไม่ได้เลย เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับทางด้านอารมณ์ คนทุกคนล้วนแต่มีอารมณ์ด้วยกันทั้งนั้น ซึ่งอารมณ์มีอยู่ 2 ทาง คือ อารมณ์ดี และอารมณ์ที่ไม่ดี เมื่อเราอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมหรือทำงานร่วมกันเราต้องไม่เครียดจนเกินไป และต้องเอาใจเขามาใส่ใจเรา หรือควรจะมีอารมณ์ร่าเริงแจ่มใสบ้าง ถ้าเราไม่มี EQ ซะเลยคงไม่เกิดผลดีกับตัวเราและผู้อื่นแน่ๆ เพราะเราอยู่ในสังคมกับคนหมู่มาก ต้องทำงานร่วมกับผู้อื่นอยู่เสมอเราต้องระงับอารมณ์และคิดไตร่ตรองให้ดีเสียก่อนที่จะตัดสินใจทำอะไรลงไป ตัวต่อไปคือ AQ ที่ต้องรู้จักการอดทนงานใดๆก็แล้วแต่มันย่อมมีอุปสรรคต่างๆกันไป เมื่อเกิดปัญหาหรือความกดดันเราต้องใช้ AQ ให้มีประโยชน์ที่สุด และตัวสุดท้าย คือ MQ เราต้องมีจริยธรรมคุณธรรมในตัวเรา เพราะผู้ที่มีคุณธรรมจริยธรรมจะทำให้ตัวเองพบกับสิ่งดีๆ ต่อไปในชีวิต สรุปได้ว่า 4Q นี้สำคัญมาก ถ้าเราขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไป จะไม่เกิดผลดีกับตัวและงานของเราเลย และอาจจะทำให้เราไม่ประสบความสำเร็จได้

ข้อ 2 ขอตอบว่า ทั้ง 4Q นี้สำคัญทุกอย่าง เมื่อเรานำ มันมาใช้ให้เกิดประโยชน์ก็จะทำให้เรามีความสุขทั้งในหน้าที่การงาน หรือในเรื่องส่วนตัว การดำรงชีวิต การอยู่ร่วมกับผู้อื่น รวมทั้งการพัฒนาตัวเองให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และงานของเราจะประสบผลสำเร็จได้เป็นอย่างดี

นายศรายุทธ ยิ้มอยู่

       สวัสดีครับท่านอาจารย์  ในการเรียนครั้งที่ผ่านมาอาจารย์ได้นำความรู้และหลักการในเรื่อง  IQ-EQ-AQ-MQ  มาช่วยเพิ่มความรู้ในครั้งนี้  ผมคิดว่าเป็นหัวข้อเรื่องที่มีประโยชน์อย่างมากครับที่จะนำมาใช้ในหน้าที่การงานต่อไป  และการเรียนครั้งนี้ทำให้ผมได้รับทราบ ถึงความหมายของ   4Q 

         IQ    =   ความฉลาดทางด้านปัญญาหรือความคิด

           EQ    =  ความฉลาดในการใช้อารมณ์  หรือการมี  Passion  ในการทำงาน

           AQ   =  การมีความอดทน

           MQ  =   ความยุติธรรม มีจริยธรรมและมีคุณธรรม

          ทั้งความหมายของ  4Q  นี้ทำให้ผมได้มองเห็นประโยชน์ ของ  4Q  อย่างมากไม่ว่าจะเป็นในหน้าที่การงาน ของเราแล้วผมคิดว่า  ทุกคนต้องมี  4Q  ในตัวของตนเองอยู่กันทุกคน  แต่บุคคลนั้นจะมี   Q  ตัวใหนมากกว่ากัน อย่างเช่น   IQ  ทุกคนก็คงมีต้องมีกันอยู่แล้ว ในเรื่องความฉลาดทางด้านปัญญา หรือความคิด เหตุผลที่ว่าบุคคลนั้นจะนำมาใช้และแสดงออกมากน้อยเพียงใด    EQ  การใช้อารมณ์  เหตุการณ์แต่ละวันไม่มีใครสามารถที่จะทราบได้ว่าในแต่ละวันจะมีอะไรเกิดขึ้น  แต่เราสามารถทำให้เหตุการณ์นั้นๆ ผ่านไปได้โดยไม่มีปัญหา เพราะถ้าเรามี  EQ  เราก็จะมีความฉลาดในการใช้อารมณ์ในการแก้ปัญหา   AQ  ตัวนี้ก็สำคัญเพราะในหน้าที่การงานนั้นย่อมเป็นธรรมดาที่เราจะต้องมีความอดทนเพื่อให้งานของเราออกมามีคุณภาพและประสบผลสำเร็จ  และก็จะควบคู่ไปกับ  MQ  คือเราอยู่ทีใดเราก็ควรที่จะมีคุณธรรมและจริยธรรมและความยุติธรรม  ทั้ง 4Q  นี้จึงเป็นประโยชน์ที่อาจารย์ได้นำมาสอนในครั้งนี้ทำให้สามารถสำรวจตัวเองได้ว่าตัวเรายังมีความบกพร่อง ใน  Q   ตัวใหนบ้าง  และเมื่อเราทราบเราก็สามารถมาพัฒนาตัวเองให้ดียิ่งขึ้นต่อไป

          และการทำงานในแต่ละวันนั้นถ้าจะให้มีความสุขและความสำเร็จตามมา  ผมคิดว่า  4Q   นั้นมีความสำคัญอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นในเรื่อง   ความคิด   อารมณ์    ความอดทน   และความมีคุณธรรม  จริยธรรม  ความยุติธรรม  ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ล้วนแต่ มีความจำเป็นอย่างมากในหน้าที่การงาน  ดังนั้นถ้าเรามีครบทั้ง  4Q  การงานของเราในแต่ละวันนั้น   ผมคิดว่าจะทำให้เรานั้นมีความสุขกับการทำงาน และทำให้บริษัทมีความก้าวหน้ายิ่งขึ้น  และจะทำให้เราประสบผลสำเร็จในหน้าที่การงานต่อไปได้ครับ

                                                                        สวัสดีครับ

                                                              นายศรายุทธ       ยิ้มอยู่

 

เรียนท่านศ.ดร. จีระ หงส์ลดารมภ์

ดิฉันนางสำลี ธูปหอม สมาชิกกลุ่มเค.พี.ดี.ของอินโดรามาขอตอบคำถาม

ที่อาจารย์ให้ไว้เมื่อวันที่ 25.มี.ค.ที่ผ่านมานี้ว่าข้อ1.วันนี้เรียนแล้วได้อะไร

จากการเรียนในวันนี้ทำให้ดิฉันมีมุมมองใหม่ๆได้แนวคิดใหม่รู้ว่าควรจะปรับ

ตัวในการใช้จ่ายต่างๆในชีวิตประจำวันและให้มองไปถึงอนาคตข้างหน้าด้วยว่า

จะดำรงชีวิตอย่างไรถึงจะคุ้มค่าและอยู่รอดในสังคมปัจจุบันและอนาคตข้างหน้า

เศรษฐกิจของโลกจะเป็นอย่างไรมีผลกระทบกับประเทศไทยและองค์กรของเราอย่างไร บ้างเราต้องเร่งหาตลาดใหม่ๆมารองรับสินค้าของเราและต้องสร้างความน่าเชื่อถือและ

ความไว้วางใจให้กับลูกค้ามากขื้นเพราะลูกค้าเป็นคนสำคัญขององค์กรก่อนหน้านี้ดิฉัน

ไม่เคยสนใจเงินดอลล่าร์ว่ามีความหมายกับเศรษฐกิจบ้านเราอย่างไรแต่ตอนนี้เข้าใจแล้ว

ว่ามีความสำคัญมากกับประเทศของเราและเศรษฐกิจโดยทั่วโลกเกิดความผันผวนจาก

ค่าเงินดอลล่าร์ต๋ำทำให้ราคาน้ำมันแพงเกิดการเก็งกำไรกันมากของทุกอย่างจึงมีราคาแพง

2. เชื่อมโยง 4Q กับการทำงานให้มีความสุขอย่างไรสู่ HQ การทำงานในหน่วยงาน

ของเราต้องเจอกับผู้คนมากมายเราต้องใช้EQหรืออารมณ์ของเรานั้นต้องเย็นและต้องมี AQคือความอดทนสูงต่ออุปสรรคทั้งหลายที่จะเกิดขึ้นและใช้IQในการตัดสินใจทำอะไร

เราต้องคิดอย่างฉลาดและรอบคอบแล้วจึงใช้MQเป็นตัวประสานให้ทุกอย่างลงตัวแค่นี้

เราก็สามารถที่จะชนะอุปสรรคทั้งหลายได้อย่างสบายงานทุกอย่างก็สำเร็จด้วยดีและจะ มีความสุขในการทำงานในหน่วยของเรา.

กราบเรียน ท่านอาจารย์ที่เคารพ ผมนายสมจิตร เรืองบุญ ขอส่งการบ้านดังต่อไปนี้ ข้อ1 ขอตอบว่า ก่อนอื่นผมได้รู้ถึงสภาวะทางเศรษฐกิจของโลกเรามากขึ้นว่าตอนนี้ เราต้องรู้จักเรียนรู้หรือวางแผนในการดำรงชีวิตเพื่อให้อยู่รอดในสภาวะตอนนี้ อาจารย์สอนให้รู้จักการใช้จ่ายอย่างเกินตัวและกู้เงินนอกระบบมาใช้และรู้ถึงผลกระทบต่อ INDORAMA ทั้งภายนอกและภายในว่ากระทบทางด้านใดบ้าง โดยเฉพาะทางบริษัทต้องมาปรับปรุงทางด้านต่างๆ ให้ดีขึ้น เพื่อทางบริษัทต้องมาปรับปรุงทางด้านต่างๆ ให้ดีขึ้น เพื่อทางบริษัทจะได้อยู่รอดรอด โดยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับทรัพยากร เสริมสร้างความไว้ใจความเชื่อมั่น และความภักดีจากลูกค้าของเราและเพิ่มผลประโยชน์ให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย โดยเฉพาะการเรียนรู้เรื่อง 4Q ผมจะเน้น EQ มากคือ ถ้าในบริษัท INDORAMA มีตัวนี้อยู่ในจิตใจทุกคน ผมเชื่อว่าการทำงานในหน่วยงานต่างๆ จะต้องมีผลงานออกมา มีประสิทธิภาพมาก เช่น เข้ามาทำงานมีอารมณ์หรือจิตใจ แจ่มใส ไม่ว่า Q ตัวไหนก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น แต่ถ้าเข้ามาทำงาน อารมณ์ไม่ดี หรือเครียดจากอะไรสักอย่าง วันนั้นก็จะไม่มี Q ตัวไหนเลยหรืออาจทำให้งานเสียหายอีก

ข้อ 2 ขอตอบว่า ผมขอนำเอา EQ เป็นอันดับแรกคือ จะมีตัวนี้อยู่ในตัวเราทุกคน การรู้จักควบคุมอารมณ์ให้สนุกไปกับการทำงานและหน้าที่ตัวเรารับผิดชอบอยู่ รวมไปถึงเพื่อนร่วมงานที่ทำอยู่ด้วยกัน บรรยากาศ ในการทำงานอะไรก็ดีไปหมด ถ้ามีตัว EQ อยู่ในใจทุกคนมันก็จะนำไปถึง Q ที่เหลือ คือ IQ ความฉลาด และสติปัญญา ก็จะเกิดขึ้นมาเองเพราะในการทำงานสภาวะแวดล้อมดี จิตใจไม่เครียดก็จะส่งผลไปถึง AQ คือ จะมองโลกในแง่ดีไปหมด จะช่วยเพื่อนร่วมงานทำงานกันอย่างต่อเนื่อง โดยไม่เกี่ยงการทำงานกัน ส่วน Q ตัวสุดท้ายก็จะตามมา คือ MQ ตัวนี้ก็คือหัวใจใหญ่เหมือนกัน ถ้าในหน่วยงานใดไม่มีความยุติธรรมให้แก่ทุกคน หน่วยงานนั้นก็จะเกิดการแบ่งแยกเป็นหลายฝ่าย หน่วยงานนั้นจะเกิดการแบ่งแยกเป็นหลายฝ่าย หน่วยงานนั้นจะทำงานออกมาผิดพลาด คือ มีชิ้นงานออกมาไม่มีประสิทธิภาพ เพราะฉะนั้นควรหันหน้าเข้าหากัน ปรึกษาหารือกัน โดยไม่ลำเอียงข้างใดข้างหนึ่ง โดยองค์กรของเราก็จะอยู่ได้อย่างยิ่งใหญ่ตลอดไป

สวัสดีครับ ศ. ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ ผมนาย วิชาญ สุริยะหิรัญ ขอตอบการบ้านท่านอาจารย์ดังต่อไปนี้

ข้อที่ 1. วันนี้ทั้งวันได้อะไร สำหรับส่วนที่ได้จากการเรียนคือได้รู้จักความหมายของตัว Q ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น IQ , EQ , AQ , MQ และบุคคลใดก็ตามจะเก่งได้หรือจะประสบความสำเร็จได้ต้องมีความสามารถ ทั้ง 4Q สำหรับ IQ เราสามารถสร้างได้ตั้งแต่เด็ก คือถ้าเด็กได้รับสารอาหารครบและพอเพียงเด็กคนนั้นก็จะมีความฉลาดทางปัญญาดีไปด้วย ส่วน EQ เรียกว่าอารมณ์เราควรหมั่นฝึกหัดใช้จิตวิทยาในการคิด-พูด หรือคิดให้รอบคอบและจะต้องควบคุมอารมณ์ให้ได้ ต้องมีความอดทนอดกลั้นในยามวิกฤติไม่ควรอารมณ์ร้อน จนกระทั่งไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ จะทำให้งานที่ทำไม่ประสบความสำเร็จได้สำหรับ Q ตัวที่ 3 คือ AQ ความหมาย ความอดทนมีจิตใจที่แน่วแน่ที่จะต่อสู้กับอุปสรรค ต่าง ๆ หรือคิดเสียว่าถ้าไม่มีความศูนย์เสียก็จะไม่มีความสำเร็จ หรือถ้าทำธุรกิจ ก็ต้องยอมขาดทุนในระยะสั้นเพื่อหวังกำไรระยะยาวในอนาคตและสำหรับ Q ตัวสุดท้าย คือ MQ สำหรับต้วนี้จะต้องเน้นไปที่คนเก่งและดี มีความเป็นกลาง มีความยุติธรรม และคุณธรรม ในการที่จะเป็นผู้บังคับบัญชาในหน่วยงานที่มีผู้ใต้บังคับบัญชามาก ๆจะต้องมี MQ อยู่ในตัวสูงก็จะสามารถพาหน่วยงานไปสู่ความสำเร็จได้

ข้อ 2 เชื่อมโยงระหว่าง 4 Q แล้วได้ความสุขเกี่ยวข้องกับงานที่ทำ

สำหรับ 4 Q จะมีความสำคัญมาก เลยทีเดียวกับงานที่ทำ คือ การทำงานที่มีความสุขนั้น อารมณ์ ต้องดีก่อนแล้วปัญญาก็จะเกิด ความสำเร็จก็จะตามมา หรือแม้นว่างานจะหนักก็ต้องมีความอดทนต่อสู้เพื่อที่จะเอาชนะมันให้ได้และการทำงานที่มีความสุข ผู้บังคับบัญชาจะต้องเป็นคนที่มีความยุติธรรมมีใจเป็นกลางการทำงานก็จะมีความสุข ผลผลิตก็จะออกมาดี ก็ทำให้ผู้บริหารก็มีความสุขไปด้วย

กาญจนาพร ยุบลพันธุ์

สวัสดีค่ะท่าน อาจารย์ ดร. จีระ หงส์ลดารมภ์ ดิฉันกาญจนาพร ยุบลพันธุ์ ขอส่งการบ้านของอาจารย์ดังนี้ 1. หลังจากได้เข้าอบรมในครั้งนี้แล้วทำให้รู้ถึงปัญหาเศรษฐกิจที่ถดถอยเกิดจากหลายปัจจัย เช่น การใช้จ่ายของคนอเมริกาที่เกินตัว การเก็งกำไรในราคาน้ำมัน ราคาทอง และมีผลกระทบต่อคนไทย ทำให้สินค้าแพง เราควรปรับตัวเองให้ทันเหตุการณ์โดยการประหยัดและใช้จ่ายอย่างพอเพียงและยังได้รู้ถึงทฤษฎี 4Q 2. หลักการในการทำงานนของเราและองค์กรที่สามารถนำ 4Q ไปใช้ในการทำงานคือ IQ ต้องสร้างตั้งแต่ยังเด็กโดยการที่เด็กไม่ขาดสารอาหาร ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ และความต้องการกินของเด็ก EQ ความสำเร็จในการทำงานต้องฝึกควบคุมอารมณ์ อดทนและอดกลั้น มีสมาธิและธรรมะเพราะการทำงานต้องเจอกับคนในองค์กรที่หลากหลาย จะทำอะไรต้องคิดให้รอบคอบและการทำงานจะมีความสุข AQชีวิตต้องสู้แม้นจะเจออุปสรรคต้องอดทนและอย่าหนีงานเมื่อเจอกับงานหนักต้องรู้จักผ่อน MQ จะเป็นคนเก่งต้องมีความยุติธรรมและมีคุณธรรม เพราะในสังคมปัจจุบันนี้มีแต่แข่งขันกัน ถ้าเรานำมาปฏิบัติและนำมาใช้ในองค์กรเราก็จะทำงานอย่างมีความสุข

กราบเรียนอาจารย์ดร.จีระ ผมนายสยาม ลาภรวยจากการที่ได้เรียนกับอาจารย์ในวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2551 พอจะสรุปได้ดัวนี้

1. ครั้งนี้อาจารย์สอนให้มองภาพใหญ่เกี่ยวกับเศรษฐกิจของโลกที่กำลังเกิดปัญหาทางด้าน sub-prime โดยเฉพาะเศรษฐกิจของอเมริกา ยังไม่ดีขึ้นจึงเป็นเหตุให้หลายคนคิดว่าจะมีผลกระทบทั่วโลกอย่างรุนแรง และมีผลกระทบทางตรงต่อคนไทยมากมาย ถ้าคนไทยเข้าใจและศึกษา เราควรจะปรับตัวเองให้รู้เท่าทันสถานการณ์ต่างๆ เช่นการรู้จักประหยัด มีระเบียบในการใช้จ่าย และอาจารย์สอนให้รู้จัก 4Q ซึ่งประกอบดว้ย IQ-EQ-AQ-MQ

รู้และเข้าใจถึงความหมายของ 4Q แล้วเราสามารถนำมาปรับใช้กับชีวิตประจำวันและการทำงานำได้อย่างไร ถ้าเรามองอย่างลึกซึ้งสามารถนำมาใช้กับชีวิตประจำของเราได้ทั้งนั้น

2. ในทุกวันของการทำงานก่อนการทำงาน ถ้าเรามี EQ หรือมีอารมณ์ที่สดใสพร้อมที่จะทำงานมันก็ก่อให้เกิด IQ หรือปัญญาตามมาเอง บางครั้งการทำงานเรามักจะพบปัญหาต่างๆ ในหลายเรื่องแต่ถ้าเรามีอารมณ์ที่ดีหรือรู้จักการควบคุมอารมณ์ และใช้ปัญญาในการแก้ไขปัญหาอย่างรอบคอบก็มักจะช่วยลดความผิดพลาดในการได้อย่างมากมาย ซึ่งบ้างครั้งมีทั้ง EQ-IQ ก็อาจจะไม่เพียงพอ ซึ่งงานบางอย่างเราก็ต้องใช้ AQ หรือความอดทนเข้ามาช่วยเพราะงานบางอย่างต้องใช้เวลา การที่เรามีความอดทนก็เหมือนกับว่าเราได้พิสูจน์ตัวเองว่าเรามีความเหมาะสมกับงานนั้นหรือไม่ ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่าเราจะเป็นอย่างไรจะทำงานดีขนาดไหนแต่สิ่งที่เราไม่ควรลืมคือ MQ หรือการเป็นคนดีของสังคมเพื่อตอบแทนสิ่งดีๆคืนให้กับคนรอบข้างบ้าง

เรียน ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมณ์ ดิฉัน เฉลิม ชอบเจริญ ขอตอบการบ้านที่ท่านอาจารย์ให้ไว้วันที่ 25 มีนาคม 2551

ข้อ 1. วันนี้ทั้งวันได้อะไร ?

ได้รู้จัก 4Q คนเราทุกคนจะเก่งได้จะประสบความสำเร็จได้ ต้องมี 4Q อยู่ตลอด คือ

- IQ สร้างได้ ความยากจนทำลาย IQ ตั้งแต่เด็ก เพราขาดโภชนาการ ทำให้เด็กไทยไม่ฉลาดมีสติปัญญาที่มีไม่ดีเท่าที่ควร

- EQ ด้านอารมณ์ เราทุกคนควรฝึกการควบคุมด้านอารมณ์ มีสมาธิและมีธรรมะในยามวิกฤติหรือมีปัญหา จะทำให้ควบคุมอารมณ์อยู่

- AQ คือชีวิตต่อสู้ความอดทน เมื่อเกิดปัญหามีอุปสรรคต่าง ๆ ให้ใช้ความอดทนฟันฝ่าอุปสรรคต่าง ๆ ไปให้ได้ อย่าไปคิดในทางลบหรือทางไม่ดี ให้ปล่อยวางลงบ้าง

- MQ คนเราจะเก่งและดีได้ต้องเป็นคนที่มีความยุติธรรมและมีคุณธรรม มีความเป็นกลางในการทำงาน ไม่มีพรรคมีพวก ไม่ลำเอียงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

ข้อ 2. ทำ 4Q แล้วได้ความสุขเกี่ยวข้องกับงานที่ทำมีความสำคัญอย่างไร ?

คนเราทุกคนการที่เราจะมีความสุขได้จะต้องมีอารมณ์ที่ดี มีความสุขกับการทำงาน ไม่มีปัญหากับเพื่อนร่วมงานหรือหัวหน้างาน

สวัสดีท่าน ศ.ดร จีระ หงส์ลดารมภ์ ดิฉัน นางบุญชู เทียนชัย ขอตอบการบ้านที่ท่านอาจารย์ให้ไว้วันที่ 25 มีนาคม 2551

ข้อ 1.วันนี้ทั้งวันได้อะไรจากการเรียน ?

ได้รู้จักความหมายของคิวต่าง ๆ IQ,EQ,AQ,MQ ถ้าใครมี 4Q อยู่ในตัวไม่ว่าจะทำอะไรก็พบแต่ความสำเร็จได้

-IQ เราสามารถสร้างได้แต่เด็ก ได้รับสารอาหารครบจะมีความฉลาดปัญญาดี

-EQ ด้านอารมณ์ต้องฝึกด้านความคิดการพูด คิดให้รอบครอบ ควบคุมอารมณ์ให้ได้ ทำงานไม่ควรอารมณ์ร้อน ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ จะทำงานไม่ประสบความสำเร็จได้

-AQ มีความอดทนกับอุปสรรคต่าง ๆ หรือถ้าทำธุระกิจก็ต้องยอมขาดทุนในระยะสั้น หวังได้กำไรระยะยาว

-MQ ต้องมีความยุติธรรมกับผู้อื่น ๆ จะต้องมี MQ อยู่ในตัวสูง นำพาหน่วยงานไปสู่ความสำเร็จ

ข้อ 2.ทำ 4Q แล้วได้ความสุขเกี่ยวข้องกับงานที่ทำมีความสำคัญอย่างไร ?

ทำงานต้องมีอารมณ์ดีก่อนปัญญาก็จะเกิด หรืองานหนักก็ต้องมีความอดทนสู่เอาชนะมันให้ได้ เพราะไม่มีสิ่งใหนในโลกที่จะได้มาง่าย ๆ และการทำงานระหว่างหัวหน้ากับลูกน้อง หัวหน้าก็จะต้องมีความยุติธรรมเป็นกลางกับลูกน้องทุกคนไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เพราะสิ่งนี้จะทำให้ลูกน้องขาดความนับถือและเกิดปัญหาระหว่างหัวหน้ากับลูกน้องได้ การทำงานในแต่ละวันเราจะต้องทำงานอย่างมีความสุข ไม่ทำงานให้ร้ายใคร ผลงานหรือผลผลิตที่ทำก็จะออกมาดี

มาเรียม เหลืองอร่าม

เรียน อาจารย์ ด.ร. จีระ หงส์ลดารมภ์ ดิฉัน มาเรียม เหลืองอร่าม ขอตอบการบ้าน ของอาจารย์ดังนี้

1. วันนี้ทั้ง2. วันได้อะไร

ตอบ ได้เรียนรู้ เรื่องซับพลายที่เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เศรษฐกิจของอเมริกาถดถอยแปลว่า อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจใน

3 ไตรมาสเท่ากับ0 หรือติดลบ ปัญหาซับพลายไปบวกกับการใช้จ่ายเงินเกินตัวของอเมริกาโดยเฉพาะสงครามอิรักการขาดดุลงบประมาณของอเมริกาติดต่อกัน8ปีการขาดดุลการค้าติดต่อกันกว่า20ปีสหรัฐฯจึงเป็นประเทศที่เป็นโรคร้ายทางเศรษฐกิจเงินดอลล่าร์จึงไม่มีใครเชื่อถือเมื่อไม่มีใครเชื่อถือก็ไม่มีใครเก็บดอลล่าร์ใว้ดอลล่าร์ก็เลยตกเอาตกเอาไม่รู้จะตกไปอยู่ตรงไหนเพราะผู้นำและธนาคารกลางสหรัฐฯก็แก้ปัญหายังไม่ถูกจุดเช่นลดดอกเบี้ยลงไปอีกก็จะเกิดอาการกับดักสภาพคล่องคือไม่มีผลธนาคารบางแห่งเริ่มล้มรัฐบาลต้องเข้าไปอุ้มซึ่งทำให้มีคนพูดว่าหมองูตายเพราะงูคือเป็นประเทศที่นิยมระบบตลาดเสรีแต่ตัวเองแทรกแซงตลาดเสียเองและได้รู้และเข้าใจว่าเราต้องรู้จักประหยัดไม่ใช้เงินเกินตัวและเปลี่ยนวิกฤเป็นโอกาสในโลกปัจจุบันก็ไม่มีอะไรที่แน่นอนเรียนรู้อยู่ในโลกนี้และให้คนอื่นยอมรับมีความคิดการเรียนรู้ในทุกด้านมีพื้นฐานและปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ด้วยและต้องปรับอารมณ์ให้ดีตลอดไม่อารมณ์ร้อนต้องเรียนรู้ในการอยู่ในสังคมได้เราต้องรู้จักอดทนในการกระทำเราต้องเป็นคนดีด้วยความฉลาดทางปัญญาสอนให้มีทุนทางปัญญาเราต้องบริหารความอดทนให้ดีอดทนอดกลั้นมีการวางแผนเราต้องมีศีลธรรมมีความยุติธรรมและมีคุณธรรมคือเน้นคนเก่งและดีมีความยุติธรรมและมีคุณธรรมเมืองไทยต้องปกครองด้วยความเป็นธรรม

2 เชื่อมโยงระหว่าง 4 Q กับความสุขมีความสุขในการทำงานเกี่ยวข้องอะไรกับ 4Q

4 Q แปลว่า จะเก่งได้จะประสบความสำเร็จได้ต้องมีทั้ง 4 เรื่องใช้หลักการสร้าง มูลค่า อารมณ์ สุนทรี มีความสนุกมีความจริงใจใช้จิตวิทยาในการคิดการพูด คือ คิดให้รอบคอบในหน่วยงานที่รับผิดชอบเพิ่มประสิทธิภาพ ของพนักงานเสริมสร้างอารมณ์สร้างความไว้ใจความเชื่อมันเพิ่มผลประโยชน์ให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องกับทุกฝ่าย และต้องศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับอุปนิสัย ของแต่ละคนว่าถนัดอะไร และเหมาะสมกับเขาหรือไม่ และต้องรู้จักศึกษาอารมณ์ เพื่อการพัฒนาคุณภาพของสินค้า ถ้าพนักงานมีอารมณ์สุนทรี และมี I Q ครบทั้ง 4 Q งานที่ได้รับหมอบหมายก็จะออกมาดีด้วย

มาเรียม เหลืองอร่าม

กราบเรียน อาจารย์จีระ หงส์ลดารมภ์ ที่นับถือดิฉัน บุญช่วย พูลทอง ได้เรียนเมื่อวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ 2551 ที่อินโดรามา ขอตอบการบ้านของอาจารย์ดังนี้คือ

ข้อที่1.เรียนแล้วได้อะไร.

ตอบ.ดิฉันได้รับความรู้บทเรียนจากความเป็นจริงที่อาจารย์นำมาสอนกับลูกศิทย์อินโดรามาได้รับรู้สถานการณ์ของโลกการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศโดยเฉพาะในสหรัฐฯเรื่อง Sub-Prime อาการเศรษฐกิจอเมริกายังไม่ดีขึ้นจึงเป็นประเทศที่มีโรคร้ายทางเศรษฐกิจเงินดอลล่าร์จึงไม่มีใครเชื่อถือก็ไม่มีใดรเก็บดอลล่าร์ไว้ดอลล่าร์ก็เลยตก

ข้อที่2.ทำ4Qแล้วได้ความสุขและเกี่ยวข้องกับงานที่ทำมีความสำคัญอย่างไร.

ตอบ.การทำงานร่วมกันในคนหมู่มากสิ่งที่สำคัญที่สุดคือIQของเราคือเราต้องใช้ความคิดและสติปัญญาที่มีมาปรับใช้กับการทำงานของเราต้องควบคุมอารมณ์ให้ดีตลอดเวลาไม่ควรอารมณ์ร้อนและต้องมีความอดทนเป็นที่ตั้งเพราะเราอยู่ตรงระหว่างกลางเราจะต้องเป็นคนที่มีคุณธรรมและจริยธรรมกับเพื่อนร่วมงาน

ขอแสดงความนับถือ

บุญช่วย พูลทอง

กราบเรียนอาจารย์จีระหงส์ลดารมภ์กระผมพนักงานบริษัทอินโดรามาได้

เข้าเรียนเมื่อวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2551จะขอส่งการบ้านอาจารย์ดังต่อไปนี้.

1.วันนี้เรียนแล้วได้อะไร.

ตอบ ได้รู้และเรียนทบทวนเรื่องเก่าทฤษฎี 5K’s และ 8K’s ฃึ่งกระผมเกือบจะลืมแล้วด้วยซ้ำต้องขอขอบคุณอาจารย์ที่กรุณาทบทวนให้

2.ทำ 4Q แล้วได้ความสุขและเกี่ยวข้องกับงานที่ทำมีความสำคัญอย่างไร.

ตอบ IQ ความคิดของกระผมมันมีไม่มากแต่อาศัยประสบการณ์และความชำนาญพอเอาตัวรอดEQการควบคุมอารมณ์นี่ซิสำคัญทั้งหัวหน้าชาวต่างชาติและเพื่อนร่วม

งานในการสั่งงานเพราะเราทำงานกับคนหมู่มากมีทั้งผิดและถูกต้องใช้ AQ ความอดทนเข้าช่วยหนักแน่นแต่นุ่มนวนสุขุมจะต้องเติมMQคุณธรรมจริยธรรมทำงานร่วมกันอย่างมีความสุข

ขอแสดงความนับถือ

ฉัตรเทพ ศรีห่วง

10/04/08

กราบเรียนอจิระ

1.จากบทเรียนที่ผ่านมา ทำให้มีความเข้าใจเรื่อง sup-prime ได้ดีขื้นเพราะเป็นปัญหาเศรษฐกิจ

ของอเมริกาทำให้เศรษฐกิจทั่วโลกกระทบกระเทือนเราต้องเตรียมรับสภาสวะความพร้อมของตัวเราด้วย

ในการทำธุรกิจต้องรู้สภาพโลกาภิวัฒน์ ต้องทันเหตุการณ์อยู่เสมอ เพราะมีผลกระทบต่อตัวเรา ต้องเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาสเพราะเศรษฐกิจไม่มีความแน่นอน

นอกจากต้องรู้เรื่องโลกาภิวัฒน์แล้ว ยังต้องเน้นคุณภาพ ของสินค้า และต้องมองความสำคัญของลูกค้าด้วยเพราะธุรกิจจะอยู่ได้ด้วยการมีลูกค้า และการซื้อสินค้าของลูกค้าขื้นอยู่กับความพอใจเราต้องมี E.Q.ประกอบด้วย เช่นการมีน้ำใจ ใหัเกียรติลูกค้า มีความจริงใจ ซื่อสัตย์ต่อลูกค้า มีความจริงใจไม่เอาเปรียบลูกค้ารับฟังความคิดเห็นของลูกค้า ทำให้ลูกค้าพอใจ มีความสุขทั้งสองฝ่าย WIN:WIN และทำไห้ลูกค้าเกิด

ความเชื่อมั่น เป็นลูกค้าของเราตลอดไป

2.การที่จะประสบความสำเร็จได้ ต้องมี ทั้ง 4 Q.

- I.Q. INTELLIGENCE QUOTENT

I.Q. คือความฉลาดที่มีมาตั้งแต่เกิด แต่ไม่ใช่พรสวรรค์ สามารถมีได้ ถ้ามีความพยายาม มีการสะสมความใฝ่รู้ ความจำ ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ต้องฝึกคิดให้เป็น แต่การเรียนรู้ของคนไทย ชอบใช้ความจำ

-E.Q. EMOTIPNAL QUOTIENT

E.Q.คือการมีอารมณ์ดีสามารถควบคุมอารมณ์ได้การฝึกควบคุมอารมณ์เช่นการนั่งสมาธิรู้จัก ถนอมน้ำใจผู้อื่น

-A.Q. ADVERSITY QUOTIENT

A.Q.คือการอดทน การทีความเป็นอยู่อาจไม่ราบรื่น ต้องมีความอดทนไม่มองผู้อื่นในแง่ราย คิดเสมอว่าไม่มีสิ่งใดที่แก้ไขไม่ได้ ไม่ต้องกังวล จนเกินไป ต้องมุมานะทำงานให้สำเร็จ อาจจะหนักในวันนี้ แต่เพื่ออนาคต “ ชีวิตต้องสู้ “

-M.Q.MORAL QUOTIENT

M.Q.คือความยุติธรรมคนเราจะเก่งอย่างเดียว ยังไม่ดีพอ ต้องเป็นทั้งคนเก่งและคนดี

ดังนั้น ชีวิตี่ประสบความสำเร็จได้ต้องมีทั้ง 4Q.

ขอขอบคุณอ.จิระที่กรุณาแนะแนว

รพีพร ศรีปลั่ง

บ.อินโดรามา

กราบเรียนท่านอาจารย์ ดร.จิระ และทีมงานทุกท่าน

สำหรับหัวข้อบทเรียนที่ได้รับในวันนัี้ นับว่ามีประโยชน์มาก เพราะว่าเป็นสิ่งที่มีอยู่

ในตัวเองของทุกคน เพราะทั้ง ไอคิวและอีคิวที่สิ่งที่ได้รับมาตั้งแต่เกิดจากครรภ์มารดา ซึ่งบางคนก็มีมากบ้าง น้อยบ้าง ตามฐานะและสภาพแวดล้อมของแต่ละคนไป บางคนอาจจะมีไอคิวน้อย แต่อาจมีอีคิวสูง หรือบางคนมีอีคิวสูง แต่ไอคิวต่ำ หรือบางคนอาจจะมีทั้งสองอย่าง ก็นับว่าโชคดีมาก แต่ทั้งไอคิวและอีคิวเป็นเรื่องที่ทุกคน สามารถที่จะฝึกฝนให้เกิดกับตัวเองขึ้นได้ หากทุกคนมีความตั้งใจ มีความพยายามมากพอ และสิ่งที่ได้รับวันนี้ มีอะไรบ้าง.....

คำว่า “ไอคิว” หมายถึงระดับสติปัญญาหรือระดับเชาวน์ปัญญาของคน คนไอคิวดีจะเป็นคนเก่งมีสมองรับรู้ว่องไว เรียนหนังสือเก่ง ไอคิวนั้นมาจากคำภาษาอังกฤษว่า Intelligence Quotient แล้วย่อ เป็น IQ ไอคิวของมนุษย์แต่ละคนจะได้รับการถ่ายทอดมาจากพ่อและแม่ทางพันธุกรรม ฉะนั้นพ่อแม่ที่มีไอคิวสูงมักมีลูกไอคิวสูงด้วย แต่บางครั้งพ่อแม่ไอคิวสูงลูกอาจมีไอคิวไม่สูงได้เช่นกัน ส่วนพ่อแม่ที่มีไอคิวไม่สูงลูกจะมีไอคิวไม่สูงเหมือนพ่อแม่ แทบไม่เคยปรากฏว่าพ่อแม่ไอคิวไม่สูง แล้วมีลูกเป็นอัจฉริยะ แต่ในทางตรงข้ามพ่อแม่ที่ไอคิวไม่สูง บางครั้งอาจมีลูกปัญญาอ่อนได้จากสาเหตุบางประการ ฉะนั้น ไอคิว จึงเป็นสิ่งติดตัวลูกมาตามธรรมชาติเพราะถ่ายทอดทางพันธุกรรม และพบว่าประสบการณ์ของชีวิต การศึกษาต่าง ๆเปลี่ยนแปลงระดับไอคิวได้น้อยมาก

คำว่า “ อีคิว” เป็นคำมาจากภาษาอังกฤษว่า Emotional Quotient นั้นหมายถึงความสามารถของคนด้านอารมณ์ จิตใจและยังรวมถึงทักษะการเข้าสังคมด้วย ซึ่งที่จริงก็คือ วุฒิภาวะทางอารมณ์ หรือ ทักษะชีวิตหลายด้าน คนที่มีอีคิวสูงจะมีคุณสมบัติทั่ว ๆ ไป ดังนี้

• มีวุฒิภาวะทางอารมณ์

• มีการตัดสินใจที่ดี

• ควบคุมอารมณ์ตัวเองได้

• มีความอดกลั้น

• ไม่หุนหันพลันแล่น

• ทนความผิดหวังได้

• เข้าใจจิตใจของผู้อื่น

• เข้าใจสถานการณ์ทางสังคม

• ไม่ย่อท้อหรือยอมแพ้ง่าย ๆ

• สามารถสู้ปัญหาชีวิตได้

• ไม่ปล่อยให้ความเครียดท่วมทับความคิดไปหมดจนทำอะไรไม่ถูก

• คนที่มีอีคิวดีมักจะเป็นคนที่มีความสุขในชีวิต ในขณะที่คนมีไอคิวดีอาจมีปัญหาชีวิตมากมายได้

• คนที่มีอีคิวดี มักจะประสบความสำเร็จได้สูง ในขณะทีคนมีไอคิวก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าคนนั้นจะประสบความสำเร็จมีความสุข มีชื่อเสียงเสมอไป

4 คิว มีส่วนเกี่ยวข้อง กับความสุขในชีวิตอย่างไร

4 Q นั้นได้แก่

IQ ย่อมาจาก Intelligence Quotient หมายถึง มาตรวัดปัญญา

EQ ย่อมาจาก Emotional Quotient หมายถึง มาตรวัดความสามารถจัดการควบคุมอารมณ์

AQ ย่อมาจาก Adversity Quotient หมายถึง มาตรวัดความสามารถในการควบคุมกำกับและเอาชนะปัญหาอุปสรรคได้

MQ ย่อมาจาก Moral Quotient หมายถึง มาตรวัดระดับความมีคุณธรรมจริยธรรม ใน จิตใจ

คนที่มีเอคิวสูง หรือมีจิตใจชอบการต่อสู้ จะมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงไม่ค่อยเจ็บป่วย ถึงเจ็บป่วยก็จะฟื้นตัวเร็ว หากมีกำลังใจที่ดีและมีจิตใจแห่งการต่อสู้ ก็มีโอกาสยืดชีวิตให้ยืนยาวมากขึ้น ส่วนคนที่ขาดเอคิวหรือคนที่ต่อสู้กับความยกลำบากไม่ได้ มักรู้สึกพ่ายแพ้อยู่ตลอดเวลา เมื่อเป็นมากๆ ขึ้นก็จะกลายเป็นโรคซึมเศร้า และฆ่าตัวตายในที่สุด" คนรุ่นใหม่ "เอคิว" ต่ำ ส่งผลให้เป็นคนไม่สู้ ไม่อดทนต่ออุปสรรค และมีความท้อง่าย ปัจจุบันคนที่มีไอคิวดี มีความรอบรู้มากมายแต่เอาตัวไม่รอดเมื่อประสบปัญหาต่างๆ

คนประสบความสำเร็จต้องมีทั้งไอคิว อีคิว เอคิว และเอ็มคิว ที่่จะนำไปสู่ความสำเร็จ ต้องมี 3 สิ่ง ดี เก่ง สุข

๑. ดี เป็นการพัฒนาความพร้อม ทางอารมณ์ที่จะอยู่ร่วมกับผู้อื่น

ดี - การรู้จักอารมณ์ และการควบคุมตนเอง

ดี - การมีน้ำใจ ใส่ใจ และเข้าใจอารมณ์ผู้อื่น

ดี - การรู้ว่าอะไรถูก อะไรผิด และการยอมรับผิด

๒. เก่ง เป็นการพัฒนาความพร้อมที่จะพัฒนาตนเองไปสู่ความสำเร็จ

เก่ง - แรงจูงใจ

เก่ง - การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงและปรับตัวต่อปัญหา

เก่ง - การกล้าพูดกล้าบอกและกล้าแสดงออกอย่างเหมาะสม

๓. สุข เป็นการพัฒนาความพร้อมทางอารมณ์ของบุคคลที่ทำให้เกิดความสุข

สุข - ความพอใจ

สุข - ความอบอุ่นใจ

สุข - ความสนุกสนานร่าเริง

จะเห็นว่าคนเราในปัจจุบันจะท้อง่าย ไม่สู้ ไม่อดทน คนที่ประสบความสำเร็จเกือบทุกคนต้องผ่านอุปสรรคปัญหามากมาย และที่เขาผ่านมาได้ก็เพราะคนกลุ่มนี้มีเอคิว สิ่งที่จะทำให้คนเรามีความสามารถในการฟันฝ่าต่ออุปสรรคนั้น ต้องเริ่มจากการให้คนเราสร้างเป้าหมาย ทักษะชีวิตเพียงอย่างเดียวคงไม่พอ ต้องรู้จักที่จะมีเป้าหมายในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเรียน การงาน การใช้ชีวิตครอบครัว

ขอขอบคุณค่ะ

ยุพาพรรณ แสวงทอง

สวัสดีครับอาจารย์ ดร จีระ ที่เคารพ ผมนายกิตติ แก้วพงษ์ ครั้งนี้ส่งการบ้านของอาจารย์ช้าไปหน่อยต้องขอโทษด้วยนะครับ...ในช่วง

นี้เป็นฤดูร้อนซึ้งอากาศค่อนข้างร้อนมากไปใหนมาใหนก็ร้อน บางคน

ก็หงุดหงิด พูดจาบางครั้งอาจจะไม่ค่อยเข้าหูใคร่บางบ้างครั้งคำพูดบางคำ

ทำให้เกิดปากเสียงกัน ชึ้งขึ้นอยู่ใครจะเก็บอารมณ์ได้ดีกว่า มีความอดทน

ที่ดีกว่า มีความคิดที่ดีกว่า ก็จะไม่ค่อยจะตอบโต้สักเท่าไรโดยจะใช้ความคิด

ไตร่ตรองหาเหตุผลแล้วถึงมาคุยกันซึ้งบางครั้งทำให้ผลงานออกมาดีและ

ประสบความสำเร็จ ซึ้งมาเกี่ยวกับที่เรียนมาคือ IQ - EQ - AQ - MQ ซึ้งหน้าจะเป็นพื้นฐานที่นำไปสู่ความสำเร็จในหน้าที่การงานเหมือนกับ

ที่ผมทำงานใน INDORAMA ซึ้งติดต่อกับบุคคลหลายประเภท หรือ

หลายหน่วยงานหรือ เมื่อมีการประชุมซึ้งแต่ละท่านความคิด

อาจจะไม่เหมือนกัน อาจจะไม่ค่อยเข้าใจคำพูดของกันและกัน ซึ้ง

เราจะต้องคิดและวิเคราะห์หาคำพูดอย่างไร ที่พูดออกมาให้เข้าใจกัน ( IQ ) และเมื่อทุกคนมีความคิดต่างเสนอความคิดของตัวเองขึ้นมา เกิดการ

โต้เถียงกัน เราต้องใช้อารมณ์ควบคุม แล้วหาเหตุผลมาคุยกัน( EQ ) เมื่อบางครั้งหาเหตุผลมาคุยกันแล้วก็ยังหาข้อยุติ หรือสรุปไม่ใด้

จึงต้องใช้เวลานานในการพูดคุย จึงเกิดความเครียด อาจจะไม่ประสบ

ความสำเร็จ ถ้าบางคนไม่มีความอดทนอดกลั้น( AQ )และ ซึ้งบางคน

หรือหัวหน้างานบางท่านอาจขาดความยุติธรรมและคุณธรรม( MQ ) หรือขาดข้อใดข้อหนึ่งไปอาจไม่ประสบความสำเร็จในการติดต่องานหรือการประชุมหาข้อสรุปบางอย่าง หลังจากที่ได้เรียนครั้งนี้เกี่ยวกับ

IQ - EQ - AQ - MQ ผมหวังว่าหน้าจะเป็นแนวทางทำให้ผมไปความสำเร็จ และสุดท้ายนี้ขอให้อาจารย์รักษาสุขภาพด้วย อากาศร้อนมากเลยตอนนี้ .......ขอบคุณครับ

สุทธินี สร้อยเสนา

การเรียนในวันที่ 25/3/08 พอจะสรุปได้ดังนี้

1. จากเทปที่ศึกษากล่าวถึงการบริหานความสัมพันธภาพของลูกค้าพอจะสรุปได้ว่า ลูกค้าแบ่งได้ 2 ประเภท คือ ลูกค้าภายใน,ลูกค้าภายนอก ซึ่งจะมีความแตกต่างกันที่ลูกค้าภายนอกต้องเสียเงินในการซื้อของ แต่มีความเหมือนกันที่ว่า

1.1.1 การพูดคุยเพื่อแลกเปลี่ยนความคิด

1.1.2 ควรจะใช้ประโยชน์ร่าวมกัน,มองบรรยากาศทางด้านการตลาดร่วมกัน

1.1.3 ทำให้ลูกค้า รู้สึกมั่นคงปลอดภัย มีความเชื่อมั่น

1.1.4 ได้รับการปฏิบัติอย่างมีเกียรติ ยกย่อง

1.1.5 ความสุนทรี ความงามทางด้านจิตใจ

1.1.6 มีความกระตือลือล้น มองอนาคตร่วมกัน เพราะลูกค้ามีความสำคัญต่อธุรกิจ

1.1.7 การมองถึงผู้ที่มีส่วนได้,ส่วนเสีย ในธุรกิจนั้น ๆ

2. จากบทความที่อาจารย์เขียน สถานการณ์ปัจจุบัน มีการเปลี่ยนแปลงทุกด้านอยู่ตลอดเวลา

1.2.1 ปัจจุบันเราต้องปรับตนเองให้ทันกับสถานการณ์ต่าง ๆ เช่น เรื่องการประหยัด หันมาใช้พลังงานทดแทน วัฒนธรรมการเรียนรู้ซึ่งไม่ใช่แต่มีความรู้เพียงอย่างเดียว ต้องมีหลักในการเรียนอย่างแรกคือ

1.2.1.1 แนวความคิดของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวคือ รู้รักสามัคคี

1.2.1.2 แนวความคิดของ Peter Senge เพื่อการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้

1.2.1.3 ทฤษฎี 4 L ของอาจารย์

1.2.2 เนื่องจากเศรษฐกิจของสหรัฐถดถอยกวดขันการใช้จ่ายเงินเกินตัวของสหรัฐในสงครามอิรัก การขาดดุลงบประมาณของอเมริกา ติดต่อกันกว่า 8 ปี และการขาดดุลการค้าติดต่อกันกว่า 20 ปี ส่งผลให้คนไม่กล้าที่จะถือดอลล่าร์ไว้ในมือ เพราะดอลล่าร์มีการอ่อนค่าอยู่ ฉะนั้นในปัจจุบันไม่ว่าราคานำมันจะอยู่ที่เท่าไร อุปสงค์อุปทาน จะมากน้อยไม่สำคัญเท่ากับความน่าเชื่อมั่นของโลก/ราคา ดอลล่าร์

2. IQ ใช้เป็นใบเบิกทางเพื่อการยอมรับในสังคม มีโอกาสในการเลือกสรรค์สิ่งที่ดีแก่ตัวเองและครอบครัว IQ เป็นสิ่งที่สร้างได้

AQ จาก IQ เมื่อเป็นที่ยอมรับทางสังคม การดำรงชีวิตประสบผลสำเร็จ การต่อสู้ชีวิตเป็นไปอย่างสวยงาม แต่ผู้ที่มี IQ ไม่เป็นที่ยอมรับการต่อสู้ชีวิตดิ้นรนเพื่อความอยู๋รอดของตนเองและครอบครัวมีสูง ทำให้ไม่รู้จักที่จะปล่อยวางในชีวิตมีผลทำให้ MQ คุณธรรม จริยธรรม ในใจ ในชีวิตประจำวันเปลี่ยนแปลงไปแต่บางครั้งความดี ความโง่ดูเหมือนจะใกล้เคียงกัน จาก IQ AQ MQ ที่กล่าวมา EQ มีผลกระทบต่อตัวเอง ครอบครัว และสังคมรอบข้างได้อย่างมากมาย ถ้าใช้ EQ ตัดสินปัญหาต่าง ๆโดยที่ไม่ได้นึกถึง MQ สุดท้าย HQ ก็จะไม่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่วนตัว ชีวิตการทำงาน แต่ถ้าเรารู้สึกพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่แม้ว่าต้องดิ้นรนต่อสู้กับชีวิตอย่างมากมาย HQ ก็เกิดชึ้นได้

สุทธินี สร้อยเสนา

สวัสดีค่ะ อาจารย์ จิระ ที่เครพ ดิฉัน ณัฐสุดา กลัดงาม ขอส่งการบ้าน ดังนี้

ข้อ 1 เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2551 จากที่ได้เรียนกับอาจารย์ ก็ได้รับความรู้มากมายหลายอย่าง สิ่งที่รู้ก็คือเรื่องเศรฐกิจของสหรัฐ ที่อ่อนแอลง และทำให้เกิดปัญหาที่เรียกว่า SUP PRIME คือประชาชนของอเมริกาได้มีการใช้เงินกันเกินตัว และไม่สามารถนำเงินไปใช้หนี้ได้ จึงทำให้เกิดปัญหาหนี้เสีย จนแก้ใขปัญหาได้ยาก

ข้อ 2 เรื่อง IQ ,MQ ,EQ ,AQ ทำให้เรารักตัวเราเองและเข้าใจในการทำงาน พัฒนาองค์กร และมีคูณธรรม และมีจริยธรรม

สวัสดีค่ะ อาจารย์ จิระ ที่เครพ ดิฉัน วราภรณ์ ระวิงทอง ขอตอบการบ้านของอาจารย์ดังนี้ ข้อ 1 จากที่เรียนกับอาจารย์เมื่อวันที่ 25 มีนาคม ที่ผ่านมาได้ความรู้ใหม่ๆหลายอย่าง เช่น เศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาอ่อนแอ และ เศรษฐกิจถดถอย เกิดปัญหาที่เรียกว่า SUP PRIME เนื่องจากในอเมริกาเกิดการใช้จ่ายเงินเกินตัวแล้วไม่สามารถนำเงินมาใช้หนี้ได้ทำให้เกิดหนี้เสีย รวมไปถึงเรื่องอสังหาริมทรัพย์ ผู้นำและธนาคารกลางของสหรัฐก็ยังแก้ปัญหาไม่ถูกจุด ได้มีการลดดอกเบี้ยลงไปอีกจนธนาคารบางแห่งในอเมริกาเริ่มล้ม รัฐบาลต้องเข้าไปอุ้ม

นอกจากเรื่อง SUP PRIME ยังเรียนเรื่อง IQ ,MQ ,EQ ,AQ เพื่อให้เราพัฒนาองค์กรและตัวเราเองให้รู้จักทำงานเป็นขั้นตอน การทำงานเป็นทีม มีความยุติธรรมและคุณธรรม

ข้อ 2 เกี่ยวข้องกับเราก็คือให้เรามีโภชนาการตั้งแต่เด็กเพื่อให้เราคิดเป็นและเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ทำให้เราทำงานได้สำเร็จ รู้จักควบคุมอารมณ์ และ มีสมาธิรู้จักชีวิตต้องต่อสู้ เจ็บปวด คิดดีทำดีไม่เครียดจนเกินไปจนนอนไม่หลับ นอกจากจะเป็นคนดีแล้วเราต้องเก่งด้วย ในการทำงานเราต้องยึดหลักมีความยุติธรรม และคุณธรรม โลกเราถึงจะอยู่ได้อย่างสงบ และเราก็มาใช้พัฒนาบริษัทให้เจริญก้าวหน้าต่อไป

สุทิน สุขประเสริฐ

เรียน อาจารย์ จิระ ที่เครพ

ผมนายสุทิน สุขประเสริฐ ขอส่งการบ้านของอาจารย์ดังนี้

ข้อ 1 การเรียนครั้งนี้ทำให้ได้รับรู้ว่าเศรษฐกิจทั่วโลกกำลังประสบปัญหามากมายไม่ว่าจะเป็น ค่าเงินบาทแข็งตัว รวมถึงราคาน้ำมัน ราคาทองคำ ถีบตัวสูงขึ้น ฉะนั้นเราจึงต้องปรับสภาพของตัวเราเอง เกี่ยวกับการใช้จ่ายเงิน ไม่ให้ใช้จ่ายมากจนเกินตัว เพราะจะทำให้เกิดปัญหาหนี้เสีย อย่างเช่นประชากรของสหรัฐอเมริกา แล้วยังได้เรียนรู้เกี่ยวกับทฤษฎี 4Q ว่าการทำงานของเราควรจะนำ Qไหนมาใช้ก่อนหลังแล้วควรใช้อย่างไรเพื่อให้ทุกคนทำงานร่วมกันอย่างมีความสุข

ข้อ 2 การที่จะนำ 4Q มาใช้เกี่ยวข้องกับการทำงานเราควรจะคำนึงถึงว่าการที่จะทำงานให้มีความสุขหรือประสบความสำเร็จเราควรจะทำอย่างไรเช่น เราควรจะมี EQ ก่อนเพราะเราต้องควบคุมอารมณ์ของตัวเราเองให้ได้ ถ้าเรามีอารมณ์ดีก็จะนำไปสู่ IQ คือความคิดทางปัญญา แล้วเราควรมี MQ ตามมา เพื่อที่เราจะได้มีคุณธรรมและจริยะธรรมซึ่งจะนำไปสู่ AQ คือการมีความอดทนต่ออุปสรรคถ้าทุกคนปฏิบัติได้ดังนี้ก็จะทำให้มีความสุขกับการทำงาน เพื่อจะได้ใช้พัฒนาองค์กรให้ก้าวหน้าต่อไป

เรียนอาจารย์จีระ หงส์ลดารมภ์ดิฉันนางบุุญช่วย จงรักษ์ขอส่งการบ้านดั้งนี้

ตอบ ดิฉันได้รับความรู้เรื่องวซับพลายปัญหาทางด้านเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ซึ่งตอนนี้ยังไม่มีอะไรดีขึ้นมากนักสหรัฐฯจึงเป็นประเทศที่มีโรคร้ายทางด้านเศรษฐกิจ จึงทำให้สถานการณ์ทางโลกเปลี่ยนแปลงมากจึงทำให้มีผลกระทบทั่วโลกอย่างรุนแรง จึงทำให้เงินดอลล่าร์ในสหรัฐฯ ไม่มีคนเชื่อถือเท่าไรและไม่มีใครอยากเก็บเงินดอลล่าร์ไว้ ซึ่งทำให้เงินดอลล่าร์ตกลงอย่างมาก

ตอบ การทำงานกับผู้อื่นโดยเฉพาะคนส่วนมาก เราต้องมีทุนทางปัญญาหรือIQ เพราะเราต้องใช้ความคิดและสติปัญญาในการทำงาน อย่างที่สอง คือ อารมภ์หรือ EQ เพราะเราต้องเจออุปสรรค์ในการทำงานฉะนั้นเราไม่ควรใช้อารมภ์ในการตัดสินปัญญา

อย่างที่สาม คือความอดทน อดกลั้น หรือAQ เพราะเราต้องมีความอดทนในการทำงานร่วมกับผู้อื่น อย่างที่สี่ คือ คุณธรรมและจริยธรรม หรือ MQ เพราะต้องซื่อสัตย์และยุติธรรมกับงานและเพื่อนร่วมงานเสมอ

บุญช่วย จงรักษ์

ขณะที่ผม นายสมโชค เถียรอ่ำ กำลังส่ง BLOG นี้ ผมยังไม่ได้อ่าน HUMAN TALK ของอาจารย์ แต่ผมเชื่อว่าใน HUMAN TALK ต้องมีสาระที่น่าสนใจแน่นอน เพราะชื่อ ดร.จีระ รับประกันความเก๋า วันนี้ผมขอเขียนอะไรที่มันใกล้ตัวผม และอยู่ใกล้ตัวเราๆ ท่านๆ ผมมีโอกาสได้ดูละครตอนเย็นวันเสาร์และอาทิตย์ ทางช่อง 3 แต่ตอนนี้ละครจบไปแล้ว เรื่อง"อิมซังอ๊ก ยอดพ่อค้าหัวใจทรนง" ผมเห็นว่าละครเรื่องนี้มีข้อคิดอะไรมากมายที่เป็นประโยชน์ เลยเอามาเขียนให้อ่านกันพอหอมปากหอมคอ "อิมซังอ๊ก"เป็นพ่อค้าธรรมดา แต่ประสพความสำเร็จในชีวิตจนได้เป็นใหญ่เป็นโต เพราะเขามีสติปัญญา มีความซื่อสัตย์ อดทน มีความกตัญญู มีความเสียสละ เห็นประโยชน์ของส่วนรวมและประเทศชาติสำคัญกว่าประโยชน์ส่วนตัว จนสุดท้ายได้รับการแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาด้านการค้าของพระมหากษัตริย์ เงิน ทอง เขาปล่อยให้มันค่อยๆ ไหลคืนกลับสู่ผู้คนที่ยัง อดอยาก ยากไร้ โดยการสนับสนุนให้มีการประกอบอาชีพที่เหมาะสมกับภูมิประเทศนั้นๆ พร้อมกับศึกษาว่า ภูมิประเทศแบบนี้ควรหรือไม่ควรปลูกอะไร และควรจะทำอาชีพอะไร เมื่อภูมิประเทศนั้นไม่เหมาะต่อการเพาะปลูก พร้อมกับหาตลาดมารองรับ ให้ความรู้ ฝึกสอน ให้เงินสนับสนุน โดยการบริหารอย่างมีระบบ เพราะว่าการที่เรามีการบริหารจัดการที่ดี ทำให้ธุรกิจนั้นดีไปด้วยเช่นกัน หันมาดูประเทศไทย เห็นแต่คนรวยก็รวยขึ้น คนจนก็จนลง พอข้าวราคาดี ปุ๋ย ยา ก็ดันมาแพง แล้วยังงี้เมื่อไหร่ผู้ที่ประกอบอาชีพเกษตรกร หรือ ชาวนา ซึ่งเป็นอาชีพหลักของประเทศจะรวยซะที สุดท้ายคงต้องขายนา ขายไร่ ให้กับพวกนายทุนต่างชาติ เอาไปสร้างตึก สร้างงาน สร้างศูนย์การค้าใหญ่ๆ เพื่อดูดเงินคนไทย แล้วก็หอบเงินกลับประเทศ ทิ้งไว้แต่ดินเสีย น้ำเสีย แล้วเราจะไปทำอะไรกินกันล่ะที่นี้ "อิมซังอ๊ก" ช่วยด้วย

สำหรับการเรียนการสอนที่ผ่านมา เชื่อว่าทุกคนต้องได้ความรู้ อยู่ที่ว่าจะมากหรือน้อย เพราะ IQ ของแต่ละคนแตกต่างกัน โดยส่วนตัว ผมคิดว่าสิ่งหลักๆ ที่ได้น่าจะเป็นการที่เราจะต้องพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา ซึ่งพัฒนาในที่นี้ก็คือ การพัฒนาในด้านความรู้ ความคิด เพื่ออะไร เพื่อที่เราจะได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำ การเป็นผู้นำนั้นไม่ได้หมายความว่า เราจะต้องมีตำแหน่งใหญ่โต เป็นผู้จัดการ เป็นหัวหน้างาน เท่านั้น แต่ยังหมายถึง ผู้นำที่จะสามารถนำพาครอบครัวให้มีความสุข ว่าเราควรจะทำอย่างไร เราต้องรู้จักคิด การที่เราเป็นผู้นำของครอบครัวแล้วทำให้ครอบครัวมีความสุข นั่นต่างหาก คือ ผู้นำที่แท้จริง ส่วน ลาภ ยศ เงิน ทอง ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่ยั่งยืน

นางนิภาพัฒ มิ่งมงคล

กราบเรียนท่านอาจารย์ที่เคารพรักอย่างสูง ดิฉันนางนิภาพัฒ มิ่งมงคล ขอตอบการบ้านของอาจารย์ดังนี้ค่ะ ข้อ 1 ดิฉันอ่านข้อความใน BLOG ของอาจารย์แล้วรู้สึกมีความรู้มากยิ่งขึ้น จากที่เมื่อก่อนดิฉันไม่เคยที่จะเรียนรู้สิ่งที่ยากๆ หรือยากที่จะค้นหา แต่เมื่อได้อ่านแล้วดิฉันก็มีความรู้หลายเรื่องเพิ่มขึ้น บางเรื่องสามารถทำให้ดิฉันนำไปพัฒนาปรับปรุงตนเองได้เป็นอย่างดี และบางเรื่องดิฉันก็นำไปใช้กับเพื่อนร่วมงาน รวมถึงในงานของดิฉันด้วย

อาจารย์เป็นผู้รอบรู้เปรียบเสมือนนักปราชญ์ที่สั่งสอนให้ศิษย์อย่างดิฉันมีความรู้เพิ่มมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น การจัดระเบียบวินัยเรื่องการใช้เงิน ดิฉันจำได้เป็นอย่างดี และกำลังนำไปปฏิบัติอยู่ในขณะนี้ และคิดว่ายังมีอีกหลายๆอย่างที่ดิฉันเรียนรู้มาจะนำมาใช้ประโยชน์ต่อครอบครัวและตัวดิฉันเองได้เป็นอย่างดี ส่วนข้อที่ 2 ก็คือ ในการเรียนรู้มาทั้งหมด 9 ครั้ง ดิฉันได้มีพัฒนาการที่ดีขึ้นเรื่อย ตั้งแต่การเรียนรู้ขั้นพื้นฐานตั้งแต่แรกเริ่ม จนมีการเรียนรู้เพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ จนดิฉันมีพัฒนาการที่ดี มีความคิดแปลกใหม่ มองโลกได้กว้างมากกว่าเดิม และนำมาปรับใช้กับการทำงานซึ่งร่วมกับผู้อื่นได้และเข้าใจผู้อื่นมากขึ้น สามารถทำงานเป็นทีม และเข้าใจผู้อื่นมากขึ้น รวมทั้งการพัฒนาบุคลิกภาพของตนเองให้เป็นผู้นำที่ดีของลูกน้อง และเป็นลูกน้องที่ดีของหัวหน้า และเป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อนร่วมงาน ส่วนข้อสุดท้ายคือข้อที่ 3 ซึ่งดิฉันหวังและคิดเสมอว่าคงจะได้รับการสั่งสอนและเรียนรู้กับท่านอาจารย์อีกในคราวต่อไป แต่ดิฉันก็ต้องได้รับการสนับสนุนจากทางบริษัทฯและหัวหน้าของดิฉันด้วย จึงขอขอบคุณท่านอาจารย์สำหรับทุกๆสิ่งที่ให้กับตัวดิฉันมากค่ะ

วันเพ็ญ สุขประเสริฐ

กราบเรียนอาจารย์จีระหงส์ลดารมภ์ ที่นับถือดิฉันวันเพ็ญ สุขประเสริฐ ที่เป็นลูกศิษย์ของอินโดรามาขอตอบการบ้านของอาจารย์ดังนี้คือ จากที่อาจารย์ให้ดูในBLOGที่อยู่ในอินเตอร์เนต

ดิฉันรู้สึกว่าอาจารย์เป็นอีกคนหนึ่งที่มีความสามารถมากและเป็นคนที่มี IQ สูงเป็นคนที่ความฉลาดมีเทคนิคในการสอนให้บุคคลอื่นๆได้มีความรู้และมีความสามารถที่จะใช้ชีวิตอยู่กับคนทั่วไปโดย

ไม่มีปัญหาตามมาและสอนให้รู้จักการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้และอาจารย์

ยังเป็นที่เคารพรักของลูกศิษย์อีกจำนวนมากเพราะว่าได้เห็นคุณ

พลเดช วรฉัตรที่เป็นราชทูตของไทยกับอินเดีย ยังขอมาเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์จีระ หงส์ลดารมภ์ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านวิชาการได้

ข้อ 2 การเรียนมาทั้งหมด 9 ครั้งแล้วได้อะไรนั้นตัวดิฉันเองได้

รู้สึกว่าตัวเองเปลี่ยนไปคือจากที่เป็นคนมี ความรู้น้อยแต่ดิฉันใช้คำสอนของอาจารย์ที่เน้นว่าให้ใฝ่รู้ศึกษาเพิ่มเติมจึงมีความรู้และมีความมั่นใจมากขึ้นเพิ่มกว่าเดิม ได้รู้จักคิดและเป็นคนที่จะกล้าตัดสินใจในบางเรื่องได้รู้ว่าสิ่งไหนควรตัดสินใจแบบไหนบางเรื่องต้องใช้กลยุทธ์ด้วยปัญญาว่าจะแก้ปัญหาอย่างไรถึงจะตกลงกันได้ด้วยดีบางเรื่องที่แก้ปัญหาได้ก็เพราะว่า

ได้คำแนะนำและคำสอนของอาจารย์จีระ หงส์ลดารมภ์ ผู้ที่เชี่ยวชาญด้านวิชาการที่โด่งดัง

กลุ่มพวกเราที่เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์จีระได้สนุกกับการเรียนรู้สิ่งต่างๆและได้มีความรู้เพิ่มไปกว่าเดิมมาก รวมทั้งการเรียนรู้นอกสถานที่และได้รู้จักกับวัฒนธรรมต่างๆของเมืองกรุงเก่าที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาอีกด้วย หลังจากจบครอสของอินโดรามาทั้ง

10 เดือนแล้วนั้นตัวของดิฉันเองยังคงอยากที่จะเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์จีระ หงส์ลดารมภ์

ต่อไปอีก ไม่ทราบว่าทางทีมงานหรือท่านอาจารย์จะขัดข้องหรือไม่

ด้วยความนับถือเป็นอย่างสูง

วันเพ็ญ สุขประเสริฐ

กราบสวัสดีอาจารย์จีระ หงล์ลัดดารมภ์กระผมนักเรียนจากบริษัทอินโดรามาลพบุรีได้เข้าเรียนกับอาจารย์เมื่อวันที่ 18 เมษายน 51 จะขอส่งการบ้านดังนี้.

1. การเรียน 9 เดือนที่ผ่านมาได้อะไร.

ตอบ นับตั้งแต่เดือนแรกที่กระผมได้เริ่มเรียนกับอาจารย์จีระซึ่งตอนแรกนั้นกระผมยังไม่รู้แนวทางแล้วก็ไม่รู้ว่าตนเองจะรับการเรียนได้สักเท่าไดและไม่รู้อาจารย์จะสอนอะไรแรกฯเริ่มเครียดพอเริ่มเรียนไปก็รู้สึกเหมือนมีเข็มทิศนำทางเราเริ่มรู้แนวทางที่อาจารย์สอนให้และอาจารย์นำเอาหลักการการเรียนรู้จากความเป็นจริงมาสอนทุกครั้งและทันต่อเหตุการณ์เสมอจึงทำให้นักเรียนทุกคนได้รับรู้การเรียนรู้ในโลกกว้างจึงทำให้นักเรียนได้รู้และมีการพัฒนาตนเองขึ้นไปเลื่อยฯ ตามลำดับ

2. อยากทำอะไรต่อ.

ตอบ กระผมต้องขอขอบคุณอาจารย์และทีมงานทุกท่านที่มาให้ความรู้กับพนักงานบริษัทอินโดรามาเท็กซ์ไทล์(ประเทศไทย)จำกัดกระผมจะขอนำความรู้ที่ได้มาเหล่านั้นมาพัฒนาตนเองและพนักงานของบริษัทฯ ระดับปฏิบัติงานให้มีความรู้มากยิ่งขึ้นและจะนำความรู้ที่ได้มาประยุคใช้ในหน่วยงานที่กระผมรับผิดชอบเพื่อเพิ่มผลผลิตทรัพยากรมนุษย์แห่งการเรียนรู้และเพิ่มผลผลิตแก่องค์กรสืบต่อไป

ด้วยความเคารพอย่างสูง

ฉัตรเทพ ศรีห่วง

กราบเรียน อาจารย์จีระ หงส์ลดารมภ์ ที่นับถือดิฉัน บุญช่วย พูลทอง ได้เรียนเมื่อวันที่ 18 เมษายน พ.ศ 2551 ที่อินโดรามาลพบุรี ขอตอบการบ้านของอาจารย์ดังนี้คือ

1.จาก9เดือนที่ผ่านมาเรียนแล้วได้อะไร.

ตอบ ในระยะเวลาที่ได้เรียนกับอาจารย์ก่อนหน้านั้นดิฉันไม่มีความรู้ทางด้านนี้เลยและไม่นึกว่าจะมีโอกาสที่จะเรียนในช่วงของการทำงานและโอกาสนั้นก็มาถึงเมื่อท่านผู้บริหารของบริษัทได้เล็งเห็นความสำคัญที่จะเริ่มพัฒนาพนักงานระดับหัวหน้างานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นในองค์กรจึงทำให้ดิฉันมีโอกาสได้รู้จักกับอาจารย์ที่มาสอนคือ ศ.ดร. จีระ หงส์ลดารมภ์ เริ่มนำสื่อการเรียนการสอนจากบทเรียนจากความเป็นจริงมาให้เรียน ทฤษฎีต่างๆ 5 K's 8 K's IQ EQ AQ MQ และอื่นๆให้นำมาประยุคใช้กับชีวิตประจำวัน ในการทำงานได้รู้จักการทำงานเป็นทีมที่ดีขึ้นกล้าพูดและกล้าตัดสินใจที่จะแสดงออกชึ่งความคิดเห็นได้เรียนรู้และรู้จักวัฒนธรรมของชาวต่างชาติ(อินเดีย) ทางด้านเศรฐศาสตร์ทั้งไทยและต่างประเทศได้รู้การเปลื่ยนแปลงการเมืองการปกครองและรู้ภาวะการเป็นผู้นำที่ดี

2. จากนื้อยากทำอะไรต่อ.

ตอบ ประโยชน์ที่ได้จากการเรียนทั้งหมดนี้ดิฉันจะนำความรู้ที่ได้มานี้ไปต่อยอดให้กับเพื่อนร่วมงานเพื่อที่เขาจะได้มีโอกาสพัฒนายกระดับของตัวเองให้มากขึ้นและจะนำไปพัฒนาองค์กรของเราให้มีประสิทธิภาพเพิ่มผลผลิตและคุณภาพของงานให้มากที่สุดดิฉันหวังว่าเกร็ดความรู้ต่างๆที่ได้มาจะสร้างผลประโยชน์อย่างมหาศาลให้กับองค์กรเป็นอย่างมากและตลอดไปจากรุ่นสู่รุ่น

มาเรียม เหลืองอร่าม

เรียน อาจารย์ ด. ร. จีระ หงส์ลดารมภ์ ดิฉัน

มาเรียม เหลืองอร่าม ขอส่งการบ้านของอาจารย์ ดั้งนี้

ตั้งแต่ เดือนแรกที่ได้เรียนกับอาจารย์ การที่เราจะเป็นผู้นำที่ดีต้องมี EQ และ IQ และได้เรียนรู้ว่าคนอินเดียเป็นคนที่ใฝ่รู้ และชอบเรียนรู้ตลอดเวลาและดิฉันจะนำความรู้ที่ได้ไปปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตนเองและคนในองค์กรให้ไปในทางที่ดีขึ้น

เราจะต้องสร้างวัฒนธรรมแห่งการเรียนรู้

เข้าใจวิธีการเรียนรู้

สร้างบรรยากาศในการเรียนรู้

สร้างโอกาศในการเรียนรู้

สร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้

หลักสูตรนี้ดิฉันได้รับความรู้เกี่ยวกับ

ความรู้

วิธีการคิด

สังคมแห่งการเรียนรู้

เราทุกคนต้องมีทุนทางปัญญา มองสภาพแว้ดล้อมที่ดี มองภาพใหญ่ และต้องศึกษาก่อน

ได้รับความรู้ หลาย ๆ อย่าง เช่น เราต้องใฝ่รู้ตลอดเวลา เรียนรู้ตลอดเวลา และนำความรู้ที่ได้รับมาพัฒนาในกลุ่มของพนักงานให้กล้าคิด กล้าตัดสินใจ กล้าทำ สร้างให้ทุกคนคิดนอกกรอบ และเอาผลการเรียนรู้ไปสร้างมูลค่าเพิ่มให้องค์กร

และเราต้องมีทัศนคติที่เปิดกว้างเพื่อรับการเรียนรู้ใหม่ ๆ มีการสื่อสารที่ดี สนใจเรียนรู้ต่อเนื่อง รู้วิธีลดความขัดแย้งในองค์กร สร้างองค์กรให้เกิดกระแสของการเรียนรู้หาความรู้ตลอดเวลา ต่อเนื่อง และ ต่อยอด เราต้องเรียนรู้ และพัฒนาตนเองตลอดเวลา หลังที่ได้เรียนกับอาจารย์แล้ว เราต้องคิดอย่างมีเหตุผล เหตุเป็นอะไร ผลเป็นอะไร และถามตัวเองตลอดเวลาว่าได้อะไรบ้าง ต้องไม่คิดในกรอบ ต้องคิดนอกกรอบ อย่าคิดว่าตัวเองโง่ ควรคิดว่าตัวเองฉลาด เหมือน ด. ร. จีระ ที่ชอบค้นหาตลอดเวลา และรู้ให้กว้างอย่ารีบ ร้อนทำอะไรให้เป็นขั้นเป็นตอน เราต้องไม่โอเวอร์เดินสายกลาง

ข้อคิดที่ได้

การเป็นผู้นำที่ดีต้องให้คนอื่นดีด้วย

การเป็นผู้นำที่ดีต้องให้สังคมดีด้วย

ผู้นำที่ดีต้องมองภาพใหญ่ ต้องเรียนรู้การคาดการณ์อนาคต ได้รับรู้ในการมองภาพใหญ่ หรือโลกาภิวัฒน์ เงินบาทแข็งขึ้น การเป็นผู้นำที่ดีควรมองสภาพแว้ดล้อม และมองให้กว้าง เงินยูโรใช้ในยุโรป เศรฐกิจไม่เหมือนกัน เงินบาทแข็งขึ้น เพราะเราส่งออกมากขึ้น โลกาภิวัฒน์ มีการเปิดเสรีทางการค้า และปรับเปลี่ยนทางการค้า ให้ทันเหตุการณ์ อยู่เสมอ ภาพใหญ่ การเมือง ปัญหาทางภาคใต้ ก็มีปัญหาทางการค้า การลงทุน ผู้นำที่ดี ต้องกระตุ้นให้ลูกน้อง กล้าพูดสิ่งที่มีอยู่ในใจ ต้องฟังความคิดคนอื่นด้วย นำเรื่องการสนทนา และสื่อสารมารวมกัน อย่ากลัวที่จะพูด แต่ถ้าพูดแล้ว ต้องทำให้ผู้ฟังอยากฟัง ฟังแล้วไม่ลำบากใจ กล้าพูด พูดแล้วคนฟังรับได้ ต้องมีวิธีการในการพูด

มองตัวเองก่อนมองคนอื่น ทำงานเป็นทีม

ได้รับรู้การตัดสินใจ การแก้ไขปัญหา

การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ

การพัฒนาทางความคิด

แรงจูงใจในทางบวก และแรงจูงใจในทางลบ

ได้รับรู้ เรื่อง ทฤษฎี 4 L ชุมชนแห่งการเรียนรู้

4 L หมายถึง

วิธีการเรียน

บรรยากาศในการเรียน

ปะทะทางปัญญา

องค์กรแห่งการเรียนรู้

เราต้อง เรียนรู้ อยู่ในโลกนี้ และให้คนอื่นยอมรับ มีความคิด การเรียนรู้ มีพื้นฐาน และปรับใช้ ในชีวิตประจำวันได้ด้วย และต้องปรับอารมณ์ ให้ดีตลอด ไม่อารมณ์ร้อน ต้องเรียนรู้ อยู่ในสังคมให้ได้ เราต้องรู้จักอดทนในการกระทำ เราต้องเป็นคนดีด้วย ในการทำงานเราต้องมี 4 Q และมีทฤษฎีทุน 8 K s

หลังจากเดือนสุดท้าย ที่จะได้เจอ กับอาจารย์ และ จะไม่ได้เจอกับอาจารย์ อีก ดิฉันจะนำความรู้ที่ได้รับไปใช้ให้เป็นประโยชน์ให้มากที่สุด

เช่น การไหว้ การแต่งกายต้องให้สุภาพเรียบร้อย เป็นตัวอย่างที่ดี ให้คนในองค์กร เห็น และทำตาม การพูด ต้อไม่อารมณ์ร้อน ยิ้มให้เก่งขึ้น

และรู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา และจะเป็น ผู้นำที่ดี

เหมือนที่ อาจารย์สอนไว้ ขอขอบพระคุณมากค่ะ

มาเรียม เหลืองอร่าม

นายศรายุทธ ยิ้มอยู่

     จากการได้ศึกษาผ่านมาแล้ว  9  ครั้งนั้น  สิ่งที่ผมได้รับคือ ผมได้ทราบในหลาย ๆ เรื่องและสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างมากในทุก ๆ เรื่องที่อาจารย์นำมาสอน มาอบรม สามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน และในหน้าที่การงานอย่างเช่น การสื่อสาร  การสร้างทีม  การตัดสินใจ  ความคิดเชิงบวก  ความคิดเชิงสร้างสรรค์  แรงจูงใจ  การพูดในที่ชุมชน  IQ – EQ – AQ-  MQ   และทฤษฎีต่างๆ ที่อาจารย์นำมาสอนนั้น  ถ้าเรารู้จักนำมาใช้แล้ว จะทำให้เราได้เห็นประโยชน์ในเรื่องต่างๆ หรือในแต่ละทฤษฎี ที่อาจารย์ได้นำมาสอนทั้ง   9  เดือนที่ผ่านมา ถ้าเรานำมาใช้แล้วก็จะเป็นประโยชน์ต่อตัวเรา และองค์กรของเราต่อไปได้ครับ และเมื่อได้ศึกษาแล้วทำให้ผมสามารถมองเห็นได้ว่า 

-          การเรียนนั้นต้องเรียนรู้ตลอดชีวิต

-          มองเห็นความสุขและมองเห็นคุณค่าของตนเอง

-          ได้รับทราบว่าทุกอย่างจะต้องเริ่มจากการพัฒนาตนเองก่อนที่เราจะไปพัฒนาสิ่งอื่นใด

-          ความรู้ที่เรามีนั้นต้องเป็นความรู้ที่สด และสามารถนำไปสร้างมูลค่าเพิ่มได้

-          การทำงานนั้นเราไม่ควรยึดติดกับอำนาจมากเกินไป

-          ทำให้ผมได้มองเห็นความหวังดีที่บริษัท ฯ มีให้กับตัวผมและอีกหลายๆ คน

-          ทำให้พวกเราภูมใจใน  Indorama  และทราบว่าตนเองมีศักดิ์ศรีที่ได้อยู่ในบริษัท ฯ ที่มีการพัฒนาในเรื่องต่างๆ

-          ทำงานด้วยความสนุก  สามารถสร้างพฤติกรรมของคน สามารถออกความคิดได้อย่างอิสระ

-          ให้ความเคราพ ความคิดของคนไม่ปิดกั้นความคิดใดๆ ที่เกิดขึ้น และสนับสนุนความคิดเพื่อต่อยอดต่อไป

-          ให้ความสุขกับทุกคนเพื่อให้เกิดความสามัคคี และให้เกิดการทำงานเป็นทีม

จากนี้ต่อไป สิ่งที่ผมคาดหวังและจะทำต่อไปก็คือ จะตั่งใจในเรื่องของการใฝ่รู้เพิ่มให้มากขึ้น โดยการหาความรู้จากสื่อต่างๆ  อย่างเช่นในสื่อทาง  www.chiraacademy.com   ของอาจารย์ เพราะเป็นเหล่งที่รวบรวมความรู้เอาไว้อย่างมาก และใน Blog   ต่างๆ ของอาจารย์นั้นเมื่อเราเข้าไปศึกษาแล้วนั้นเราสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ในหลายๆ เรื่อง  ซึ่งถ้าจบหลักสูตรในการอบรมกับอาจารย์ในครั้งนี้แล้ว ผมก็คงต้องขอพบกับอาจารย์ผ่านทางสื่อ  Blog  ต่อไปครับ    และในหน้าที่การงานที่ตนเองรับผิดชอบผมก็จะทำงานให้ดีที่สุดเพื่อเป็นการตอบแทนบริษัทฯ  ที่ได้มีสิ่งดีๆ ในหลายๆ เรื่องให้กับตัวผม และจะช่วยพัฒนาองค์กรให้ก้าวหน้าต่อไปครับ

                                                                                  สวัสดีครับ

                                                                         นายศรายุทธ    ยิ้มอยู่

กราบเรียน อาจารย์ จิระ หงส์ระดารมย์

จากที่เรียนกับอาจารย์ ตั้งแต่เริ่มต้น

1.การมองภาพใหญ่ ต้องมองเห็นความสำคัญของงานที่ทำ มองภาพกว้างๆ ระดับประเทศ และระดับโลก รู้ทัน โลกาภิวัฒน์ เตรียมตัวรับสภาวะการเปลี่ยนแปลงของโลกตลอดเวลา ทำวิกฤตให้เป็นโอกาส

ภาวะผู้นำต้องเป็นผู้นำที่ดี มองการณ์ไกลพัฒนาคนด้วย เพราะทรัพยากรที่สำคัญทีสุดไม่ใช่เงิน สิ่งของ แต่เป็นคน

ทฤษฎีต่างๆที่น่าสนใจ เช่น

ทฤษฎี 4L การเรียนรู้ บรรยากาศการเรียนรู้ โอกาสการเรียนรู้ สร้างองค์กรแห่งการเรียนรู้

ทฤษฎีทุน ทุนมนุษย์ ทุนทางปัญญา ทุนทางจริยธรรม ทุนแห่งความสุข ทุนทางสังคม ทุนแห่งความยั่งยืน ทุนถาวร ทุนทางการเรียนรู้

ทฤษฎี 8H Heritage Head Home Happiness Hand Harmony Head Health

ทฤษฎี OBAMA Theory มีความหวัง แรงบันดาลใจ มีความตั้งใจ เอาชนะอุปสรรคให้ได้

ทฤษฎี Bono’s 6 thinking Hats

White hat คิดมีเหตุผล

Red hat คิดตามอารมณ์ ตามความรู้สึก

Black hat คิดอย่างระมัดระวัง คิดแบบอนุรักษ์นิยม

Yellow hat คิดเร็ว ไปข้างหน้า ชอบความเสี่ยง มองอะไรดีไปหมด

Green hat คิดสร้างสรรค์

Blue hat คือการมองทั้ง 5 hat แล้วนำมาวิเคราะห์

หลักในการทำงาน คิดเรื่องใหญ่ ทำเรื่องเล็ก ทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น สำรวจตัวเอง รู้จักตัวเอง ฝึกวินัยให้ตัวเอง อดทนอดกลั้น

กฎของ Peter Senge

รู้อะไรรู้ให้จริง

แบบอย่างทางความคิด

เห็นอนาคตร่วมกัน

เรียนเป็นทีม

คิดมีเหตุผล

2.หลังจากจบบทเรียนที่ผ่านมาแล้ว จะตั้งใจทำงานในหน้าที่ให้ดีที่สุด จะสนใจข่าว เตรียมรับสภาวะโลกาภิวัตน์ และจะติดตาม blog ขออาจารย์

กราบเรียน อาจารย์ จีระ หงส์ลดารมภ์ ดิฉันบุญช่วย จงรักษ์ ขอส่งการบ้านดั้งนี้

ตั้งแต่ได้เรียนกับอาจารย์์มาได้แนวคิดหลายๆ อย่างเช่น การเป็นผู้นำที่ดีต้องมี IQ และ EQ ต้องมีแนวคิดที่สร้างสรรค์์์ ต้องใฝ่รู้อยู่ตลอดเวลาเพื่อที่จะได้นำไปใช้และพัฒนาองค์กร ให้มีคุณภาพมากขึ้นไป ต้องมีทัศน์คติเปิดกว้างเพื่อรับการเรียนรู้ใหม่ๆ มีสื่อสารที่ดี สนใจเรียนรู้ต่อเนื่องรู้วิธีลดการขัดแย้งในองค์กร สร้างองค์กรให้เกิดกระแสของการเรียนรู้และหาความรู้อยู่ตลอดเวลา ได้เรียนรู้ถึงทฤษฎีี 4L ว่าถ้าเราเข้าใจวิธีการเรียนรู้ การสร้างบรรยายกาศในการเรียนรู้ การสร้างโอกาศในการเรียนรู้ และการสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้เป็นอย่างไร ถ้าเรานำ 4L มาใช้ในการทำงานจะทำให้คนเราออกมาดีและมีคุณภาพ หรือแม้กระทั้งการนำทฤษฎี 5K มาใช้ทำให้เราได้รู้ว่าทุนแห่งการสร้างสรรค์ ทุนทางความรู้ ทุนทางวัฒกรรม ทุนทางวัฒนธรรม และทุนทางอารมณ์ เราสามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้ทีเดียว รวมถึงการนำทฤษฎี 8K มาใช้ถ้าเรามีทุนมนุษย์ ทุนทางปัญญา ทุนทางจริยธรรม ทุนแห่งความสุข ทุนทางสังคม ทุนแห่งการยังยืน ทุนทางIT ทุนทางKnowledge skill และ Mindsct เราสามารถอยู่ในสังคมการทำงานได้อย่างมีความสุข การรู้รักสามัคคีก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้งานเราออกมาดีเช่นกัน คือรู้ จะทำอะไรต้องไปศึกษาให้รู้จริง รัก จะทำอะไรต้องสร้างฉันทะกับสิ่งนั้นๆ สามัคคี ทำอะไรก็ให้ทำงานเป็นทีม ร่วมมือร่วมใจกันทำให้มีประสิทธิภาพ

หลังจากที่ได้เรียนกับอาจารย์มา 9เดือนดิฉันได้รับความรู้หลายๆ เช่น การเป็นผู้นำที่ดีการใฝ่รู้อยู่ตลอดเวลาการนำความคิดสร้างสรรค์ไปพัฒนาองค์กร การรู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา การแต่งกายให้สุขภาพดูดีเหมาะแก่การเป็นผู้นำ รู้จักการตัดสินใจเด็ดขาดรู้จักรับฟังความคิดเห็นผู้อื่น และสุดท้ายนี้ดิฉันอยากนำทุกเรื่ิองที่เรียนมานำมาใช้ในชีวิตประจำวันและจะเป็นผู้นำที่ดีต่อไป

ขอขอบพระคุณค่ะ

บุญช่วย จงรักษ์

เรียนท่าน ศ.ดร. จีระ หงส์ลดารม ดิฉัน นาง สำลี ธูปหอม สมาชิกกลุ่ม K.P.D.ของ

บริษัท อินโดรามาขอตอบคำถามที่ท่านให้ไว้เมื่อวันที่ 18.เมษายน 2551 ดังนี้

1.9 เดือนเรียนแล้วได้อะไร

จากการเรียนมาทั้งหมด 9 เดือนดิฉันได้รับความรู้จากอาจารย์มามากพอสมควรอาจารย์

สอนให้มองภาพใหญ่อย่ามองอะไรแคบๆมองให้ถึงอนาคตในวันข้างหน้าว่าจะเกิดอะไร

ขึ้นถ้าเกิดมีปัญหาจะส่งผลกระทบมาถึงเรามากน้อยเพียงใดมีวิธีแก้ปัญหาอย่างไรจึงจะทำให้

เกิดผลกระทบกับเราน้อยที่สุดและการทำงานร่วมกันเป็นทีมสร้างความสามัคคีกันในองค์กร

ร่วมมือกันทำงานและช่วยกันแก้ใขปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นโดยการนำทฤษฎี 5K และ 4Q มาทำให้ เกิดประโยชน์ในการทำงานในองค์กรของเราให้มากที่สุดโดยทางผู้บริหารของเราได้เห็นความ

สำคัญของพวกเรามากขึ้นจึงจัดการเรียนคอมพิวเตอร์และสอนภาษาอังกฤษเพื่อเพิ่มความรู้ให้

กับพวกเราได้รู้มากกว่าเดิมและอีกเรื่องที่สำคัญคือการให้เกียรติผู้บังคับบัญชาและเพื่อนร่วมงาน

เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการทำงานให้สำเร็จร่วมกัน

2. จบแล้วอยากทำอะไรต่อ

จบการเรียนหลักสูตรนี้แล้วดิฉันจะนำความรู้ที่อาจารย์ได้ให้ไว้กลับมาพัฒนาตนเอง เพื่อน

ร่วมงานและองค์กรเพื่อที่จะได้เกิดประโยชน์ต่อไป.

นางบุญชู เทียนชัย

กราบเรียน อาจารย์ ศ.ดร.จีระ และทีมงานทุกท่าน

ดิฉันนางบุญชู เทียนชัย ขอตอบการบ้านค่ะ

1.แสดงความคิดเห็น อ่านแล้วได้อะไร

คำตอบคือจากที่ได้อ่านในอินเตอร์เนตของอาจารย์ ท่านเป็นคนฉลาดมองการณ์ไกล พัฒนาหลายๆคนให้เป็นคนเก่งให้หลายๆคนอยากเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ ขนาดคุณพลเดช วรฉัตร ท่านเป็นถึงอัครราชฑูตที่ประเทศอินเดียยังอยากที่จะเรียนรู้และเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ เลยเข้ามาใน BLOG ของอาจารย์ คุณพลเดชเป็นคนเก่งและให้แนวความคิดใหม่ๆ ทางอินเตอร์เนตด้วย

2. 9 เดือนได้อะไร 2 เรื่องจบแล้วอยากทำอะไรต่อ

คำตอบคือ ได้ความรู้จากหนังสือทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้หนังสือเล่มนี้ทำให้หลายคนอ่านแล้วได้ความรู้หลายอย่าง หนึ่งในการเผยแพร่ความสำคัญของทรัพยากรมนุษย์ต่อสังคมสำคัญที่สุดมีความสามารถในการเรียนรู้ได้ตลอดชีวิต และเป็นทรัพย์สินที่มีค่ามากที่สุด ในการทำธุรกิจจึงต้องมีการพัฒนาคนให้มีประสิทธิภาพเกิดจากการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ การพูดคุยเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดการมองถึงผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียในธุรกิจนั้นๆ บทความที่อาจารย์เขียนสภาพการณ์ปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงทุกด้านอยู่ตลอดเวลาปัจจุบันเราต้องปรับตัวเองให้ทันกับสถานการณ์ต่างๆเช่น การช่วยกันประหยัดหันมาให้พลังงานทดแทนวัฒนธรรมการเรียนรู้ ซึ่งไม่ใช่แต่มีความรู้เพียงอย่างเดียวต้องมีหลักในการเรียนอย่างแรกคือ แนวความคิดของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวคือ รู้รักสามัคคี แนวความคิดมองเพื่อการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ จบแล้วอยากทำอะไรต่อ ค่ะดิฉันอยากเป็นผู้นำที่ดี สร้างทีมการทำงาน การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพต่อสังคม การตัดสินใจ สิ่งสำคัญจะทำงานให้กับบริษัทอินโดรามาให้ดีที่สุด

สวัสดี ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ กระผมนายวิชาญ สุริยะหิรัญ ขอแสดงความคิดแสดงเรื่อง เรียนมา 9 เดือนแล้วได้อะไร สิ่งที่ได้จากการเรียน คือ ได้รับรู้เกี่ยวกับการพัฒนาทรัพย์กรมนุษย์ จากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง และการสร้างวัฒธรรมการเรียนรู้ องค์กรแห่งการเรียนรู้แบบโต๊ะกลม ซึ่งสามารถพูดคุยแลกเปลี่ยน ความคิดซึ่งกันและกันซึ่งสามารถนำความรู้นั้นๆ ไปต่อยอดได้อีกมากมายและยังสามารถรับรู้การเปลี่ยนแปลงของโลกภายนอก เพื่อนำมาใช้ในการตัดสินใจที่มีความคิดที่เป็นระบบ สร้างสรรค์ ในการตัดสินใจแบบมีกระบวนการเพื่อที่จะได้เน้นผลในระยะยาว และสุดท้ายการที่จะได้มาซึ่งความรู้นั้น บุคคลนั้น ๆ จะต้องเป็นบุคคลที่หมั่นแสวงหาความรู้อยู่ตลอดเวลา

1. ใน 9 เดือนที่ผ่านมาได้อะไร (2 เรื่อง)

ตอบ 1.1 ผมได้รู้จักตัวเองมากขึ้น ว่าทิศทางเราจะเป็นอย่างไร ในการดำรงชีพ ในยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงหลายด้าน และในองค์กรที่เรารับผิดชอบอยู่เราต้องเปลี่ยนแปลงตัวเราก่อนจะไปเปลี่ยนแปลงในองค์กรของเราที่เราบังคับบัญชาอยู่

1.2 รู้จักการทำงานเป็นทีมมากขึ้น เมื่อก่อนส่วนใหญ่ผมจะทำงานคนเดียว งานจึงเดินไปได้ช้า พอผมได้มาเรียนรู้จากอาจารย์ และกลับมาปฏิบัติใหม่ งานต่างๆ จะใช้เวลาน้อยและเร็วขึ้น

2. หลังจากเดือนสุดท้ายอยากทำอะไรต่อ

ตอบ 2.1 จะทุ่มเททำงานให้แก่บริษัทและหน่วยงานที่เรารับผิดชอบ

2.2 ช่วยพัฒนาเพื่อนร่วมงานที่เข้ามาใหม่ให้มีประสิทธิภาพในการทำงานหน่วยงานนั้น

2.3 จะปรับปรุงตัวเองให้เป็นกลางมากที่สุด

2.4 จะนำความรู้ที่เรียนมากับอาจารย์มาพัฒนาในบริษัท และคิดไอเดียใหม่ๆมาใช้ในบริษัท

2.5 จะดูแลครอบครัวให้ดีที่สุดและสังคมที่เราจะสามารถช่วยได้ในวาระโอกาสต่างๆ ที่ทำได้

สุดท้ายนี้ผมขอให้อาจารย์มีอายุยืนและสุขภาพแข็งแรง เพื่อที่จะพัฒนาบุคลากรต่อไป

สวัสดีครับอาจารย์ ดร จีระ ที่เคารพ

ผมนายกิตติ แก้วพงษ์ ครั้งนี้ส่งการบ้านของอาจารย์ช้าไปหน่อย

ต้องขอโทษด้วยนะครับ...เพราะงานที่ในแผนกมีเยอะ และในช่วงนี้ไปใหนมาใหนก็ร้อน ช่วงเย็นๆฝนตกลมก็แรง ไปใหนมาใหนต้องระวัง อาจจะเป็นไข้หวัดได้ ทำให้เสียงานได้ ซึ้งหลังจากที่ได้เรียนกับอาจารย์มาทั้งหมด 9 ครั้งซึ้งได้รับประโยชน์มากมายและการสอนของอาจารย์ทุกครั้งซึ้งมีแนวการสอนที่ดีทำให้เขาใจง่าย มีการลง workshop บ่อยทำให้เกิดความเข้าใจ และมีการเรียนนอกสถานที่ด้วยแล้วซึ้งมองเห็นภาพไม่ต้องคิดมากก็เข้าใจแล้ว เหมือนสร้างบรรยากาศในการเรียนรู้ทำให้ในการเรียนไม่เครียดในการเรียน และซึ้งสรุปได้และสามารถนำมาปรับปรุงแก้ไขในระบบการทำงานขององค์กรและการใช้ในชีวิตประจำวันไม่ว่าจะเป็นชีวิตในครอบครัวคือการตัดสินใจที่เราจะทำอะไรในแต่ละครั้งต้องคิดให้ดีว่าสิ่งที่จะเกิดตามมาที่หลังเราสามารถรับมือกับกับมันได้มากน้อยแค่ใหนและมีผลกระทบกับครอบครัวและบุคคลใกล้เคียงหรือเปล่า ซึ้งในองค์กรของเรานั้นเมื่อนำมาประยุกต์ใช้ หรือปรับปรุงแก้ไขไปในทางที่ถูกต้องเหมาะสมเป็นขั้นเป็น

ตอน เหมือนมีหลักในการตัดสินใจว่าอะไรควรจะทำก่อนและหลัง ว่าสำคัญมากน้อยแค่ใหน เหมือนต้องมองโลกกว้าง ไม่ใช้มองอยู่แค่ภายในองค์กรของเราต้องดูด้วยว่าภายนอกเข้าพัฒนากันไปถึงใหนแล้วดูว่าเขาทำอย่างไรถึงประสบความสำเร็จมั่นศึกษาหาความรู้แล้วนำมาปรับปรุงแก้ไขให้ได้ผลดีต่อองค์กรมากที่สุดซึ้งการศึกษาหาความรู้นั้นเป็นประโยชน์อย่างยิ่งกับตัวเราและองค์กรซึ้งความรู้หรือการเรียนรู้นั้นไม่มีวันที่จะจบยิ่งเรียนรู้มากย่อมได้เปรียบเหมือนยิ่งทำมากเท่าใดก็มีประสบการณ์มากเท่านั้นย่อมแก้

ปัญหาต่างที่เกิดขึ้นได้ดีและรวดเร็วมีประสิทธิภาพด้วย.... และสุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณอาจารย์มากที่ให้ความรู้กับผม..ขอบคุณครับ

ณ บัดนี้ภารกิจที่อาจารย์ได้รับมอบหมายมาทำหน้าที่โค้ช (Coach)ให้แก่พนักงานของบริษัทอินโดรามา ซึ่งเป็นกลุ่มพนักงานระดับกลางที่จะพัฒนาให้เป็นผู้นำขององค์กรได้ในอนาคตของอาจารย์ใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว ซึ่งโครงการนี้ได้ทำต่อเนื่อง

ทุกเดือนตลอดระยะเวลา 1 ปี ก็ต้องขอขอบคุณคณะท่านผู้บริหารชาวอินโดรามา ทุกท่านที่ได้จัดทำโครงการ KPD และขอขอบพระคุณอาจารย์ที่ท่านได้สละเวลาอันมีค่ามาแนะนำประสบการณ์และความรู้แก่พวกเรา เพื่อพัฒนาศักยภาพ เพิ่มประสิทธิภาพ และความสามารถของพวกเราให้เพิ่มพูนขึ้นโดยการกระตุ้นให้เกิดแรงจูงใจในการที่จะนำความรู้และประสบการณ์ของอาจารย์มาเป็นแนวทางในการพัฒนาตัวเอง และองค์กรให้ดียิ่ง ขึ้นไปจากการสังเกตุของดิฉันสำหรับตัวเองและเพื่อนร่วมงานได้เห็นการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้นมาก นับเป็นนิมิตหมายที่ดีในการนำพาอินโดรามาไปสู่บริษัทชั้นนำในสากล

จากการที่ได้เข้าอบรมกับอาจารย์และทีมงานใน TOPIC ทั้ง 10 หัวข้อ นับว่ามีประโยชน์มาก หากทุกคนที่เรียนรู้สามารถนำมาปฏิบัติอย่างจริงจัง และจริงใจและต้องกระทำอย่างต่อเนื่องด้วยเพื่อให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุดทั้งตนเองครอบครัวและ

องค์กร สำหรับหัวข้อต่าง ๆ ตามที่ได้เข้ารับการอบรมนั้นตามที่ดิฉันเข้าใจ พอจะสรุปได้ดังนี้

- Leadership Development การพัฒนาความเป็นผู้นำ มีรูปแบบหลายๆ อย่าง ไม่จำเป็นต้องเป็นแบบเดียว สามารถศึกษาดูได้ตามสถานการณ์ต่างๆ ที่เปลี่ยนไป ภาวะผู้นำ จำเป็นทุกๆ ระดับ ไม่ใช่เน้นเฉพาะหัวหน้าเท่านั้น ลูกน้องก็จะต้องถูกสร้างให้มีภาวะผู้นำด้วยมีความอยากเป็นผู้นำ และเห็นว่าจำเป็นจะต้องมีเพื่อ บรรลุเป้าหมายให้ได้การพัฒนาภาวะผู้นำของหัวหน้างานถ้าจะให้ได้ผลจริง ๆ จะต้องมีการทำ Workshop ปรับทัศนคติและแนวทางปฏิบัติ เพื่อให้เกิดแนวคิดและปัญญา และปรับปรุงตนเองให้อยู่ในจุดที่สมดุล ไม่ยึดติดกับแนวคิดและวิธีการเก่า ๆ เพราะความสำเร็จในอดีต มันอาจจะไม่ใช่เป็นสิ่งที่ถูกต้องสำหรับอนาคต แม้จะอ่านมามากแค่ไหน แต่ก็ไม่มีอะไรดีกว่าที่ได้ลองลงมือปฏิบัติจริง

- Team Building การรวมตัวกันของสมาชิกทีม การระดมความคิดเพื่อทำให้ทีมดำเนินไปในทิศทางเดียวกัน การกำหนดทิศทางเป้าหมาย บรรทัดฐานของทีม การปฏิบัติงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ

- Effective Communication การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ การสื่อสารมีความจำเป็นมากในการทำงานและพบปะผู้คน ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารระหว่างบุคคลในครอบครัว องค์กรต่อองค์กร หรือระดับบนสู่ระดับล่าง ฉะนั้นการสื่อสารต้องตรงประเด็น ชัดเจน รวดเร็วและฉับไว ตรงไปตรงมาและที่สำคัญต้องถูกต้อง ต้องนำเสนอให้ได้รู้ว่าเราต้องการจะสื่อสารเรื่องอะไร ต้องรู้จักวิธีการใช้ในการสื่อสารเพื่อให้ประสบความสำเร็จในการสื่อสาร

- Problem Solving & Decision Making กระบวนการเลือกทางเลือกใดทางเลือกหนึ่ง จากหลาย ๆ ทางเลือกที่ได้พิจารณาหรือประเมินอย่างดีแล้วว่าเป็นทางให้บรรลุวัตถุประสงค์ และเป้าหมายขององค์การ การตัดสินใจเป็นสิ่งสำคัญและเกี่ยวข้องกับหน้าที่การบริหารหรือการจัดการเกือบทุกขั้นตอน ไม่ว่าจะเป็นการวางแผน การจัดองค์การ การจัดคนเข้าทำงาน การประสานงาน และการควบคุมขบวนการในการเลือก ทางเลือกในการปฏิบัติ เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่วางไว้มากที่สุด ภายในองค์กรต่างก็ต้องเผชิญปัญหาต่างๆ มากมาย ในการแก้ปัญหาเหล่านั้นต้องคำนึงถึงความเป็นไปได้ และตัวแปรต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งในการแก้ปัญหานั้นอาจมีวิธีที่เป็นไปได้หลายทาง การตัดสินใจ เป็นการนำหลักเกณฑ์หรือเครื่องมือต่าง ๆ เข้ามาช่วยในการการตัดสินใจเพื่อทำให้ ผู้ตัดสินใจมีโอกาสผิดพลาดน้อยลงหรือการตัดสินใจได้ถูกต้องมากขึ้น

- Learning Organization องค์กรแห่งการเรียนรู้เป็นองค์กรที่มุ่งเน้นการระตุ้นเร่งเร้า จูงใจให้สมาชิกทุกคนมีความกระตือรืนร้นที่จะเรียนรู้และพัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลา เพื่อขยายศักยภาพของตนเองและขององค์กรไปพร้อมกัน เป็นองค์กรที่มีการสร้างช่องทางให้เกิดการถ่ายทอดความรู้ซึ่งกันและกันภายในระหว่างบุคลากร ควบคู่ไปกับการรับความรู้จากภายนอก เป้าประสงค์สำคัญ คือ เอื้อให้เกิดโอกาสในการหาแนวปฏิบัติที่ดีที่สุด เพื่อนำไปสู่การพัฒนาและสร้างเป็นฐานความรู้ที่เข้มแข็ง ขององค์กรเพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลกที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา

- Cresitive Thinking (Creative + Positive Thinking) การคิดเชิงบวกในเชิงสร้างสรรค์ จะเป็นแรงผลักดันทั้งภายในและภายนอกในการทำสิ่งใดๆ ให้ประสบความสำเร็จ คนเราถ้ามีทัศนคติเชิงบวกมากเท่าไร ก็สามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้รวดเร็วเท่านั้น ทัศนคติเชิงบวกจะนำทำให้เรานับถือตัวเอง ทำให้เรามองโลกในแง่ดี มีความคิดที่จะมุ่งสู่ทิศทางที่ต้องการได้ วิธีการสร้างทัศนคติเชิงบวกเราต้องเริ่มที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ กล้าที่จะเปลี่ยนแปลงและปรับปรุงตัวเเอง ทำให้ใจต้อนรับสิ่งที่จะเกิดขึ้น ต้องพยายามทำวันนี้ให้ดีที่สุด พบปะผู้คน พูดคุยซักถามแลกเปลี่ยนความรู้ หมั่นตรวจสุขภาพทั้งกายและใจให้ดีสม่ำเสมอ แล้วความคิดของเราก็จะเปลี่ยนแปลงไปในเชิงบวกมากขึ้น

- Motivation การสร้างแรงจูงใจ คือ การนำเอาอิทธิพลของพลังที่มีอยู่ในตัวบุคคลที่จะแสดงพฤติกรรมออกมาเพื่อให้บรรลุตามความต้องการของตนเอง พลังที่มีอยู่ในตัวคนเหล่านี้เกิดจากการยั่วยุ และสิ่งล่อใจต่างๆ ทำให้เกิดพลังของความต้องการ แรงจูงใจนั้นเป็นปัจจัยที่สำคัญในการที่จะทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพสูงขึ้น คนงานที่ได้รับการจูงใจมากก็จะค้นหาวิธีการที่จะเพิ่มทักษะ และพยายามที่จะทำงานโดยใช้ทักษะให้เป็นประโยชน์มากที่สุดบุคคลจะทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและทำได้นานต้องอาศัยสิ่งจูงใจคือสิ่งจูงใจที่เป็นวัตถุ ค่าตอบแทน เงินเดือน หรือสิ่งของ สิ่งจูงในที่เป็นโอกาส เช่น โอกาสได้ตำแหน่งสูงขึ้น มีชื่อเสียงเกียรติยศ และอำนาจสิ่งจูงใจที่เป็นสภาพของการทำงานซึ่งอาศัยวัตถุเช่นมีสภาพห้องทำงานสะดวกสบาย การบำรุงขวัญให้เกิดความ

รู้สึกว่าตนมีส่วนร่วมทำให้หน่วยงานมีชื่อเสียง

- Personality Development and Social skills การที่คนเราจะมีคลิกภาพดีนั้น มิใช่การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเพียง ภายนอกด้วยการแต่งกาย หรือพฤติกรรมที่แสดงออกเท่านั้น หากจำเป็นต้องมีการปรับปรุงหรือพัฒนาบุคลิกภาพภายในเสียก่อนเป็นเบื้องต้น จึงจะทำให้ การพัฒนาบุคลิกภาพภายนอกประสบความสำเร็จได้ การสร้างความเชื่อมั่นในตนเอง ความกระตือรือร้น ความรอบร ู้ ความคิดริเริ่ม ความจริงใจ ความรู้กาละเทศะปฏิภาณไหวพริบความรับผิดชอบ ความจำ อารมณ์ขัน ความมีคุณธรรมมั่นใจในตัวเองทุกๆ ด้าน ส่วนการพัฒนาบุคคลิกภาพภายนอก เช่น รูปร่างหน้าตา การแต่งกาย การปรากฎตัว กริยาท่าทางการสบสายตา การใช้น้ำเสียง

การใช้ถ้อยคำภาษา มีศิลปการพูด ความกล้าหาญ

- IQ - EQ - AQ – MQ การพัฒนาการทางด้านสติปัญญา การจัดการทางอารมณ์ การควบคุมอารมณ์ได้ดี สามารถเอาชนะอุปสรรคต่าง ๆ ได้ การมีคุณธรรม จริยธรรมในจิตใจ คนที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตทั้งทางด้าน ครอบครัว และด้านการทำงานจำเป็นต้องอาศัย คิวทั้ง 4 มาเป็นแนวทางประกอบในการใช้ชีวิตให้มีความสุข

และสำหรั บจากนี้ไป ทุก ๆคน ก็คงต้องดำเนินชีวิตไปตามวิถีทางของตัวเอง และก็คาดว่าทุกคนคงได้แนวทาง ในการดำเนินชีวิตจากการเข้าอบรมในครั้งนี้นำไปปรับปรุงเปลี่ยนแปลงการดำเนินชีวิตตามแนวทางพระราชดำริของในหลวง คือการดำเนินชีวิตด้วยเศรษฐกิจพอเพียง อยู่อย่างประหยัด พยายามกินใช้ตามกำลังและไม่ก่อหนี้ ลดการดิ้นรน เพื่อให้ได้มาซึ่งสนองความต้องการด้านวัตถุ พยายามอยู่กับตัวเองและครอบครัวให้มากขึ้น ต้องพยายามมองทุกเรื่องให้เป็นธรรมชาติปกติ เพราะทุกวันนี้มีการเปลี่ยนแปลงทั้งทางด้านการเมือง สังคม วัฒนธรรม เศรษฐกิจอย่างมากมาย หากเราทำใจให้รับสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ เราก็คงจะอยู่กับความทุกข์ในจิตใจตลอดไป

ท้ายสุดคงต้องขอบคุณอาจารย์อีกครั้งที่นำสิ่งดี ๆ มาสู่พวกเราชาวอินโดรามาทุกท่าน

ขอบคุณและสวัสดีค่ะ

ยุพาพรรณ แสวงทอง

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท