สวัสดีครับลูกศิษย์ชาว Indorama (Thailand) และชาว Blog
วันนี้ผมได้รับมอบหมายภารกิจที่สำคัญจากคณะผู้บริหารของ Indorama (Thailand) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวอินเดีย ให้ผมมาทำหน้าที่โค้ช (Coach) ให้แก่พนักงานของบริษัทซึ่งเป็นกลุ่มพนักงานระดับกลางที่มีศักยภาพที่จะพัฒนาให้เป็นผู้นำองค์กรได้ในอนาคต โครงการนี้จะทำต่อเนื่องทุกเดือนตลอดระยะเวลา 1 ปีซึ่งผมคาดว่าเราอาจจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้นไม่มากก็น้อย และวันนี้ก็เลยถือโอกาสที่จะเปิด Blog นี้ขึ้นมาเป็นสื่อกลางสำหรับพวกเรา หวังว่า Blog นี้จะเป็นแหล่งสะสมความรู้ได้ไม่แพ้ Blog อื่น ๆ ของผมครับ
จีระ หงส์ลดารมภ์
Professional and Leadership Development Program is designed to be | |||
1 Year Program (60 Hours) which consitsts of Topics which are: | |||
No. | Topic | Hour | Date |
1 | Leadership Development | 6 | 12-Jun-07 |
2 | Team Building | 6 | 17-Jul-07 |
3 | Effective Communication | 6 | 21-Aug-07 |
4 | Problem Solving & Decision Making | 6 | 18-Sep-07 |
5 | Learning Organization | 6 | 16-Oct-07 |
6 | Cresitive Thinking (Creative + Positive Thinking) | 6 | 20-Nov-07 |
7 | Motivation | 6 | 18-Dec-07 |
8 | Public Speaking / Confidential Enhancing | 6 | 15-Jan-08 |
9 | Personality Development and Social skills | 6 | 19-Feb-08 |
10 | IQ - EQ - AQ - MQ | 6 | 18-Mar-08 |
ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในเรื่องหลักสูตร มีหัวข้ออะไรที่จะเพิ่มเติม
กลุ่ม 1 จะพยายามพัฒนาตัวเองให้เรียนรู้ได้มากที่สุด ขอฟัง 2 เดือนก่อน
กลุ่ม 2 พื้นฐานภาษาอังกฤษยังน้อยอยู่ ถ้ามีภาษาอังกฤษมาก ๆ อาจไม่ค่อยได้
กลุ่ม 3 พนักงานไม่มีความรู้เรื่องคอมพิวเตอร์ (ดร.จีระ เสนอให้มีการฝึก)
กลุ่ม 4 คุณสรายุทธ ได้รับทราบการทำงานที่ถูกต้องใช้สมองในการแก้ปัญหา จบที่ชั้นไหนก็ตาม สามารถฝึกการเรียนรู้ได้เท่าเทียมกันทุกคน(ดร.จีระ บอกว่าส่วนใหญ่ใช้ทักษะในการทำงานแต่สามารถฝึกปัญญาได้ ลูกน้องดีไม่ดีอยู่ที่การตัดสินใจของแต่ละคน)
กลุ่ม 5 ยังไม่มีอะไรแนะนำ ขอศึกษาไปก่อน การศึกษาที่ อินโดรามา การศึกษาต่ำ บางสิ่งที่ไม่เคยเจอมา อาจคิดว่าเป็นสิ่งแปลกใหม่ อาจรับได้ยาก ในอนาคตทั้ง 10 ข้อที่เรียนไปอาจไม่ได้อย่างคาดหวัง 100 %
• ประเด็นที่อยากเพิ่ม คือเรื่องการฝึกคอมพิวเตอร์ และการเรียนภาษาอังกฤษ
• วันแรกยังไม่ชนะไม่เป็นไร แต่อย่าต่อต้านความรู้
• สิ่งที่เขาคัดเลือกมา เพราะ มีประสบการณ์มาแล้วกว่า 10 ปี เป็นโรงงานที่มีคุณภาพ และเป็นที่ยอมรับในโลก
• คัดเลือกคนมาเรียนรู้เพราะเห็นศักยภาพ แต่ยังคิดไม่มาก ดังนั้นหลักสูตรนี้ จะเน้นให้ทุกคนคิดมากขึ้น ควรฟังแล้วคิดไปด้วยจะทำให้ประสบความสำเร็จดีขึ้น
ประเด็นที่อยากฝาก 10 ประเด็น
1. วัตถุประสงค์ของการมาครั้งนี้สำคัญมากเพราะเรากำลังพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในระดับกลางของอินโดรามา ผมยังไม่เห็นมีที่ไหนที่เอาจริงกับการพัฒนาระดับกลาง ผมคิดว่า เขาคิดทางทฤษฎีเรื่อง Transformation เป็นการผลักดันคนจากจุดหนึ่งไปจุดหนึ่ง เปลี่ยนจากการทำงานแบบเดิม มาเป็นผู้นำ ผู้บริหาร โครงการนี้เพื่อยกย่องให้คุณเป็นคนที่มีคุณภาพต่อไป ไม่ใช่ Transaction คืออยู่จุดเดิม แต่แค่ทำให้ดีขึ้น การอยู่ในบริษัทชั้นนำข้ามโลกควรมีความเอาจริงในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เข้าใจเป้าหมาย และวัตถุประสงค์ของหลักสูตรนี้มีเป้าหมายต่อตัวคุณ ครอบครัว สังคม และประเทศชาติอย่างไร
2. วันนึงคนในห้องนี้ที่ได้รับการคัดเลือกแล้วจากผมและกลุ่มอื่น จะทำหน้าที่ 2 อย่าง
- ไปทดแทนผู้บริหารจากอินเดียในอนาคต
- อยากให้คุณไปทำงานเมืองนอก โลกเราเป็นโลกที่ไร้พรมแดน สิ่งสำคัญคือต้องทำความเข้าใจก่อนในสิ่งเหล่านี้ ความรู้อยู่ทุกจุดในโลก ถ้ามีโอกาสให้รู้จักฉกฉวย รู้จักใช้ปัญญาให้เป็น
3. ต้องยอมรับว่า อินโดรามา ลงทุนพัฒนาบุคลากรอย่างจริงจัง นับว่าเป็นตัวอย่างที่ดี
- ลงทุนให้มาเรียนเป็นการลงทุนด้านการพัฒนาการเรียนรู้ ยอมลงทุนค่าเสียโอกาสในการไม่ทำงานเดือนละครั้ง
- ลงทุนเพื่อให้ทุกคนสามารถพัฒนาขึ้น และองค์กรก็จะพัฒนาไปได้มากขึ้นกว่าเดิม ถ้าการลงทุนสำเร็จแล้วได้อะไร คือ ได้กำไร ได้ความสุข ได้ภาพลักษณ์ที่สนใจเรื่องคน เป็น Brand ระดับโลก อินโดรามา คิดเรื่องการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์มาก
- สนใจให้คุณมีชุมชนที่น่าอยู่ (ประเทศไทย ผิดผลาดในเรื่องชอบบริโภค แต่ไม่ชอบลงทุน) ความแตกต่างระหว่างการลงทุนกับการบริโภค การออม คือการลงทุน การใช้ คือการบริโภค
4. วิชานี้สำเร็จได้ ถ้าทุกคนสนใจ และสามารถไปปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตนเอง ก่อนอื่นต้องรู้จักสำรวจตัวเอง รู้จักตัวเอง รู้จักจุดแข็งของเรา ความรู้ที่ได้ของคนอินโดรามา ส่วนใหญ่เป็นความรู้ที่ได้จากประสบการณ์ อย่าคิดว่าความรู้มีน้อย
5. อยากให้ทำงานอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่วินาทีที่ผมเข้ามา ถึงเที่ยง ต้องถามตัวเองว่าได้อะไร แล้วตอนบ่าย ได้อะไร และระหว่างที่ไม่ได้อยู่ควรมีอารมณ์ในการแสวงหาความรู้ รู้จักทำการบ้าน และอ่านหนังสือ สิ่งสำคัญคืออยากให้ทุกคนมีวัฒนธรรมในการเรียนรู้
6. อยากให้ในห้องเลือกประธานรุ่น1คน และรองประธาน2 คน
7. สำรวจดูว่าปัจจัยใดที่เป็นปัจจัยเสี่ยง ที่ทำให้การทำงานในวันนี้ไม่สำเร็จ มีอะไรบ้าง เช่น กลัว ไม่กล้าเรียน ขาดความรู้ ปัจจัยเสี่ยงที่ยิ่งใหญ่คือ ทัศนคติไม่เปิดกว้าง ไม่กล้า และกลัวในการเรียนรู้ เรียนรู้ในการเติบจุดอ่อนให้เต็ม การนั่งด้วยกันเพื่อให้ปรึกษากัน เรียนเป็นทีม และเรียนให้ครบ
8.สำรวจดูว่าปัจจัยที่ไปสู่ความสำเร็จคืออะไร เช่นการทำงานต่อเนื่อง การมีความรู้ มีประโยชน์ต่อคุณ มีอุปนิสัยในการคิดให้เป็นอยากลอกความคิด และควรคิดให้รอบคอบ
9. ความสำเร็จที่เกิดขึ้นในห้องนี้ ไม่ได้ดีแค่ในตัวคุณ ครอบครัว อินโดรามา แต่ดีสำหรับประเทศไทยด้วย
• คนในห้องนี้ อินโดรามา พยายาม Transform คุณจากจุดหนึ่งไปจุดหนึ่งได้ ซึ่งทำให้คุณสามารถประสบความสำเร็จ
• ประโยชน์ คือการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในโรงงานที่ดีขึ้น
10. การทำโครงการ อินโดรามา ถ้าสำเร็จได้จะดีสำหรับตัวเรา ชุมชน สังคม ประเทศ และพวกเราจะเป็นรูปแบบที่ดีสำหรับองค์กรอื่น ๆ ถ้าสำเร็จ ก็จะสามารถไปช่วยโรงงานอื่นด้วย
11. การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เป็นสิ่งที่ยากที่สุด ต้องทำตัวเสมือนเป็นCoach, Mentor, Facilitator
12.หลักสูตรนี้ทำเรื่อง 3 เรื่องด้วยกัน คือ
- ความรู้
- วิธีการคิด
- สังคมการเรียนรู้
13. สิ่งที่ยากที่สุดในห้องนี้ คือการปรับนิสัยของตัวเอง มนุษย์สิ่งที่ยากที่สุด คือ การบริหารการเปลี่ยนแปลง การปรับอุปนิสัย ต้องใช้เวลา แต่เป็นสิ่งสำคัญ
14. หลักสูตรนี้จะให้อ่านหนังสือเยอะ เมื่อผ่านไป 2 อาทิตย์ ส่งการบ้านมาที่ Blog : พัฒนาผู้นำที่ Indorama www.chiraacademy.com
15. จุดสำคัญที่สุดที่คนในห้องนี้ควรมีคือ Positioningทุนที่ใหญ่ที่สุดคือทุนทางปัญญา
ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น 2 นาทีฟังตั้งแต่ข้อ 1-9 ได้อะไรที่จะนำไปใช้ 2 เรื่อง
กลุ่ม 1 Transformation จากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่ง ซึ่งทำให้มีความก้าวหน้าในการทำงานและสามารถพัฒนาภาวะผู้นำ บริษัทลงทุนให้อบรมในครั้งนี้ให้แก่เรา จะตอบสนองในการพัฒนาตนเองให้บริษัทมีกำไร และมีความสุข ซึ่งทำให้เป็นการลงทุนที่คุ้มค่า
กลุ่ม 2 ได้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ คือ อย่าไปกังวล กับเรื่องต่าง ๆ ขอให้ตั้งใจ แม้ความรู้ยังน้อย ก็อย่ากังวลกับสิ่งตรงนี้ (เรียนด้วยความสนุก อย่าคิดว่าไม่มีความสามารถ) ฟังแล้วเรียนรู้ แล้วต้องกลับไปสำรวจตัวเองเพื่อไปพัฒนาต่อไป (สำรวจตัวเอง และลดช่องว่าง)
กลุ่ม 3 ทัศนคติของเราในกลุ่มยังไม่เปิดกว้าง ฟังแล้วจะเปิดกว้างขึ้น และยอมรับมาปฏิบัติ ปัจจัยนำสู่ความสำเร็จ คือ จะพัฒนาความรู้ที่ได้รับไปใช้ให้เกิดความต่อเนื่อง (ไปประยุกต์กับตัวเอง องค์กร ชุมชน ประเทศชาติ)
กลุ่ม 4 ยอมรับเพื่อเรียนรู้ เพื่อที่จะเติมจุดอ่อน จะทำการเรียนรู้ และเปิดใจกว้างให้ได้อย่างเต็มที่ การอยู่บริษัทชั้นนำ เน้นการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์อย่างแท้จริงเพื่อให้ไปสู่การพัฒนาบริษัทที่ดีขึ้น (Get things done ทำให้เกิดความสำเร็จ สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบริษัท)
กลุ่ม 5 นำความรู้ที่อาจารย์มาให้ความรู้ มาสู่การทำ Transformation และอยากเก็บเกี่ยว ความรู้ ความสามารถของ อ.จีระ ถ้าไม่ยอมรับความรู้ ความคิดเห็นของคนอื่น ปัญญาจะไม่เกิด รูปแบบการบริหาร รูปแบบปิรามิด ซึ่งตอนนี้ทุกท่าน่จะอยู่ประมาณช่วงกลาง ซึ่งจะมีหัวหน้า และลูกน้องใน Control
วิธีการเรียนรู้ที่ใช้จะต้องสร้างวัฒนธรรมของการเรียนรู้ ซึ่งผมเรียกว่าทฤษฎี 4L’s
Learning Methodology เข้าใจวิธีการเรียนรู้
Learning Environment สร้างบรรยากาศในการเรียนรู้
Learning Opportunities สร้างโอกาสในการเรียนรู้
Learning Communities สร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้
กฎของ Peter Senge
n Personal Mastery รู้อะไร รู้ให้จริง
n Mental Models แบบอย่างทางความคิด
n Shared Vision เห็นอนาคตร่วมกัน
n Team Learning เรียนเป็นทีม
n System Thinking คิดมีเหตุผลที่สำคัญคือ อยากให้ผู้นำในห้องนี้ มองภาพใหญ่ (Big Picture) ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ
n รู้ว่า โอกาสและการคุกคามคืออะไร ถ้าอยากเป็นนักบินที่ดีต้องทำอะไรบ้าง
• ต้องเรียนรู้การขับเครื่องบินที่ดี
• ต้องมองสภาพแวดล้อมที่ดี มองภาพใหญ่ ศึกษาก่อน
สภาพแวดล้อม เรียนรู้โลกาภิวัตน์ และ ผลกระทบในประเทศเรื่องระหว่างประเทศ
- อยากให้มองเรื่องโลกาภิวัตน์โลกาภิวัตน์ คือ
- โลกที่เชื่อมโยงทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และวัฒนธรรม
- ต้องฉกฉวยโอกาสเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคโนโลยีทางสารสนเทศ เช่น อีเมล์เราจะใช้เทคโนโลยีเพื่อการบริหารจัดการได้อย่างไร
- เกิดการล่มสลายของระบบคอมมิวนิสต์ และสังคมนิยม จีน และ รัสเซีย ไม่เป็นคอมมิวนิสต์ แล้ว ผลคือ คู่แข่งมีมากขึ้น ดังนั้น เราต้องพัฒนาตัวเองตลอดเวลา เพื่อให้แข่งขันได้อย่างยั่งยืนสิ่งที่จะต้องศึกษาคือการทำงานของตลาด อินโดรามาอยู่ได้เพราะมีลูกค้า มีการพัฒนาสินค้า และพัฒนาคนตลอดเวลา
• โลกแห่งการเปลี่ยนแปลงนับต่อจากนี้ไปได้แก่ อิทธิพลของกระแสโลกาภิวัตน์ ( Globalization ) เช่น
- การค้าเสรี WTO , FTA เช่น ไทย-จีน ไทย-ออสเตรเลีย
- บทบาทของจีน อินเดีย
- การล่มสลายของระบบคอมมิวนิสต์
- เศรษฐกิจยุคใหม่ ( New economy ) บทบาทของ internet และ web services
การค้าระหว่างประเทศเกี่ยวข้องอะไรกับ อินโดรามา
- ส่งออก
- นำเข้า
- พัฒนาคนดีขึ้น สินค้าเป็นที่ยอมรับมากขึ้น
ส่งออก และนำเข้าเกี่ยวข้องกับอัตราแลกเปลี่ยนอย่างไร
- ถ้าอัตราแลกเปลี่ยนแพง (เงินบาทแข็ง) สินค้าส่งออกแพง
- ถ้าอัตราแลกเปลี่ยนถูก (เงินบาทอ่อน) สินค้าส่งออกราคาถูก แต่แลกเป็นเงินบาทได้เยอะขึ้น
ผลกระทบจากโลกาภิวัตน์พัฒนาการของเทคโนโลยีการสื่อสารและข่าวสาร(IT)
- Biotechnology
- Nanotechnology
- Out sourcing
- เสรีทางการศึกษา
จุดแข็ง
• กระตุ้นให้ประเทศตื่นตัว ปรับนโยบายทั้งระดับ Marco และ Micro
• ผู้บริโภคมีทางเลือกของคุณภาพสินค้ามากขึ้น
• ราคามีการแข่งขันกันอย่างเสรี
• ทำให้เกิดโลกทัศน์ที่กว้าง
• <
กราบเรียนอาจารย์ หลังจากที่ได้รับฟังการบรรยายและได้อ่านหนังสือทำให้ได้รับรู้ ประเด็นอะไรที่มันใหม่ๆ และข่าวสารที่ทันสมัยชอบตรงที่ท่านบอกว่า
มนุษย์ คือ ทรัพยากร ที่สำคัญที่สุดของโลกและทรัพยากรมนุษย์ต้องการ การพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ถูกต้องและต้องการเรียนรู้อย่างมีคุณภาพการเรียนรู้ไม่จำกัดว่าต้องเรียนเฉพาะในห้องเรียนหรือต้องจบการศึกษาที่สูง
การเป็นผู้นำต้องเปิดใจให้กว้างยอมรับ คำติชมของผู้บังคับบัญชาและผู้ใต้บังคับบัญชา ต้องเข้าถึงกับคนทุกระดับได้มีความรับผิดชอบสูงการทำงานต้องทำงานเป็นทีมจึงจะประสบผลสำเร็จ ต้องมีความคิดริเริ่ม มีทั้งทฤษฎีและปฏิบัติได้ต้องทำตัวเป็นตัวอย่างที่ดี การอยู่ในยุคโบกาภิวัฒน์ต้องทำตัวให้รับได้กับทุกสถานการ ต้องรู้ข่าวสารรอบด้าน ต้องทันเหตุการณ์
องค์ต้องเอาใจใส่ พนักงานและครอบครัวของพน้กงาน ในองค์กรอบะต้องทำความเข้าใจ กับชุมชนที่อยูรอบๆ องค์กรของเราเพื่อลดผัญหาการถูกร้องเรียน ต้องสร้างความน่าเชื่อถือให้กับลูกค้า ทำให้ลูกค้ายอมรับผลิตภัณฑ์ ขององค์
เรียน อาจารย์
หลังจากที่ได้อ่านหนังสือทรัพยากรมนุษย์ของอาจารย์แล้ว ก็พอสรุปได้ว่า มนุษย์มีความความเท่าเทียมกันโดยพื้นฐาน แต่ความรู้ความสามารถไม่เท่ากัน จึงต้องมีการพัฒนาในด้านทรัพยากรมนุษย์ จึงจำเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งจะสะท้อนแนวความคิดของเขากับการพัฒนาให้มีคุณค่าจากเดิม "คน" เป็นเพียงต้นทุน แต่การผลิตคนต่างหากเป็นกำไร สังคมไทยให้ความสำคัญในการพัฒนาที่เป็นรูปธรรม เพื่อนำพาความเจริญไปสู่ชุมชน เช่น การสร้างเขื่อน สร้างถนน ตลอดจนการส่งเสริม การลงทุนด้านการส่งออก ซึ่งไม่มีการพัฒนาบุคคลากรเพื่อรองรับความเจริญ จึงมีผลให้ทรัพยากรมนุษย์ไม่เก่ง คิดไม่เป็น ซึ่งในปัจจุบันมีการพัฒนาฝีมือแรงงาน แต่ไม่ได้รับความสนใจจากภาคอุตสาหกรรมเท่าที่ควร เพราะฝีมือไม่เป็นที่ยอมรับ จำเป็นต้องมีการพัฒนาบุคคลากรให้มีฝีมือ เพื่อการแข่งขัน เปรียบเสมือนเครื่องจักรนับวันยิ่งด้อยค่าลง แต่คนที่ได้รับการพัฒนา จะเพิ่มค่าของตัวเองตลอดจนประสบการณ์ที่ได้รับ จะต้องมีความเชื่อมั่น ในสิ่งที่กำลังทำอยู่ และคนที่จะทำให้องค์กรประสบผลสำเร็จ ต้องเก่ง มีคุณธรรม บวกกับมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล เพื่อให้ทันโลกจากระแสโลกาภิวัฒน์ สร้างแรงจูงใจ สร้างความผูกพัน ความรักองค์กร สร้างสภาพแวดล้อมในการทำงาน และการทำงานเป็นทีม
เรียนอาจารย์
หลังจากที่ได้อ่านหนังสือทรัพยากรมนุษย์ของอาจารย์แล้ว พอสรุปได้ว่า มนุษย์ทุกคนมีความเท่ากันโดยพื้นฐาน แต่ความรู้ความสามารถไม่เท่ากัน จึงต้องมีการพัฒนาในด้านทรัพยากรมนุษย์จึงจำเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งจะสะท้อนแนวความคิดของเขากับการพัฒนาให้มีคุณค่า จากเดิม "คน"เป็นเพียงต้นทุน แต่การผลิตคนต่างหากเป็นกำไร สังคมไทยให้ความสำคัญในการพัฒนาที่เป็นรูปธรรม เพื่อนำพาความเจริญไปสู่ชุมชน เช่น การสร้างเขื่อน สร้างถนน ตลอดจนการส่งเสริมการลงทุนด้านการส่งออก ซึ่งไม่มีการพัฒนาบุคคลากรเพื่อรองรับความเจริญ จึงมีผลให้ทรัพยากรมนุษย์ไม่เก่ง คิดไม่เป็น ซึ่งในปัจจุบันก็มีการพัฒนาฝีมือแรงงาน แต่ไม่ได้รับความสนใจจากภาคอุตสาหกรรมเท่าที่ควร เพราะฝีมือไม่เป็นที่ยอมรับ จำเป็นต้องมีการพัฒนาบุคลากรให้มีฝีมือ เพื่อการแข่งขันกัน เปรียบเสมือนเครื่องจักรนับวันยิ่งด้อยค่าลง แต่คนที่ได้รับการพัฒนาจะเพิ่มค่าของตัวเอง ตลอดจนประสบการณ์ที่ได้รับ จะต้องมีความเชื่อมั่น ในสิ่งที่กำลังทำอยู่ และคนที่จะทำให้องค์กรประสบความสำเร็จได้ต้องเก่ง มีคุณธรรม บวกกับการมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล เพื่อให้ทันโลกจากกระแสโลกาภิวัฒน์ สร้างแรงจูงใจ สร้างความผูกพัน รักองค์กร สร้างสภาพแวดล้อมในการทำงานให้ดีขึ้น รวมทั้งการทำงานเป็นทีม
กราบเรียนท่านอาจารย์จีระ
ก่อนอื่นดิฉันต้องกราบขอบพระคุณที่ท่านอาจารย์ได้สละเวลาอันมีค่าของอาจารย์มาแนะนำประสบการณ์และความรู้แก่พวกเราชาวอินโดรามา และขอขอบคุณท่านผู้บริหารทุกท่านที่ได้จัดทำโครงการ KPD ขึ้นมาเพื่อพัฒนาศักยภาพ ประสิทธิภาพ และความสามารถของพวกเราให้เพิ่มพูนขึ้น โดยการTRANSFOMATION มิใช่การ TRANSECTION อีกสิ่งหนึ่งคืออาจารย์ได้มาจุดประกายไฟ โดยการกระตุ้นการสร้างแรงจูงใจในการที่จะนำความรู้และประสบการณ์ของอาจารย์มาเป็นแนวทางในการพัฒนาตัวเอง และองค์กรให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไปจากการที่ดิฉันได้อ่านหนังสือทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้ ทำให้ดิฉันได้รู้จักนักปราชญ์ผู้เชี่ยวชาญทั้งสองท่าน คือคุณพารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา และดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ ที่อุทิศตนเองเพื่อสังคมในการรณรงค์เพื่อให้สังคมเห็นความสำคัญของทรัพยากรมนุษย์ ทั้งในเรื่องการดำเนินชีวิต การปฎิบัติตน รวมทั้งแนวความคิด โดยการเน้นให้องค์กรใส่ใจดูแลทรัพยาการมนุษย์ ให้ทุกคนเข้ามามีส่วนร่วมในองค์กร ซึ่งจะทำให้พวกเค้ารู้สึกรักองค์กรมากขึ้น และเน้นให้องค์กรบริหารงานโดยใช้คุณธรรม จริยธรรม ความเท่าเทียมกัน โดยเฉพาะผู้นำที่ดีจะต้องเป็นผู้มีวิสัยทัศน์กว้างไกล มีความจริงใจ มีความมุ่งมั่น ที่จะนำองค์กรไปสู่ความเจริญก้าวหน้า และนึกเสมอว่า "คนเป็นสมบัติอันมีค่ามากที่สุดขององค์กร" มิใช่เครื่องจักรยิ่งนานวันจะเสื่อมสภาพลง แต่ทรัพยากรมนุษย์ หากได้รับการฝึกฝน อบรมให้ความรู้มากขึ้นเท่าไหร่ องค์กรก็จะได้รับผลประโยชน์มากขึ้นตามไปด้วย และผู้นำที่ดีจะต้องมี 4 เก่ง คือ เก่งงาน เก่งคน เก่งคิดและเก่าเรียน พร้อมด้วยดี 4 คือ ประพฤติดี มีน้ำใจ ใฝ่หาความรู้ ควบคู่คุณธรรม
อาทิท่านพารณฯ มีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาการศึกษารูปแบบใหม่ ภายใต้แนวความคิด CONSTRUCTIONISM อย่างเอาจริงเอาจัง เพื่อสร้างความพร้อมให้เด็กไทยก้าวสู่การเป็นพลเมืองโลก หรือ GLOBAL CITIZEN อย่างสมบูรณ์ที่สุด เพื่อให้เด็กไทยคล่องแคล่วในเรื่องภาษาไทย ภาษาอังกฤษและเทคโนลียีและท่านดร.จีระ กล้าเกษียณตัวเองออกมาจากงานสอนอันเป็นที่รักประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในวัยเพียง 55 ปี โดยมีแนวความคิดว่าสามารถเป็นอาจารย์ได้โดยไม่จำเป็นต้องอยู่ในรั้วมหาวิทยลัย กล้าโดดออกจากกล่องทำให้ท่านสามารถขยายฐานสังคมแห่งการเรียนรู้ได้อย่างกว้างขวางมากขึ้นกว่าเดิม
อาจารย์สอนให้เปิดสมองให้กว้าง รับแนวคิดใหม่ ๆ มีการคิดนอกกรอบและนำความรู้มาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน ฝึกการคิดเป็นและวิเคราะห์เป็น หาข้อมูลข่าวสารภายนอกองค์กร รอบตัวเรา และสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นทั่วโลก รวมทั้งการรู้จักช่วยเหลือสังคม หมั่นใฝ่หาความรู้ใหม่ ๆ อยู๋ตลอดเวลา เพื่อให้เราก้าวทันโลกยุคโลกาภิวัฒน์
กราบเรียนอาจารย์จีระ
ดิฉันได้อ่านหนังสือทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้แล้ว รู้สึกประทับใจในการทำงานของท่านทั้งสองมาก คือคุณพารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา เป็นบุคคลผู้บุกเบิกการพัฒนาทรัพยกรมนุษย์ของบริษัทปูนซีเมนท์ไทยอย่างแท้จริง เป็นผู้นำที่ดีสมควรอย่างยิ่งจะนำมาเป็นแแบบอย่างในชีวิตกาทำงาน และดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ เองก็มีความมุ่งมั่นที่จะขยายความรู้ของเด็กไทยให้ก้าวไกลไปสู่อนาคต ท่านมีความพยายามและไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคทั้งหลาย และหนังสือเล่มนี้อ่านแล้วทำให้ได้แง่คิดต่างๆ ที่สำคัญและจำเป็นสำหรับคนไทยเป็นอย่างมาก ช่วยเสริมสร้างความรู้และความคิดให้แก่ตัวเราและบุคคลรอบข้าง ถ้าประเทศไทยมีผู้รอบรู้และเก่งอย่างท่านทั้งสอง แล้วนำมาปฏิบัติ และอุทิศตนเพื่อสังคมมากๆ ประเทศไทยของเราคงจะก้าวหน้าไปไกลทัดเทียมกับประเทศที่เจริญแล้วและหนังสือเล่มนี้ยังสอนการเป็นผู้นำที่ดี การทำงานอย่างต่อเนื่อง และการทำงานให้เป็นทีม อ่านแล้วทำให้รู้สึกไม่ย่อท้อในการทำงาน อาจารย์มาสร้างแรงจูงใจให้พวกเราเกิดความรู้สึกรักองค์กรเป็นอย่างมาก เพราะการเป็นผู้นำที่ดีได้เราต้องคิดก่อนทำอยู่เสมอ เราจะเก่งอยู่คนเดียวไม่ได้ เราต้องทำงานกันอย่างเป็นทีม งานจึงจะประสบความสำเร็จ
กราบเรียนอาจารย์ที่เคารพ
ดิฉันรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ทางบริษัทได้จัดทำโครงการนี้ขึ้นมา เพื่อพัฒนาความรู้ของพนักงานอินโดรามา หลังจากที่ดิฉันได้อ่านหนังสือทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้แล้ว รู้สึกประทับใจในการทำงานของคุณพารณ และตัวอาจารย์เป็นอย่างมาก และได้เรียนรู้ในสิ่งที่ตัวเองไม่เคยรับรู้มาก่อนเลย อาจารย์ได้มาทำให้พวกเรารู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่ามากขึ้น มาสร้างแรงบันดาลใจให้เราตื่นตัวขึ้นเพื่อรับข่าวสารต่างๆ รอบตัวเรา แล้วนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้เป็นอย่างดี
อาจารย์มาบรรยายให้เราทราบว่า เราเป็นฟันเฟื่องอีกสิ่งหนึ่งขององค์กร ที่จะเป็นแรงขับเคลื่อนให้องค์กรเดินไปข้างหน้า ทำให้ทราบว่า คนเป็นทรัพยากรที่สำคัญที่สุดขององค์กร และต้องมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องด้วย จึงจะมีประสิทธิภาพและประสบความสำเร็จทั้งชีวิตการทำงานและชีวิตครอบครัว หนังสือของอาจารย์ได้บอกเกี่ยวกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ได้หลายด้านด้วยกัน ทั้งทางด้านการศึกษาของเด็กไทยที่ยังไม่ได้รับการพัฒนาเท่าที่ควร การนำเทคโนโลยีมาใช้ควบคู่ไปกับการทำงาน การที่เราต้องตามให้ทันโลกยุคโลกาภิวัฒน์ ต้องเปิดใจให้กว้างในการรับฟังข่าวสารต่างๆ ทั้งในองค์กร และภายนอกองค์กร ต้องทำตัวให้เป็นผู้นำที่ดี ต้องมีความมุ่งมั่น จริงใจกับการทำงาน ต้องสามารถเข้ากับบุคคลรอบข้างได้ดี เน้นการทำงานเป็นทีม งานนั้นจึงจะสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี องค์กรก็จะมีความเจริญก้าวหน้าตามไปด้วย
เรียนอาจารย์ดร.จีระที่นับถือยิ่ง
ดิฉันดีใจมากที่ได้มีโอกาสได้เข้าเรียนกับอาจารย์จีระ เมื่อวันที่ 12 มิ.ย.ที่ผ่านมาค่ะ นับว่าเป็นสิ่งที่ดีและแปลกใหม่สำหรับดิฉัน แล้วก็ทำให้กล้าคิด กล้าแสดงออกมากขึ้นและมีแนวคิดใหม่ ๆ เพื่อจะนำไปพัฒนาคนและองค์กรต่อไป
ดิฉันได้อ่านหนังสือ"ทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้" ของอาจารย์แล้วทำให้ทราบว่าอาจารย์ได้ผ่านอุปสรรคในหลายด้านกว่าจะได้รับความไว้วางใจในการจัดตั้ง "สถาบันทรัพยากรมนุษย์" และดิฉันได้รู้ว่าอาจารย์พารณและอาจารย์จีระเป็นนักพัฒนาคนที่ไม่มีโอกาส กลับมามีโอกาสทำงานให้มีประสิทธิภาพด้านผลผลิตในองค์กรของตน ถ้าเราสามารถเรียนรู้ที่จะมีทักษะและความเชี่ยวชาญในการจัดการกับคนแล้ว ย่อมสามารถที่ดึงเอาศักยภาพ ของพวกเราออกมาทำให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับองค์กรได้
และดิฉันคิดว่า อาจารย์พารณและอาจารย์จีระเป็นบุคคลที่น่านับถือและเอาเป็นแบบอย่าง สิ่งที่ดิฉันได้อ่านหรือได้รู้จากอาจารย์จีระ ก็จะพยายามทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำใด้ค่ะ
ท้ายสุดดิฉันขอให้อาจารย์มีสุขภาพแข็งแรง
กราบเรียนท่านอาจารย์จีระ
ดิฉันได้อ่านหนังสือของอาจารย์แล้ว พอจะกล่าวได้ดังนี้คือ อาจารย์และคุณพารณ เป็นบุคคลที่มีคุณประโยชน์แก่สังคมอย่างมาก และได้รับการยอมรับนับถืออย่างกว้างขวาง ในเรื่องการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ทั้งด้านการเป็นผู้นำทางความคิด ผู้กล้าหาญในการปฏิบัติ ตลอดจนเป็นผู้ริเริ่มนำความคิดแปลก ๆ ใหม่มาพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้า ตลอดจนเน้นให้เห็นว่า " คนเป็นทรัพยากรที่มีคุณค่าที่สุดขององค์กร" คนเป็นผลกำไรที่จะนำมาพัฒนาบริษัทฯไปสุ่ความสำเร็จ หากบริษัทฯมีการพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ความสามารถอย่างเต็มที่ ให้ความไว้วางใจและให้ความเชื่อมั่นในศักยภาพของเค้าได้แสดงออกมาอย่างเต็มกำลังความสามารถ โดยมุ้งเน้นให้มีการคิดนอกกรอบ นอกตำรา ให้เค้าทำด้วยใจ ทำอย่างจริงจัง มีความผูกพันกับองค์กร เพื่อมุ่งหวังให้ประสบกับความสำเร็จแต่การบริหารคนเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยุ่งยาก ซับซ้อนและละเอียดอ่อน เพราะคนเป็นสิ่งที่มีชีวิตและจิตใจ มีเหตุผล มีอารมณ์ มีความเฉลียวฉลาดและมีความต้องการที่แตกต่างกัน หากการบริหารคนภายในองค์กรผิดพลาดหรือบริหารคนไม่ได้เป็นไปด้วยความยุติธรรม ผลกระทบในประสิทธิภาพและประสิทธิผลของงานในองค์กรก็ย่อมจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เพราะฉนั้นองค์กรต้องมีการใส่ใจดูแลหมั่นพัฒนาทรัพยากรมนุษย์อย่างจริงจังและต่อเนื่อง
สวัสดีครับ ลูกศิษย์ชาว Indorama ทุกท่าน ผมได้อ่านข้อสรุปของทุกท่านแล้วด้วยความยินดียิ่ง ผมรู้สึกดีใจมากที่ทุกท่านได้มีความสนใจในสิ่งที่เราได้เรียนรู้ร่วมกัน และดีใจที่ทุกท่านสนใจหนังสือทั้ง 2 เล่ม เห็นประโยชน์และได้รับประโยชน์จากหนังสือทั้ง 2 เล่มนี้ด้วย
ทุกท่านที่ได้ส่ง Blog กลับมา ทำให้เราได้พิสูจน์แล้วว่าคนที่จบการศึกษาไม่ถึงปริญญาตรี คนที่เรียนทางสายอาชีวะ ไม่สนใจทำการบ้าน หรือไม่เก่งในเรื่อง IT ไม่เก่งเรื่อง Internet นั้นไม่จริง เพราะทุกท่านสนใจและส่งสิ่งที่ท่านได้รับจากการอ่านหนังสือกันทุกท่าน แม้จะตอบกันไม่ยาวนัก แต่หลาย ๆ คนก็จับประเด็นจากหนังสือทั้ง 2 เล่มได้เป็นอย่างดี
ในวันอังคารที่ 17 กรกฎาคม 2550 เราก็จะได้พบกันอีกเป็นครั้งที่ 2 ผมและทีมงานทุกคนหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะทำให้การเรียนรู้ของเราสนุกยิ่งขึ้นครับ
จีระ หงส์ลดารมภ์
Well done !!
สวัสดีครับอาจารย์ผมนายศรายุทธ ยิ้มอยู่ คือเมื่อวันอังคารที่ 17 กรกฎาคม 2550 อาจารย์ได้ให้การบ้านซึ่งเป็นคำถามไว้ 3 ข้อ ผมขอตอบที่อาจารย์ถามดังนี้ครับ ข้อ 1. อาจารย์ถามว่า วัฒนธรรมอินเดียกับไทย จะสร้างผู้นำแตกต่างกันอย่างไร ผมขอตอบดังนี้ครับว่า วัฒนธรรมการสร้างผู้นำของอินเดียส่วนใหญ่จะสร้างและพัฒนาผู้นำที่เป็นผู้ชายมากกว่าผู้นำที่เป็นผู้หญิง เพราะประชาชนส่วนใหญ่ของอินเดียผู้ชายจะออกทำงานนอกบ้านมากกว่าผู้หญิง ผมคิดว่าไม่หน้าจะเกิน 50 % ที่ผู้หญิงอินเดียจะออกทำงานนอกบ้าน และหลักการพัฒนาผู้นำของอินเดีย อินเดียจะนำบุคลากรที่เรียนจบการศึกษาขั้นสูงๆ มีประสบการณ์มาก นำมาพัฒนาเพื่อให้เป็นผู้นำขององค์กร และอินเดียยังกล้าที่จะลงทุนสูง เพื่อพัฒนาทรัพยากรในองค์กรให้มีความก้าวหน้าต่อไป แต่สำหรับของไทยเราการพัฒนาผู้นำของไทย จะสามารถพัฒนาได้ในทุกระดับชั้น ไม่จำเป็นว่าคนนั้นจะต้องจบการศึกษาสูงๆ หรือต้องมีประสบการมากๆ แต่ขอให้คนนั้นมีความตั้งใจ และมุ่งมั้น เราก็สามารถพัฒนาให้เป็นผู้นำขององค์กรได้ และของไทยเรายังสามารถที่จะพัฒนาทั้งผู้ชาย และผู้หญิง เพราะไทยเรานั้นผู้ชาย หรือผู้หญิง ก็พัฒนาให้มีความสามารถที่จะเป็นผู้นำทำงานได้เท่าเทียมกัน แต่ถ้าพูดถึงการลงทุนเรื่องการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของไทยนั้น ไทยเรายังไม่กล้าลงทุนมากเท่าที่ควรเมื่อเทียบกับอินเดีย และอีกประการหนึ่งผู้นำของอินเดียจะเก่งทางด้านภาษา และเทคโนโลยี มากกว่าคนไทย จึงเป็นแนวทางให้อินเดียสามารถทำงานในระดับบริษัทชั้นนำข้ามชาติได้ดีเมื่อเทียบกับไทย แต่สำหรับผมคิดว่าผู้นำอินเดีย หรือผู้นำไทย วัฒนธรรมเรื่องการสร้างผู้นำของ 2 ประเทศแล้ว ผมคิดว่าหากได้มีโอกาสรับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์อย่างจริงจังแล้ว ไม่ว่าจะอินเดีย หรือไทย ก็สามารถเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่มีค่าสำคัญเหนือสิ่งใด ที่จะนำความสามารถมาปรับปรุงองค์กรให้เป็นบริษัทชั้นนำในระดับสากลได้อย่างเท่าเทียมกัน ข้อ 2. อาจารย์ถามว่าในตัวผมคิดว่าผู้นำที่เหมาะสมกับอินโดรามาเน้น 4 เรื่องมีอะไรบ้าง สำหรับผมคิดว่า 2.1 ต้องเป็นผู้นำที่สามารถเปิดกว้างยอมรับความคิดเห็นของคนในองค์กร เป็นผู้นำที่กล้าคิด กล้าตัดสินใจ มีความประพฤติดี มีน้ำใจรู้จักการให้อภัย สร้างคุณธรรมความสามัคคีในกลุ่มองค์กรได้ดี 2.2 ต้องเป็นผู้นำที่ไม่แบ่งพรรค แบ่งพวก รับฟังรับแก้เมื่อมีปัญหาต่างๆเกิดขึ้นในองค์กร เพื่อให้เกิดความยุติธรรมมากที่สุด และผู้นำจะต้องทำงานโดยการสร้างทีม ( TEAM WORK ) ร่วมกับทุกคนได้ดี 2.3 ผู้นำที่ดีต้องมีส่วนร่วมกับกิจกรรมต่างๆ ที่บริษัทจัดขึ้น ด้วยความเต็มใจ และตั้งใจ เพื่อให้กิจกรรมนั้นๆ บรรลุสู่จุดมุ่งหมาย และควรนำความรู้ที่ได้จากกิจกรรมนั้นๆ มาพัฒนาบุคลากรและองค์กรให้เกิดความก้าวหน้ามากที่สุด เพื่อตอบแทนที่บริษัทเปิดโอกาสจัดกิจกรรมต่างๆให้กับเรา 2.4 ผู้นำที่ดี ต้องมีความพร้อมที่จะเผชิญกับปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นสามารถแก้ปัญหาได้ กล้าแสดงออกถ้าในสิ่งที่เราทำนั้นถูกต้อง ดังนั้นผู้นำที่เหมาะสมของอินโดรามาควรจะ เก่งงาน เก่งคน เก่งคิด เก่งเรียน เหมือนกับบทความบทหนึ่ง ที่ผมเคยอ่านแล้วรู้สึกประทับใจ ข้อความมีว่า " ผู้นำดีมีทีท่าหน้านับถือ อีกหนึ่งคือรู้งานชาญเหตุผล อีกหนึ่งคือรู้การสัมพันธ์คน สัมฤทธิ์ผลทั้งเรื่องคนและเรื่องงาน " ข้อ 3. อาจารย์ถามว่าเพื่อให้การทำงานประสบความสำเร็จในบริษัทฯ ผู้นำและผู้บริหารชาวอินเดีย ต้องพัฒนาและปรับตัว อย่างไรให้เข้ากับสภาพแวดล้อมของคนไทย ผมขอให้คำตอบว่าประการแรกก็คือ ให้ผู้นำผู้บริหารชาวอินเดียทุกท่านยอมรับและนับถือ ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตย์ ของไทยเป็นอันดับหนึ่ง และถ้าพูดถึงองค์กรปกติผู้นำผู้บริหารชาวอินเดีย จะแบ่งชั้นระดับต่ำแหน่งหน้าที่การงาน ซึ่งถ้าตำแหน่งสูงก็จะคบกับคนที่ต่ำแหน่งสูงด้วยกัน ผมคิดว่าจุดนี้ควรปรับตัวให้คบกับคนในองค์กรได้ทุกระดับต่ำแหน่งหน้าที่การงาน เพราะเราอยู่ในรั่วอินโดรามาเดียวกัน ก็เปรียบเหมือนกับครอบครัวเดียวกัน เราก็ควรคบกันได้ในทุกระดับชั้น และผู้บริหารผู้นำอินเดียควรเปิดใจรับกว้างยอมรับฟังข้อเสนอแนะของคนในองค์กร ด้วยว่าบุคลากรต้องการสิ่งใด ขาดเกลืออะไร หรือจะช่วยเหลือได้อย่างไร และควรเปิดโอกาสให้บุคลากรคนไทยในทุกระดับ ที่มีความสามารถมีโอกาสขึ้นเป็นผู้นำของบริษัท เพื่อช่วยในการพัฒนาบริษัทอินโดรามา ซึงเป็นบริษัทชั้นนำให้เจริญก้าวหน้า ยิ่งๆขึ้นต่อไปอย่างไม่หยุดนิ้ง " ผมขอให้คำตอบ คำถามของอาจารย์ทั้ง 3 ข้อ ไว้เพียงเท่านี้ครับ " สวัสดีครับ
1.วัฒนธรรมอินเดียกับไทยจะสร้างผู้นำแตกต่างกันอย่างไร
- อินเดียผู้ชายจะเป็นฝ่ายทำงานนอกบ้าน ผู้หญิงจะเป็นแม่บ้าน อำนาจทั้งหมดจะเป็นของสามี ผู้นำอินเดียเป็นผู้ชายมักจะมั่นใจในตัวเอง
รวมทั้งวัฒนธรรมการแบ่งชนชั้นจะต้องทำตัวเองเด่นกว่าผู้ร่วมงานด้วยกัน ดังนั้นชาวอินเดียจะมุ่งมั่นในการทำงานมากกว่าเพื่อจะทำให้
ตนเองเหนือกว่าเพื่อนร่วมงาน
- คนไทยจะทำงานทั้งหญิงชาย ชอบถ่อมตัว สุภาพ ไม่ค่อยแสดงความคิดเห็น
- ชาวอินเดียจะใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการ ดังนั้นเรื่องภาษาอังกฤษของชาวอินเดียจะเหมือนเป็นภาษาประจำชาติ จึงได้เปรียบเรื่อง
ภาษา
- คนไทยจะเรียนภาษาอังกฤษน้อยมาก ความรู้เรื่องภาษาอังกฤษจึงน้อยมากเนื่องจากครูสอนภาษาอังกฤษเป็นคนไทย ทักษะในการอ่าน
หรือฟังไม่ดีพอจึงเสียเปรียบ
- คนอินเดียจะกล้าลงทุน จ้างผู้บริหารในราคาที่แพง เลือกคนที่มีความสามารถเข้ามาบริหารงาน ให้สวัสดิการคุ้มค่า และพัฒนาฝีมืออย่าง
ต่อเนื่อง
- คนไทยมักใช้ญาติพี่น้องเข้ามาทำงาน แค่พอทำงานได้ไม่จำเป็นต้องมีความรู้เพิ่มเติม
2. ผู้นำที่เหมาะสมกับอินโดรามา
1. มีความรู้ความสามารถในงานที่ทำ แนะนำเรื่องงานให้กับผู้ใต้บังคับบัญชา อย่างเต็มที่ เป็นที่ปรึกษาเรื่องงาน ได้เป็นอย่างดี
2. ต้องรู้เรื่องโลกาภิวัฒน์ ผลกระทบต่องานในบริษัทเตรียมรับมือกับการขาดสภาพคล่องตัวในองค์กร
3. รู้วัฒนธรรมของไทย และกฎหมายไทย เมื่อมาอยู่ในเมืองไทยต้องปรับตัวให้เข้ากับคนไทย
4. มีจริยธรรม และมีคุณธรรม มีความซื่อตรงต่อหน้าที่เอื้อเฟื้อมีน้ำใจไม่เอาแต่ใจ ใจเย็นไม่โกรธง่าย
3. เพื่อให้การทำงานประสบความสำเร็จในอินโดรามา ผู้นำและผู้บริหารอินเดียต้องพัฒนา และปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมของคนไทย
- ต้องรู้เรื่องโลกาภิวัฒน์ รู้จักสภาพเหตุการณ์ในประเทศไทยรับรู้ข่าวสารของสังคมไทย เพราะทุกวันนี้มีเหตุการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นและเปลี่ยน
แปลงตลอดเวลา เตรียมตัวรับกับปัญหาทุกอย่าง เพื่อให้บริษัทคงอยู่ได้ ปฏิบัติตามข้อกำหนดกฎหมายของประเทศไทย เช่น ISO
วัฒนธรรมอินเดียกับไทยจะสร้างผู้นำแตกต่างกันอย่างไร
ตอบ การสร้างผู้นำของคนอินเดียนั้นแตกต่างกับการสร้างผู้นำของไทยมากเพราะว่าอินเดียมีการแบ่งชั้นวรรณะกันแต่ไทยไม่มีการแบ่งชนชั้นวรรณะการสร้างผู้นำของอินเดียเขามักจะสร้างผู้นำในชนชั้นเดียวกันแต่ของไทยนั้นการสร้างผู้นำจะสร้างคนทุกระดับชั้นไม่ว่าจะรวยจะจนมีความรู้มากหรือน้อยเพราะคนไทยให้โอกาศกับทุกคนเพราะว่าประเทศไทยไม่มีการแบ่งชนชั้นวรรณะเหมือนอินเดียขึ้นกับว่าคนๆนั้นคิดเป็นแค่ไหนแล้วจะปฏิบัติอย่างไรจะประสพความสำเร็จได้
ในตัวท่านเองคิดว่าคุณภาพผู้นำที่เหมาะสมกับอินโดรามาเน้น4เรื่องมีอะไรบ้าง
ตอบ 1.ต้องเก่งงานคือเมือได้รับมอบหมายงานให้ทำแล้วต้องทำได้ 2.ต้องรู้จักการทำงานเป็นทีม 3.ต้องเป็นคนใฝ่รู้ตลอดเวลา 4.ต้องมีความรับผิดชอบในหน้าที่การงานที่ได้รับมอบหมาย
เพื่อการทำงานให้ประสบผลสำเร็จในอินโดรามาผู้นำและผู้บริหารชาวอินเดียต้องพัฒนาและปรับตัวอย่างไรให้เข้ากับสภาพแวดล้อมของคนไทย
ตอบ การเข้ามาทำงานของคนอินเดียนั้นส่วนมากจะมาเป็นหัวหน้างานฉนั้นการทำงานของคนไทยกับของคนอินเดียตัองปรับตัวให้เข้ากันได้คือต้องรู้จักวัฒนธรรมของกันและกันเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาและต่างฝ่ายต้องยอมรับความคิดเห็นของกันและกันเพื่อหาแนวทางในการทำงานที่เกิดประโยชน์สูงสุดแก่องค์กร 9dการเข้ามาทำงานของคนอินเดียนั้นตต
เพื่อการทำงานให้ประสบความสำเร็จในอินโดรามาผู้นำและผู้บริหารชาวอินเดียต้องพัฒนาและปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมของคนไทย
ต้องรู้เรื่องกระแสโลกาภิวัฒน์ รู้จักวัฒนธรรมไทย สังคมการเมือง สภาพเศรษฐกิจเพราะปัจจุบันในประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาไม่ว่าจะในเรื่องการเมืองที่ไม่นิ่ง พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ได้ตลอด ต้องพัฒนาตนเองให้พร้อมเสมอและที่ขาดไม่ได้คือการพัฒนาผลผลิตให้มีคุณภาพที่ดีต่อลูกค้าอย่างเสมอต้นเสมอปลายตลอดไป1. วัฒนธรรมอินเดียกับไทยจะสร้างผู้นำแตกต่างกันอย่างไร
การสร้างผู้นำของชาวอินเดีย จะนำเอาหลักการทำงานเป็นหลัก เช่น ประวัติของการทำงาน มีการขาดงานลางานบ่อยครั้ง
หรือไม่ มีความสนใจในงานที่รับผิดชอบมากน้อยเพียงใด มีไหวพริบในการสังเกตุงานที่ผิดพลาด เช่น งานชิ้นนี้ออกมาแล้วจะต้องเป็น
ลักษณะที่สมบูรณ์ แต่บางครั้งงานที่ออกมาแล้วมีตำหนินิดหน่อยเราจะต้องรู้ว่างานตรงนี้มีปัญหาตรงจุดไหนบ้างและมีวิธีการแก้ไขอย่าง
ไร และเป็นคนช่างจดช่างจำงานได้ดีพอสมควร ทำงานให้ผิดพลาดให้น้อยที่สุดหรือไม่มีการผิดพลาดเลยได้ยิ่งจะดีมาก
สำหรับชาวอินเดียจะใช้หลักการตรงนี้ที่จะสร้างผู้นำ
การสร้างผู้นำของคนไทย คนไทยมีนิสัยโอบอ้อมอารีย์ชอบช่วยเหลือซึ่งกันและกัน รักในหมู่ญาติพี่น้องจะคอยช่วยเหลือกันอยู่
ตลอดเวลาซึ่งจุดตรงนี้จึงนำมาเป็นแนวทางในการสร้างผู้นำคือจะใช้การแนะนำญาติพี่น้องและเพื่อนให้ได้อยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับตนเอง
2. ในตัวท่านเองคิดว่าคุณภาพผู้นำที่เหมาะสมกับอินโดรามาเน้น 4 เรื่อง อะไรบ้าง
1. มีความรู้ความเข้าใจในการทำงานที่ตนรับผิดชอบอยู่เป็นอย่างดี ให้คำแนะนำในการทำงานให้แก่ผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของตน
เองได้เป็นอย่างดีและไม่ว่าจะมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นในขณะนั้นจะต้องแก้ไขได้ทันที
2. มีความเป็นกันเองต่อผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชา รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นและมีเหตุผลในการตัดสินใจเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น ไม่ว่า
จะเป็นกรณีใดๆ จะต้องตัดสินใจให้เป็นกลางให้มากที่สุด
3. มีความซื่อสัตย์สุจริตต่อหน้าที่การทำงานและบริษัทให้เปรียบเหมือนเป็นกิจการของตนเอง
4. มีการแสวงหาความรู้ที่เป็นประโยชน์ต่อการทำงานเพื่อพัฒนาการทำงานของตนให้ดีขึ้นตลอดเวลาและ ติดตามข่าวสารต่างๆ
ที่เกิดขึ้นในยุคโลกาภิวัฒน์เพื่อเป็นแนวทางในการทำงานของตนให้ทันต่อความต้องการเพื่อเป็นการจูงใจลูกค้าอีกทางหนึ่ง
3. เพื่อการทำงานให้ประสบความสำเร็จในอินโดรามาผู้นำและผู้บริหารชาวอินเดียต้องพัฒนาและปรับตัวอย่างไรให้เข้ากับสภาพแวดล้อม
ของไทย
มีการแลกเปลี่ยนข้อเสนอและความคิดเห็นของแต่ละฝ่ายเพื่อนำมาปฏิบัติและปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใน
การทำงานของแต่ละฝ่ายให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันจะได้นำไปสู่ความเจริญก้าวหน้าของบริษัทของเราต่อไป
สวัสดีค่ะท่านอาจารย์ ดิฉันวราภรณ์ ระวิงทอง ขอส่งการบ้านที่อาจารย์ให้ใว้เมื่อวันที่ 17 กรกฏาคม 2550 ดังต่อไปนี้ค่ะ 1. วัฒนธรรมอินเดียกับไทยจะสร้างผู้นำแตกต่างกันอย่างไร ดิฉันขอตอบว่าคนอินเดียเวลาเขาสร้างผู้นำจะใช้คนที่มีความรู้ความสามารถและต้องมีการศึกษาสูงมาพัฒนาเป็นผู้นำ โดยจะไม่คำนึงว่าคนที่นำมาพัฒนานั้นต้องเป็นญาติพี่น้อง ส่วนของไทยการสร้างผู้นำส่วนใหญ่มักจะมองที่ญาติพี่น้อง พวกพร้อง และความรู้เรื่องภาษา คนไทยเรายังมีความพัฒนาน้อยเมื่อเทียบกับอินเดีย เพราะอินเดียเรื่องภาษาจะเน้นการพัฒนามาตั้งแต่เด็กๆ 2. คุณภาพผู้นำที่เหมาะสมกับอินโดรามาก็คือ 2.1 ต้องเป็นคนเก่งและฉลาด 2.2 ต้องเป็นคนที่มีความรับผิดชอบสูง และมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี 2.3 มีความคิดสร้างสรรค์ทำในสิ่งใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา และต้องรับฟังความคิดเห็นของคนอื่นๆด้วย 2.4 ต้องเป็นคนที่มีความยุติธรรม มีใจเป็นกลางทำในสิ่งที่ถูกต้อง ใช้ปัญญาคิดทำในสิ่งดีอยู่เสมอ 3. เพื่อการทำงานให้ประสบความสำเร็จในอินโดรามาผู้นำและผู้บริหารชาวอินเดียจะต้องปรับตัวอย่างไรให้เข้ากับสภาพแวดล้อมของคนไทย ดิฉันคิดว่าผู้นำชาวอินเดียต้องเข้าใจ และยอมรับระบบการทำงานของคนไทย ไม่ใช้อารมณ์ในการบริหารงาน ควรใช้ความคิดความถูกต้องมาร่วมกันแก้ใขปัญหา ยอมรับฟังความคิดเห็นของคนในองค์กร ยอมเปิดโอกาสให้คนดีมีความสามารถขึ้นเป็นผู้นำของบริษัท เพื่อช่วยในการปรับปรุงและพัฒนาบริษัทให้ก้าวหน้าต่อไป
เรียนท่านศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์
ดิฉันนาง สำลี ธูปหอม สมาชิกกลุ่ม KPD ของ บ.อินโดรามาได้ทำการส่งการบ้านที่อาจารย์ได้ให้ไว้ในวันที่ 21.ส.ค.2550
จากการที่ดิฉันได้ฟังอาจารย์บรรยายและที่ได้ดูจาก CD ที่ท่านให้ดูทำให้ดิฉันได้ข้อคิดอะไรใหม่ๆหลายอย่างจึงทำการตอบคำถามที่ท่าน
ได้ให้ไว้ดังนี้ ข้อที่ 1.ดูแล้วได้อะไรจาก CD มา 3 เรื่องเรื่องที่ 1.ทำให้รู้มากขึ้นว่าการสื่อสารมีความสำคัญมากในทุกๆด้าน
ไม่ว่าจะด้านการทำงานหรือแม้แต่การใช้ในชีวิตประจำวันเช่น
การสื่อสารกับเพื่อนสื่อสารกันระหว่างคนในครอบครัว
เรื่องที่ 2. เทคโนโลยีที่ทันสมัยต่างๆก็มีความสำคัญในการสื่อสารมาก
ทำให้การสื่อสารสะดวกรวดเร็วได้รับรู้ข้อมูลต่างๆได้ไวมากขึ้น
เรื่องที่ 3. การเป็นผู้นำต้องรู้จักสื่อสารให้เป็น ผู้ฟังเข้าใจง่าย และทุกคน
ควรกระตุ้นให้มีการสื่อสารกันมากขึ้น
คำถามข้อที่ 2. เกี่ยวข้องกับการนำมาใช้ที่ INDORAMA อย่างไร
ทางองค์กรต้องนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ให้มากกว่าเดิม และควรฝึก
ให้ทุกคนใช้เป็น ควรกระตุ้นให้ผู้บังคับบัญชาสื่อสารกับพนักงานมาก
กว่าเดิมเพื่อที่จะสร้างความคุ้นเคยกันให้มากขึ้น และต้องกระตุ้นให้ทุกคน
ช่วยกันคิด ต้องมีการระดมความคิดร่วมกันจึงจะทำให้งานสำเร็จไปด้วยดี
เรื่องที่ 3. ถ้าพัฒนาทักษะการพูดควรจะทำอย่างไร
ทุกคนต้องสร้างความมั่นใจให้กับตนเองมากขึ้นกล้าที่จะแสดงออก
และต้องดูจังหวะว่าสิ่งที่จะพูดนั้นควรจะพูดในสถานณ์การใดจึงจะเหมาะสม.
กราบเรียน ศ.ดร. จีระ หงส์ลดารมภ์
ดิฉัน นาง บุญชู เทียนชัย ที่ท่านได้ให้การบ้านไว้ในวันที่ 21.ส.ค.2550
ข้อที่ 1.ดูแล้วได้อะไร 3 เรื่อง ขอตอบว่า
1.1) มีเทคโนโลยีต่างๆที่ทันสมัยมีการพัฒนาในด้านภาษาอังกฤษ
ในการพูดมากขึ้น
1.2) สอนให้ทุกคนกล้าที่จะแสดงออก และกล้าที่จะพูดหรือออกความคิดเห็น
1.3) ท่านอาจารได้สอนทำให้ดิฉันกล้าพูดและกล้าแสดงออกมากกว่าเดิม
มีความคิดหลากหลายมากขึ้น
คำถามข้อ 2. เกี่ยวข้องกับการนำมาใช้ที่อินโดรามาอย่างไร
ขอแสดงความคิดเห็นว่าการพูดหรือการสั่งงานของหัวหน้างาน
มีกันหลายคนควรที่จะตกลงกันให้แน่ใจก่อนว่าจะทำอะไรบ้าง
และหัวหน้าควรจะอยู่ในที่ที่หาพบง่าย หัวหน้างานควรพูดจาให้เกียรติ
พนักงานบ้างไม่ใช่แบ่งระดับว่าใครสูงใครต่ำ
คำถามข้อ 3. การพัฒนาทักษะการพูดควรทำอย่างไร
ต้องใช้คำพูดที่ผู้พูดและผู้ฟังเข้าใจทั้งสองฝ่าย และต้องสร้างความมั่นใจ
ให้กับตนเองต้องกล้าที่จะพูด แต่การพูดต้องดูด้วยว่าสิ่งที่จะพูดควรพูดใน เวลาใด และจะต้องฝึกการใช้ภาษาอังกฤษให้มากกว่าเดิม.
ดิฉัน นาง บุญชู เทียนชัย ที่ท่านได้ให้การบ้านไว้ในวันที่ 21.ส.ค.2550
ข้อที่ 1.ดูแล้วได้อะไร 3 เรื่อง ขอตอบว่า
1.1) มีเทคโนโลยีต่างๆที่ทันสมัยมีการพัฒนาในด้านภาษาอังกฤษ
ในการพูดมากขึ้น
1.2) สอนให้ทุกคนกล้าที่จะแสดงออก และกล้าที่จะพูดหรือออกความ คิดเห็น
1.3) ท่านอาจารได้สอนทำให้ดิฉันกล้าพูดและกล้าแสดงออกมากกว่าเดิม
มีความคิดหลากหลายมากขึ้น
คำถามข้อ 2. เกี่ยวข้องกับการนำมาใช้ที่อินโดรามาอย่างไร
ขอแสดงความคิดเห็นว่าการพูดหรือการสั่งงานของหัวหน้างาน
มีกันหลายคนควรที่จะตกลงกันให้แน่ใจก่อนว่าจะทำอะไรบ้าง
และหัวหน้าควรจะอยู่ในที่ที่หาพบง่าย หัวหน้างานควรพูดจาให้เกียรติ
พนักงานบ้างไม่ใช่แบ่งระดับว่าใครสูงใครต่ำ
คำถามข้อ 3. การพัฒนาทักษะการพูดควรทำอย่างไร
ต้องใช้คำพูดที่ผู้พูดและผู้ฟังเข้าใจทั้งสองฝ่าย และต้องสร้างความมั่นใจ
ให้กับตนเองต้องกล้าที่จะพูด แต่การพูดต้องดูด้วยว่าสิ่งที่จะพูดควรพูดใน เวลาใด และจะต้องฝึกการใช้ภาษาอังกฤษให้มากกว่าเดิม.
เรียน ท่านอาจารย์ จิระ
ตามที่ผมได้ดูซีดีที่อาจารย์นำมาให้ดูผมขอตอบคำถามดังนี้
ข้อ 1 ดูแล้วได้อะไร
1.1 ได้รู้ความรู้เกี่ยวกับปัญหา การสื่อสารทางด้านภาษาอังกฤษ ซึ่งภาษาอังกฤษมีความสำคัญมาก เพราะถ้าเราไม่รู้ภาษาอังกฤษ ก็จะทำให้ไม่เข้าใจในการสื่อสาร
1.2 คนไทยโดยทั่วไป ไม่กล้าในการแสดงออกทางด้านการพูด เพราะไม่รู้ว่าพูดไปแล้วจะเป็นผลดีหรือไม่
1.3 ได้รู้ถึงการวางตัวของผู้บังคับบัญชาและในเวลาเดียวกันก็ได้รู้ถึงการวางตัวของผู้ใต้บังคับบัญชา
ข้อ 2 เกี่ยวข้องอะไรกับการที่นำมาใช้ในอินโดรามาอย่างไร
ในการทำงานต้องมีกางสื่อสารระหว่างผู้บังคับบัญชาและผู้ใต้บังคับบัญชาโดยการสื่อสารถ้าฟังไม่เข้าใจก็จะทำให้เกิดผลเสียการผิดพลาดของงานได้เพราะฉะนั้นการสื่อสารต้องฟังให้ชัดเจนแม่นยำถ้าไม่เข้าใจควรภามเพื่อความมั่นใจก่อนงานก็จะออกมาได้ดีไม่มีการผิดพลาด
ข้อ 3 ถ้าจะพัฒนาทักษะในการพูดคุณควรจะทำอย่างไร
การพูดที่ดีผู้พูดต้องมีความเชื่อมั่นในตัวเองก่อนและต้องมั่นใจว่าสิ่งที่พูดออกไปนั้นถูกต้องและเหมาะสมหรือไม่
สวัสดีคะ อาจารย์ จิระ ดิฉัน วราภรณ์ ระวิงทอง จากการดุเทปแล้วดิฉันขอตอบคำถามดังต่อไปนี้
ข้อ 1 ดูแล้วได้อะไร
1.1 การสื่อสารที่ไม่เข้าใจกัน อย่างเช่น ภาษาไม่เข้าใจแล้วไม่กล้าพูดเก็บไว้ในใจทำให้ขาดความมั่นใจในการทำงานและก็จะเกิดความผิดพลาดตามมา
1.2 ต้องเปิดโอกาสให้ผู้ใต้บังคับบัญชาแสดงความคิดเห็นความสามารถและความรู้ที่มีอยู่ไม่ควรปิดกั้น
1.3 ถ้าเกิดมีปัญหาผิดพลาดก็ควรจะพูดคุยกันก่อนและนำปัญหามาแก้ใขต่อไป
ข้อ 2 เกี่ยวข้องอย่างไรกับการที่นำมาใช้ในอินโดรามาอย่างไร
เกี่ยวข้องกับอินโดรามา หลายอย่าง ในส่วนของอินโดรามาก็ส่วนมากผู้ใต้บังคับบัญชาสั่งงานใช้อารมณ์ไม่ฟังความคิดเห็นของผู้ใต้บังคับบัญชาเอาความคิดของตัวเองเป็นใหญ่ทำให้ผู้ใต้บังคับบญชาเกิดควาเครียดขาดกำลังใจในการทำงานไม่มีขวัญกำลังใจในการทำงาน
ข้อ 3 ถ้าจะพัฒนาทักษะในการพูดคุณควรจะทำอย่างไร
ถ้าจะพัฒนาทักษะควรมีการฝึกอบรมร่วมกันระหว่างผู้บังคับบัญชาและผู้ใต้บังคับบัญชา มีแนวคิด หลักการ วิธีการให้สอดคล้องและมีความเข้าใจความสำคัญที่ดีต่อกันทำให้เกิดขวัญและกำลังใจในการทำงานถ้ามีการผิดพลาดควรชี้แจ้งแสดงเหตุผลซึ่งกันและกันและทุกอย่างก็จะดีเอง จิตใจก็จะดี ในส่วนของงานก็จะดีตามมาด้วยเป็นทวีคูณ ก่อให้เกิดความรักความสามัคคี
เรียน ท่าน ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์
ดิฉัน นางสาว เฉลิม ชอบเจริญ ได้ทำการบ้านที่ท่านอาจารย์ให้ไว้เมื่อวันที่ 21.ส.ค.2550
ข้อที่ 1. ดูแล้วได้อะไรจากCDมา 3 เรื่อง1.1) ทำให้เรารู้ว่าการสื่อสารมีความจำเป็นกับทุกองค์กรและคนทุกระดับ
1.2) การเป็นผู้นำที่ดีต้องมีการสื่อสารที่ชัดเจน สื่อสารให้ผู้ฟังเข้าใจง่าย
1.3) มีเทโนโลยีที่ทันสมัย สามารถสื่อสารได้ไวและสะดวกรวดเร็วสามารถรับรู้
ข่าวสารต่างๆทันต่อเหตุการณ์
ข้อที่ 2. เกี่ยวข้องอะไรกับการนำมาใช้ที่ INDORAMA อย่างไรการสื่อสารมีความจำเป็นในการที่จะพัฒนาบุคลากร ทุกฝ่ายต้องเอาจริงเรื่องการสื่อสาร
และต้องกระตุ้นให้ทุกฝ่ายได้รับการฝึกฝนให้ดีขึ้นกว่าเดิม
ข้อที่ 3. ถ้าพัฒนาทักษะการพูดควรจะทำอย่างไร
ทุกคนต้องสร้างความเชื่อมั่นในตนเอง และต้องกล้าคิดกล้าแสดงออก ต้องพัฒนาทักษะ
การใช้ภาษาอังกฤษให้มากขึ้นเพื่อที่จะสื่อสารกับผู้บริหารให้เข้าใจกันมากยิ่งขึ้น
สวัสดีครับอาจารย์ผมนายศรายุทธ ยิ้มอยู่ สิ่งที่อาจารย์ถามว่าในการเรียนเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน และ 17 กรกฏาคม 2550 ที่ผ่านมาผมได้อะไรกับการเรียน 2 ครั้งนี้ ซึ่งสิ่งที่ผมได้รับคือ ได้มีการพัฒนาตนเองให้มีการกระตุ้นในการใช้ความคิดอยู่ตลอดเวลา และได้รับทราบหลักของการเป็นผู้นำที่ดีต้องมีการต่อยอดทางความรู้และความคิด การกระตุ้นและผลักดันให้มีความคิดที่ทันต่อโลกทันต่อเหตุการณ์ ( โลกาภิวัฒน์ ) อยู่ตลอดเวลา และทำให้ผมเกิดความสนใจในด้าน Intermet มากติดตามข่าวสารต่างๆเปิดกว้างรับแนวคิดใหม่ๆ และความรู้ รอบตัวที่เกิดขึ้นมาประยุกต์ใช้ และเกิดความภุมิใจมากขึ้นที่ได้ทำงานในบริษัทชั้นนำที่มีการพัฒนาทรัพยากรให้กับพนักงาน เพื่อความก้าวหน้าของบริษัท, องค์กร, และพนักงาน ควบคู่กันไป และเมื่อวันอังคารที่ 21 สิงหาคม 2550 ผมได้มีโอกาสศึกษาเรื่องการสร้างทีม "Team Building"การทำงานเป็นทีม และการสื่อสาร ซึ่งก็เป็นประโยชน์มากสำหรับความรู้ในการเรียนครั้งนี้ และอาจารย์ได้เปิด VCD การบันทึกรายการเรื่องการสื่อสารในองค์กร ซึ่งอาจารย์ กับอีก 2 ท่าน " ผมจำชื่อไม่ได้ต้องขออภัยด้วยครับ " ได้สนทนากันทำให้ผมได้รับแนวความคิด ดังที่อาจารย์ถามใว้ 3 ข้อ ดังนี้ครับ ข้อที่ 1 ได้อะไรจากการชม VCD 1.1 ผมได้มองเห็นถึงหลักการทำงานที่จะเป็นผลในการพัฒนาด้านการเพิ่มคุณภาพ การทำงานเพื่อให้ประสบความสำเร็จมีความก้าวหน้าในองค์กร สิ่งที่สำคัญอย่างหนึ่งคือ การสื่อสาร เพราะการสื่อสารจะช่วยให้เราทราบ รับรู้ เหตุการณ์ต่างๆ และปัญหาต่างๆ ของกันและกัน เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาองค์กรต่อไป 1.2 ผมได้แง่คิดในเรื่องการเปิดใจกว้างในการสื่อสาร มีเหตุผลอันใดที่เราคิดว่าพูดแล้วจะเป็นประโยชน์ เราก็ควรที่จะพูด ควรที่จะสื่อสารออกมา ไม่ว่าการสื่อสารนั้นจะเป็นในระดับผู้บริหาร หรือระดับเดียวกัน ถ้าสื่อสารแล้วเป็นประโยชน์เราก็ควรสื่อสารเพื่อประโยชน์ต่อไป 1.3 การทำงานนั้นถ้าเรามีสิ่งใดอึดอัดใจเราก็ควรพูดควรสื่อสารให้บุคคลอื่นที่สามารถช่วยแก้ปัญหาได้ ได้รับรู้เราไม่ควรเก็บไว้เพียงคนเดียว แล้วนำไประบายในภายหลังซึ่งตรงนี้จะไม่มีประโยชน์อันใด ถ้าเรามีอะไรไม่สบายใจก็ควรได้มีการสื่อสารให้หายข้อสงสัย เพื่อจะได้ไม่มีการขัดแย้งกันในภายหลัง ข้อ 2 การสื่อสารเกี่ยวข้องกับการนำมาใช้ใน INDORAMA อย่างไร - การทำงานที่ถูกต้องเราทำงานเป็นทีมเราอยู่กันในคนกลุ่มมาก เราจะทำงานตัวคนเดียวไม่ได้ ดังนั้นในแต่ละวันที่เราอยู่ใน INDORAMA เราก็ควรที่จะมีการสื่อสาร สนทนากันถึงปัญหาต่างๆ เช่น ผลผลิต, คุณภาพ, ของเสีย, พนักงาน ฯลฯ ซึ่งกันและกัน ไม่ว่าจะเป็นระดับหัวหน้างาน - ผู้บริหาร หรือหัวหน้างาน - พนักงาน หรือจะเป็นการสือสารในทุกระดับก็จะเป็นผลดี ที่เมื่อมีการสื่อสารที่ถูกต้องแล้วย่อมเป็นผลทำให้ INDORAMA เพื่มคุณภาพผลผลิต และยังช่วยพัฒนาให้เกิดความเจริญก้าวหน้าต่อไป ข้อ 3 การพัฒนาทักษะการพูดควรทำอย่างไร - เราต้องกล้าที่จะแสดงออก มีความเชื่อมั่น มีความคิดอยู่ตลอดเวลา พูดเมื่อเราเห็นว่าสิ่งที่เราพูดถูกต้องอย่าเก็บเอาใว้ในใจ และการพูดควรจับใจความสำคัญๆ เอามาพูดเพื่อให้เกิดประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่ายเวลาพูดก็ควรพูดไปคิดไป และควรพูดควรสื่อสารกับทุกระดับ ไม่ต้องกลัวว่าบุคคลที่เราจะพูดด้วยนั้นจะพูดภาษาใด ถ้าเราตั่งใจจริงที่จะพูด ก็จะเป็นผลทำให้เกิดความเข้าใจกันทั้ง 2 ฝ่าย ดังนั้นผมขอสรุปว่า ในการทำงานแต่ละวันเราควรพัฒนาโดยการทักทายกันในทุกระดับ เพื่อฝึกทักษะการพูด และมีปัญหาก็ควรร่วมกันปรึกษา และที่สำคัญเราควรฝึกทักษะการพูดในด้านภาษาฯ เพื่อให้เราเกิดความมั่นใจมากขึ้นที่จะกล้าพูด กล้าแสดงออก เพื่อพัฒนาตนเองและองค์กรให้ก้าวหน้าต่อไป สวัสดีครับ
กราบเรียน อ.จิระ จากที่ดิฉันดูCDของอาจารย์น่าสนใจมาก
1. ดูแล้วได้อะไร 3 เรื่อง
การสนทนา เป็นเรื่องปกติของบุคคลทั่ว ๆ ไป แต่ที่จริงแล้วสำคัญมากในชีวิตประจำวัน
จากที่ดู CD แล้วคิดว่า
1. คนเรามักไม่ชอบพูดกันตรงๆ เพราะความเกรงใจ กลัวเสียความรุ้สึกต่อหน้า
มักจะเงียบไม่แสดงความคิดเห็น แต่จะใช้อากัปกิริยาแทน ซึ่งที่จริงแล้วเป็นผลเสียมากกว่า
2. เมื่อมีปัญหาก็จะไม่ค่อยแสดงความคิดเห็น มีความเกรงใจกันนั่นคือปัญหา ก่อ
ให้เกิดความไม่ไว้ใจกัน และไม่ยอมร่วมมือกันทำงาน
3. ต้องมีทักษะในการพูด มีสติ พูดในขอบเขต
2. เกี่ยวข้องอะไรในรามา
เราทำงานในบริษัท ต้องประสานงานกับบุคคลต่างๆ หลายๆ ด้านไม่ว่า กับหัวหน้า
หรือผู้ใต้บังคับบัญชา หรือต้องข้องเกี่ยวกับแผนกอื่นๆ การสนทนาถือเป็นการสื่อสารที่สำคัญ
ควรคิดก่อนพูด ไม่มองผู้อื่นในแง่ร้าย ไม่พูดจาดูถูก ควรรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น และควรปรับปรุงตัวเอง
สุดท้ายดิฉันขอขอบคุณอาจารย์เป็นอย่างมากที่ได้แนะนำแนวทางเรื่องการสนทนา ดิฉันจะนำไปปฏิบัติใน
ชีวิติประจำวัน
3. พัฒนาทักษะในการพูดทำอย่างไร
ต้องฝึกพูด ต้องมีทักษะในการพูด เริ่มจากการพูดในครอบครัว รับฟังความคิดเห็นของบุคคลในครอบครัว
และเรารู้จักเสนอแนะอะไรต้องวิเคราะห์คิดใคร่ครวญให้ดีเสียก่อน แล้วค่อยพูด มั่นใจในเรื่องที่จะพูดมีสมาธิเพราะอยู่ใน
ภาวะคับขันสมองจะหยุดต้องค่อยคิดหาเหตุผลสิ่งใดควรพูดสิ่งใดไม่ควรพูด ให้อยู่ในขอบเขต
กับบุคคลที่เป็นหัวหน้า ต้องแสดงความคิดเห็น อย่างเกรงใจ ใช้คำพูดที่สุภาพ
กับผู้ใต้บังคับบัญชา ฝึกให้เขาคิดกระตุ้นให้รู้จักพูด ให้เขารู้สึกปลอดภัยในเรื่องที่จะพูด
กราบเรียนท่านอาจารย์ ดร.จีระ ที่นับถือ
กราบเรียนท่านอาจารย์ ดร.จีระ ที่นับถือ
ครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ 4 ที่ได้มีโอกาสได้พบกับอาจารย์ และในครั้งนี้ยังได้มีโอกาสพบกับท่าน รศ.ดร.มนตรี บุญเสนอ จากมหาวิทยาลัยขอนแก่นอีกด้วย นับว่าเป็นเกียรติอย่างสูงที่อาจารย์ได้นำท่านมาแนะนำให้พวกเราได้รู้จัก และท่านได้ถ่ายทอดความรู้ในเรื่องของการสร้าง TEAM WORK อีกด้วย พร้อมกับได้นำการเล่นเกมส์ มาสอดแทรกเพื่อให้เราได้เข้าใจในเนื้อหาของการนำเสนอมากขึ้น ซึ่งทำให้พวกเราได้รับทั้งความรู้และความสนุกสนานควบคู่กันไปด้วย ซึ่งการสัมมนาในครั้งนี้ทำให้เราได้เรียนรุ้ว่า การสื่อสารเป็นเรื่องที่จำเป็นและสำคัญที่สุดทั้งในการใช้ชีวิตประจำวันและการทำงาน ซึ่งคนเราหากขาดการสื่อสารแล้วคงจะประสบกับความสำเร็จได้อยากยิ่งนัก อีกทั้งอาจารย์ยังได้นำ VCD มาให้พวกเราชมพร้อมกับคำถามว่า ดูแล้วได้อะไร ซึ่งดิฉันขอสรุปคร่าว ๆ ๆได้ดังนี้1.1 การสื่อสารเป็นสิ่งจำเป็นที่สุดในการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารขึ้นไปสู่ระดับบน หรือลงมาสู่ระดับล่าง เพราะทุกวันเราต้องมีการทำงาน พบปะ ร่วมกันกับคนในทุกเภททุกวัย ทั้งในการทำงานส่วนตัวและการทำงานเป็นทีม เราต้องมีการติดต่อประสานงานกันอยู่ตลอดเวลา เพราะฉนั้นเราต้องมีความชัดเจนในการสื่อสารและต้องตรงประเด็น ต้องนำเสนอให้ได้ว่าเรามีความต้องการที่จะสือสารเรื่องอะไร และมีความจริงใจต่อการสือสารนั้นๆ ต้องพูดแบบตรงไปตรงมาทั้งต่อหน้าและลับหลัง ควรรู้จังหวะในการพูด คิดเสมอก่อนการเจรจาถึงผลได้ผลเสียที่จะกระทบตามมา
1.2 ในครอบครัวย การสื่อสารมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะครอบครัวเป็นพื้นฐานที่ต้องมีการสือสารกันอย่างมากและมีการพูดคุยด้วยกันตลอดเวลา จนเป็นความเคยชิน บางครั้งการใช้การสื่อสารมักจะขาดความเกรงใจซื่งกันและกัน จนทำให้เกิดปัญหาตามมามากมาย แต่หากเรารู้จักการเกรงใจซึ่งกันและกันแล้ว หรือหากเกิดปัญหาแล้วหันหน้าเข้ามาพูดคุยเพื่อให้เกิดความเข้าใจอันดีต่อกันแล้ว ยังเป็นการช่วยลดช่องว่างระหว่างวัยของคนในครอบครัวมากขึ้นอีกด้วย
1.3 ความเป็นประชาธิปไตย จะเห็นได้ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการสื่อสารอย่างเห็นได้ชัด ในส่วนของประเทศที่มีประชาธิปไตยมาก จะเปิดกว้างใหทุกคนแสดงความคิดเห็นออกมา ซึ่งทุกคนจะมีการแสดงความคิดเห็นอย่างหลากหลาย บางครั้งจนนำมาซึ่งปัญหา แต่หากในการกลับกัน หากนำปัญหาที่ทุกคนเสนอแนะนั้นมาช่วยกันวิเคราะห์ และหาทางออกก็อาจจะเป็นผลดีอีกทางหนึ่ง ซึ่งตรงกันข้ามกับคนไทย จะไม่ค่อยกล้าแสดงความคิดเห็นออกมา เพราะความเกรงใจซึ่งกันและกัน หรือมีการนำไปพูดลับหลัง จนทำให้เกิดความไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกัน นำมาซึ่งปัญหา หรืออาจจะฟังความคิดเห็นของผู้นำเป็นใหญ่ ไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น
2. เกี่ยวข้องอะไรกับการนำใช้ในอินโดรามา
ตลอดเวลาที่ผ่านมาส่วนใหญ่ในอินโดรามา ยังขาดการสื่อสารที่ดีในหลาย ๆ เรื่องอาทิเช่น การสื่อสารยังจัดอยู่ในระดับเดียวเท่านั้น จากระดับบนสู่ระดับล่างยังมีน้อยมาก ขาดการประชาสัมพันธ์ข่าวสารระหว่างแผนกต่าง ๆ การมีส่วนร่วมในการสื่อสารระดับล่างขึ้นมายังมีน้อยมาก ส่วนใหญ่จะไปในรูปแบบของการสั่งหารมากกว่าที่จะขอความคิดเห็น เพราะหัวหน้างานส่วนใหญ่ในองค์กรล้วนเป็นชาวอินเดียทั้งสิ้น อีกทั้งขนบธรรมเนียมประเพณียังมีส่วนเข้ามาพัวพันเกี่ยวข้องกับการบริหารงานภายในองค์กรอีกด้วย
ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นต่างๆ ล้วนแล้วแต่มาจากบุคคลทั้งสิ้น เพราะขาดการพูดคุย ขาดการสื่อสารระหว่างกัน ขาดความจริงใจในการแก้ปัญหา ไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นซึ่งกันและกัน หากสามารถที่จะปรับเปลี่ยนในจุดต่างๆ เหล่านี้ได้ เชื่อว่าปัญหาทุดด้าน ก็สามารถหาทางออกได้ หากทุกฝ่ายหันหน้าเข้ามาร่วมมือกัน โดยการใช้การสื่อสารพูดคุยกันให้เข้าใจ อุปสรรคต่างๆ ก็สามารถลุล่วงไปด้วยดี
3. พัฒนาทักษะในการพูดว่าควรทำอย่างไร
ต้องเข้าใจกันก่อนว่า ทุกคนล้วนมีความคิดเป็นของตัวเอง ส่วนจะมีคามเห็นที่ถูกต้องมากน้อยเพียงใด คงต้องนำทักษะหลาย ๆ ด้านมาวิเคราะห์ ทำความเข้าใจ และการที่จะทำให้ทุกคนมีความคิดเห็นคล้อยตาม หรือคิดไปในทิศทางเดียวกันนั้น ต้องใช้ทักษะและวิจารณญาณในการสื่อสารหลายอย่างเช่น
3.1 ต้องใช้ภาษาที่ชัดเจน เข้าใจง่าย เพื่อสร้างความเข้าใจที่ดี
3.2 พูดอย่างจริงใจเน้นการพูดควบคู่กับการปฏิบัติที่เหมาะสม
3.3 ต้องรู้จักผู้รับฟังว่าเป็นใคร รู้จักกาละเทศะในการพูด
3.4 มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ
3.5 พูดให้ตรงประเด็นว่าเราต้องการสื่อสารเรื่องอะไร
กราบเรียนท่านอาจารย์ ดร.จีระ ที่นับถือ
สวัสดีครับอาจารย์ผมนายศรายุทธ ยิ้มอยู่ จากการได้ออกไปศึกษานอกสถานที่ ณ. จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2550 ได้ไปชม และศึกษาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของสมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งการเดินทางครั้งนี้ทำให้ผมได้รับความรู้เกี่ยวกับหลายๆเรื่องของสมัยกรุงศรีอยุธยา และอาจารย์ได้ให้คำถามไว้ 7 ข้อซึ่งผมจะขอให้คำตอบดังนี้ครับ
1. พระพุทธศาสนาในประวัติศาสตร์ของอยุธยากับอินเดีย มีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร พระพุทธศาสนา เป็นศาสนาที่เกิดในอินเดียก่อนพุทธศักราช 45 ปี ( พุทธศักราชเริ่ม ตั้งแต่ปีที่พระพุทธเจ้าเสด็จสู่ปรินิพาน )นับว่าเป็นศาสนาที่สำคัญที่สุดในโลกศาสนาหนึ่งมีผู้นับถือหลายร้อยล้านคน ผู้ให้กำเนิดพระศาสนาคือ พระพุทธเจ้าซึ่งเป็นโอรสของ พระเจ้าสุทโธทนะ และพระนางสิริมหามายา แห่งกรุงกบิลพัสดุ์ แคว้นสักกะ ซึ่งเวลานี้อยู่ในเขตประเทศเนปาล ในสมัยที่พระองค์ยังไม่ได้บวช มีนามว่าสิทธัตถะ เมื่อพระสิทธัตถะมีพระชนม์ได้ 16 พรรษา ก็ทรงอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงยโสธราและมีโอรสองค์หนึ่งคือ เจ้าชายราหุล เมื่อมีพระชนม์ได้ 29 พรรษาพระองค์ก็ทรงผนวช อยู่จนกระทั้งมีพระชนม์ได้ 35 พรรษาจึงได้ตรัสรู้คือรู้แจ้งในความจริงแห่งโลก เป็นพระสัมมา สัมพุทธเจ้า เมื่อตรัสรู้แล้วพระองค์ก็เสด็จเที่ยวแนะนำสั่งสอนประชาชนในแคว้นต่างๆในอินเดีย เพื่อหาทางที่จะนำประชาชนไปสู่ความพ้นทุกข์อยู่เป็นเวลาถึง 45 ปี ปรากฏว่าประชาชนชาวอินเดียในสมัยนั้นได้หันมานับถือพระพุทธศาสนาและเข้ามาบรรพชา อุปสมบทเป็นจำนวนมาก พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนอยู่จนกระทั้งมีพระชนม์มายุได้ 80 พรรษาจึงปรินิพพาน หลังจากที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว สาวกของพระองค์ก็ช่วยกันเผยแผ่พระพุทธศาสนา สืบต่อมา จนกระทั้งประมาณ พ.ศ 269-306 สมัยพระเจ้าอโศกมหาราชกษัตริย์แห่งอินเดียแห่งเมืองปาฎาลีบุต ทรงเลื่อมไสพระพุทธศาสนามากจึงได้ส่งพระธรรมทูตไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา ทั้งภายในและภายนอกประเทศอินเดีย ปรากฏว่าพระเจ้าอโศกมหาราชได้ส่งพระโสณเถระกับพระอุตเถระมายังดินแดนที่เป็นประเทศไทยภาคกลางในปัจจุบัน ซึ่งสมัยนั้นยังเป็นดินแดนอาณาจักรทวาราดีชาวอินเดียเรียกว่า สุวรรณภูมิ โดยใช้เส้นทาง ทางเรือสู่ดินแดนที่เรียกว่าสุวรรณภูมิ เชื่อกันว่าได้แก่ ดินแดนแถบนครปฐม ราชบุรี และสุพรรณบุรี ดังปรากฏหลักฐานทางโบราณคดีในสมัยอาณาจักรทวารวดีว่า ดินแดนแถบนี้พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองมาก ศิลปะต่างๆทางพระพุทธศาสนาก็แสดงให้เห็นอิทธิพลอินเดียอย่างเห็นได้ชัด พระพุทธศาสนาได้เผยแผ่จากดินแดนส่วนนี้ไปตลอดแหลมมลายู สุมาตรา ชวา พม่า ลาว และเขมร และในสมัยกรุงศรีอยุธยานั้นได้มีศาสนาอื่นๆ ที่นอกเหนือไปจากศาสนาพุทธเข้ามามีบทบาทในสังคมชาวกรุงศรีอยุธยาด้วยหลายศาสนาเช่น ศาสนาพราหมณ์ ศาสนาคริสต์ และศาสนาอิสลาม คนไทยกับพระพุทธศาสนาได้ผูกพันกันมานานตั้งแต่ครั้งสุโขทัยและสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน ในสมัยกรุงศรีอยุธยาก็เช่นกัน พระพุทธสาสนาได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของสังคม และเป็นที่ยอมรับนับถือกัน ตั้งแต่พระมหากษัตริย์จนถึงสามัญชน พระพุทธศาสนาได้เจริญรุ่งเรืองอยู่ในบริเวณเมืองอยุธยามานานแล้ว ก่อนที่จะสถาปนาให้เป็นราชธานีเสียอีก ครั้นเมื่อ สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 ทรงสถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีพระองค์ก็ทรงอุทิศตำหนักเวียงเหล็กเป็นวัดพุทไธสวรรย์และได้สร้างวัดป่าแก้วขึ้นอีก 1 วัด กษัตริย์องค์ต่อๆมาก็ได้สร้างและซ่อมแซมวัดเป็นจำนวนมาก กล่าวกันว่าเฉพาะในเกาะตัวเมืองอยุธยามีวัดถึง 168 วัด และมีวัดพระอารามหลวงอยู่ถึง 47 วัด ที่สำคัญ คือ วัดพระศรีสรรเพชญ์ ซึ่งเป็นวัดในพระบรมมหาราชวัง กษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยาที่ทรงมีศรัทธาในพระพุทธศาสนามากที่สุด ได้แก่ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถพระองค์ทรงบำรุงพระพุทธศาสนาและยังทรงผนวชในขณะครองราชย์ด้วย พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองสูงสุดในสมัยแผ่นดินพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ พระองค์ทรงสร้างและซ่อมแซมปฏิสังขรณ์วัดต่างๆ มากมาย เช่น วัดป่าโมก วัดพระศรีสรรเพชญ์ เป็นต้น กิจการในพระพุทธศาสนาได้เผยแพร่ไปไกลถึงประเทศลังกา ทางลังกาได้มาขอพระสงฆ์ไทยไปบวชให้ พระสงฆ์ลังกาที่ พระสงฆ์ไทยบวชให้นั้นได้นามว่า “ สยามวงศ์ ”
2. ในการไปศึกษานอกสถานที่ ที่พระนครกรุงศรีอยุธยาแล้วได้อะไรมาบ้าง ซึ่งการเดินทางศึกษาและชมประวัติศาสตร์ในครั้งนี้ผมคิดว่ามีประโยชน์และได้รับความรู้กลับมาหลายเรื่องอย่างเช่น ประวัติของสมัยกรุงศรีอยุธยาเมื่อครั้งที่เป็นราชธานี ซึ่งประวัติความเป็นมามีอยู่ว่า จังหวัดพระนครศรีอยุธยา หรือ อยุธยา ตั้งอยู่ภาคกลางเป็นเมืองหลวงเก่าของไทย สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ 1893 โดยสมเด็จพระเจ้าอู่ทอง หรือ สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 ในเวลา 417 ปี ที่กรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี มีกษัตริย์ปกครอง 33 พระองค์จาก 5 ราชวงศ์ คือ ราชวงศ์อู่ทอง , ราชวงศ์สุวรรณภูมิ; ราชวงศ์สุโขทัย; ราชวงศ์ปราสาททอง; และราชวงศ์บ้านพลูหลวง นับเป็นราชธานีของไทย ที่มีอายุยืนยาวที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย เมื่อเทียบกับกรุงรัตนโกสินทร์ที่มีอายุ 225 ปี พระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา ทั้งสิ้น 33 พระองค์ จาก 5 ราชวงศ์มีรายนามตามลำดับดังนี้ 1. ราชวงศ์อู่ทอง สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 ( อู่ทอง ) พ.ศ.1893-1912 2. ราชวงศ์อู่ทอง สมเด็จพระราเมศวร ( ครั้งที่ 1 ) พ.ศ.1912-1913 3. ราชวงศ์สุพรรณภูมิ สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 ( พะงั่ว ) พ.ศ.1913-1931 4. ราชวงศ์สุพรรณภูมิ พระเจ้าทองลัน ( ถูกปลงพระชนม์ ) พ.ศ.1931-1931 ราชวงศ์อู่ทอง สมเด็จพระราเมศวร ( ครั้งที่ 2 ) พ.ศ.1931-1938 5. ราชวงศ์อู่ทอง สมเด็จพระรามราชา ( ถูกถอดจากราชสมบัติ ) พ.ศ.1938-1952 6. ราชวงศ์สุพรรณภูมิ สมเด็จพระอินทราธิราช ( เจ้านครอินทร์ ) พ.ศ.1952-1967 7. ราชวงศ์สุพรรณภูมิ สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 ( เจ้าสามพระยา ) พ.ศ.1967-1991 8. ราชวงศ์สุพรรณภูมิ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ พ.ศ.1991-2031 9. ราชวงศ์สุพรรณภูมิ สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 3 พ.ศ.2031-2034 10.ราชวงศ์สุพรรณภูมิ สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 ( พระเชษฐา ) พ.ศ.2034-2072 11.ราชวงศ์สุพรรณภูมิ สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 4 ( หน่อพุทธางกูร ) พ.ศ.2072-2076 12.ราชวงศ์สุพรรณภูมิ พระรัชฎาธิราช ( ถูกปลงพระชนม์ ) พ.ศ.2076-2077 13.ราชวงศ์สุพรรณภูมิ สมเด็จพระชัยราชาธิราช พ.ศ.2077-2089 14.ราชวงศ์สุพรรณภูมิ พระยอดฟ้าหรือพระแก้วฟ้า ( ถูกปลงพระชนม์ ) พ.ศ.2089-2091 15.ราชวงศ์สุพรรณภูมิ สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ พ.ศ.2091-2111 16.ราชวงศ์สุพรรณภูมิ สมเด็จพระมหินทราธิราช พ.ศ.2111-2112 17.ราชวงศ์สุโขทัย สมเด็จพระมหาธรรมราชา พ.ศ.2112-2133 18.ราชวงศ์สุโขทัย สมเด็จพระนเรศวร พ.ศ.2133-2148 19.ราชวงศ์สุโขทัย สมเด็จพระเอกาทศรถ พ.ศ.2148-2153 20.ราชวงศ์สุโขทัย พระศรีเสาวภาคย์ ( ถูกปลงพระชนม์ ) พ.ศ.2153-2153 21.ราชวงศ์สุโขทัย สมเด็จพระเจ้าทรงธรรม พ.ศ.2153-2171 22.ราชวงศ์สุโขทัย สมเด็จพระเชษฐาธิราช ( ถูกปลงพระชนม์ ) พ.ศ.2171-2172 23.ราชวงศ์สุโขทัย พระอาทิตยวงศ์ ( ถูกถอดจากราชสมบัติและ ถูกปลงพระชนม์ภายหลัง ) พ.ศ.2172-2172 24.ราชวงศ์ปราสาททอง สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง พ.ศ.2172-2199 25.ราชวงศ์ปราสาททอง สมเด็จเจ้าฟ้าไชย ( ถูกปลงพระชนม์ ) พ.ศ.2199-2199 26.ราชวงศ์ปราสาททอง สมเด็จพระศรีสุธรรมราชา (ถูกปลงพระชนม์ ) พ.ศ.2199-2199 27.ราชวงศ์บ้านพลูหลวง สมเด็จพระนารายณ์มหาราช พ.ศ.2199-2231 28.ราชวงศ์บ้านพลูหลวง สมเด็จพระเพทราชา พ.ศ.2231-2246 29.ราชวงศ์บ้านพลูหลวง สมเด็จพระสรรเพ็ชญ์ที่ 8 ( พระเจ้าเสือ ) พ.ศ.2246-2251 30.ราชวงศ์บ้านพลูหลวง สมเด็จพระเจ้าท้ายสระ พ.ศ.2251-2275 31.ราชวงศ์บ้านพลูหลวง สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ พ.ศ.2275-2301 32.ราชวงศ์บ้านพลูหลวง สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร ( สละราชสมบัติออกผนวช ) พ.ศ.2301-2301 33.ราชวงศ์บ้านพลูหลวง สมเด็จพระเจ้าเอกทัศ พ.ศ.2301-2310 ไม่นับขุนวรวงศาธิราช ซึ่งครองราชย์อยู่เพียง 42 วัน ก็ถูกขุนนาง ข้าราชการร่วมกันกำจัดและอัญเชิญพระเฑียรราชาอนุชาของสมเด็จพระไชยราชา ลาผนวชมาเสวยราชสมบัติ
3. ความสัมพันธ์ของไทยกับอินเดีย เช่นการค้า การคมนาคม การเมือง มีความสัมพันธ์อย่างไร การทูต ไทยสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตอินเดียเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2490 ขณะนี้ไทยมีสถานเอกอัครราชทูตตั้งอยู่ที่กรุงนิวเดลี และมีสถาน
สวัสดีค่ะ อาจารย์ จิระที่เครพ ดิแนขอตอบคำถามดังนี้
ข้อ 1 ในประวัติศาสตร์ของไทยกับอินเดียมีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร
ตอบ ในประวัติศาสตร์ของอยุธยากับอินเดียมีความเกี่ยวข้องกันทางด้านศาสนาเพราะชาวอินเดียส่วนใหญ่จะนับถือศาสนาพุทธเหมือนคนอยุธยาส่วนทางด้านความสัมพันธ์ทางการฑูตนั้นยังไม่เป็นทางการเพียงแต่เข้ามาขอไมตรีและหาลือข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆทั้งการค้นคว้าวิถีชีวิตของคนอยุธยา
ข้อ 2 ไปทัวร์นอกสถานที่แล้วได้อะไรมาบ้าง
ตอบ ไปทัวรืนอกสถานที่ได้อะไรหลายอย่าง อย่างเช่นตอนที่ดิฉันเข้าไปในพระนครศรีอยุธยาดิฉันได้เห็นศาลากลางจังหวัดพระนครศรีอยุธยาหลังเก่าซึ่งสวยงามมากทางด้านหน้าเป็นรูปปั้นพระบรมรูปวีรกษัตริย์และวีรสตรีไทยซึ่งได้ประกอบคุณานุประโยชน์อย่างใหญ่หลวงให้กับประเทศชาติในอดีต มี 6 พระองค์และได้เข้าชมพระราชวังบางประอินทร์ซึ่งเป็นที่หน้าภาคภูมิใจมากในชีวิตของดิฉัน
ข้อ 3 สำรวจความสัมพันธ์อาธิเช่นการค้าขาย การคมนาคม การเมือง
ตอบ การค้าขายชาวอินเดียได้นำสินค้าเข้ามาขายด้วยแต่ยังไม่มากนัก ถ้าเป็นเรื่องทางด้านศาสนานั้นทรงอนุญาติให้ชาวอินเดียเดินทางเข้ามาเผยแพร่ศาสนาได้อย่างเสรี
ข้อ 4 เป้าหมายของตัวเราในอีก 5 ปีข้างหน้าเรามีเป้าหมายในชีวิตอย่างไร
ตอบ เป้าหมายของตัวเราในอีก 5 ปีข้างหน้าเรามีเป้าหมายในชีวิตที่จะต้องเป็นผู้นำที่มีคุณภาพในทุกด้านและมีการพพัมนาตัวเองให้ก้าวทันยุคทันเหตุการณ์อยู่ตลอดเวลา
ข้อ 5 ยุทธวธีในการไปให้ถึงเป้าหมายของตัวเรา
ตอบ ยุทธวิธีในการที่จะก้าวไปสู่เป้าหมายของตัวเราคือเราต้องมีความมั่นใจจากประสบการณ์ที่ดิฉันได้ทำงานมานานบวกกับบริษัทได้ให้ความรู้และได้จัดการให้มีการอบรมทุกๆด้านอย่างต่อเนื่องจึงทำให้ดิฉันได้มีความรู้มากขึ้นตลอดจนทัศนะในการวางแผนและการแก้ใขปัญหา
ข้อ 6 เรามีความสามารถที่จะไปสู่เป้าหมายและความสำเร็จได้หรือไม่
ตอบ ดิฉันมีความสามารถที่จะไปสู่เป้าหมายและความสำเร็จได้เพราะดิฉันมีความมั่นใจและตั้งใจทำงานให้บริษัทเจริญรุ่งเรืองถ้าบริษัทเจริญรุ่งเรืองขึ้นชุมชนและประเทศชาติก็เจริญรุ่งเรืองไปด้วย
ข้อ 7 เรามีความมั่นใจในตัวเองมากน้อยเพียงใด
ตอบ ดิฉันมีความมั่นใจในตัวเองมากเพราะดิฉันได้มาอยู่ในบริษัทชั้นนำและได้ให้ความรู้กับดิฉันตลอดเวลามีการจัดการอบรมในด้านต่างๆในการจัดอบรมแต่ละครั้งนั้นใช้เงินเป็นจำนวนมากบริษัทก็มอบให้เพื่อต้องการให้องค์กรจะได้ก้าวทันโลก
เรียนอาจารย์จีระที่เคารพผมนายสุทิน สุขประเสริฐขอส่งการบ้านจากการที่ได้ออกไปศึกษานอกสถานที่ดังต่อไปนี้
ข้อ 1 ประวัติศาสตร์ของอยุธยากับอินเดียมีความเกียวข้องกันอย่างไร
ตอบ. สมัยอยุธยานั้นมีความเกี่ยวข้องกับอินเดียหลายทางไม่ว่าจะเป็นทางด้านการค้าขาย การเมือง แล้วยังมีความสัทพันธ์ที่มีความสำคัญมากได้แก่ ความสำคัญทางด้านศาสนาเพราะศาสนาพุทธนั้นมีต้นกำเนิดมาจากประเทศอินเดียซึ่งได้เข้ามาเผยแพร่ที่ประเทศไทยมากและศาสนาพุทธจึงเป็นที่นับถืออันดับหนึ่งของประเทศไทย
ข้อ 2 ไปทัวร์นอกสถานที่แล้วได้อะไร
ตอบ การที่ได้ไปทัวร์นอกสถานที่ของการเรียนครั้งนี้ทำให้ผมรู้ถึงประวัติศาสตร์ของประเทศไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยาว่ามีความรุ่งเรืองมากน้อยเพียงใดและมากกว่าการเรียนในห้องสมัยเป็นนักเรียนและทำให้รู้ว่าบรรพชนของเราต้องต่อสู้กับอะไรบ้างเพื่อปกป้องบ้านเมืองให้พ้นจากการรุกรานของต่างชาติที่จะมายึดครอง
ข้อ 3 สำรวจความสัมพันธ์ของไทยกับอินเดีย
ตอบ ความสำพันธ์ของไทยกับอินเดียนั้นมีอยู่หลายอย่างเช่น การค้าขาย การคมนาคม การเมือง มีความสำพันธ์ทางการฑูต ไทยสถาปนาความสำพันธ์ทางการฑูตอินเดียเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2490
ข้อ 4 เป้าหมายของตัวเราเองอีก5ปีข้างหน้าเรามีเป้าหมายของชีวิตอย่างไร
ตอบ ผมคิดว่าจะต้องทำงานอยู่ในบริษัทต่อไปเพราะอยากทำงานเพื่อทีจะเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาบริษัทให้เป็นที่รู้จักของคนทั่วโลกและถ้าบริษัทมีความมั่นคงเราก็มีความมั่นคงด้วย
ข้อ 5 ยุทธวิธีในการไปให้ถึงเป้าหมายของตัวเองควรทำอย่างไร
ตอบ เราต้องเป็นคนขยันและใฝ่หาความรู้ให้มากไม่ว่าจะเป็นเรื้องทางการเมือง สังคมธุระกิจ และรู้จักการทำงานให้เป็นทีมและต้องยอมรับความคิดเห็นของคนอื่นด้วยแต่ที่สำคัญคือเราต้องมั่นใจในตัวเอง
ข้อ 6 เรามีความสามารถที่จะไปให้ถึงเป้าหมายและความสำเร็จได้หรือไม่
ตอบ การที่จะทำอะไรลงไปแล้วนั้นทุกคนต้องยอมรับว่าทุกคนคิดถึงความสำเร็จแทบทุกคนทั้งนั้นแต่จะสำเร็จหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับความมั้นใจในตัวเองของแต่ละคนว่าจะมีมากหรือน้อยถ้าทุกคนมีความมั้นใจในตัวเองแล้วทุกอย่างที่ทำลงไปจะสำเร็จได้
ข้อ 7 เรามีความมั้นใจในตัวเองมากน้อยเพียงใด
ตอบ ในความคิดของผมแล้วผมคิดว่าต้องถามตัวเงก่อนว่ามีความมั้นใจในตัวเองมากน้อยเพียงใดและผมคิดว่าสิ่งที่จะสร้างความมั้นใจให้ตัวเองนั้นเราต้องมีความรู้และความสามารถในตัวเองดังนั้นเราจึงต้องใฝ่รู้และต้องเรียนรู้ให้มากถึงจะสร้างความมั้นใจให้ตัวเองได้มาก
สวัสดีครับอาจารย์ผมนายเอกสิทธิ์ สิงห์สูง จากการที่ได้ออกไปดูงานนอกสถานที่ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2550 อาจารย์ได้ให้การบ้านไว้ 7 ข้อ ซึ่งผมจะขอตอบดังต่อไปนี้
ข้อ 1 พระพุทธศาสนาในประวัติศาสตร์ของอยุธยากับอินเดียมีความสัมพันธ์กันอย่างไร
ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่เกิดขึ้นที่ประเทศอินเดียก่อนพุทธศักราช 45 ปี นับเป็นศาสนาที่สำคัญที่สุดในโลกศาสนาหนึ่งที่มีผู้นับถือหลายร้อยล้านคนสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชกษัตริย์แห่งเมืองปาฎาลีบุค ทรงเลื่อมใสพระพุทธศาสนามากจึงได้ส่งพระธรรมทูตไปเผยแพร่ศาสนาทั้งภายในและภายนอกประเทศอินเดียปรากฏว่าพระเจ้าอโศกมหาราชได้ส่งแระโสณเถระกับพระอุดเถระมายังดินแดนทีเป็นประเทศไทยภาคกลางในปัจจุบัน ซึ่งสมัยยังเป็นดินแดนอาณาจักรทวารวดีชาวอินเดียเรียกว่า สุวรรณภูมิ โดยใช้เส้นทางเรือสู่ดินแดนที่เรียกว่า สุวรรณภูมิ เชื่อกันว่าได้แก่ดินแดนแถบนครปฐม,ราชบุรีและสุพรรณบุรี ดังที่ปรากฎหลักฐานทางโบราณคดีในสมัยอาณาจักรทวารวดีดินแดนแถบนี้พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองมาก ศิลปะต่างๆทางพระพุทธศาสนาก็แสดงให้เห็นอิทธิพลอินเดียอย่างเห็นได้ชัด
ข้อที่ 2 ในการไปศึกษานอกสถานที่ ที่พระนครศีรอยุธยาแล้วได้อะไรบ้าง
1. ได้เป็นการศึกษานอกห้องเรียนเป็นครั้งแรกเป็นการผ่อนคลายไปในตัว
2. ได้รับรู้ประวัติศาสตร์ความเป็นมาของกรุงศรีอยุธยาในสมัยรุ่งเรืองและจนเสียกรุง
3.ได้เข้าชมโบราณสถานต่างๆ ที่มีความสวยงามและได้เข้าสักการะพระพุทธรูปที่สวยงาม
ข้อที่ 3 ความสัมพันธ์ของไทยกับอินเดีย เช่น การค้าขาย,การคมนาคม,การเมือง มีความสัมพันธ์อย่างไร
- ไทยสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับอินเดียเมื่อ 1 สิงหาคม 2490 ขณะที่ไทยมีสถานเอกอัครราชทูตที่กรุงนิวเดลี ส่วนอินเดียมีสถานเอกอัครราชทูตที่กรุงเทพและมีสถานกสุลใหญ่ที่เชียงใหม่และสงขลา
- การค้าขาย จะเห็นได้ว่าในปัจจุบันคนอินเดียได้มาสร้างบริษัทหรือโรงงานต่างๆในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก เช่น ที่ลพบุรี สระบุรี นครปฐม คนอินเดียกล้าที่จะมาลงทุนในประเทศไทยและเหมาะแก่การ คมนาคม ทั้งทางบกและทางเรือ และทำให้คนไทยจำนวนมากมีงานที่มั่นคงทำ
4. เป้าหมายของตัวเราอีก 5 ปีข้างหน้าเรามีเป้าหมายชีวิตอย่างไร
- ผมตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะตั้งใจศึกษาหาความรู้ต่างๆ และนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์มากที่สุด
- จะพัฒนาตนเองให้ก้าวไปอยู่ในอีกจุดหนึ่ง และให้ทุกคนยอมรับและเป็นคนที่มีเหตุผล
- จะเป็นผู้นำที่ดีทั้งที่โรงงานและที่บ้าน
5. วิธีในการไปให้ถึงเป้าหมายของตัวเราควรทำอย่างไร
- มีความขยันอดทนซื่อสัตย์สุจริต
- มีความรอบรู้ ความรอบคอบ
- มีคุณธรรม
6. เรามีความสามารถที่จะไปสู่เป้าหมายและความสำเร็จได้หรือไม่
ได้ ความสามารถของผมจะไปสู่เป้าหมายนั้น ผมพร้อมที่จะรับทุกอย่างที่ทางบริษัทจะมอบให้เพื่อเป็นการเรียนรู้และเก็บเกี่ยวประสบการณ์ต่างๆ และนำมาใช้ประโยชน์
7. เรามีความมั่นใจในตัวเราเองมากน้อยเพียงใด
ความใจ ในตัวผมเพิ่มมากขึ้นตั้งแต่ได้รับการอบรมต่างๆ ที่ทางบริษัทมอบให้ทำให้ผมเป็นคนที่กล้าคิดกล้าแสดงออกและกล้าตัดสินใจในบางสิ่งบางอย่างในสิ่งที่ถูกต้องซึ่งเมื่อก่อนความมั่นใจในตัวผมมีน้อยมาก
ขอบคุณครับ
เอกสิทธ์ สิงห์สูง
สวัสดีค่ะอาจารย์ ดิฉัน ณัฐสุดา กลัดงาม ขอส่งการบ้านของอาจารย์เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2550 ดังนี้ค่ะ
- สมัยอยุธยา จะเกี่ยวข้องกับอินเดีย คือเรื่องศาสนา เนื่องจากศาสนาพุทธมีต้นกำเนิดมาจากประเทศอินเดีย และในสมัยกรุงศรีอยุธยาสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศได้ส่งภิกษุไปศึกษาทางด้านศาสนาที่ประเทศลังกา เพื่อนำกลับมาฟื้นฟูและเผยแผ่ศาสนาพุทธต่อไป
2. ไปทัวร์นอกสถานที่แล้วได้อะไรบ้าง
- ได้รับความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของกรุงศรีอยุธยา ครั้งที่เคยเป็นราชธานีและได้เห็นโบราณสถาน ต่างๆ ของกรุงศรีอยุธยา และได้รับทราบถึงประวัติความเป็นมาสมัยกรุงศรีอยุธยาเพิ่มขึ้นอย่างมากๆ
3. สำรวจความสัมพันธ์ของไทยกับอินเดีย อาทิเช่นการค้า การคมนาคม การเมือง
- ด้านการค้า อินเดียได้มาลงทุนในไทย และทั้ง 2 ประเทศยังมีเป้าหมายในการเพิ่มมูลค่าทางด้านการค้าให้มากขึ้น
- ด้านคมนาคม ในปี 2544 นายกรัฐมนตรีไทยและอินเดียมีความร่วมมือ ไตรภาคี ในการเชื่อมโยงถนนระหว่างไทย- อินเดีย เพื่อใช้ในการค้า การลงทุนต่างๆ
- ด้านการเมือง ในประเทศไทยมีสถานทูตประจำประเทศไทย และผู้นำทั้ง 2 ประเทศก็เคยไปเยือนซึ่งกันและกัน เพื่อสร้างความสัมพันธ์ยิ่งขึ้น
4. เป้าหมายของตัวเราอีก 5 ปีข้างหน้าเป็นอย่างไร
- ดิฉันจะทำงานด้วยความตั้งใจ ทำงานให้ดีที่สุดเพื่อให้องค์กรมีความเจริญยิ่งขึ้น และเป้าหมายของดิฉัน ต้องการเห็นบริษัทเจริญก้าวหน้าควบคู่กันไปพร้อมกับบุคลากรในองค์กรต่อไปยิ่งๆ ขึ้น
5. ยุทธวิธีในการไปให้ถึงเป้าหมายของตัวเรา
- ดิฉันจะตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่ และจะพยายามศึกษาหาความรู้เพื่มเติมทั้งในด้าน ภาษา คอมพิวเตอร์ และการอบรมต่างๆ ที่ษริษัทเปิดโอกาสให้ได้รับการอบรม ดิฉันจะตั้งใจทุกๆด้าน
6. เรามีความสามารถที่จะไปสู่เป้าหมายและความสำเร็จได้หรือไม่
- ดิฉันมีความเชือมั่นว่าดิฉันจะทำให้สู่เป้าหมาย และความสำเร็จได้แน่นอน
7. เรามีความมั่นใจในตัวเองมากน้อยเพียงใด
- ดิฉันมีความมั่นใจมากค่ะ เพราะการได้รับความรู้จากการอบรม การเรียนรู้ต่างๆ ทำให้ดิฉันมีความมั่นใจในตัวเองมาก สวัสดีค่ะสวัสดีครับท่านอาจารย์จีระ หงส์ลดารมภ์ที่นับถือ
เพิ่งจะเจอบันทึกนี้ครับ
ผมเคยพบอาจารย์ครั้งหนึ่งที่คลังสมอง วปอ.เพื่อสังคม ช่วงเดือนมีนาคม ปีนี้เอง ซึ่งท่านอาจารย์ไปบรรยายเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงให้ผู้เข้ารับการอบรมหลักสูตรผู้นำตามแนวพระราชดำริและปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งในครั้งนั้นมีอาจารย์ ดร.ธันวาฯ และผมในฐานะประธานผู้เข้ารับการอบรม รุ่น 1 ร่วมอภิปรายบนเวทีด้วย
ในขณะนั้นผมเป็นเจ้าหน้าที่การทูต 9 ของกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งต่อมาอีกไม่กี่เดือนก็ได้รับคำสั่งให้ไปรับตำแหน่งอัครราชทูต ที่สถานเอกอัครราชทู่ตไทย ณ กรุงนิวเดลี ซึ่งจนถึงบัดนี้ อยู่อินเดียมาได้ 3 เดือนแล้วครับ
เห็นบันทึกนี้แล้วก็ดีใจเพราะเกี่ยวกับอินเดีย ที่ผมกำลังศึกษาถึงความมหัศจรรย์และความเหลือเชื่อทุกวันเช่นกัน
ผมพบว่าอินเดียมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับสยามและไทยอย่างลึกซึ้งในหลายๆ ด้านซึ่งหลายคนในบันทึกนี้ได้กล่าวไปบ้างแล้ว
สิ่งที่ผมเห็นว่าสำคัญมากก็คือเราต้องรู้ถึงตรรกของคนอินเดียให้ได้ เพราะสิ่งนี้คืออินเดียในปัจจุบัน
ผมได้มีโอกาสพบศาสตราจารย์สาคชิดอนันท์ สหายผู้เขียนเรื่อง"ร.5 เสด็จอินเดีย" พบว่ามีข้อมูลที่สำคัญมากหลายประเด็นให้น่าติดตามมาก....ซึ่งผมจะได้ศึกษาต่อไป
ก็ขออนุญาตเข้ามาร่วมแจมบันทึกนี้ด้วยคนนะครับ
ด้วยความเคารพครับ
ดิฉันยุพาพรรณ แสวงทอง ครั้งนี้พวกเราได้เรียนกับอาจารย์ในหัวข้อการตัดสินใจ (DECISION MAKING) ซึ่งนับว่าเกี่ยวข้องกับชีวิติประจำวันของพวกเรามาก เพราะตลอดชีวิตของคนเราต้องใช้การตัดสินใจในหลายๆ เรื่องด้วยกัน ทั้งในเรื่องของหน้าที่การงาน ชีวิตประจำวัน และในเรื่องของครอบครัว ทุกคนคงต้องตัดสินใจด้วยตนเอง คงไม่มีใครให้คนอื่นมาตัดสินใจแทนตัวเรา เพราะว่าเราต้องรู้ตัวเราเองดีที่สุด
ฉนั้นดิฉันขอตอบการบ้านของอาจารย์ดังนี้ค่ะ
1. เรียนเรื่องการตัดสินใจแล้วได้อะไร1.1 ได้รู้ความหมายที่แท้จริงของการตัดสินใจ (Decision Making) ว่าหมายถึง การพิจารณาตกลงใจชี้ขาดเลือกทางเลือก ที่มีอยู่มากกว่าหนึ่งทางเลือก ในอันที่ให้มีการกระทำในลักษณะเฉพาะใด ๆ หรือหมายถึงการตกลงใจเลือกข้อยุติ ข้อขัดแย้ง ข้อถกเถียง เพื่อให้มีการกระทำไปในทางหนึ่งทางใดที่ได้มีการพิจารณาเลือกหรือตรวจสอบอย่างรอบคอบแล้วการตัดสินใจ เป็นการนำหลักเกณฑ์หรือเครื่องมือต่างๆเข้ามาช่วยในการการตัดสินใจเพื่อทำให้ผู้ตัดสินใจมีโอกาสผิดพลาดน้อยลงหรือการตัดสินใจได้ถูกต้องมากขึ้น การตัดสินใจที่จะมีขึ้นภายใต้สถานการณ์ต่างๆ การทำการตัดสินใจได้นำเอาความน่าจะเป็นเและผลกระทบต่อตัวเองและองค์กรทั้งระยะยาวและระยะสั้น แต่ถ้ามีทางเลือกเพียงทางเดียว ปัญหาการตัดสินใจก็ไม่เกิดขึ้นเพราะถึงอย่างไรก็ต้อง
เลือกตามวิถีทางเดียวที่มีอยู่นั้น ซึ่งจะไม่มีการเปรียบเทียบว่าผลลัพธ์หรือผลตอบแทน ที่ดีที่สุด หรือไม่ แต่ถ้ามีวิธีให้ผลตอบแทน
มากกว่าหนึ่งทางแล้ว ก็จะต้องมีการตัดสินใจเลือกทางหรือวิธีที่จะทำให้ได้ผลตอบแทนมากที่สุด ซึ่งการตัดสินใจเลือกดังกล่าวนี้
เป็นเรื่องที่ยุ่งยากและสลับซับซ้อนยิ่งขึ้น ดังนั้นจึงได้พยายามหาสิ่งที่จะช่วยในการตัดสินใจเพื่อให้ได้รับผลตอบแทนสูงสุด
1.2 ได้เรียนรู้ประโยชน์ของการตัดสินใจที่จะนำองค์กรไปสู่ความสำเร็จ หรือหลีกเลี่ยงปัญหาที่เกิดขึ้น ก่อนการตัดสินใจ ต้องมองผลกระทบทั้งทางบวกและทางลบอย่างรอบคอบ หากมีการตัดสินใจใหม่ต้องนำการตัดสินใจมาเปรียบเทียบกับสถานการณ์เดิมว่าเป็นอย่างไร
1.3 ได้ทราบว่าการตัดสินใจมีหลายแบบ หลายชนิดด้วยกันทั้งงานทั่วไป งานประจำ งานเร่งด่วน ฉุกเฉิน ต้องใช้ยุทธวิธี ยุทธศาสตร์ขององค์กร เข้ามาร่วมในการตัดสินใจ โดยให้มองภาพรวมให้กว้าง ๆ ก่อนการตัดสินใจ ว่าจะใช้การตัดสินใจแบบ CONSENSUS คือทุกคนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ หรือจะใช้แบบแกนนำจำนวนหนึ่งเข้ามามีส่วนร่วมในการตัดสินใจ หรือการใช้การตัดสินใจโดยผู้นำเบ็ดเสร็จ ทั้งนี้ต้องแล้วแต่สถานการณ์ เลือกให้เหมาะสมกับบุคคล เวลาและสถานที่
ข้อดีของการตัดสินใจโดยผู้นำเบ็ดเสร็จคือ เสียเวลาไม่มาก ไม่เกิดการแบ่งพรรคแบ่งพวก และข้อมูลไม่รั่วไหล ข้อเสีย คือ การไม่ยอมรับผลของการตัดสินใจ ขาดข้อมูล ข่าวสารที่ดี มีทางเลือกน้อยและเสียเวลาในการทำความเข้าใจในปัญหา
ข้อดีของการตัดสินใจโดยทุกคนมีส่วนร่วม คือ เกิดความเป็นประชาธิปไตย ลดข้อข้องใจ ความขัดแย้ง ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็น มีข้อมูลมาช่วยเสริมความคิดในการตัดสินใจ ข้อเสีย คือ เสียเวลามาก หาข้อสรุปยาก ทำให้เกิดความขัดแย้ง และอาจทำให้เกิดการคิดตามกลุ่ม
กระบวนการในการตัดสินใจนั้น คงต้องเริ่มตั้งแต่ การนำปัญหามาวิเคราะห์หาสาเหตุ ว่าเป็นปัญหาอะไรกันแน่ เพื่อค้นหาวิธีการแก้ไขอย่างถูกต้องเหมาะสม แล้วนำปัญหานั้นมาวิเคราะห์หาทางออก โดยการมองหาจุดแข็งและจุดอ่อนของปัญหานั้น ๆ แล้วหาทางเลือกที่ดีที่สุด แล้วจึงดำเนินการทันที
2. CASE STUDY ของอาจารย์ นำมาใช้กับริษัทอินโดรามาได้อย่างไรแน่นอนมีความเกี่ยวข้องใกล้เคียงกันมาก เพราะเกี่ยวข้องในเรื่องของค่าจ้าง รางวัล และสวัสดิการต่าง ๆ ของบริษัทที่มีให้กับพนักงาน หากวันนึงมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นในบริษัทอินโดรามา ผู้บริหารและพนักงานคงต้องใช้หลักการของอาจารย์มาประกอบในการพิจารณาเพื่อหาข้อยุติ ซึ่งทฤษฏีของ EDWARD DE BONO คงใช้ได้ทุกข้อ ยกเว้นในเรื่องของอารมณ์ของผู้เข้าร่วมการตัดสินใจ คงจะใช้ร่วมด้วยไม่ได้ ทฤษฏีในการนำมาพิจารณาถึงการตัดสินใจมีหลายอย่างด้วยกัน เช่น ความรู้ ข้อมูล อารมณ์ ความคิดเชิงสร้างสรรค์ หลักการวิเคราะห์ หลักของเหตุผล ประสบการณ์ความรู้ และไหวพริบและสัญชาตญาณ โดยการนำทุกทฤษฏีมาประยุกต์ใช้เข้าด้วยกัน ทุกปัญหาก็จะสามารถสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี อย่าใช้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล เพราะโดยทั่วไปแล้ว การตัดสินใจมักกระทำตามความพอใจของแต่ละคน และทำตามความต้องการของตัวเองเป็นหลัก หากทุกคนได้ทำความเข้าใจถึงปัญหา มีการอภิปรายหาข้อสรุปถึงปัญหา และได้รับการยินยอมและเห็นพ้องต้องกันแล้ว ปัญหาทุกอย่างก็จะยุติลงได้ ขอบคุณค่ะ สวัสดีค่ะผมดีใจมากที่คุณพลเดช ได้ไปเป็นอัครราชทูตที่อินเดีย และผมขอชมเชยที่สามารถค้นหา Blog ของผมได้ ถ้าคุณพลเดช อยากอ่านเรื่องอื่น ๆ ซึ่งเป็นผลงานของผม ให้เข้าไปดูที่ www.chiraacademy.com ผมขอชื่นชมวิธีการเรี่ยนรู้ของคุณพลเดชเป็นอย่างมาก
โครงการของผมกับอินเดีย เป็นโครงการต่อเนื่อง 2 โครงการใหญ่ ๆ ในขณะนี้คือ
1 . พัฒนาบุคลากรให้กับบริษัท Indorama ซึ่งเป็นบริษัทที่มีบทบาทในธุรกิจสิ่งทอในประเทศไทย บริษัทนี้เห็นความสำคัญในการพัฒนาบุคลากรในระดับ ปวช. ปวส. ซึ่งขาดทักษะในการจัดการ และกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่มีความกระตือรือร้นในการหาความรู้ ซึ่งผมจะพัฒนา และอบรมกลุ่มนี้เป็นเวลา 10 เดือน
2. โครงการความร่วมมือกับสถาบัน IIT และสถานทูตอินเดีย ซึ่งจัดสัมมนาให้ความรู้ด้านเทคโนโลยีแก่มหาวิทยาลัย และสถาบันต่าง ๆ ในประเทศไทย
การที่คุณพลเดช ได้มาประจำที่อินเดีย จะเป็นผลดี เพราะผมมีโครงการที่จะไป Lecture ที่ิอินเดียเร็ว ๆ นี้ ผมเชื่อว่าการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่ดีต้องเชื่อมโยงกับอินเดีย เพราะแนวคิดของเขาในด้านนี้จะเป็นประโยชน์ต่อโลก
ขอให้คุณพลเดช ส่งข้อมูลที่เป็นประโยชน์มาเป็นระยะ ๆ เป็นพยายามติดต่อ GURU ชาวอินเดียในด้านการจัดการ ซึ่งเราสามารถเชิญมาเป็นวิทยากรได้
ผมหวังว่าคงจะได้มีโอกาสพบกับคุณพลเดชในประเทศอินเดียครับ ซึ่งเราจะได้เป็นแนวร่วมกันพัฒนาทรัพยากรมนุษย์กันต่อไป
จีระ หงส์ลดารมภ์
เรียนท่านอาจารย์จีระที่เคารพครับ
ขอบพระคุณท่านเป็นอย่างมากครับ ความจริงผมแอบไปอ่านข้อเขียนของท่านตั้งแต่วันที่ผมพบท่านที่คลังสมองเป็นต้นมาครับและก็ดีใจแทนคนไทยที่จะได้มีโอกาสเรียนรู้เรื่องการบริหารจัดการที่ดีจากเว็บของอาจารย์และบันทึกใน G2K ซึ่งผมถือว่าเป็นคลังสมองแห่งหนึ่งของเมืองไทย
ผมเห็นด้วยกับอาจารย์ที่ว่าการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่ดีของไทย ควรและต้องเชื่อมโยงกับอินเดียเพราะโดยเฉพาะไทยซึ่งมีจุดร่วมกันในเรื่องของวัฒนธรรมที่ลึกซึ้งยิ่งนัก จะบอกว่าไทยกับอินเดียเป็นญาติกันในทางวัฒนธรรมก็ว่าได้ และไทยก้ควรใช้จุดนี้ร่วมไปกับการส่งเสริมกระชับความสัมพันธ์กับอินเดีย
บริษัท Indorama
(ต่อครับ...คงกดคีย์ผิด เลยบันทึกไปแล้ว)
เรียนท่านอาจารย์จีระที่เคารพครับ
ขอบพระคุณท่านเป็นอย่างมากครับ ความจริงผมแอบไปอ่านข้อเขียนของท่านตั้งแต่วันที่ผมพบท่านที่คลังสมองเป็นต้นมาครับและก็ดีใจแทนคนไทยที่จะได้มีโอกาสเรียนรู้เรื่องการบริหารจัดการที่ดีจากเว็บของอาจารย์และบันทึกใน G2K ซึ่งผมถือว่าเป็นคลังสมองแห่งหนึ่งของเมืองไทย
ผมเห็นด้วยกับอาจารย์ที่ว่าการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่ดีของไทย ควรและต้องเชื่อมโยงกับอินเดียเพราะโดยเฉพาะไทยซึ่งมีจุดร่วมกันในเรื่องของวัฒนธรรมที่ลึกซึ้งยิ่งนัก จะบอกว่าไทยกับอินเดียเป็นญาติกันในทางวัฒนธรรมก็ว่าได้ และไทยก็ควรใช้จุดนี้ร่วมไปกับการส่งเสริมกระชับความสัมพันธ์กับอินเดีย
บริษัท Indorama นั้น ผมได้มีโอกาสพบผู้บริหารระดับสูงหลายคนในช่วงที่ท่านรองนายกฯ โฆษิตไปเยือนอินเดียปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ต้องยอมรับในความสามารถในเชิงธุรกิจของคนอินเดีย ที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกลและทำงานในระบบเครือญาติที่เข้มแข็งมาก
ยิ่งได้มาอยู่อินเดีย จนวันนี้ 3 เดือน ก็ยิ่งเห็นลักษณะดีๆ ที่แฝงอยู่ของคนอินเดีย ที่คนไทยสามารถนำมาเสริมได้ ซึ่งลูกศิษย์ของอาจารย์หลายคนก็ได้ส่งการบ้านที่มีคำตอบน่าสนใจทีเดียว
สิ่งสำคัญในการเรียนรู้เกี่ยวกับอินเดียก็คือการไปสัมผัสกับสังคมอินเดีย ผมถือว่านั่นคือหน่วยกิตที่สำคัญมากเลยนะครับ ถ้าจะจบวิชาอะไรก็ตามที่เกี่ยวกับอินเดีย ต้องไปสัมผัสอินเดียโดยตรงครับ และที่ผมทราบจากการเยือนของผู้บริหารระดับสูงของ กพ. ก็คือกำลังจะมีโครงการที่จะจัดให้ผู้ที่จะผ่านการอบรมผู้บริหารในทุกระดับของราชการต้องไปทัศนศึกษาที่อินเดียเพิ่มจากการทัศนศึกษาตามปรกติ เพราะการไปอินเดีย ได้เห็นสิ่งต่างๆ จะให้แง่คิดกับชีวิตได้มากครับ รวมทั้งการบริหารจัดการชีวิต
โครงการของอาจารย์เป็นโครงการที่ดีและหากมีอะไรให้ผมช่วยคิดช่วยทำ ก็ยินดีนะครับ
ในอีก 4 วัน ผมก็จะเข้าร่วมโครงการอุปสมบทเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา ที่พุทธคยาแล้ว (28 ตค.-6 พย.) จึงขอกราบลาอุปสมบท มา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ
ด้วยความเครารพ
สวัสดีครับอาจารย์ผมนายศรายุทธ ยิ้มอยู่ จากการได้ศึกษาเรียนเรื่อง การตัดสินใจ DECISION MAKING ในวันที่ 16 ตุลาคม 2550 ซึ่งอาจารย์ก็ได้นำหลักการ และทฤษฏีต่างๆ มาแนะนำเพื่อให้ผู้เข้ารับการอบรมเรียนรู้ ของ INDORAMA เกิดความเข้าใจ และเห็นความสำคัญกับคำว่า การตัดสินใจ เพราะการดำเนินงานต่างๆ ซึ่งไม่ว่าจะอยู่ในสถานะผู้บริหาร ผู้นำ ผู้ตาม แม้แต่ในครอบครัวของเรา แล้วเรื่องการตัดสินใจเราต้องมีบทบาทในบางเรื่อง ถ้าเราเล็งเห็นแล้วว่าสิ่งที่เราจะตัดสินใจอะไรลงไป จะเป็นประโยชน์ทั้งในระยะสั้น-และระยะยาว ซึ่งการเรียนครั้งนี้ก็เป็นประโยชน์อย่างยิ่งที่จะสามารถนำไปใช้ในการพัฒนาบริษัท และองค์กร พร้อมทั้งในชีวิตประจำวันได้อย่างมากครับ และอาจารย์ได้ให้คำถามไว้ 2 ข้อ ที่เกี่ยวกับการเรียนในครั้งนี้ ซึ่งผมขอให้คำตอบดังนี้ครับ
1. เรียนเรื่องการตัดสินใจ DECISION MAKING แล้วได้อะไร ?
ซึ่งการเรียนครั้งนี้แล้ว สิ่งที่ผมได้รับและสามารถนำไปใช้ประโยชน์ เพื่อพัฒนาบริษัทฯ งาน และองค์กรก็คือ ได้รับทราบถึงหลักการต่างๆ ในการตัดสินใจว่า การตัดสินใจไม่ใช่ว่าจะทำกันแบบง่ายๆ แต่ต้องคำนึงถึงหลักการต่างๆ เช่นเมื่อเราตัดสินใจไปแล้วจะมีผลกระทบในระยะสั้น และระยะยาวหรือไม่ ตัดสินใจไปแล้วจะสามารถยกเลิกได้หรือไม่ และการตัดสินใจเราควรจะใช้หลักการต่างๆ ในการตัดสินใจและเราควรทราบถึงสภาวะของเรื่องนั้นๆที่เราจะตัดสินใจอะไรลงไป ซึ่งการตัดสินใจเราก็ต้องนำหลักการต่างๆ เข้ามาช่วยเช่น ความรู้ ข้อมูล การวิเคราะห์ เหตุผล ประสบการณ์ ไหวพริบ เข้ามาร่วมช่วยในการตัดสินใจต่างๆ แล้วแต่สถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น และเช่นเดียวกันการที่เราจะสามารถพัฒนาบริษัทฯ องค์กร บุคลากรต่างๆ ให้เกิดความก้าวหน้าแล้ว จำเป็นอย่างยิ่งที่ระดับผู้บริหาร ผู้นำ ควรจะต้องเป็นแบบอย่างในเรื่องของการตัดสินใจในบางเรื่อง ถ้าเรื่องที่เราตัดสินใจไปแล้ว จะเป็นผลดีกับทางบริษัทฯ ไม่ไปกระทบกับปัญหาต่างๆ ที่จะตามมาไม่ว่าจะเป็นผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม กระทบกับบริษัทฯ ตลอดจนผู้บริหารทุกระดับ และลงไปถึงบุคลากรในองค์กร หรือแม้แต่สภาพแวดล้อมทั้งภายในและภายนอกของบริษัทฯ เพราะว่าการตัดสินใจเพียงครั้งเดียว อาจจะมีผลทั้งในระยะสั้น และระยะยาว ซึ่งปัญหาการตัดสินใจที่เกิดการผิดพลาดและทำให้เกิดผลตามมาในองค์กรซึ่งอย่างเช่นปัญหาที่เราพบเห็นอยู่บ่อยๆ เช่น ปัญหาการเกิดข้อขัดแย้งระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างในบริษัทฯหลายๆแห่ง ไม่ว่าจะเป็นปัญหาในเรื่องค่าแรง ค่าจ้าง O.T สวัสดิการต่างๆ ซึ่งปัญหาเหล่านี้ล้วนเป็นปัญหาที่เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ก็จะเป็นผลให้บริษัทฯ ลงไปถึงองค์กร เกิดความเสื่อมเสียทั้งสิน และอาจส่งผลถึงความน่าเชื่อถือไปถึงลูกค้า ซึ่งปัญหาดังกล่าวส่วนมากจะเกิดจากการตัดสินใจเป็นส่วนใหญ่ เช่น นายจ้างตัดสินใจจ่าย O.T ค่าแรง สวัสดิการต่างๆ ไม่เป็นไปตามระบบ หรือลูกจ้างตัดสินใจ ประชุมรวมตัวกันต่อต้านบริษัทฯ ต่อต้านนายจ้าง นี้แหละครับคือปัญหาที่เกิดจากการตัดสินใจทั้งสิน แต่ถ้าทั้ง 2 ฝ่ายมีการใช้ข้อมูล ความรู้ มีการวิเคราะห์ต่างๆ รวมถึงเหตุผล เข้ามาช่วยในการตัดสินใจ ปัญหาต่างๆ ก็จะไม่เกิดขึ้น ก็จะเป็นผลดีทั้งบริษัทฯ องค์กร บุคลากร รวมถึงผู้บริหาร ผู้นำ ผู้ตาม ก็จะอยู่กันอย่างมีความสุข ดังนั้นทั้งฝ่ายผู้บริหาร ผู้นำ นายจ้าง และลูกจ้าง ถ้าต่างฝ่ายต่างมีหลักการหรือมีความรู้ในเรื่องการตัดสินใจ แล้วก็จะเป็นผลที่จะช่วยกันพัฒนาบริษัทฯ และองค์กรให้ก้าวหน้าต่อไป
2. จากตัวอย่างใน Case Study ของอาจารย์ได้อะไรจากการศึกษา และสามารถนำมาใช้ได้อย่างไร ?
จากการได้ศึกษาจะเห็นว่าอาจารย์ได้ดำรงตำแหน่งเป็นประธานการประชุม APEC HRPRG หรือการประชุมของคณะทำงานกลุ่มผู้นำของประเทศ 21 ประเทศ และได้เห็นถึงประสบการณ์เกี่ยวกับการได้เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเรื่องค่าจ้างขั้นต่ำถึง 6 ปี 3 สมัย อาจารย์ได้ใช้ Styie ต่างๆ ของอาจารย์เข้ามาช่วยในฐานะประธานที่ประชุม แต่สิ่งที่สำคัญผมมองเห็นว่าอาจารย์จะมีรูปแบบในการตัดสินใจในแต่ละเรื่องนั้น อาจารย์จะยึดหลัก 8K’s คือหลักของทุนแห่งความยั่งยืน คืออาจารย์จะมองไปถึงในระยะสั้นและระยะยาว ก่อนการตัดสินใจ ต้องมองผลกระทบทั้งทางบวกและทางลบอย่างรอบคอบ และอาจารย์จะใช้ความรู้ ข้อมูล หลักการ เหตุผล การวิเคราะห์ ประสบการณ์ ไหวพริบ ของอาจารย์นำมาช่วยในการตัดสินใจในแต่ละเรื่อง ซึ่งอาจารย์จะดูว่าปัญหาคืออะไร และมีการวิเคราะห์ มองจุดอ่อน จุดแข็ง และอาจารย์จะเลือกสิ่งที่ดีที่สุด เพื่อดำเนินการต่อไป ซึ่งในแต่ละครั้งการตัดสินใจของอาจารย์เพียงครั้งเดียวจะส่งผลไปถึงธุรกิจในอีกหลายๆที่ ซึ่งถ้าอาจารย์ไม่ใช้การวิเคราะห์ ที่ถูกต้องแล้ว ย่อมเป็นผลนำมาซึ่งความเสียหายอีกหลายๆ ธุรกิจ หรือจะเสียหายถึง นายจ้างและลูกจ้าง เป็นอย่างมาก หรืออาจส่งผลกระทบถึงขั้นการปิดกิจการไปเลยก็อาจจะเป็นไปได้ อาจารย์จะมองที่ความอยู่รอดทั้ง 2 ฝ่าย หากอาจารย์เน้นที่ฝ่ายนายจ้าง ลูกจ้างผู้ใช้แรงงานก็อาจจะอยู่ไม่ได้ แต่ถ้าหากอาจารย์เน้นที่ฝ่ายลูกจ้าง นายจ้างก็อาจจะเกิดความเดือดร้อน ดังนั้นการวิเคราะห์ ข้อมูล เหตุผล การตัดสินใจของอาจารย์มีความสำคัญอย่างยิ่งที่จะส่งผลไปในระยะสั้นและระยะยาวอย่างมากๆ และใน Case Study ผมสามารถนำรูปแบบและแบบอย่างของอาจารย์มาใช้ในการทำงาน รวมถึงในชีวิตประจำวันได้อย่างมาก โดยในภาพรวมๆ คือเรื่องของการตัดสินใจ หลักการ วิธีการต่างๆ เป็นแบบอย่างและตัวอย่างที่จะนำไปใช้ในการปรับปรุงพัฒนาบริษัทฯและองค์กร ได้อย่างดีมากๆ ครับ
สวัสดีครับการเรียนรู้ไม่เท่าพฤติกรรม
1. การตัดสินใจ
การตัดสินใจใช้กับทุกคน และใช้ในชีวิตประจำวัน เช่นวันหยุดจะไปเที่ยวพักผ่อนที่ไหน นั่นเป็นการตัดสินใจ
แบบง่ายๆ เป็นพื้นฐาน ไม่จำเป็นต้องรอบคอบมาก มักไม่มีปัญหาตามมา อาจตัดสินใจได้ทันทีไม่ต้องคิดนานแต่ถ้าเป็นผู้
บริหารงานในการตัดสินใจบางเรื่องต้องใช้ระยะเวลารอบคอบเพราะอาจมีผลกระทบร้ายแรงตามมา
การตัดสินใจที่มีผลกระทบต้องใช้การวิเคราะห์ ต้องมีความรู้ประสบการณ์ ต้องทราบข้อมูลเพิ่มเติมมาประกอบ
ใช้เหตุผลไม่ใช้อารมณ์ เหนือกว่านั้นต้องมีไหวพริบในการตัดสินใจ
การตัดสินใจต้องคิดถึงผลระยะยาวมากกว่าระยะสั้น ถ้าไม่ใช่เรื่องด่วนต้องรอการตัดสินใจ เก็บไปคิดวิเคราะห์
ก่อนเมื่อคิดถี่ถ้วนแล้วค่อยให้คำตอบเพราะการตัดสินใจที่รวดเร็วอาจมีผลกระทบตามมาภายหลัง อาจจะไม่มีโอกาสแก้ไข
แต่ถ้าโชคดีมีโอาสแก้ไขได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระดับผู้บริหาร
การตัดสินใจมีความจำเป็นอย่างยิ่งในหน่วยงานของเรา มีผลกระทบต่องาน เช่น พนักงานขอหยุดงานวันเดียว
กันหลายคน ต้องคิดถึงเหตุผลขอให้คนที่มีความจำเป็นที่สุด ขอความร่วมมือบางส่วนให้มาทำงาน ช่วยเหลือองค์กรให้แรง
จูงใจทาง บวกขอบใจพนักงานที่มาทำงาน
ดังนั้นการตัดสินใจจึงเป็นเรื่องจำเป็นต่อชีวิตประจำวัน ต้องหมั่นใช้ความคิด ใช้ความรู้ประกอบ รวมทั้งความ
สุภาพ การมีจริยธรรมควบคู่ไปด้วย เพราะการตัดสินใจอย่างง่าย ๆ เป็นผลกระทบต่องาน ต่อตนเองอาจมีผลระยะยาว ถึง
แก้ไขไม่ได้ เราจึงต้องฝึกการตัดสินใจ ให้มีประสิทธิภาพ
2.1 ประสบการณ์เรื่องค่าจ้างขึ้นต่ำของ ดร.จิระ
นับว่าเป็นโอกาสที่ดีที่ได้เรียนกับดร.จิระเพราะได้ทราบว่า ดร.จิระเป็นผู้ริเริ่มจัดตั้งองค์กรทรัพยากรมนุษย์ จัด
ตั้งกรมแรงงานขึ้นมา และได้ประสบผลสำเร็จเป็นตัวอย่างที่ดีโดยตรง
เป็นการยากมากที่จะนำผู้ประกอบกิจการ และลูกจ้างมาประจัญหน้ากันเพื่อเรียกร้องสิทธิของตน แน่นอนต้องมี
เรื่องวุ่นวาย ชุลมุน เพราะแต่ละคนต้องการผลประโยชน์ของตนเอง การเป็นผู้ไกล่เกลี่ยทั้ง 2 ฝ่ายให้เข้าใจกันและตกลงกัน
ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ นับว่าอาจารย์อัจฉริยะมากที่สามารถทำได้สำเร็จทำให้ทั้งสองฝ่ายพอใจ การที่ประสบผลสำเร็จได้
อาจารย์ต้องมีความรู้เรื่องนายจ้างและลูกจ้างเป็นอย่างดี มีประสบการณ์ ไหวพริบ และไม่ใช่อาจารย์ประสบความสำเร็จผู้
เดียวทุกคนที่อยู่ภายใต้กรมแรงงาาน รู้สึกพอใจ ที่มีกรมแรงงานคุ้มครองเรื่องนี้นับว่า เป็นบทเรียน โดยตรงที่มีค่า และจะ
นำความรู้ที่ได้รับนำกลับมาปรับใช้ในการทำงานต่อไป
2.2 ประสบการณ์การเป็นประธาน APEC HRDWG
- การเป็นประธานทรัพยากรมนุษย์ในกลุ่มเอเปก ต้องมีความรู้ ความสามารถ ทำให้ทุกคนโหวดเสียงให้ได้รับ
คัดเลือก
- ต้องเข้าใจถึงนิสัยในกลุ่มเพื่อนบ้านแต่ละประเทศว่าแต่ละชนชาติ มีนิสัยใจคออย่างไร แต่ละกลุ่มชนชาติจะมี
นิสัย วัฒนธรรม อาจคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันต้อง เคารพ สิทธิของผู้อื่น มีความสุภาพ ไม่ก้าวร้าว ดูถูกผู้อื่น
- การพูดนอกรอบ นับว่าเป็นไหวพริบที่สำคัญ ต้องมีความเป็นกันเองกับทุกคนให้เกียรติกัน และการขอร้องบาง
เรื่องก็ต้องใช้การพูดคุยนอกรอบมีส่วนในการประสบผลสำเร็จด้วยเหมือนกัน
- ประสบการณ์ของอาจารย์ที่ได้ถ่ายทอดมานับเป็นประสบการณ์ตรงเป็นประโยชน์และมีค่ามาก ดิฉันจะนำมา
ปรับปรุงตนเอง นำมาใช้กับเรื่องการทำงานและการใช้ในชีวิตประจำวัน
ขอบคุณมากค่ะ
รพีพร ศรีปลั่ง
เรียนท่านอาจารย์ จีระ กระผมนายสุทิน สุขประเสรีฐ ขอ ตอบการบ้านดังนี้
1. เรียนเรื่องการตัดสินใจ( Decision Making )แล้วได้อะไร
เมือเรียนเรื่องการตัดสินใจแล้วนั้นทำให้มีความรู้เกียวกับการตัดสินใจนั้นใช้เวลาในการตัดสินใจใช้เวลาประเดี๋ยวเดียวแต่อาจมีผลกระทบต่อตัวเองและองค์กรดังนั้นจึงควรฝึกการตัดสินใจให้มีประสิทธิภาพการตัดสินใจนั้นมีประโยชน์มากและสามารถนำองค์กรสู่ความสำเร็จและการตัดสินใจต้องมองผลกระทบทั้งทางบวกและทางลบดังนั้นก่อนตัดสินใจอะไรลงไปแล้วนั้นต้องคิดให้รอบคอบและคิดถึงผลดีและผลเสียก่อนที่จะตัดสินใจ
2. จากตัวอย่างใน Ctsdy Study ของอาจารย์ได้อะไรจากการศึกษาและสามารถนำมาใช้ได้อย่างไร
จากการศึกษาจะเห็นว่าอาจารย์ได้ดำรงตำแหน่งเป็นประธานการประชุมAPEC HRPRG หรือการประชุมผู้นำของประเทศ21ประเทศและประสบการณ์เกียวกับการทำงานเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเรืองค่าจ้างขั้นต่ำถึง6ปี3สมัยและสิ่งที่สำคัญผมมองเห็นว่าอาจารย์มีรูปแบบในการตัดสินใจในแต่ละเรื่องนั้นอาจารย์จะมองถึงผลกระทบทั้งระยะสั้นและระยะยาวและมองผลกระทบทั้งทางลบและทางบวกและอาจารย์ใช้ความรู้ ข้อมูล หลักการ เหตุผล วิเคราะห์ และประสบการณ์ ไหวพริบ ของอาจารย์นำมาช่วยในการตัดสินใจ
สวัสดีครับคุณพลเดช วรฉัตร ก่อนอื่นผมขอใช้ Biog ของท่านอาจารย์ ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ เป็นสื่อเพื่อขอขอบคุณท่านครับ ที่ท่านได้ให้เกียรติเข้าชม และร่วมแสดงความคิดเห็นใน Biog การพัฒนาบุคลากรสร้างผู้นำของบริษัท Indorama ลพบุรี ซึ่งบริษัทฯ ที่ผมทำงานเป็นธุรกิจของคนอินเดีย ประกอบธุรกิจประเภทสิ่งทอ ผลิตเส้นด้ายจากเส้นใยขนแกะ ส่งออกต่างประเทศ 100%
ทางด้านผู้บริหารท่านได้เล็งเห็นความสำคัญในการพัฒนาบุคลากร ในระดับหัวหน้างานที่อยู่ในระดับกลาง ให้มีความรู้ ความสามารถ เพื่อนำหลักสูตรที่ได้รับจากการพัฒนามาช่วยในการพัฒนาองค์กรต่อไป และก็เป็นโอกาสดีที่ทางผู้เข้ารับการอบรมของ Indorama ได้มีโอกาสได้พบกับท่านอาจารย์ ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ ซึ่งทางผู้เข้ารับการอบรมของ Indorama ทุกคนยอมรับว่าท่านเป็นผู้ฝึกสอน ที่มีความสามารถ ทักษะ ความรู้ ประสบการณ์ และหลักทฤษฎีต่างๆ มาช่วยในการอบรมเพื่อให้เกิดประโยชน์อย่างมาก และท่านยังสร้างให้บุคลากรทุกคนรักที่จะใฝ่รู้ และเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ต่อเนื่อง และต่อเนื่อง เพื่อนำความรู้ที่ได้ไปต่อยอด เพื่อพัฒนาองค์กรต่อไป ซึ่งโครงการนี้จะมีต่อเนื่องเป็นเวลา 10 เดือน ซึ่งก็ผ่านไปแล้ว 6 เดือน ยังคงมีเวลาอีก 4 เดือนที่จะได้ศึกษาอบรม กับท่านอาจารย์ ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ ก็ขอให้คุณพลเดช ติดตามความเคลื่อนไหว ของโครงการพัฒนาบุคลากรของ Indorama ต่อไปได้ครับ และถ้าท่านมีอะไรที่เป็นความรู้เพื่มเติมก็ขอรบกวนท่านช่วยลงข้อความผ่าน Biog นี้ เพื่อให้ทางผู้เข้ารับการอบรม ได้ศึกษาเพื่อเป็นความรู้เพิ่มเติม
ผมในนามผู้เข้ารับการอบรมของ Indorama ขอขอบคุณท่านเป็นอย่างสูงครับ
นายศรายุทธ ยิ้มอยู่สวัสดีครับท่านอาจารย์ และทีมงานทุกๆท่าน จากการได้เรียนและอบรมกับอาจารย์ในเรื่อง องค์กรแห่งการเรียนรู้ ( Learning Organization ) เมื่อวันอังคารที่ 20 พฤศจิกายน 2550 ซึ่งสิ่งที่ผมได้ประโยชน์จากการเรียนในครั้งนี้คือทำให้สามารถทราบในสิ่งใหม่ๆ หลายๆเรื่อง อย่างเช่นในการเรียนรู้นั้น ไม่ใช่ว่าเราจะได้ความรู้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่เรายังสามารถที่จะนำความรู้ที่ได้มาแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน และยังนำไปสร้างมูลค่าเพิ่มได้ และองค์กรแห่งการเรียนรู้นั้นผมคิดว่ามีความจำเป็นอย่างมาก ซึ่งบุคคลในองค์กรจะต้องเปลี่ยนนิสัยในการใฝ่รู้ ด้วยตนเอง เนื่องจากสังคมคนไทยนั้นส่วนมากไม่ชอบที่จะใฝ่รู้ ส่วนใหญ่คิดว่าการเรียนจำเป็นเฉพาะเวลาอยู่ในห้องเรียนเท่านั้น เมื่อเรียนจบแล้วก็คิดว่าไม่จำเป็นที่จะต้องเรียนรู้อะไรเพิ่มเติม ซึ่งความคิดเหล่านี้จึงเป็นผลทำให้คนส่วนใหญ่ขาดการใฝ่รู้ แต่ในปัจจุบันกระแสโลกาภิวัตน์เกิดขึ้น การเรียนรู้ การใฝ่รู้ จะเป็นแนวทางหนึ่งที่จะนำพาเราให้ก้าวทันและอยู่รอดได้ในศตวรรษใหม่นี้ และการทำงานเราก็ยังต้องมีการเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเรียนรู้ด้วยตนเอง ในหน้าที่การงานประจำวัน หรือการเรียนรู้จากผู้บริหาร หัวหน้างาน ผู้ร่วมงาน ซึ่งถ้าตัวเราเป็นคนที่ใฝ่รู้แล้วเราย่อมจะทราบได้เสมอ สามารถทันต่อเหตุการณ์ต่างๆ ดังนั้นการได้เรียนในเรื่ององค์กรแห่งการเรียนรู้ Learning Organization จะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะนำไปสู่สังคมของการเรียนรู้ การสร้างสังคมให้เกิดการเรียนรู้ จึงต้องนำหลักทฤษฎี 4L’S และทฤษฎี 2R ของอาจารย์มาใช้
ทฤษฎี 4L’S
1. Learning Methodology การเข้าใจวิธีการเรียนรู้ เป็นการเน้นการวิเคราะห์ แลกเปลี่ยนความคิดเห็น จัดให้มีการ Workshop
2. Learning Environment การสร้างบรรยาการในการเรียนรู้ โดยการให้ความสำคัญกับวีธีของการนั้งเรียน และการจัดห้องเรียน
3. Learning Opportunities การสร้างโอกาสในการเรียนรู้ โดยการแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน ร่วมหารือกับผู้ฝึกสอน ผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งจะสามารถสร้างให้เกิดโอกาสมูลค่าเพิ่มให้แก่กันและกัน ซึ่งจะนำมาสู่ความคิดที่สร้างสรรค์
4. Learning Communities การสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ โดยใช้ห้องเรียนเป็นจุดเริ่มต้น และสามารถขยายผลต่อไปในวงกว้างต่อไปได้
ทฤษฎี 2R
1. Reality การมองความจริง
2. Relevance การมองให้ตรงประเด็น
นอกจากทฤษฎี 4L’S และทฤษฎี 2R ของอาจารย์ แล้วกฎของ Peter Senge ที่ว่า
Personal Mastery รู้อะไร รู้ให้จริง
Mental Models แบบอย่างทางความคิด
Shared Vision เห็นอนาคตร่วมกัน
Team Learning เรียนเป็นทีม
System Thinking คิดมีเหตุผล
และนอกจากทฤษฎีต่างๆ ที่อาจารย์นำมาสอนแล้ว ยังมีตัวอย่างวิธีคิด 4 แนวของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ที่ท่านได้กล่าวว่า ก่อนที่จะเริ่มทำงานใดๆ ให้คิดถึงสิ่งต่อไปนี้
หลักการต่างๆ นี้ทำให้ผมสามารถมองเห็นโอกาสและแบบอย่างที่จะนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างมาก และที่สำคัญที่ผมได้ทราบถึงแนวคิดใหม่ของการบริหารองค์กรคือ องค์กรต้องมีการเรียนรู้อยู่ตลอดเวลาจึงจะอยู่รอดและปรับตัวตามกระแสโลกาภิวัตน์ได้ เพราะในอนาคตการบริหารองค์กรให้มีการเรียนรู้ และพัฒนาบุคลากรให้มีการใฝ่รู้ จะยังคงเป็นปัจจัยสำคัญอันหนึ่งที่ตัดสินความอยู่รอดขององค์กรต่อไปเพราะความเปลี่ยนแปลงทั้งหลายที่รุมเร้าเข้ามาทำให้ไม่มีทางเลือกอื่นใดในการบริหารและพัฒนาองค์กรนอกจากการเรียนรู้ ซึ่งการพัฒนาบุคลากรในองค์กรให้มีความรู้ ความสามารถ และใฝ่รู้ จะทำให้สามารถปรับตัวให้ทันต่อกระแสโลกาภิวัตน์ เพราะในยุคโลกาภิวัตน์สามารถทำให้องค์กรรุ่งเรือง และดับวูบได้ในเวลาเพียงชั่วข้ามคืน นอกจากนี้องค์กรต่างๆ ต้องแข่งขันกันเองมากขึ้น ไม่ใช้แค่ในระดับประเทศ แต่ต้องเป็นในระดับโลก องค์กรข้ามชาติต่างๆ ต้องมีการเรียนรู้ และปรับตัวเพื่อความอยู่รอดมากขึ้น และในปัจจุบันมีการนำเทคโนโลยีเข้ามาประยุกต์ใช้อย่างมาก ดังนั้นการพัฒนาองค์กรต้องมีความตื่นตัวในด้านการเรียนรู้ในองค์กรของตนเอง และต้องรู้จักปรับตัวด้วยแนวคิดใหม่ๆ ซึ่งถ้าเรามัวยึดติดกับแนวคิดเดิมๆ ธรรมเนียมเดิมๆ หรือเอาแต่ทำงาน ก็อาจส่งผลให้องค์กรนั้นเกิดการอยู่รอดไม่ได้ในศตวรรษใหม่นี้ ซึ่งเหตุผลนี้ก็คงไม่มีอะไรสำคัญเท่าการเรียนรู้
องค์กรแห่งการเรียนรู้ของ Indorama เกิดขึ้นมาได้ผมก็ต้องขอขอบคุณท่านผู้บริหารชาวอินเดียและท่านผู้บริหารคนไทยทุกๆ ท่าน ที่ท่านได้เปิดโอกาสให้มีการเรียนรู้เกิดขึ้นใน Indorama ทำให้บุคลากรของ Indorama เป็นคนที่รักที่จะใฝ่รู้มากขึ้น และผมหวังว่าบุคลากรเหล่านี้จะนำความรู้และประสบการณ์ที่ได้จากการอบรมมาช่วยเป็นแนวทางในการพัฒนาองค์กรต่อไป เพื่อเป็นการตอบแทนที่ผู้บริหารทุกๆ ท่านเปิดโอกาสดีๆ ให้กับผม ซึ่งทำให้ผมได้ข้อคิดดังนี้ครับ
- ได้วิธีคิด
- ได้ทราบว่าการเรียนรู้นั้นต้องเรียนรู้ตลอดชีวิต
- มองเห็นความสุขและมองเห็นคุณค่าของตนเอง
- ทำให้ผมได้เกิดความภูมิใจใน Indorama และทำให้มองเห็นความหวังดีที่บริษัทฯ และท่านผู้บริหารมีกับตัวผม
- ได้ทราบว่าทุกอย่างต้องเริ่มจากการพัฒนาตนเองก่อน
- ได้ทราบว่าความรู้ที่มีต้องเป็นความรู้ที่รู้อะไรต้องรู้ให้จริง
และเป็นความรู้ที่มีคุณภาพสามารถนำไปสร้างมูลค่าเพิ่มได้
ดังนั้นผมขอสรุปว่า เมื่อ Indorama มีองค์กรแห่งการเรียน
รู้เกิดขึ้นในองค์กร ผมคิดว่าโอกาสภายหน้าจะทำให้ I ndorama มีความก้าวหน้ามากขึ้น เพราะบุคลากรในองค์กรจะเป็นผู้ใฝ่รู้เพิ่มมากขึ้น เมื่อบุคลากรใฝ่รู้มากขึ้นก็สามารถช่วยแก้ปัญหาต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นในองค์กรด้วยความรู้ที่ได้จากการเรียนและอบรมต่างๆ ซึ่งองค์กรแห่งการเรียนรู้นี้ผมคิดว่าถ้า บริษัทฯ อื่นๆ อีกหลายๆที่ ได้มีโอกาสจัดให้มีการเรียนรู้ให้กับพนักงานอย่างเช่น Indorama ที่ทำอยู่ในโครงการขณะนี้ ผมคิดว่าจะเป็นประโยชน์อย่างมากภายในองค์กรต่อไปอย่างแน่นอนครับ
สวัสดีครับ
นายศรายุทธ ยิ้มอยู่สวัสดีครับอาจารย์ ด.ร.จีระ หงส์ลดารมณ์ ผมนายเอกสิทธิ์ สิงห์สูง จะขอส่งการบ้านของอาจารย์ดังนี้
1. อาจารย์สอนให้รู้อะไรให้รู้จริงไม่ใช่ว่ารู้แค่นิดเดียววแล้วเอาไปพูดหรือไปสอนคนอื่นๆ
2. อาจารย์สอนให้รู้จักทำตัวให้ตรงกับยุคสมัย เช่น ในปัจจุบันนี้เป็นยุคโลกาภิวัฒน์ หรือ ยุคสภาวะโลกร้อน
3. อาจารย์สอนให้รู้จักกับทฤษฎี 4L และที่สำคัญที่สุด คือการสร้างวัฒนธรรมในการเรียนรู้และนำมาใช้ในองค์กรของตนเองได้
และต้องขอขอบคุณ คุณดีเค บัคชี ,คุณโลเฮีย และคุณโมตา ที่ท่านได้เปิดโอกาสให้ผมได้มีโอกาสเข้าอบรมกิจกรรมต่างๆ เช่น เรียนภาษาอังกฤษ ,คอมพิวเตอร์, กิจกรรม QCC และอื่นๆ อีกมากมายถ้าไม่มีพวกท่านผมคงไม่มีโอกาสที่จะได้ความรู้ต่างๆ เหล่านี้ได้ และสุดท้ายนี้ผมต้องขอขอบคุณคุณพลเดช วรฉัตร เป็นอย่างสูง ที่ได้สละเวลาเข้ามาเยี่ยมชมและอ่านข้อความของพวกผมชาว INDORAMA ขอขอบคุณมากครับ
สำคัญในการดำรงชีวิต , การทำงานและการอยู่ให้รอดไปสู่ความสำเร็จในโลกของการเปลี่ยนแปลง อันที่จริงคนที่จะอยู่ในโลกของโลกาภิวัตน์ได้นั้นจะต้องเน้นใน5 เรื่องเป็นสำคัญ คือ ข้อมูล (Data)
ข่าวสาร (Information) ความรู้ (Knowledge) มูลค่าเพิ่ม (Value Added) ความเฉลียวฉลาด (Wisdom) การที่คนเราจะฉลาดได้นั้น เราต้องรู้จักนำเอาการเรียนรู้, ความรู้ที่เรามีอยู่ หรือจากประสบการณ์ที่สั่งสมเหล่านั้นมาใช้ประโยชน์ เพื่อจะไปสร้างมูลค่าเพิ่มแก่ตัวเอง, ครอบครัว, องค์กร และประเทศชาติ การแสวงหาความรู้นั้นไม่มีขอบเขต และไม่มีการหยุดนิ่ง นอกจากความรู้ที่เราได้จาก
การเรียนทั้งในระบบ และนอกระบบ คือการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ก็จะเป็นการเรียนรู้ตลอดเวลา ได้มีโอกาสนำไปใช้ และนำไปหาความรู้อย่างต่อเนื่อง จะเป็นการเรียนแบบท่องจำ หรือการเรียนโดยไม่มีการถกเถียงในห้องเรียนการเรียนรู้ ใช่ว่าจะเกิดแต่เพียงในห้องเรียนเท่านั้นยังสามารถเกิดขึ้นได้จากการทำงาน มีทฤษฎีที่ชื่อว่า "Learning Loop" มาใช้ในชีวิตการทำงานของเราก็จะทำให้งานของเรานั้นเกิดประสิทธิผล และความสำเร็จตามมาไปสร้างมูลค่าเพิ่ม และก่อให้เกิดความฉลาดเฉลียว ในการปฏิบัติงานได้เป็นอย่างดี โดยมีลำดับดังนี้ มีการเก็บข้อมูล (data) และจัดหมวดหมู่ (coding) ก่อให้เกิดข่าวสาร (information) เมื่อนำข่าวสารมาคิดต่อ วิเคราะห์ วิจัยจะเกิดเป็นความรู้ (knowledge) หากมีการนำความรู้ไปใช้เกิดการสร้างมูลค่าเพิ่ม (value added) นั่นคือ เป็นการเปิดโลกทัศน์ เปลี่ยนวิธีคิดในการทำงานให้สอดคล้องกับสังคมจุดใดจุดหนึ่ง ซึ่งการสร้างมูลค่าเพิ่มนี้ต้องการ การบริหารจัดการมาก และสุดท้ายจะก่อให้เกิดความฉลาดเฉลียว (wisdom) ขึ้น ดังนั้นจะต้องแสวงหาความรู้ที่ทันสมัย มีการแบ่งปันความรู้อย่างถูกต้อง และสร้างมูลค่าเพิ่มให้เกิดขึ้น
ทฤษฎี 4 L’s มีรายละเอียด ดังนี้L ที่ 1 คือ Learning Methodology วิธีการเรียนรู้แบบใหม่เน้นการวิเคราะห์แลกเปลี่ยนความคิดเห็น Workshop การทำ assignment โดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและ MultimediaL ที่ 2 คือ Learning Environment คือ การสร้างบรรยากาศในการเรียนรู้บรรยากาศของการหาความรู้ที่ดีนั้นจะนำไปสู่ Creativity เช่น - การให้ความสำคัญกับวิธีการนั่งเรียน ใช้การจัดห้องเรียนแบบ U-Shape หรือโต๊ะกลม เพื่อกระตุ้นให้ผู้เข้าร่วมสัมมนา สนุก สนใจ และมีส่วนร่วม- สร้างบรรยากาศให้ Relax (ผ่อนคลาย)- มีความทันสมัย มีมุมห้องสมุด / หนังสือดีๆ มีมุมกาแฟ Internet· เน้นปรัชญาการศึกษาแบบ Coaching (การเป็นโค้ช/ พี่เลี้ยง) , Facillitator (ผู้อำนวยความสะดวก), และ Mentoring (การเป็นที่ปรึกษา/ พี่เลี้ยง)L ที่ 3 คือ Learning Opportunityคือ โอกาสที่เกิดขึ้นจากการเรียนรู้เมื่อได้พบปะแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกันรวมทั้งโอกาสในการได้เรียนรู้และร่วมหารือกับวิทยากรหรือผู้เชี่ยวชาญซึ่งจะสามารถสร้างให้เกิดโอกาสสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่กันและกัน
L ที่ 4 คือ Learning Communities คือ การสร้างชุมชนในการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นโดยใช้ห้องเรียนเป็นจุดเริ่มต้นและขยายผลต่อไปในวงกว้าง เช่น เพื่อน ครอบครัว ชุมชนและสังคมทฤษฎีของ Peter Senge ได้พูดถึงการเรียนรู้ในองค์ (Organization Learning) ภายในองค์กรนั้นมีหลายฝ่าย แต่ละฝ่ายก็มีเป้าหมาย (Goal) ที่ทั้งเหมือนกันและแตกต่างกันออกไป เพราฉะนั้น ถ้าทุกคนสามารถเรียนรู้ได้ก็จะทำให้องค์กรสามารถปรับตัวเองไปสู่ความเป็นเลิศได้ ซึ่งกฎของ Peter Senge มีดังนี้ - Personnel Mastery คือ รู้อะไรต้องรู้ให้จริง - Mental Models คือ สำรวจข้อสมมติฐานในการคิดของเรา แบบอย่างทางความคิด- Shared Vision คือ มีวิสัยทัศน์ที่ร่วมกัน เห็นอนาคตร่วมกัน- Team Learning คือ การรู้จักหาความรู้เป็นทีม เรียนกันเป็นทีม- System Thinking คือ การคิดอย่างมีระบบ มีการคิดอย่างมีเหตุมีผลทฤษฎีหมวก 6 ใบ (6 Hats) ของ Edward de Bono วิธีการคิดมีหลายชนิด บางคนชอบคิดทางลบ บวก มีอารมณ์ในการคิด มีข้อมูลก่อนจึงจะคิด ในการจะก่อให้เกิดความคิดขึ้นมาได้ต้องพูดเรื่องใดเรื่องหนึ่งเท่านั้น เช่น พูดเกี่ยวกับความคิดใหม่เท่านั้น อย่าเพิ่งขัดแย้ง โดยทฤษฎีหมวก 6 ใบ ประกอบด้วยหมวกสีขาว หมายถึง ข้อมูลข่าวสาร มีการคิดโดยใช้ข้อมูลข่าวสาร คิดอย่างมีเหตุมีผลหมวกสีเหลือง หมายถึง การมองในแง่ดีเต็มไปด้วยความหวัง คิดเร็ว คิดไปข้างหน้า ช อบความเสี่ยงหมวกสีแดง หมายถึง อารมณ์ความรู้สึก คิดไปตามอารมณ์และความรู้สึกหมวกสีเขียว หมายถึง การคิดอย่างสร้างสรรค์ มีจินตนาการในความคิดหมวกสีดำ หมายถึง การตั้งคำถามหรือตั้งข้อสงสัย คิดเยอะ เก่งคิด คิดอย่างระมัดระวัง อนุรักษ์นิยม
หมวกสีฟ้า หมายถึงการสามารถควบคุมความคิดทั้งหมดหรือมองเห็นภาพรวมของการคิดมีการวิเคราะห์ ก่อนการตัดสินใจ
การเป็นผู้เรียนรู้ที่ฉลาดและได้ผล ซึ่งก่อนที่เราจะเป็นผู้รู้ที่ฉลาดนั้น เราจะต้องมีพฤติกรรม คือ ต้องรู้จักท้าทายความคิดที่ถูกยอมรับ เช่น ในอดีตมีการถกเถียงว่า โลกแบน หรือโลกกลม หรือลองหาทางออกใหม่ๆ รู้จักเป็นคนที่มองโลกและคิดอย่างกว้างๆ ไม่ใช่แค่เพียงมองด้านใดด้านหนึ่ง นำเอาศาสตร์ต่างๆ มาใช้ เป็นการมองศาสตร์อย่างผสมผสาน และลองดัดแปลงให้เข้ากับเรามากที่สุด ในเรื่องของการเรียนรู้ การเรียนนั้นไม่ว่าจะเป็นการเรียนแบบใด ต้องรู้จักให้ Incentive เช่น การให้รางวัลเมื่อทำได้ตรงตามเป้าหมาย แต่ในบางครั้งเราจะต้องมีการบังคับเล็กน้อย นอกจากนี้ จะต้องให้มีการเรียนเป็นทีม (Team) โดยให้ปัจจัยที่ต้องมีการผนึกกำลัง ร่วมมือกัน และอาจจะต้องมีการสร้างสรรค์ (Creativity) หรือ นวัตกรรมใหม่ (Innovation) ให้มาก คนที่ฉลาดนั้น ต้องทำตัวเป็นผู้ฟังที่ดี เปิดโอกาสให้มีการแลกเปลี่ยนมุมมอง หรือประสบการณ์แบบ คุณพูด ผมพูด และมีความแตกต่างทางความคิดได้ เพราะคนเราไม่เหมือนกันก็ย่อมมีความคิดที่ตกต่างกันไปด้วย ในการแลกเปลี่ยนมุมมองจะต้องไม่มีคำว่า "ชนะ หรือ แพ้" ไม่มีการโกรธกัน ถ้ามีความคิดเห็นที่ไม่ตรงกัน เราก็ต้องช่วยหาข้อสรุปร่วมกัน อย่าคิดว่าตนมีความรู้มากแล้วจะแสดงความคิดเห็นโดยไม่ฟังผู้อื่น เอาความคิดของตนเองเป็นใหญ่ ซึ่งการกระทำแบบนี้ถือว่าเป็นคนโง่มากกว่าฉลาด การสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ให้เหมาะสมก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่ช่วยส่งเสริมให้เราใส่ใจที่จะเรียนรู้ในสิ่งต่างๆ เช่น บรรยากาศในห้องเรียน ที่ทำงาน หรือแม้แต่ภายในบ้าน ต้องเป็นที่โล่งโปร่งสบาย มีต้นไม้ที่ช่วยในการพักผ่อนสายตา การที่มีบรรยากาศที่ดีก็จะช่วยให้การเรียนรู้นั้นมีความสุข และสร้างความสนใจที่อยากจะเรียนรู้เพิ่มเติม ฉะนั้นการที่เราจะสร้างนิสัยการเรียนรู้ตลอดชีวิตได้นั้น เราจะต้องเป็นคนที่มีความเชื่อมั่นว่าเราสร้างสังคมการเรียนรู้ได้นั่นเอง ภายในองค์กรก็สามารถสร้างสังคมการเรียนรู้ได้เช่นกัน ถ้า ผู้นำทุกระดับขององค์กรต้องเชื่อในการเรียนรู้ มีวิสัยทัศน์ที่กว้าง และจัดหาความรู้เหล่านี้เข้ามา เช่น การจัดอบรม สัมมนา อย่างสม่ำเสมอ เพื่อสร้างโอกาสที่ทำให้ความรู้ต่างๆ เกิดขึ้น ในยุคของโลกาภิวัตน์การรู้จักนำเอา Technology สารสนเทศมาใช้อย่างจริงจังเป็นสิ่งที่สำคัญ โดยเฉพาะ Internet , Cable TV , CD-Rom หรือ การจัดห้องสมุดให้เป็นห้องสมุดที่มีข้อมูลข่าวสารที่ทันสมัย และมีความหลากหลาย ควรจะเริ่มสะสมข้อมูลข่าวสารที่หลากหลาย หรือจัดสถานที่ที่เหมาะสมกับการใช้เวลาเงียบๆ (มุมสงบ) ที่เราจะหาความรู้อย่างจริงจัง รวมทั้งลงทุนใน Technology ต่างๆ ที่เหมาะสม หรืออาจจะเริ่มจากสิ่งที่เราชอบหรือที่สนใจ หลักคิดและการทำงานของพระเจ้าอยู่หัวฯ รู้-รัก-สามัคคีรู้ คือ ปัญญามีความรู้ ความเข้าใจในงานที่จะต้องทำรัก คือ การมีความรัก ความพอใจในงานที่จะต้องทำสามัคคี คือ การร่วมกันทำงานด้วยความจริงใจอย่างพร้อมเพรียงกัน ไม่ทะเลาะเบอะแว้ง อิจฉาริษยากัน ไม่แบ่งพรรคแบ่งพวก ทำงานนั้นเพื่อผลประโยชน์ของส่วนรวมอย่างแท้จริง ไม่หวังผลประโยชน์ตอบแทน เพื่อเข้าพกเข้าห่อของตน หรือญาติมิตรพรรคพวกของตนท้ายสุดนี้ใกล้จะถึงวันปีใหม่แล้ว ขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย ช่วยปกป้องคุ้มครองอาจารย์และทีมงานให้มีพลานามัยสมบูรณ์ สมบัติเพิ่มพูนทวีผล อุปสรรคผ่านไปไม่อับจน มีความสุขล้นปีใหม่เทอญ
สวัสดีอาจารย์และทุกท่านนะครับ
ต้องขออภัยจริงๆ ที่ไม่ได้เข้ามาทักทายเพราะบันทึกเปลี่ยนกันไวมาก ผ่านตาไปบ้าง กลับมาอีกทีก็หายไปแล้ว
เมื่อวันก่อน ผมได้มีโอกาสคุยกับผู้บริหารบริษัทยาชั้นนำชาวอินเดียท่านหนึ่ง บริษัทนี้มีสาขาที่เมืองไทยด้วย ท่านชอบเมืองไทยมาก เช่นเดียวกับคนอินเดียจำนวนมาก
คำตอบในเรื่องว่าทำไมคนอินเดียส่วนหนึ่งถึงได้เก่ง โดยเฉพาะในการค้าขายในระดับระหว่างประเทศ ท่านผุ้บริหารท่านนี้ยืนยันว่าเป็นเพราะระบบการศึกษาที่ดีที่ได้เป็นรากฐานให้ทุกคนต้องเอาตัวรอด แข่งขันกันเรียนรู้และต้องทำให้ดีที่สุด
ท่านว่าคนไทยก็เก่ง แต่มักจะอายไม่ค่อยกล้าแสดงออก โดยเฉพาะในเรื่องภาษาต่างประเทศ
การที่คนอินเดียที่เก่งมองคนไทยว่าเป็นคนเก่งเหมือนกันนั้นนับว่าเป็นเรื่องดี แสดงว่าเราก็คงมีดีจริงๆ แต่ในบางเรื่องอาจจะต้องปรับปรุงตัวเองให้สามารถแข่งขันกับชาติอื่นได้
ดังนั้นความรู้จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นครับ ในโลกยุคปัจจุบัน ที่คนที่รู้ และรู้ถูกต้องเท่านั้นที่จะได้เปรียบ
ผมชื่นชมครับที่คนไทยได้สนใจความรู้และได้มีโอกาสเรียนรู้มากขึ้น เราคงต้องกล้าที่จะออกไปสู้โลกภายนอก ในระดับระหว่างประเทศให้มากขึ้นนะครับ
อินเดียเป็นอีกพื้นที่หนึ่งที่คนไทย เช่นคนบริษัทอินโดรามานี้จะได้พัฒนาตนเองเพื่อก้าวไปสู่ระดับระหว่างประเทศได้ในอนาคต
ขอให้กำลังมา ณ ที่นี้ครับ
สวัสดีครับคุณวรเดช วรฉัตร ก่อนอื่นขอสวัสดีปีใหม่ครับ และต้องขอขอบคุณท่านอย่างสูงที่ท่านได้สละเวลาเข้ามาทักทายผู้เข้ารับการพัฒนาใน Blog ของ Indorama อีกครั้งหนึ่ง และท่านยังได้นำประสบการณ์เกี่ยวกับการได้พบและพูดคุยกับผู้นำของบริษัทผลิตยาชั้นนำของอินเดีย และท่านยังได้สนทนากันในเรื่องของการเรียนรู้ และวัฒนธรรมข้อแตกต่างระหว่างไทยกับอินเดียในเรื่องของการศึกษาเรียนรู้มาให้ทางเราได้รับทราบ ซึ่งทางผู้เข้ารับการพัฒนาของ Indorama ทุกคนก็รู้สึกดีใจเพราะเรื่องที่ท่านได้นำมากล่าวลงใน Blog นั้นเป็นประโยชน์ที่สามารถช่วยกระตุ้นให้ทุกคนเกิดความรู้ความคิดใหม่ ๆ ทีเป็นประโยชน์และสามารถนำไปแก้ปัญหา หรือสร้างมูลค่าเพิ่มได้ และรักที่จะเป็นคนที่ใฝ่รู้มากขึ้น ผมเห็นว่าเป็นโอกาสดีของทุกคนที่ได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนประสบการณ์ความรู้กับท่านครับ และก็ต้องขอขอบคุณท่านอาจารย์จีระ หงส์ลดารมภ์ ที่ท่านได้เปิด Blog นี้ให้กับผู้เข้ารับการพัฒนาของ Indorama เพื่อใช้ประโยชน์ในการศึกษาหาความรู้และประสบการณ์ต่าง ๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีและมีประโยชน์มากๆ ครับ
และในโอกาสนี้ผม และทุก ๆ คนของ Indorama ก็ต้องขอขอบคุณ คุณวรเดช อีกครั้งหนึ่งที่ท่านได้กล่าวเพื่อขอที่จะเป็นกำลังใจให้กับทุก ๆ คนในโปรแกรมพัฒนาหัวหน้างานให้เป็นผู้นำอย่างมืออาชีพในครั้งนี้ และทุก ๆ คนหวังว่าคงได้มีโอกาสทักทายเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับท่านอีกในครั้งต่อ ๆ ไปครับ
สวัสดีครับ
นายศรายุทธ ยิ้มอยู่
( Indorama ลพบุรี )สวัสดีลูกศิษย์ที่ Indorama ทุกคนครับ
ก่อนอื่นขอส่งความสุขปีใหม่ มายังทุกคนและ ถึงแม้เราจะไม่ได้พบกันมา 2 เดือนแล้ว ก็ยังมีคนส่งการบ้าน ผ่านทาง Blog มาเสมอ ซึ่งผมดีใจมาก ที่ทุกคนเริ่มใช้ Blog กันมากขึ้น แสดงให้เห็นถึง ความตั้งใจอย่างแท้จริงและขอให้ทำต่อไป
เราคงจะพบกันในเดือนกุมภาพันธ์นี้
ขอบคุงมากน่ะค้ะ
ดิฉันขอไปปรับใช้ในการเรียนและการสอบ
สวัสดีครับอาจารย์ จากการได้ศึกษาในเรื่องความคิดในเชิงบวกเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 51 ที่ผ่านมา แล้วอาจารย์ได้ให้มีการประเมินความคิดของตนเองว่ามีความคิดในเชิงบวกอยู่ที่เท่าใด สำหรับตัวผมเองนั้นผมขอให้คะแนนความคิดของผมในเชิงบวกอยู่ที่ 6 ครับ
สวัสดีครับ
นายศรายุทธ ยิ้มอยู่
กราบเรียนท่านดร.จีระและทีมงานทุกท่าน
จากการที่ได้เข้าอบรมในหัวข้อการคิดนั้น ทำให้ได้ข้อคิดในหลายๆด้าน การคิดเชิงบวก จะทำให้เรามีแรงผลักดันทั้งภายใน และ ภายนอก ในการทำสิ่งใดๆให้ประสบความสำเร็จ คนเราถ้ามีทัศนคติเชิงบวก มากเท่าไหร่ ก็เปลี่ยนแปลงตัวเองได้รวดเร็วเท่านั้นทัศนคติ เชิงบวก จะนำมาซึ่ง การนับถือตัวเอง ทำให้เรามองโลกในแง่ดี มีความคิดที่จะมุ่งสู่ ทิศทาง ที่ต้องการ เมื่อสิ่งที่ดีๆเหล่านี้เกิดขึ้นในตัว ก็จะทำให้เราเปลี่ยนแปลงได้อย่างมาก แต่การ สร้าง ให้เรามีทัศนคติเชิงบวกนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย วิธีการที่จะสร้างให้มีทัศนคติเชิงบวก การตั้งสติที่จะสนุกกับเรื่องที่เกิดขึ้น เรียนรู้สิ่งใหม่ กล้าที่จะลองเปลี่ยน และปรับปรุงในแต่ละวัน ทำให้ดีที่สุดแล้วไม่ต้องไปมองอดีต พบคนใหม่ๆ พูดคุยซักถาม แลกเปลี่ยนความคิด แล้วก็หมั่นตรวจสภาพร่างกายและจิตใจให้สม่ำเสมอ เมื่อทำอย่าง
นี้ไปเรื่อยๆเราก็กำลังเปลี่ยนหรือสร้างความคิดเชิงบวกมากขึ้นๆ สุดท้ายเราก็จะเป็น อย่าง ที่เราจะคิด แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น ก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ด้วยว่า เรากำลังคิดหรือทำเรื่องใด ทำให้ไม่สามารถที่จะประเมินตัวเองได้ว่า อยู่ในลำดับไหน บางเรื่องเราอาจจะอยู่ที่ลำดับมากกว่า 5 ขึ้นไป เมื่อเรื่องนั้นนำมาซิ่งการคิดในสิ่งดี ๆ(คิดเชิงบวก) แต่ถ้าหากเรากำลังมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น(คิดเชิงลบ) ความคิดของคนเราอาจจะอยู่ในลำดับต่ำกว่า 5 ก็เป็นได้
ขอบคุณค่ะ
ยุพาพรรณ
จากการเรียนเมื่อครั้งที่แล้ว ทำให้เราได้อะไรมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นรอบๆตัวเรา ไม่ว่าจะเป็นสภาวะเศรษฐกิจโลกในขณะนี้ เราอย่าคิดว่ามันไม่เกี่ยวอะไรกับเรา เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะต้องแก้ไข ถึงเดือนก็รับเงินเดือนไม่สนว่าเศรษฐกิจมันจะเป็นอย่างไร มันจะกระทบกระเทือนองค์กรของเราหรือไม่ สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่กระทบกับตัวเราทั้งสิ้น เราต้องเตรียมตัวรับกับสถานการณ์ที่จะเกิด เราจะทำอย่างไรหารองค์กรของเราได้รับผลกระทบเหล่านี้ สุดท้ายคือเราต้องปรับตัวให้ทันต่อเหตุการณ์อยู่ตลอดเวลา และที่จะขาดไม่ได้อย่าลีมดูแลสุขภาพตัวเองเพราะความไม่มีโรค เป็นลาภ อันประเสริฐ
มาเข้าเรื่อง 4Q กันดีกว่า ผมคิดว่าทุกคนมีเจ้า 4Q อยู่ในตัวกันทุกคน แต่อาจจะไม่ครบทุกตัว บางคนอาจจะมี 1 ตัว บางคนอาจจะมี 2 ตัว บางคนอาจจะมี 3 ตัว หรือบางคนอาจจะมี 4 ตัว เลยก็ได้ แต่ผมคิดว่าเป็นไปไม่ได้ มาเข้าใจกันดีกว่าว่า 4Q คืออะไร เริ่มตั้งแต่
IQ คือ ความฉลาดทางด้านปัญญาหรือความคิด
EQ คือ ความฉลาดในการใช้อารมณ์ หรือการควบคุมอารมณ์
AQ คือ มีความสามารถในการอดทน
MQ คือ มีจริยธรรม หรือความดี
สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่มีประโยชน์กับตัวบุคลากรเองหรือกับหน่วยงานทุกหน่วยงานทุกที่ต้องการบุคลากรที่มีสิ่งเหล่านี้อยู่ในตัว(4Q)
เพราะสิ่งเหล่านี้จะทำให้หน่วยงานหรือองค์กรนั้นๆ มีศักยภาพในทุกๆด้านดดยส่วนตัวผมคิดว่า Q ที่สำคัญที่ทุกคนจะต้องมีก็คือ IQ และ MQ คือเราต้องมีปัญญา หรือความคิด และเราต้องเป็นคนดี เมื่อสองQ มารวมกันก็จะเป็น การมีความคิดที่ทำให้เราและคนรอบข้างหรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับเราทั้งทางตรง และทางอ้อมได้รับสิ่งดีๆจากความคิดของเรา
การที่จะให้ทั้ง 4Q มีอยู่ในคนเดียวผมคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้และหาบุคลากรที่มีสิ่งเหล่านี้อยู่ในตัวตรบทั้งหมดก็หายากมาก ตัวองค์กรหรือหน่วยงานจะต้องรู้ว่าบุคลากรที่เรามีอยู่มี Q อะไรอยู่ในตัว แล้วมอบหมายงานที่มันเหมาะกับ Q ที่เขามี เราอาจจะต้องใช้ถึง 4 คน เพื่อทำงานเพียงชิ้นเดียว หรืออาจจะให้แค่ 2 คน ขึ้นอยู่กับว่างานนั้นมันมีความสำคัญต่อส่วนรวมหรือองค์กรขนาดไหน (ใช้คนให้เหมาะสมกับงาน)
เพราะคนคือทรัพยากรที่มีความสำคัญ เพราะฉะนั้นบุคลากรที่มี 4Q หรืออาจจะมีมากบ้างน้อยบ้าง แต่เชื่อว่าต้องมากันทุกคน ล้วนแล้วแต่ความสามารถที่จะสร้างประโยชน์ให้กับองค์กรนั้นๆ ทั้งสิ้น องค์กรหรือหน่วยงานใดๆ จะมีศักยภาพมากน้อยแค่ไหนขึ้นอย่กับบุคลากรทั้งสิ้น ในทางตรงกันข้ามเราก็ต้องนำความรุ้ความสามารถหรือ Q ที่เรามีออกมาใช้ให้มากที่สุด เพื่อตัวเราและหน่วยงาน เพื่อที่จะทำให้องค์กรหรือหน่วยงานมีศักยภาพมากขึ้น ในความเข้าใจของผม ส่วนมากเราจะให้ความสำคัญกับลูกค้าเป็นอันดับแรก ก็เป็นเรื่องที่ถูกต้อง แต่เราก็อย่าลืมดูแลบุคลากรของเราไปพร้อมๆกัน หากบุคลากรได้รับการดูแล จากองค์กรหรือหน่วยงาน ผมเชื่อว่าสิ่งที่บุคลากรได้รับมันก็จะย้อมกลับมาหาองค์กรหรือหน่วยงานนั้นๆ เช่นกัน เพราะบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถจะทุ่มเทความรู้ความสามารถ (4Q) ที่เขามีเพื่อที่จะทำให้องค์กรหรือหน่วยงานนั้นๆ แข็งแกร่งในทุกๆด้าน
สุดท้าย ทุกฝ่ายไม่ว่าจะเป็นองค์กรหรือบุคลากร ต้องรวมกันให้ได้เป็นหนึ่ง ไม่ว่าอุปสรรคจะใหญ่ขนาดไหน เราก็สามารถที่จะฝ่าไปได้เสมอเพราะความสามัคคี
จากการเรียนเมื่อครั้งที่แล้ว ทำให้เราได้อะไรมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นรอบๆตัวเรา ไม่ว่าจะเป็นสภาวะเศรษฐกิจโลกในขณะนี้ เราอย่าคิดว่ามันไม่เกี่ยวอะไรกับเรา เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะต้องแก้ไข ถึงเดือนก็รับเงินเดือนไม่สนว่า เศรษฐกิจมันจะเป็นอย่างไร มันจะกระทบกระเทือนองค์กรของเราหรือไม่ สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่กระทบกับตัวเราทั้งสิ้น เราต้องเตรียมตัวรับกับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น เราจะทำอย่างไรหากองค์กรของเราได้รับผลกระทบเหล่านี้ สุดท้าย คือ เราต้องปรับตัวให้ทันต่อเหตุการณ์อยู่ตลอดเวลา และที่จะขาดไม่ได้อย่าลืมดูแลสุขภาพตัวเองเพราะความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ
มาเข้าเรื่อง 4Q กันดีกว่า ผมคิดว่าทุกคนมีเจ้า 4Q อยู่ในตัวกันทุกคน แต่อาจจะไม่ครบทุกตัว บางคนอาจจะมี 1 ตัว บางคนอาจจะมี 2 ตัว บางคนอาจจะมี 3 ตัวหรือบางคนอาจจะมี 4 ตัวเลยก็ได้ แต่ผลคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ มาเข้าใจกันดีกว่าว่า 4Q คืออะไร เริ่มตั้งแต่
IQ คือ ความฉลาดทางด้านปัญญา หรือความคิด
EQ คือ ความฉลาดในการใช้อารมณ์ หรือการควบคุมอารมณ์
AQ คือ มีความสามารถในการอดทน
MQ คือ มีจริยธรรม หรือความดี
สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่มีประโยชน์ กับตัวบุคลากรเองหรือกับหน่วยงานทุกหน่วยงาน ทุกที่ต้องการบุคลากรที่มีสิ่งเหล่านี้อยู่ในตัว(4Q) เพราะสิ่งเหล่านี้จะทำให้หน่วยงานหรือองค์กรนั้นๆมีศักยภาพในทุกๆด้านโดยส่วนตัวผมคิดว่า Q ที่สำคัญที่ทุกคนจะต้องมีก็คือ IQ และ MQ คือ เราต้องมีปัญญาหรือความคิด และเราต้องเป็นคนดี เมื่อสอง Q มารวมกันก็จะเป็น การมีความคิดที่ทำให้เราและคนรอบข้างหรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับเราทั้งทางตรงและทางอ้อมได้รับสิ่งดีๆ จากความคิดของเรา
การที่จะให้ทั้ง 4Q มีอยู่ในคนๆเดียวผมคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ และหาบุคลากรที่มีสิ่งเหล่านี้อยู่ในตัวครบทั้งหมดก็หายากมาก ตัวองค์กรหรือหน่วยงานเองจะต้องรู้ว่าบุคลากรที่เรามีอยู่มี Q ที่เขามี เราอาจจะต้องใช้ถึง 4 คน เพื่อทำงานเพียงชิ้นเดียวหรืออาจใช้แค่ 2 คน ขึ้นอยู่กับว่างานนั้นมันมีความสำคัญต่อส่วนรวมหรือองค์กรขนาดไหน (ใช้คนให้เหมาะกับงาน)
เพราะคนคือทรัพยากรที่มีความสำคัญ เพราะฉะนั้นบุคลากรที่มี 4Q หรืออาจจะมีมากบ้างน้อยบ้าง แต่เชื่อว่าต้องมากันทุกคน ล้วนแล้วแต่ความสามารถที่จะสร้างประโยชน์ให้กับองค์กรนั้นๆทั้งสิ้น องค์กรหรือหน่วยงานใดๆ จะมีศักยภาพมากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับบุคลากรทั้งสิ้น ในทางตรงกันข้าม เราก็ต้องนำความรู้ความสามารถหรือ Q ที่เรามีออกมาใช้ให้มากที่สุด เพื่อตัวเราและหน่วยงาน เพื่อที่จะทำให้องค์กรหรือหน่วยงานมีศักยภาพมากขึ้น ในความเข้าใจของผมส่วนมากเราจะให้ความสำคัญกับลูกค้าเป็นอันดับแรก ก็เป็นเรื่องที่ถูกต้อง แต่เราก็อย่าลืมดูแลบุคลากรของเราไปพร้อมๆกัน หากบุคลากรได้รับการดูแล จากองค์กรหรือหน่วยงาน ผมเชื่อว่า สิ่งที่บุคลากรได้รับมันก็จะย้อนกลับมาหาองค์กรหรือหน่วยงานนั้นๆ เช่นกัน เพราะบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถจะทุ่มเทความรู้ความสามารถ (4Q) ที่เขามี เพื่อที่จะทำให้องค์กรหรือหน่วยงานนั้นๆ แข็งแกร่งในทุกๆด้าน
สุดท้าย ทุกฝ่ายไม่ว่าจะเป็นองค์กรหรือบุคลากร ต้องมารวมกันให้ได้เป็นหนึ่ง ไม่ว่าอุปสรรคจะใหญ่ขนาดไหน เราก็สามารถที่จะฝ่าไปได้เสมอเพราะความสามัคคี
กราบเรียน อาจารย์จีระ หงส์ลดารมภ์ ที่นับถือดิฉัน นางวันเพ็ญ สุขประเสริฐ ที่เป็นลูกศิษย์ของอินโดรามา ขอตอบการบ้านของอาจารย์ดังนี้คือ
ข้อที่1.เรียนแล้วได้อะไร 4 Q
ตอบ.สำหรับตัวตัวดิฉันเองนั้นปรกติเป็นคนที่มี EQ อยู่ในตัวอยู่แล้วเพราะเป็นคนที่มีอารมณ์ที่ดีชอบสนุกกับการทำงานมีนิสัยเฮฮาเข้ากับเพื่อนทุกคนได้เสมอ
บางครั้งจะเห็นเพื่อนๆมีการขัดแย้งกันบ้างแต่ตัวเรา
เองก็ต้องใช้ IQ เข้ามาช่วยเพื่อที่จะให้ทั้งสองฝ่ายนั้นตกลงกันด้วยดีเราจะต้องมีสติปัญญาคิดที่จะหาหนทางมาไกล่เกลี่ยให้ตกลงกันได้โดยหาขัอยุติที่ดีและตกลงกันได้บางครั้งดูแล้วจะเป็นไปได้ยากมากแต่ตัวของ
เราก็ต้องมี AQ เข้ามาช่วยเพื่อที่จะให้ตัวเรานั้นมีความอดทนและอดกลั้นที่จะมีความพยายามที่เพื่อจะต่อสู้เพื่อให้สิ่งทั้งหลายทั้งปวงกับเข้าสู่เหตุการณ์ปรกติเหมือนเดิมเมื่อตัวเราเองมี AQ อยู่ แล้วนั้นตัวเราจะต้องใช้ MQ นั้นควบคู่กันไปด้วยสิ่งที่ดีก็คือต้องมีจริยธรรมและมีคุณธรรมให้ติดตัวของเราเองนั้นตลอดไป
สรุปได้ว่าการเรียน 4Q ในครั้งนี้นั้นได้รู้ว่าตัวของเราเองได้ใช้ 4Q ให้เป็นประโยชน์ได้ดีจริงและได้นำมาใช้ประโยชน์ได้ดีอย่างเห็นได้ชัด
ข้อ.2การทำงานมีความสุขเกี่ยวอะไรกับ 4Q
ตอบ.อย่างแรกก็คือตัวเราเองตัองมี EQ มีอารมณ์ที่ดีการมีอารมณ์ที่แล้วนั้นก็จะมีสติปัญญามีความคิดที่ดีก็จะทำให้งานออกมาได้เห็นผลงานที่เห็นเด่นชัด
แต่ถ้าตัวเราไม่มี EQ และ IQ แล้วละก็งานที่ทำออกมาดูแล้วจะไม่ประสบความสำเร็จเพราะฉนั้นตัวเราหรือ
หลายๆคนควรจะใช้ 4Q เข้ามาประกอบกับการทำงานหรือนำมาใช้กับชีวิตประจำวันตัวเราก็จะทำให้
มีความสุขกับการทำงานของเราหรือมีความสุขกับหลายๆสิ่งต่อไป
กราบเรียน อาจารย์จีระ หงส์ลดารมภ์ ที่เคารพกระผม นายเอกสิทธิ์ สิงห์สูง ขอตอบการบ้านของอาจารย์ดังนี้คือ
ข้อที่1.เรียนแล้วได้อะไร 4 Q
จากการเรียนเมื่อครั้งที่ผ่านมา ผมได้เรียนรู้และได้ประโยชน์อะไรมากมาย เกี่ยวกับ 4Q และสามารถนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันไม่ว่าจะเป็นที่ทำงานกับเพื่อนร่วมงานทั้งระดับหัวหน้างานและระดับพนักงาน หรือแม้แต่ครอบครัวผมก็สามารถนำมาใช้ โดยปรับตัวให้เข้ากับสภาวะแวดล้อมที่อยู่รอบข้าง ผมคิดว่าถ้าทุกคนนำ 4Q มาใช้ในชีวิตประจำ ทุกคนก็สามารถที่จะประสบความสำเร็จได้ไม่ว่าหน้าที่การงานหรือแม้แต่ชีวิตครอบครัว ไม่มีใครที่จะมี 4Q ได้ครบทุกคน ถึงแม้จะมี IQ คือ ความฉลาดทางด้านปัญญา หรือความคิด แต่ถ้าไม่มี EQ คือ ความฉลาดในการใช้อารมณ์ หรือการควบคุมอารมณ์ , AQ คือ มีความสามารถในการอดทน และ MQ คือ มีจริยธรรม หรือความดี ก็จะไม่สามารถประสบความสำเร็จในชีวิตได้ ทุกอย่างต้องประกอบกัน แล้วแต่ว่าแต่ละคนจะมีมากน้อยเท่าใด แต่ละคนจะมีภาวะไม่เท่ากันแน่นอน บางคนอาจมีมาก บางคนอาจมีน้อย แต่ทุกคนสามารถที่จะค่อย ๆ ปรับตัวไปได้ หน่วยงานก็เช่นกันบุคลากรทุกหน่วยมีความสำคัญเท่ากัน ถ้าทุกคนในหน่วยงานต่างนำ 4Q มาใช้ ผมคิดว่าหน่วยงานนั้นต้องประสบความสำเร็จและฝ่าฟันอุปสรรคไปได้อย่างแน่นอน
ข้อ.2 การทำงานมีความสุขเกี่ยวอะไรกับ 4Q
ผมคิดว่าการทำงานให้มีความสุขนั้นเกี่ยวข้องกับ 4Q เพราะว่าถ้าเรามีสติปัญญา ก็สามารถที่จะควบคุมอารมณ์ มีความอดทน และมีจริยธรรม เราก็สามารถที่จะแก้ไขปัญหาและสามารถผ่านพ้นอุปสรรคไปได้ด้วยดี สามารถกับเพื่อนร่วมงานได้ทุกระดับ ผมคิดว่าสิ่งประกอบเหล่านี้คือความสุขในการทำงานอย่างแท้จริง
กราบเรียนท่าน อาจารย์ จีระ หงส์ลดารมภ์ ดิฉัน นางนิภาพัฒ มิ่งมงคล ขอตอบการบ้านอาจารย์ เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2551 ดังนี้ ข้อ1 ขอตอบว่า ดิฉันเองได้ความรู้จากการเรียนในครั้งนี้มากเลยนอกจากจะรู้เรื่องเกี่ยวกับ IQ , EQ , AQ และ MQ แล้วอาจารย์ยังสอนเรื่องการใช้เงินอย่างประหยัด เรื่องที่อาจารย์สอนในครั้งนี้ก็คือการที่เราจะทำอะไรก็แล้วแต่จะต้องมีการคิดให้ถี่ถ้วน IQ คือความฉลาดทางปัญญา ซึ่งในแต่ละคนก็มีความฉลาดทางปัญญาไม่เท่ากันบางคนอาจจะมีมาก แต่บางคนก็อาจจะมีน้อยขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมรอบตัวเรา ดิฉันคิดว่าการศึกษาก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ คนมี IQ ที่พัฒนาและดีขึ้นสามารถใช้ความคิดอย่างฉลาดก่อนที่จะตัดสินใจทำอะไรต่อไป ตัวต่อไปก็คือ EQ ซึ่งขาดไม่ได้เลย เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับทางด้านอารมณ์ คนทุกคนล้วนแต่มีอารมณ์ด้วยกันทั้งนั้น ซึ่งอารมณ์มีอยู่ 2 ทาง คือ อารมณ์ดี และอารมณ์ที่ไม่ดี เมื่อเราอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมหรือทำงานร่วมกันเราต้องไม่เครียดจนเกินไป และต้องเอาใจเขามาใส่ใจเรา หรือควรจะมีอารมณ์ร่าเริงแจ่มใสบ้าง ถ้าเราไม่มี EQ ซะเลยคงไม่เกิดผลดีกับตัวเราและผู้อื่นแน่ๆ เพราะเราอยู่ในสังคมกับคนหมู่มาก ต้องทำงานร่วมกับผู้อื่นอยู่เสมอเราต้องระงับอารมณ์และคิดไตร่ตรองให้ดีเสียก่อนที่จะตัดสินใจทำอะไรลงไป ตัวต่อไปคือ AQ ที่ต้องรู้จักการอดทนงานใดๆก็แล้วแต่มันย่อมมีอุปสรรคต่างๆกันไป เมื่อเกิดปัญหาหรือความกดดันเราต้องใช้ AQ ให้มีประโยชน์ที่สุด และตัวสุดท้าย คือ MQ เราต้องมีจริยธรรมคุณธรรมในตัวเรา เพราะผู้ที่มีคุณธรรมจริยธรรมจะทำให้ตัวเองพบกับสิ่งดีๆ ต่อไปในชีวิต สรุปได้ว่า 4Q นี้สำคัญมาก ถ้าเราขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไป จะไม่เกิดผลดีกับตัวและงานของเราเลย และอาจจะทำให้เราไม่ประสบความสำเร็จได้
ข้อ 2 ขอตอบว่า ทั้ง 4Q นี้สำคัญทุกอย่าง เมื่อเรานำ มันมาใช้ให้เกิดประโยชน์ก็จะทำให้เรามีความสุขทั้งในหน้าที่การงาน หรือในเรื่องส่วนตัว การดำรงชีวิต การอยู่ร่วมกับผู้อื่น รวมทั้งการพัฒนาตัวเองให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และงานของเราจะประสบผลสำเร็จได้เป็นอย่างดี
สวัสดีครับท่านอาจารย์ ในการเรียนครั้งที่ผ่านมาอาจารย์ได้นำความรู้และหลักการในเรื่อง IQ-EQ-AQ-MQ มาช่วยเพิ่มความรู้ในครั้งนี้ ผมคิดว่าเป็นหัวข้อเรื่องที่มีประโยชน์อย่างมากครับที่จะนำมาใช้ในหน้าที่การงานต่อไป และการเรียนครั้งนี้ทำให้ผมได้รับทราบ ถึงความหมายของ 4Q
IQ = ความฉลาดทางด้านปัญญาหรือความคิด
EQ = ความฉลาดในการใช้อารมณ์ หรือการมี Passion ในการทำงาน
AQ = การมีความอดทน
MQ = ความยุติธรรม มีจริยธรรมและมีคุณธรรม
ทั้งความหมายของ 4Q นี้ทำให้ผมได้มองเห็นประโยชน์ ของ 4Q อย่างมากไม่ว่าจะเป็นในหน้าที่การงาน ของเราแล้วผมคิดว่า ทุกคนต้องมี 4Q ในตัวของตนเองอยู่กันทุกคน แต่บุคคลนั้นจะมี Q ตัวใหนมากกว่ากัน อย่างเช่น IQ ทุกคนก็คงมีต้องมีกันอยู่แล้ว ในเรื่องความฉลาดทางด้านปัญญา หรือความคิด เหตุผลที่ว่าบุคคลนั้นจะนำมาใช้และแสดงออกมากน้อยเพียงใด EQ การใช้อารมณ์ เหตุการณ์แต่ละวันไม่มีใครสามารถที่จะทราบได้ว่าในแต่ละวันจะมีอะไรเกิดขึ้น แต่เราสามารถทำให้เหตุการณ์นั้นๆ ผ่านไปได้โดยไม่มีปัญหา เพราะถ้าเรามี EQ เราก็จะมีความฉลาดในการใช้อารมณ์ในการแก้ปัญหา AQ ตัวนี้ก็สำคัญเพราะในหน้าที่การงานนั้นย่อมเป็นธรรมดาที่เราจะต้องมีความอดทนเพื่อให้งานของเราออกมามีคุณภาพและประสบผลสำเร็จ และก็จะควบคู่ไปกับ MQ คือเราอยู่ทีใดเราก็ควรที่จะมีคุณธรรมและจริยธรรมและความยุติธรรม ทั้ง 4Q นี้จึงเป็นประโยชน์ที่อาจารย์ได้นำมาสอนในครั้งนี้ทำให้สามารถสำรวจตัวเองได้ว่าตัวเรายังมีความบกพร่อง ใน Q ตัวใหนบ้าง และเมื่อเราทราบเราก็สามารถมาพัฒนาตัวเองให้ดียิ่งขึ้นต่อไป
และการทำงานในแต่ละวันนั้นถ้าจะให้มีความสุขและความสำเร็จตามมา ผมคิดว่า 4Q นั้นมีความสำคัญอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นในเรื่อง ความคิด อารมณ์ ความอดทน และความมีคุณธรรม จริยธรรม ความยุติธรรม ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ล้วนแต่ มีความจำเป็นอย่างมากในหน้าที่การงาน ดังนั้นถ้าเรามีครบทั้ง 4Q การงานของเราในแต่ละวันนั้น ผมคิดว่าจะทำให้เรานั้นมีความสุขกับการทำงาน และทำให้บริษัทมีความก้าวหน้ายิ่งขึ้น และจะทำให้เราประสบผลสำเร็จในหน้าที่การงานต่อไปได้ครับ
สวัสดีครับ
นายศรายุทธ ยิ้มอยู่
เรียนท่านศ.ดร. จีระ หงส์ลดารมภ์
ดิฉันนางสำลี ธูปหอม สมาชิกกลุ่มเค.พี.ดี.ของอินโดรามาขอตอบคำถาม
ที่อาจารย์ให้ไว้เมื่อวันที่ 25.มี.ค.ที่ผ่านมานี้ว่าข้อ1.วันนี้เรียนแล้วได้อะไร
จากการเรียนในวันนี้ทำให้ดิฉันมีมุมมองใหม่ๆได้แนวคิดใหม่รู้ว่าควรจะปรับ
ตัวในการใช้จ่ายต่างๆในชีวิตประจำวันและให้มองไปถึงอนาคตข้างหน้าด้วยว่า
จะดำรงชีวิตอย่างไรถึงจะคุ้มค่าและอยู่รอดในสังคมปัจจุบันและอนาคตข้างหน้า
เศรษฐกิจของโลกจะเป็นอย่างไรมีผลกระทบกับประเทศไทยและองค์กรของเราอย่างไร บ้างเราต้องเร่งหาตลาดใหม่ๆมารองรับสินค้าของเราและต้องสร้างความน่าเชื่อถือและ
ความไว้วางใจให้กับลูกค้ามากขื้นเพราะลูกค้าเป็นคนสำคัญขององค์กรก่อนหน้านี้ดิฉัน
ไม่เคยสนใจเงินดอลล่าร์ว่ามีความหมายกับเศรษฐกิจบ้านเราอย่างไรแต่ตอนนี้เข้าใจแล้ว
ว่ามีความสำคัญมากกับประเทศของเราและเศรษฐกิจโดยทั่วโลกเกิดความผันผวนจาก
ค่าเงินดอลล่าร์ต๋ำทำให้ราคาน้ำมันแพงเกิดการเก็งกำไรกันมากของทุกอย่างจึงมีราคาแพง
2. เชื่อมโยง 4Q กับการทำงานให้มีความสุขอย่างไรสู่ HQ การทำงานในหน่วยงาน
ของเราต้องเจอกับผู้คนมากมายเราต้องใช้EQหรืออารมณ์ของเรานั้นต้องเย็นและต้องมี AQคือความอดทนสูงต่ออุปสรรคทั้งหลายที่จะเกิดขึ้นและใช้IQในการตัดสินใจทำอะไร
เราต้องคิดอย่างฉลาดและรอบคอบแล้วจึงใช้MQเป็นตัวประสานให้ทุกอย่างลงตัวแค่นี้
เราก็สามารถที่จะชนะอุปสรรคทั้งหลายได้อย่างสบายงานทุกอย่างก็สำเร็จด้วยดีและจะ มีความสุขในการทำงานในหน่วยของเรา.
กราบเรียน ท่านอาจารย์ที่เคารพ ผมนายสมจิตร เรืองบุญ ขอส่งการบ้านดังต่อไปนี้ ข้อ1 ขอตอบว่า ก่อนอื่นผมได้รู้ถึงสภาวะทางเศรษฐกิจของโลกเรามากขึ้นว่าตอนนี้ เราต้องรู้จักเรียนรู้หรือวางแผนในการดำรงชีวิตเพื่อให้อยู่รอดในสภาวะตอนนี้ อาจารย์สอนให้รู้จักการใช้จ่ายอย่างเกินตัวและกู้เงินนอกระบบมาใช้และรู้ถึงผลกระทบต่อ INDORAMA ทั้งภายนอกและภายในว่ากระทบทางด้านใดบ้าง โดยเฉพาะทางบริษัทต้องมาปรับปรุงทางด้านต่างๆ ให้ดีขึ้น เพื่อทางบริษัทต้องมาปรับปรุงทางด้านต่างๆ ให้ดีขึ้น เพื่อทางบริษัทจะได้อยู่รอดรอด โดยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับทรัพยากร เสริมสร้างความไว้ใจความเชื่อมั่น และความภักดีจากลูกค้าของเราและเพิ่มผลประโยชน์ให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย โดยเฉพาะการเรียนรู้เรื่อง 4Q ผมจะเน้น EQ มากคือ ถ้าในบริษัท INDORAMA มีตัวนี้อยู่ในจิตใจทุกคน ผมเชื่อว่าการทำงานในหน่วยงานต่างๆ จะต้องมีผลงานออกมา มีประสิทธิภาพมาก เช่น เข้ามาทำงานมีอารมณ์หรือจิตใจ แจ่มใส ไม่ว่า Q ตัวไหนก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น แต่ถ้าเข้ามาทำงาน อารมณ์ไม่ดี หรือเครียดจากอะไรสักอย่าง วันนั้นก็จะไม่มี Q ตัวไหนเลยหรืออาจทำให้งานเสียหายอีก
ข้อ 2 ขอตอบว่า ผมขอนำเอา EQ เป็นอันดับแรกคือ จะมีตัวนี้อยู่ในตัวเราทุกคน การรู้จักควบคุมอารมณ์ให้สนุกไปกับการทำงานและหน้าที่ตัวเรารับผิดชอบอยู่ รวมไปถึงเพื่อนร่วมงานที่ทำอยู่ด้วยกัน บรรยากาศ ในการทำงานอะไรก็ดีไปหมด ถ้ามีตัว EQ อยู่ในใจทุกคนมันก็จะนำไปถึง Q ที่เหลือ คือ IQ ความฉลาด และสติปัญญา ก็จะเกิดขึ้นมาเองเพราะในการทำงานสภาวะแวดล้อมดี จิตใจไม่เครียดก็จะส่งผลไปถึง AQ คือ จะมองโลกในแง่ดีไปหมด จะช่วยเพื่อนร่วมงานทำงานกันอย่างต่อเนื่อง โดยไม่เกี่ยงการทำงานกัน ส่วน Q ตัวสุดท้ายก็จะตามมา คือ MQ ตัวนี้ก็คือหัวใจใหญ่เหมือนกัน ถ้าในหน่วยงานใดไม่มีความยุติธรรมให้แก่ทุกคน หน่วยงานนั้นก็จะเกิดการแบ่งแยกเป็นหลายฝ่าย หน่วยงานนั้นจะเกิดการแบ่งแยกเป็นหลายฝ่าย หน่วยงานนั้นจะทำงานออกมาผิดพลาด คือ มีชิ้นงานออกมาไม่มีประสิทธิภาพ เพราะฉะนั้นควรหันหน้าเข้าหากัน ปรึกษาหารือกัน โดยไม่ลำเอียงข้างใดข้างหนึ่ง โดยองค์กรของเราก็จะอยู่ได้อย่างยิ่งใหญ่ตลอดไป
สวัสดีครับ ศ. ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ ผมนาย วิชาญ สุริยะหิรัญ ขอตอบการบ้านท่านอาจารย์ดังต่อไปนี้
ข้อที่ 1. วันนี้ทั้งวันได้อะไร สำหรับส่วนที่ได้จากการเรียนคือได้รู้จักความหมายของตัว Q ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น IQ , EQ , AQ , MQ และบุคคลใดก็ตามจะเก่งได้หรือจะประสบความสำเร็จได้ต้องมีความสามารถ ทั้ง 4Q สำหรับ IQ เราสามารถสร้างได้ตั้งแต่เด็ก คือถ้าเด็กได้รับสารอาหารครบและพอเพียงเด็กคนนั้นก็จะมีความฉลาดทางปัญญาดีไปด้วย ส่วน EQ เรียกว่าอารมณ์เราควรหมั่นฝึกหัดใช้จิตวิทยาในการคิด-พูด หรือคิดให้รอบคอบและจะต้องควบคุมอารมณ์ให้ได้ ต้องมีความอดทนอดกลั้นในยามวิกฤติไม่ควรอารมณ์ร้อน จนกระทั่งไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ จะทำให้งานที่ทำไม่ประสบความสำเร็จได้สำหรับ Q ตัวที่ 3 คือ AQ ความหมาย ความอดทนมีจิตใจที่แน่วแน่ที่จะต่อสู้กับอุปสรรค ต่าง ๆ หรือคิดเสียว่าถ้าไม่มีความศูนย์เสียก็จะไม่มีความสำเร็จ หรือถ้าทำธุรกิจ ก็ต้องยอมขาดทุนในระยะสั้นเพื่อหวังกำไรระยะยาวในอนาคตและสำหรับ Q ตัวสุดท้าย คือ MQ สำหรับต้วนี้จะต้องเน้นไปที่คนเก่งและดี มีความเป็นกลาง มีความยุติธรรม และคุณธรรม ในการที่จะเป็นผู้บังคับบัญชาในหน่วยงานที่มีผู้ใต้บังคับบัญชามาก ๆจะต้องมี MQ อยู่ในตัวสูงก็จะสามารถพาหน่วยงานไปสู่ความสำเร็จได้
ข้อ 2 เชื่อมโยงระหว่าง 4 Q แล้วได้ความสุขเกี่ยวข้องกับงานที่ทำ
สำหรับ 4 Q จะมีความสำคัญมาก เลยทีเดียวกับงานที่ทำ คือ การทำงานที่มีความสุขนั้น อารมณ์ ต้องดีก่อนแล้วปัญญาก็จะเกิด ความสำเร็จก็จะตามมา หรือแม้นว่างานจะหนักก็ต้องมีความอดทนต่อสู้เพื่อที่จะเอาชนะมันให้ได้และการทำงานที่มีความสุข ผู้บังคับบัญชาจะต้องเป็นคนที่มีความยุติธรรมมีใจเป็นกลางการทำงานก็จะมีความสุข ผลผลิตก็จะออกมาดี ก็ทำให้ผู้บริหารก็มีความสุขไปด้วย
สวัสดีค่ะท่าน อาจารย์ ดร. จีระ หงส์ลดารมภ์ ดิฉันกาญจนาพร ยุบลพันธุ์ ขอส่งการบ้านของอาจารย์ดังนี้ 1. หลังจากได้เข้าอบรมในครั้งนี้แล้วทำให้รู้ถึงปัญหาเศรษฐกิจที่ถดถอยเกิดจากหลายปัจจัย เช่น การใช้จ่ายของคนอเมริกาที่เกินตัว การเก็งกำไรในราคาน้ำมัน ราคาทอง และมีผลกระทบต่อคนไทย ทำให้สินค้าแพง เราควรปรับตัวเองให้ทันเหตุการณ์โดยการประหยัดและใช้จ่ายอย่างพอเพียงและยังได้รู้ถึงทฤษฎี 4Q 2. หลักการในการทำงานนของเราและองค์กรที่สามารถนำ 4Q ไปใช้ในการทำงานคือ IQ ต้องสร้างตั้งแต่ยังเด็กโดยการที่เด็กไม่ขาดสารอาหาร ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ และความต้องการกินของเด็ก EQ ความสำเร็จในการทำงานต้องฝึกควบคุมอารมณ์ อดทนและอดกลั้น มีสมาธิและธรรมะเพราะการทำงานต้องเจอกับคนในองค์กรที่หลากหลาย จะทำอะไรต้องคิดให้รอบคอบและการทำงานจะมีความสุข AQชีวิตต้องสู้แม้นจะเจออุปสรรคต้องอดทนและอย่าหนีงานเมื่อเจอกับงานหนักต้องรู้จักผ่อน MQ จะเป็นคนเก่งต้องมีความยุติธรรมและมีคุณธรรม เพราะในสังคมปัจจุบันนี้มีแต่แข่งขันกัน ถ้าเรานำมาปฏิบัติและนำมาใช้ในองค์กรเราก็จะทำงานอย่างมีความสุข
กราบเรียนอาจารย์ดร.จีระ ผมนายสยาม ลาภรวยจากการที่ได้เรียนกับอาจารย์ในวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2551 พอจะสรุปได้ดัวนี้
1. ครั้งนี้อาจารย์สอนให้มองภาพใหญ่เกี่ยวกับเศรษฐกิจของโลกที่กำลังเกิดปัญหาทางด้าน sub-prime โดยเฉพาะเศรษฐกิจของอเมริกา ยังไม่ดีขึ้นจึงเป็นเหตุให้หลายคนคิดว่าจะมีผลกระทบทั่วโลกอย่างรุนแรง และมีผลกระทบทางตรงต่อคนไทยมากมาย ถ้าคนไทยเข้าใจและศึกษา เราควรจะปรับตัวเองให้รู้เท่าทันสถานการณ์ต่างๆ เช่นการรู้จักประหยัด มีระเบียบในการใช้จ่าย และอาจารย์สอนให้รู้จัก 4Q ซึ่งประกอบดว้ย IQ-EQ-AQ-MQ
รู้และเข้าใจถึงความหมายของ 4Q แล้วเราสามารถนำมาปรับใช้กับชีวิตประจำวันและการทำงานำได้อย่างไร ถ้าเรามองอย่างลึกซึ้งสามารถนำมาใช้กับชีวิตประจำของเราได้ทั้งนั้น
2. ในทุกวันของการทำงานก่อนการทำงาน ถ้าเรามี EQ หรือมีอารมณ์ที่สดใสพร้อมที่จะทำงานมันก็ก่อให้เกิด IQ หรือปัญญาตามมาเอง บางครั้งการทำงานเรามักจะพบปัญหาต่างๆ ในหลายเรื่องแต่ถ้าเรามีอารมณ์ที่ดีหรือรู้จักการควบคุมอารมณ์ และใช้ปัญญาในการแก้ไขปัญหาอย่างรอบคอบก็มักจะช่วยลดความผิดพลาดในการได้อย่างมากมาย ซึ่งบ้างครั้งมีทั้ง EQ-IQ ก็อาจจะไม่เพียงพอ ซึ่งงานบางอย่างเราก็ต้องใช้ AQ หรือความอดทนเข้ามาช่วยเพราะงานบางอย่างต้องใช้เวลา การที่เรามีความอดทนก็เหมือนกับว่าเราได้พิสูจน์ตัวเองว่าเรามีความเหมาะสมกับงานนั้นหรือไม่ ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่าเราจะเป็นอย่างไรจะทำงานดีขนาดไหนแต่สิ่งที่เราไม่ควรลืมคือ MQ หรือการเป็นคนดีของสังคมเพื่อตอบแทนสิ่งดีๆคืนให้กับคนรอบข้างบ้าง
เรียน ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมณ์ ดิฉัน เฉลิม ชอบเจริญ ขอตอบการบ้านที่ท่านอาจารย์ให้ไว้วันที่ 25 มีนาคม 2551
ข้อ 1. วันนี้ทั้งวันได้อะไร ?
ได้รู้จัก 4Q คนเราทุกคนจะเก่งได้จะประสบความสำเร็จได้ ต้องมี 4Q อยู่ตลอด คือ
- IQ สร้างได้ ความยากจนทำลาย IQ ตั้งแต่เด็ก เพราขาดโภชนาการ ทำให้เด็กไทยไม่ฉลาดมีสติปัญญาที่มีไม่ดีเท่าที่ควร
- EQ ด้านอารมณ์ เราทุกคนควรฝึกการควบคุมด้านอารมณ์ มีสมาธิและมีธรรมะในยามวิกฤติหรือมีปัญหา จะทำให้ควบคุมอารมณ์อยู่
- AQ คือชีวิตต่อสู้ความอดทน เมื่อเกิดปัญหามีอุปสรรคต่าง ๆ ให้ใช้ความอดทนฟันฝ่าอุปสรรคต่าง ๆ ไปให้ได้ อย่าไปคิดในทางลบหรือทางไม่ดี ให้ปล่อยวางลงบ้าง
- MQ คนเราจะเก่งและดีได้ต้องเป็นคนที่มีความยุติธรรมและมีคุณธรรม มีความเป็นกลางในการทำงาน ไม่มีพรรคมีพวก ไม่ลำเอียงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
ข้อ 2. ทำ 4Q แล้วได้ความสุขเกี่ยวข้องกับงานที่ทำมีความสำคัญอย่างไร ?
คนเราทุกคนการที่เราจะมีความสุขได้จะต้องมีอารมณ์ที่ดี มีความสุขกับการทำงาน ไม่มีปัญหากับเพื่อนร่วมงานหรือหัวหน้างาน
สวัสดีท่าน ศ.ดร จีระ หงส์ลดารมภ์ ดิฉัน นางบุญชู เทียนชัย ขอตอบการบ้านที่ท่านอาจารย์ให้ไว้วันที่ 25 มีนาคม 2551
ข้อ 1.วันนี้ทั้งวันได้อะไรจากการเรียน ?
ได้รู้จักความหมายของคิวต่าง ๆ IQ,EQ,AQ,MQ ถ้าใครมี 4Q อยู่ในตัวไม่ว่าจะทำอะไรก็พบแต่ความสำเร็จได้
-IQ เราสามารถสร้างได้แต่เด็ก ได้รับสารอาหารครบจะมีความฉลาดปัญญาดี
-EQ ด้านอารมณ์ต้องฝึกด้านความคิดการพูด คิดให้รอบครอบ ควบคุมอารมณ์ให้ได้ ทำงานไม่ควรอารมณ์ร้อน ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ จะทำงานไม่ประสบความสำเร็จได้
-AQ มีความอดทนกับอุปสรรคต่าง ๆ หรือถ้าทำธุระกิจก็ต้องยอมขาดทุนในระยะสั้น หวังได้กำไรระยะยาว
-MQ ต้องมีความยุติธรรมกับผู้อื่น ๆ จะต้องมี MQ อยู่ในตัวสูง นำพาหน่วยงานไปสู่ความสำเร็จ
ข้อ 2.ทำ 4Q แล้วได้ความสุขเกี่ยวข้องกับงานที่ทำมีความสำคัญอย่างไร ?
ทำงานต้องมีอารมณ์ดีก่อนปัญญาก็จะเกิด หรืองานหนักก็ต้องมีความอดทนสู่เอาชนะมันให้ได้ เพราะไม่มีสิ่งใหนในโลกที่จะได้มาง่าย ๆ และการทำงานระหว่างหัวหน้ากับลูกน้อง หัวหน้าก็จะต้องมีความยุติธรรมเป็นกลางกับลูกน้องทุกคนไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เพราะสิ่งนี้จะทำให้ลูกน้องขาดความนับถือและเกิดปัญหาระหว่างหัวหน้ากับลูกน้องได้ การทำงานในแต่ละวันเราจะต้องทำงานอย่างมีความสุข ไม่ทำงานให้ร้ายใคร ผลงานหรือผลผลิตที่ทำก็จะออกมาดี
เรียน อาจารย์ ด.ร. จีระ หงส์ลดารมภ์ ดิฉัน มาเรียม เหลืองอร่าม ขอตอบการบ้าน ของอาจารย์ดังนี้
1. วันนี้ทั้ง2. วันได้อะไร
ตอบ ได้เรียนรู้ เรื่องซับพลายที่เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เศรษฐกิจของอเมริกาถดถอยแปลว่า อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจใน
3 ไตรมาสเท่ากับ0 หรือติดลบ ปัญหาซับพลายไปบวกกับการใช้จ่ายเงินเกินตัวของอเมริกาโดยเฉพาะสงครามอิรักการขาดดุลงบประมาณของอเมริกาติดต่อกัน8ปีการขาดดุลการค้าติดต่อกันกว่า20ปีสหรัฐฯจึงเป็นประเทศที่เป็นโรคร้ายทางเศรษฐกิจเงินดอลล่าร์จึงไม่มีใครเชื่อถือเมื่อไม่มีใครเชื่อถือก็ไม่มีใครเก็บดอลล่าร์ใว้ดอลล่าร์ก็เลยตกเอาตกเอาไม่รู้จะตกไปอยู่ตรงไหนเพราะผู้นำและธนาคารกลางสหรัฐฯก็แก้ปัญหายังไม่ถูกจุดเช่นลดดอกเบี้ยลงไปอีกก็จะเกิดอาการกับดักสภาพคล่องคือไม่มีผลธนาคารบางแห่งเริ่มล้มรัฐบาลต้องเข้าไปอุ้มซึ่งทำให้มีคนพูดว่าหมองูตายเพราะงูคือเป็นประเทศที่นิยมระบบตลาดเสรีแต่ตัวเองแทรกแซงตลาดเสียเองและได้รู้และเข้าใจว่าเราต้องรู้จักประหยัดไม่ใช้เงินเกินตัวและเปลี่ยนวิกฤเป็นโอกาสในโลกปัจจุบันก็ไม่มีอะไรที่แน่นอนเรียนรู้อยู่ในโลกนี้และให้คนอื่นยอมรับมีความคิดการเรียนรู้ในทุกด้านมีพื้นฐานและปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ด้วยและต้องปรับอารมณ์ให้ดีตลอดไม่อารมณ์ร้อนต้องเรียนรู้ในการอยู่ในสังคมได้เราต้องรู้จักอดทนในการกระทำเราต้องเป็นคนดีด้วยความฉลาดทางปัญญาสอนให้มีทุนทางปัญญาเราต้องบริหารความอดทนให้ดีอดทนอดกลั้นมีการวางแผนเราต้องมีศีลธรรมมีความยุติธรรมและมีคุณธรรมคือเน้นคนเก่งและดีมีความยุติธรรมและมีคุณธรรมเมืองไทยต้องปกครองด้วยความเป็นธรรม
2 เชื่อมโยงระหว่าง 4 Q กับความสุขมีความสุขในการทำงานเกี่ยวข้องอะไรกับ 4Q
4 Q แปลว่า จะเก่งได้จะประสบความสำเร็จได้ต้องมีทั้ง 4 เรื่องใช้หลักการสร้าง มูลค่า อารมณ์ สุนทรี มีความสนุกมีความจริงใจใช้จิตวิทยาในการคิดการพูด คือ คิดให้รอบคอบในหน่วยงานที่รับผิดชอบเพิ่มประสิทธิภาพ ของพนักงานเสริมสร้างอารมณ์สร้างความไว้ใจความเชื่อมันเพิ่มผลประโยชน์ให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องกับทุกฝ่าย และต้องศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับอุปนิสัย ของแต่ละคนว่าถนัดอะไร และเหมาะสมกับเขาหรือไม่ และต้องรู้จักศึกษาอารมณ์ เพื่อการพัฒนาคุณภาพของสินค้า ถ้าพนักงานมีอารมณ์สุนทรี และมี I Q ครบทั้ง 4 Q งานที่ได้รับหมอบหมายก็จะออกมาดีด้วย
มาเรียม เหลืองอร่าม
กราบเรียน อาจารย์จีระ หงส์ลดารมภ์ ที่นับถือดิฉัน บุญช่วย พูลทอง ได้เรียนเมื่อวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ 2551 ที่อินโดรามา ขอตอบการบ้านของอาจารย์ดังนี้คือ
ข้อที่1.เรียนแล้วได้อะไร.
ตอบ.ดิฉันได้รับความรู้บทเรียนจากความเป็นจริงที่อาจารย์นำมาสอนกับลูกศิทย์อินโดรามาได้รับรู้สถานการณ์ของโลกการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศโดยเฉพาะในสหรัฐฯเรื่อง Sub-Prime อาการเศรษฐกิจอเมริกายังไม่ดีขึ้นจึงเป็นประเทศที่มีโรคร้ายทางเศรษฐกิจเงินดอลล่าร์จึงไม่มีใครเชื่อถือก็ไม่มีใดรเก็บดอลล่าร์ไว้ดอลล่าร์ก็เลยตก
ข้อที่2.ทำ4Qแล้วได้ความสุขและเกี่ยวข้องกับงานที่ทำมีความสำคัญอย่างไร.
ตอบ.การทำงานร่วมกันในคนหมู่มากสิ่งที่สำคัญที่สุดคือIQของเราคือเราต้องใช้ความคิดและสติปัญญาที่มีมาปรับใช้กับการทำงานของเราต้องควบคุมอารมณ์ให้ดีตลอดเวลาไม่ควรอารมณ์ร้อนและต้องมีความอดทนเป็นที่ตั้งเพราะเราอยู่ตรงระหว่างกลางเราจะต้องเป็นคนที่มีคุณธรรมและจริยธรรมกับเพื่อนร่วมงาน
ขอแสดงความนับถือ
บุญช่วย พูลทอง
กราบเรียนอาจารย์จีระหงส์ลดารมภ์กระผมพนักงานบริษัทอินโดรามาได้
เข้าเรียนเมื่อวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2551จะขอส่งการบ้านอาจารย์ดังต่อไปนี้.
1.วันนี้เรียนแล้วได้อะไร.
ตอบ ได้รู้และเรียนทบทวนเรื่องเก่าทฤษฎี 5K’s และ 8K’s ฃึ่งกระผมเกือบจะลืมแล้วด้วยซ้ำต้องขอขอบคุณอาจารย์ที่กรุณาทบทวนให้
2.ทำ 4Q แล้วได้ความสุขและเกี่ยวข้องกับงานที่ทำมีความสำคัญอย่างไร.
ตอบ IQ ความคิดของกระผมมันมีไม่มากแต่อาศัยประสบการณ์และความชำนาญพอเอาตัวรอดEQการควบคุมอารมณ์นี่ซิสำคัญทั้งหัวหน้าชาวต่างชาติและเพื่อนร่วม
งานในการสั่งงานเพราะเราทำงานกับคนหมู่มากมีทั้งผิดและถูกต้องใช้ AQ ความอดทนเข้าช่วยหนักแน่นแต่นุ่มนวนสุขุมจะต้องเติมMQคุณธรรมจริยธรรมทำงานร่วมกันอย่างมีความสุข
ขอแสดงความนับถือ
ฉัตรเทพ ศรีห่วง
10/04/08
กราบเรียนอจิระ
1.จากบทเรียนที่ผ่านมา ทำให้มีความเข้าใจเรื่อง sup-prime ได้ดีขื้นเพราะเป็นปัญหาเศรษฐกิจ
ของอเมริกาทำให้เศรษฐกิจทั่วโลกกระทบกระเทือนเราต้องเตรียมรับสภาสวะความพร้อมของตัวเราด้วย
ในการทำธุรกิจต้องรู้สภาพโลกาภิวัฒน์ ต้องทันเหตุการณ์อยู่เสมอ เพราะมีผลกระทบต่อตัวเรา ต้องเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาสเพราะเศรษฐกิจไม่มีความแน่นอน
นอกจากต้องรู้เรื่องโลกาภิวัฒน์แล้ว ยังต้องเน้นคุณภาพ ของสินค้า และต้องมองความสำคัญของลูกค้าด้วยเพราะธุรกิจจะอยู่ได้ด้วยการมีลูกค้า และการซื้อสินค้าของลูกค้าขื้นอยู่กับความพอใจเราต้องมี E.Q.ประกอบด้วย เช่นการมีน้ำใจ ใหัเกียรติลูกค้า มีความจริงใจ ซื่อสัตย์ต่อลูกค้า มีความจริงใจไม่เอาเปรียบลูกค้ารับฟังความคิดเห็นของลูกค้า ทำให้ลูกค้าพอใจ มีความสุขทั้งสองฝ่าย WIN:WIN และทำไห้ลูกค้าเกิด
ความเชื่อมั่น เป็นลูกค้าของเราตลอดไป
2.การที่จะประสบความสำเร็จได้ ต้องมี ทั้ง 4 Q.
- I.Q. INTELLIGENCE QUOTENT
I.Q. คือความฉลาดที่มีมาตั้งแต่เกิด แต่ไม่ใช่พรสวรรค์ สามารถมีได้ ถ้ามีความพยายาม มีการสะสมความใฝ่รู้ ความจำ ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ต้องฝึกคิดให้เป็น แต่การเรียนรู้ของคนไทย ชอบใช้ความจำ
-E.Q. EMOTIPNAL QUOTIENT
E.Q.คือการมีอารมณ์ดีสามารถควบคุมอารมณ์ได้การฝึกควบคุมอารมณ์เช่นการนั่งสมาธิรู้จัก ถนอมน้ำใจผู้อื่น
-A.Q. ADVERSITY QUOTIENT
A.Q.คือการอดทน การทีความเป็นอยู่อาจไม่ราบรื่น ต้องมีความอดทนไม่มองผู้อื่นในแง่ราย คิดเสมอว่าไม่มีสิ่งใดที่แก้ไขไม่ได้ ไม่ต้องกังวล จนเกินไป ต้องมุมานะทำงานให้สำเร็จ อาจจะหนักในวันนี้ แต่เพื่ออนาคต “ ชีวิตต้องสู้ “
-M.Q.MORAL QUOTIENT
M.Q.คือความยุติธรรมคนเราจะเก่งอย่างเดียว ยังไม่ดีพอ ต้องเป็นทั้งคนเก่งและคนดี
ดังนั้น ชีวิตี่ประสบความสำเร็จได้ต้องมีทั้ง 4Q.
ขอขอบคุณอ.จิระที่กรุณาแนะแนว
รพีพร ศรีปลั่ง
บ.อินโดรามา
กราบเรียนท่านอาจารย์ ดร.จิระ และทีมงานทุกท่าน
สำหรับหัวข้อบทเรียนที่ได้รับในวันนัี้ นับว่ามีประโยชน์มาก เพราะว่าเป็นสิ่งที่มีอยู่
ในตัวเองของทุกคน เพราะทั้ง ไอคิวและอีคิวที่สิ่งที่ได้รับมาตั้งแต่เกิดจากครรภ์มารดา ซึ่งบางคนก็มีมากบ้าง น้อยบ้าง ตามฐานะและสภาพแวดล้อมของแต่ละคนไป บางคนอาจจะมีไอคิวน้อย แต่อาจมีอีคิวสูง หรือบางคนมีอีคิวสูง แต่ไอคิวต่ำ หรือบางคนอาจจะมีทั้งสองอย่าง ก็นับว่าโชคดีมาก แต่ทั้งไอคิวและอีคิวเป็นเรื่องที่ทุกคน สามารถที่จะฝึกฝนให้เกิดกับตัวเองขึ้นได้ หากทุกคนมีความตั้งใจ มีความพยายามมากพอ และสิ่งที่ได้รับวันนี้ มีอะไรบ้าง.....
คำว่า “ไอคิว” หมายถึงระดับสติปัญญาหรือระดับเชาวน์ปัญญาของคน คนไอคิวดีจะเป็นคนเก่งมีสมองรับรู้ว่องไว เรียนหนังสือเก่ง ไอคิวนั้นมาจากคำภาษาอังกฤษว่า Intelligence Quotient แล้วย่อ เป็น IQ ไอคิวของมนุษย์แต่ละคนจะได้รับการถ่ายทอดมาจากพ่อและแม่ทางพันธุกรรม ฉะนั้นพ่อแม่ที่มีไอคิวสูงมักมีลูกไอคิวสูงด้วย แต่บางครั้งพ่อแม่ไอคิวสูงลูกอาจมีไอคิวไม่สูงได้เช่นกัน ส่วนพ่อแม่ที่มีไอคิวไม่สูงลูกจะมีไอคิวไม่สูงเหมือนพ่อแม่ แทบไม่เคยปรากฏว่าพ่อแม่ไอคิวไม่สูง แล้วมีลูกเป็นอัจฉริยะ แต่ในทางตรงข้ามพ่อแม่ที่ไอคิวไม่สูง บางครั้งอาจมีลูกปัญญาอ่อนได้จากสาเหตุบางประการ ฉะนั้น ไอคิว จึงเป็นสิ่งติดตัวลูกมาตามธรรมชาติเพราะถ่ายทอดทางพันธุกรรม และพบว่าประสบการณ์ของชีวิต การศึกษาต่าง ๆเปลี่ยนแปลงระดับไอคิวได้น้อยมาก
คำว่า “ อีคิว” เป็นคำมาจากภาษาอังกฤษว่า Emotional Quotient นั้นหมายถึงความสามารถของคนด้านอารมณ์ จิตใจและยังรวมถึงทักษะการเข้าสังคมด้วย ซึ่งที่จริงก็คือ วุฒิภาวะทางอารมณ์ หรือ ทักษะชีวิตหลายด้าน คนที่มีอีคิวสูงจะมีคุณสมบัติทั่ว ๆ ไป ดังนี้
• มีวุฒิภาวะทางอารมณ์
• มีการตัดสินใจที่ดี
• ควบคุมอารมณ์ตัวเองได้
• มีความอดกลั้น
• ไม่หุนหันพลันแล่น
• ทนความผิดหวังได้
• เข้าใจจิตใจของผู้อื่น
• เข้าใจสถานการณ์ทางสังคม
• ไม่ย่อท้อหรือยอมแพ้ง่าย ๆ
• สามารถสู้ปัญหาชีวิตได้
• ไม่ปล่อยให้ความเครียดท่วมทับความคิดไปหมดจนทำอะไรไม่ถูก
• คนที่มีอีคิวดีมักจะเป็นคนที่มีความสุขในชีวิต ในขณะที่คนมีไอคิวดีอาจมีปัญหาชีวิตมากมายได้
• คนที่มีอีคิวดี มักจะประสบความสำเร็จได้สูง ในขณะทีคนมีไอคิวก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าคนนั้นจะประสบความสำเร็จมีความสุข มีชื่อเสียงเสมอไป
4 คิว มีส่วนเกี่ยวข้อง กับความสุขในชีวิตอย่างไร
4 Q นั้นได้แก่
IQ ย่อมาจาก Intelligence Quotient หมายถึง มาตรวัดปัญญา
EQ ย่อมาจาก Emotional Quotient หมายถึง มาตรวัดความสามารถจัดการควบคุมอารมณ์
AQ ย่อมาจาก Adversity Quotient หมายถึง มาตรวัดความสามารถในการควบคุมกำกับและเอาชนะปัญหาอุปสรรคได้
MQ ย่อมาจาก Moral Quotient หมายถึง มาตรวัดระดับความมีคุณธรรมจริยธรรม ใน จิตใจ
คนที่มีเอคิวสูง หรือมีจิตใจชอบการต่อสู้ จะมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงไม่ค่อยเจ็บป่วย ถึงเจ็บป่วยก็จะฟื้นตัวเร็ว หากมีกำลังใจที่ดีและมีจิตใจแห่งการต่อสู้ ก็มีโอกาสยืดชีวิตให้ยืนยาวมากขึ้น ส่วนคนที่ขาดเอคิวหรือคนที่ต่อสู้กับความยกลำบากไม่ได้ มักรู้สึกพ่ายแพ้อยู่ตลอดเวลา เมื่อเป็นมากๆ ขึ้นก็จะกลายเป็นโรคซึมเศร้า และฆ่าตัวตายในที่สุด" คนรุ่นใหม่ "เอคิว" ต่ำ ส่งผลให้เป็นคนไม่สู้ ไม่อดทนต่ออุปสรรค และมีความท้อง่าย ปัจจุบันคนที่มีไอคิวดี มีความรอบรู้มากมายแต่เอาตัวไม่รอดเมื่อประสบปัญหาต่างๆ
คนประสบความสำเร็จต้องมีทั้งไอคิว อีคิว เอคิว และเอ็มคิว ที่่จะนำไปสู่ความสำเร็จ ต้องมี 3 สิ่ง ดี เก่ง สุข
๑. ดี เป็นการพัฒนาความพร้อม ทางอารมณ์ที่จะอยู่ร่วมกับผู้อื่น
ดี - การรู้จักอารมณ์ และการควบคุมตนเอง
ดี - การมีน้ำใจ ใส่ใจ และเข้าใจอารมณ์ผู้อื่น
ดี - การรู้ว่าอะไรถูก อะไรผิด และการยอมรับผิด
๒. เก่ง เป็นการพัฒนาความพร้อมที่จะพัฒนาตนเองไปสู่ความสำเร็จ
เก่ง - แรงจูงใจ
เก่ง - การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงและปรับตัวต่อปัญหา
เก่ง - การกล้าพูดกล้าบอกและกล้าแสดงออกอย่างเหมาะสม
๓. สุข เป็นการพัฒนาความพร้อมทางอารมณ์ของบุคคลที่ทำให้เกิดความสุข
สุข - ความพอใจ
สุข - ความอบอุ่นใจ
สุข - ความสนุกสนานร่าเริง
จะเห็นว่าคนเราในปัจจุบันจะท้อง่าย ไม่สู้ ไม่อดทน คนที่ประสบความสำเร็จเกือบทุกคนต้องผ่านอุปสรรคปัญหามากมาย และที่เขาผ่านมาได้ก็เพราะคนกลุ่มนี้มีเอคิว สิ่งที่จะทำให้คนเรามีความสามารถในการฟันฝ่าต่ออุปสรรคนั้น ต้องเริ่มจากการให้คนเราสร้างเป้าหมาย ทักษะชีวิตเพียงอย่างเดียวคงไม่พอ ต้องรู้จักที่จะมีเป้าหมายในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเรียน การงาน การใช้ชีวิตครอบครัว
ขอขอบคุณค่ะ
ยุพาพรรณ แสวงทอง
สวัสดีครับอาจารย์ ดร จีระ ที่เคารพ ผมนายกิตติ แก้วพงษ์ ครั้งนี้ส่งการบ้านของอาจารย์ช้าไปหน่อยต้องขอโทษด้วยนะครับ...ในช่วง
นี้เป็นฤดูร้อนซึ้งอากาศค่อนข้างร้อนมากไปใหนมาใหนก็ร้อน บางคน
ก็หงุดหงิด พูดจาบางครั้งอาจจะไม่ค่อยเข้าหูใคร่บางบ้างครั้งคำพูดบางคำ
ทำให้เกิดปากเสียงกัน ชึ้งขึ้นอยู่ใครจะเก็บอารมณ์ได้ดีกว่า มีความอดทน
ที่ดีกว่า มีความคิดที่ดีกว่า ก็จะไม่ค่อยจะตอบโต้สักเท่าไรโดยจะใช้ความคิด
ไตร่ตรองหาเหตุผลแล้วถึงมาคุยกันซึ้งบางครั้งทำให้ผลงานออกมาดีและ
ประสบความสำเร็จ ซึ้งมาเกี่ยวกับที่เรียนมาคือ IQ - EQ - AQ - MQ ซึ้งหน้าจะเป็นพื้นฐานที่นำไปสู่ความสำเร็จในหน้าที่การงานเหมือนกับ
ที่ผมทำงานใน INDORAMA ซึ้งติดต่อกับบุคคลหลายประเภท หรือ
หลายหน่วยงานหรือ เมื่อมีการประชุมซึ้งแต่ละท่านความคิด
อาจจะไม่เหมือนกัน อาจจะไม่ค่อยเข้าใจคำพูดของกันและกัน ซึ้ง
เราจะต้องคิดและวิเคราะห์หาคำพูดอย่างไร ที่พูดออกมาให้เข้าใจกัน ( IQ ) และเมื่อทุกคนมีความคิดต่างเสนอความคิดของตัวเองขึ้นมา เกิดการ
โต้เถียงกัน เราต้องใช้อารมณ์ควบคุม แล้วหาเหตุผลมาคุยกัน( EQ ) เมื่อบางครั้งหาเหตุผลมาคุยกันแล้วก็ยังหาข้อยุติ หรือสรุปไม่ใด้
จึงต้องใช้เวลานานในการพูดคุย จึงเกิดความเครียด อาจจะไม่ประสบ
ความสำเร็จ ถ้าบางคนไม่มีความอดทนอดกลั้น( AQ )และ ซึ้งบางคน
หรือหัวหน้างานบางท่านอาจขาดความยุติธรรมและคุณธรรม( MQ ) หรือขาดข้อใดข้อหนึ่งไปอาจไม่ประสบความสำเร็จในการติดต่องานหรือการประชุมหาข้อสรุปบางอย่าง หลังจากที่ได้เรียนครั้งนี้เกี่ยวกับ
IQ - EQ - AQ - MQ ผมหวังว่าหน้าจะเป็นแนวทางทำให้ผมไปความสำเร็จ และสุดท้ายนี้ขอให้อาจารย์รักษาสุขภาพด้วย อากาศร้อนมากเลยตอนนี้ .......ขอบคุณครับ
การเรียนในวันที่ 25/3/08 พอจะสรุปได้ดังนี้
1. จากเทปที่ศึกษากล่าวถึงการบริหานความสัมพันธภาพของลูกค้าพอจะสรุปได้ว่า ลูกค้าแบ่งได้ 2 ประเภท คือ ลูกค้าภายใน,ลูกค้าภายนอก ซึ่งจะมีความแตกต่างกันที่ลูกค้าภายนอกต้องเสียเงินในการซื้อของ แต่มีความเหมือนกันที่ว่า
1.1.1 การพูดคุยเพื่อแลกเปลี่ยนความคิด
1.1.2 ควรจะใช้ประโยชน์ร่าวมกัน,มองบรรยากาศทางด้านการตลาดร่วมกัน
1.1.3 ทำให้ลูกค้า รู้สึกมั่นคงปลอดภัย มีความเชื่อมั่น
1.1.4 ได้รับการปฏิบัติอย่างมีเกียรติ ยกย่อง
1.1.5 ความสุนทรี ความงามทางด้านจิตใจ
1.1.6 มีความกระตือลือล้น มองอนาคตร่วมกัน เพราะลูกค้ามีความสำคัญต่อธุรกิจ
1.1.7 การมองถึงผู้ที่มีส่วนได้,ส่วนเสีย ในธุรกิจนั้น ๆ
2. จากบทความที่อาจารย์เขียน สถานการณ์ปัจจุบัน มีการเปลี่ยนแปลงทุกด้านอยู่ตลอดเวลา
1.2.1 ปัจจุบันเราต้องปรับตนเองให้ทันกับสถานการณ์ต่าง ๆ เช่น เรื่องการประหยัด หันมาใช้พลังงานทดแทน วัฒนธรรมการเรียนรู้ซึ่งไม่ใช่แต่มีความรู้เพียงอย่างเดียว ต้องมีหลักในการเรียนอย่างแรกคือ
1.2.1.1 แนวความคิดของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวคือ รู้รักสามัคคี
1.2.1.2 แนวความคิดของ Peter Senge เพื่อการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้
1.2.1.3 ทฤษฎี 4 L ของอาจารย์
1.2.2 เนื่องจากเศรษฐกิจของสหรัฐถดถอยกวดขันการใช้จ่ายเงินเกินตัวของสหรัฐในสงครามอิรัก การขาดดุลงบประมาณของอเมริกา ติดต่อกันกว่า 8 ปี และการขาดดุลการค้าติดต่อกันกว่า 20 ปี ส่งผลให้คนไม่กล้าที่จะถือดอลล่าร์ไว้ในมือ เพราะดอลล่าร์มีการอ่อนค่าอยู่ ฉะนั้นในปัจจุบันไม่ว่าราคานำมันจะอยู่ที่เท่าไร อุปสงค์อุปทาน จะมากน้อยไม่สำคัญเท่ากับความน่าเชื่อมั่นของโลก/ราคา ดอลล่าร์
2. IQ ใช้เป็นใบเบิกทางเพื่อการยอมรับในสังคม มีโอกาสในการเลือกสรรค์สิ่งที่ดีแก่ตัวเองและครอบครัว IQ เป็นสิ่งที่สร้างได้
AQ จาก IQ เมื่อเป็นที่ยอมรับทางสังคม การดำรงชีวิตประสบผลสำเร็จ การต่อสู้ชีวิตเป็นไปอย่างสวยงาม แต่ผู้ที่มี IQ ไม่เป็นที่ยอมรับการต่อสู้ชีวิตดิ้นรนเพื่อความอยู๋รอดของตนเองและครอบครัวมีสูง ทำให้ไม่รู้จักที่จะปล่อยวางในชีวิตมีผลทำให้ MQ คุณธรรม จริยธรรม ในใจ ในชีวิตประจำวันเปลี่ยนแปลงไปแต่บางครั้งความดี ความโง่ดูเหมือนจะใกล้เคียงกัน จาก IQ AQ MQ ที่กล่าวมา EQ มีผลกระทบต่อตัวเอง ครอบครัว และสังคมรอบข้างได้อย่างมากมาย ถ้าใช้ EQ ตัดสินปัญหาต่าง ๆโดยที่ไม่ได้นึกถึง MQ สุดท้าย HQ ก็จะไม่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่วนตัว ชีวิตการทำงาน แต่ถ้าเรารู้สึกพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่แม้ว่าต้องดิ้นรนต่อสู้กับชีวิตอย่างมากมาย HQ ก็เกิดชึ้นได้
สุทธินี สร้อยเสนา
สวัสดีค่ะ อาจารย์ จิระ ที่เครพ ดิฉัน ณัฐสุดา กลัดงาม ขอส่งการบ้าน ดังนี้
ข้อ 1 เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2551 จากที่ได้เรียนกับอาจารย์ ก็ได้รับความรู้มากมายหลายอย่าง สิ่งที่รู้ก็คือเรื่องเศรฐกิจของสหรัฐ ที่อ่อนแอลง และทำให้เกิดปัญหาที่เรียกว่า SUP PRIME คือประชาชนของอเมริกาได้มีการใช้เงินกันเกินตัว และไม่สามารถนำเงินไปใช้หนี้ได้ จึงทำให้เกิดปัญหาหนี้เสีย จนแก้ใขปัญหาได้ยาก
ข้อ 2 เรื่อง IQ ,MQ ,EQ ,AQ ทำให้เรารักตัวเราเองและเข้าใจในการทำงาน พัฒนาองค์กร และมีคูณธรรม และมีจริยธรรม
สวัสดีค่ะ อาจารย์ จิระ ที่เครพ ดิฉัน วราภรณ์ ระวิงทอง ขอตอบการบ้านของอาจารย์ดังนี้ ข้อ 1 จากที่เรียนกับอาจารย์เมื่อวันที่ 25 มีนาคม ที่ผ่านมาได้ความรู้ใหม่ๆหลายอย่าง เช่น เศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาอ่อนแอ และ เศรษฐกิจถดถอย เกิดปัญหาที่เรียกว่า SUP PRIME เนื่องจากในอเมริกาเกิดการใช้จ่ายเงินเกินตัวแล้วไม่สามารถนำเงินมาใช้หนี้ได้ทำให้เกิดหนี้เสีย รวมไปถึงเรื่องอสังหาริมทรัพย์ ผู้นำและธนาคารกลางของสหรัฐก็ยังแก้ปัญหาไม่ถูกจุด ได้มีการลดดอกเบี้ยลงไปอีกจนธนาคารบางแห่งในอเมริกาเริ่มล้ม รัฐบาลต้องเข้าไปอุ้ม
นอกจากเรื่อง SUP PRIME ยังเรียนเรื่อง IQ ,MQ ,EQ ,AQ เพื่อให้เราพัฒนาองค์กรและตัวเราเองให้รู้จักทำงานเป็นขั้นตอน การทำงานเป็นทีม มีความยุติธรรมและคุณธรรม
ข้อ 2 เกี่ยวข้องกับเราก็คือให้เรามีโภชนาการตั้งแต่เด็กเพื่อให้เราคิดเป็นและเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ทำให้เราทำงานได้สำเร็จ รู้จักควบคุมอารมณ์ และ มีสมาธิรู้จักชีวิตต้องต่อสู้ เจ็บปวด คิดดีทำดีไม่เครียดจนเกินไปจนนอนไม่หลับ นอกจากจะเป็นคนดีแล้วเราต้องเก่งด้วย ในการทำงานเราต้องยึดหลักมีความยุติธรรม และคุณธรรม โลกเราถึงจะอยู่ได้อย่างสงบ และเราก็มาใช้พัฒนาบริษัทให้เจริญก้าวหน้าต่อไป
เรียน อาจารย์ จิระ ที่เครพ
ผมนายสุทิน สุขประเสริฐ ขอส่งการบ้านของอาจารย์ดังนี้
ข้อ 1 การเรียนครั้งนี้ทำให้ได้รับรู้ว่าเศรษฐกิจทั่วโลกกำลังประสบปัญหามากมายไม่ว่าจะเป็น ค่าเงินบาทแข็งตัว รวมถึงราคาน้ำมัน ราคาทองคำ ถีบตัวสูงขึ้น ฉะนั้นเราจึงต้องปรับสภาพของตัวเราเอง เกี่ยวกับการใช้จ่ายเงิน ไม่ให้ใช้จ่ายมากจนเกินตัว เพราะจะทำให้เกิดปัญหาหนี้เสีย อย่างเช่นประชากรของสหรัฐอเมริกา แล้วยังได้เรียนรู้เกี่ยวกับทฤษฎี 4Q ว่าการทำงานของเราควรจะนำ Qไหนมาใช้ก่อนหลังแล้วควรใช้อย่างไรเพื่อให้ทุกคนทำงานร่วมกันอย่างมีความสุข
ข้อ 2 การที่จะนำ 4Q มาใช้เกี่ยวข้องกับการทำงานเราควรจะคำนึงถึงว่าการที่จะทำงานให้มีความสุขหรือประสบความสำเร็จเราควรจะทำอย่างไรเช่น เราควรจะมี EQ ก่อนเพราะเราต้องควบคุมอารมณ์ของตัวเราเองให้ได้ ถ้าเรามีอารมณ์ดีก็จะนำไปสู่ IQ คือความคิดทางปัญญา แล้วเราควรมี MQ ตามมา เพื่อที่เราจะได้มีคุณธรรมและจริยะธรรมซึ่งจะนำไปสู่ AQ คือการมีความอดทนต่ออุปสรรคถ้าทุกคนปฏิบัติได้ดังนี้ก็จะทำให้มีความสุขกับการทำงาน เพื่อจะได้ใช้พัฒนาองค์กรให้ก้าวหน้าต่อไป
เรียนอาจารย์จีระ หงส์ลดารมภ์ดิฉันนางบุุญช่วย จงรักษ์ขอส่งการบ้านดั้งนี้
ตอบ ดิฉันได้รับความรู้เรื่องวซับพลายปัญหาทางด้านเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ซึ่งตอนนี้ยังไม่มีอะไรดีขึ้นมากนักสหรัฐฯจึงเป็นประเทศที่มีโรคร้ายทางด้านเศรษฐกิจ จึงทำให้สถานการณ์ทางโลกเปลี่ยนแปลงมากจึงทำให้มีผลกระทบทั่วโลกอย่างรุนแรง จึงทำให้เงินดอลล่าร์ในสหรัฐฯ ไม่มีคนเชื่อถือเท่าไรและไม่มีใครอยากเก็บเงินดอลล่าร์ไว้ ซึ่งทำให้เงินดอลล่าร์ตกลงอย่างมาก
ตอบ การทำงานกับผู้อื่นโดยเฉพาะคนส่วนมาก เราต้องมีทุนทางปัญญาหรือIQ เพราะเราต้องใช้ความคิดและสติปัญญาในการทำงาน อย่างที่สอง คือ อารมภ์หรือ EQ เพราะเราต้องเจออุปสรรค์ในการทำงานฉะนั้นเราไม่ควรใช้อารมภ์ในการตัดสินปัญญา
อย่างที่สาม คือความอดทน อดกลั้น หรือAQ เพราะเราต้องมีความอดทนในการทำงานร่วมกับผู้อื่น อย่างที่สี่ คือ คุณธรรมและจริยธรรม หรือ MQ เพราะต้องซื่อสัตย์และยุติธรรมกับงานและเพื่อนร่วมงานเสมอ
บุญช่วย จงรักษ์
ขณะที่ผม นายสมโชค เถียรอ่ำ กำลังส่ง BLOG นี้ ผมยังไม่ได้อ่าน HUMAN TALK ของอาจารย์ แต่ผมเชื่อว่าใน HUMAN TALK ต้องมีสาระที่น่าสนใจแน่นอน เพราะชื่อ ดร.จีระ รับประกันความเก๋า วันนี้ผมขอเขียนอะไรที่มันใกล้ตัวผม และอยู่ใกล้ตัวเราๆ ท่านๆ ผมมีโอกาสได้ดูละครตอนเย็นวันเสาร์และอาทิตย์ ทางช่อง 3 แต่ตอนนี้ละครจบไปแล้ว เรื่อง"อิมซังอ๊ก ยอดพ่อค้าหัวใจทรนง" ผมเห็นว่าละครเรื่องนี้มีข้อคิดอะไรมากมายที่เป็นประโยชน์ เลยเอามาเขียนให้อ่านกันพอหอมปากหอมคอ "อิมซังอ๊ก"เป็นพ่อค้าธรรมดา แต่ประสพความสำเร็จในชีวิตจนได้เป็นใหญ่เป็นโต เพราะเขามีสติปัญญา มีความซื่อสัตย์ อดทน มีความกตัญญู มีความเสียสละ เห็นประโยชน์ของส่วนรวมและประเทศชาติสำคัญกว่าประโยชน์ส่วนตัว จนสุดท้ายได้รับการแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาด้านการค้าของพระมหากษัตริย์ เงิน ทอง เขาปล่อยให้มันค่อยๆ ไหลคืนกลับสู่ผู้คนที่ยัง อดอยาก ยากไร้ โดยการสนับสนุนให้มีการประกอบอาชีพที่เหมาะสมกับภูมิประเทศนั้นๆ พร้อมกับศึกษาว่า ภูมิประเทศแบบนี้ควรหรือไม่ควรปลูกอะไร และควรจะทำอาชีพอะไร เมื่อภูมิประเทศนั้นไม่เหมาะต่อการเพาะปลูก พร้อมกับหาตลาดมารองรับ ให้ความรู้ ฝึกสอน ให้เงินสนับสนุน โดยการบริหารอย่างมีระบบ เพราะว่าการที่เรามีการบริหารจัดการที่ดี ทำให้ธุรกิจนั้นดีไปด้วยเช่นกัน หันมาดูประเทศไทย เห็นแต่คนรวยก็รวยขึ้น คนจนก็จนลง พอข้าวราคาดี ปุ๋ย ยา ก็ดันมาแพง แล้วยังงี้เมื่อไหร่ผู้ที่ประกอบอาชีพเกษตรกร หรือ ชาวนา ซึ่งเป็นอาชีพหลักของประเทศจะรวยซะที สุดท้ายคงต้องขายนา ขายไร่ ให้กับพวกนายทุนต่างชาติ เอาไปสร้างตึก สร้างงาน สร้างศูนย์การค้าใหญ่ๆ เพื่อดูดเงินคนไทย แล้วก็หอบเงินกลับประเทศ ทิ้งไว้แต่ดินเสีย น้ำเสีย แล้วเราจะไปทำอะไรกินกันล่ะที่นี้ "อิมซังอ๊ก" ช่วยด้วย
สำหรับการเรียนการสอนที่ผ่านมา เชื่อว่าทุกคนต้องได้ความรู้ อยู่ที่ว่าจะมากหรือน้อย เพราะ IQ ของแต่ละคนแตกต่างกัน โดยส่วนตัว ผมคิดว่าสิ่งหลักๆ ที่ได้น่าจะเป็นการที่เราจะต้องพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา ซึ่งพัฒนาในที่นี้ก็คือ การพัฒนาในด้านความรู้ ความคิด เพื่ออะไร เพื่อที่เราจะได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำ การเป็นผู้นำนั้นไม่ได้หมายความว่า เราจะต้องมีตำแหน่งใหญ่โต เป็นผู้จัดการ เป็นหัวหน้างาน เท่านั้น แต่ยังหมายถึง ผู้นำที่จะสามารถนำพาครอบครัวให้มีความสุข ว่าเราควรจะทำอย่างไร เราต้องรู้จักคิด การที่เราเป็นผู้นำของครอบครัวแล้วทำให้ครอบครัวมีความสุข นั่นต่างหาก คือ ผู้นำที่แท้จริง ส่วน ลาภ ยศ เงิน ทอง ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่ยั่งยืน
กราบเรียนท่านอาจารย์ที่เคารพรักอย่างสูง ดิฉันนางนิภาพัฒ มิ่งมงคล ขอตอบการบ้านของอาจารย์ดังนี้ค่ะ ข้อ 1 ดิฉันอ่านข้อความใน BLOG ของอาจารย์แล้วรู้สึกมีความรู้มากยิ่งขึ้น จากที่เมื่อก่อนดิฉันไม่เคยที่จะเรียนรู้สิ่งที่ยากๆ หรือยากที่จะค้นหา แต่เมื่อได้อ่านแล้วดิฉันก็มีความรู้หลายเรื่องเพิ่มขึ้น บางเรื่องสามารถทำให้ดิฉันนำไปพัฒนาปรับปรุงตนเองได้เป็นอย่างดี และบางเรื่องดิฉันก็นำไปใช้กับเพื่อนร่วมงาน รวมถึงในงานของดิฉันด้วย
อาจารย์เป็นผู้รอบรู้เปรียบเสมือนนักปราชญ์ที่สั่งสอนให้ศิษย์อย่างดิฉันมีความรู้เพิ่มมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น การจัดระเบียบวินัยเรื่องการใช้เงิน ดิฉันจำได้เป็นอย่างดี และกำลังนำไปปฏิบัติอยู่ในขณะนี้ และคิดว่ายังมีอีกหลายๆอย่างที่ดิฉันเรียนรู้มาจะนำมาใช้ประโยชน์ต่อครอบครัวและตัวดิฉันเองได้เป็นอย่างดี ส่วนข้อที่ 2 ก็คือ ในการเรียนรู้มาทั้งหมด 9 ครั้ง ดิฉันได้มีพัฒนาการที่ดีขึ้นเรื่อย ตั้งแต่การเรียนรู้ขั้นพื้นฐานตั้งแต่แรกเริ่ม จนมีการเรียนรู้เพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ จนดิฉันมีพัฒนาการที่ดี มีความคิดแปลกใหม่ มองโลกได้กว้างมากกว่าเดิม และนำมาปรับใช้กับการทำงานซึ่งร่วมกับผู้อื่นได้และเข้าใจผู้อื่นมากขึ้น สามารถทำงานเป็นทีม และเข้าใจผู้อื่นมากขึ้น รวมทั้งการพัฒนาบุคลิกภาพของตนเองให้เป็นผู้นำที่ดีของลูกน้อง และเป็นลูกน้องที่ดีของหัวหน้า และเป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อนร่วมงาน ส่วนข้อสุดท้ายคือข้อที่ 3 ซึ่งดิฉันหวังและคิดเสมอว่าคงจะได้รับการสั่งสอนและเรียนรู้กับท่านอาจารย์อีกในคราวต่อไป แต่ดิฉันก็ต้องได้รับการสนับสนุนจากทางบริษัทฯและหัวหน้าของดิฉันด้วย จึงขอขอบคุณท่านอาจารย์สำหรับทุกๆสิ่งที่ให้กับตัวดิฉันมากค่ะ
กราบเรียนอาจารย์จีระหงส์ลดารมภ์ ที่นับถือดิฉันวันเพ็ญ สุขประเสริฐ ที่เป็นลูกศิษย์ของอินโดรามาขอตอบการบ้านของอาจารย์ดังนี้คือ จากที่อาจารย์ให้ดูในBLOGที่อยู่ในอินเตอร์เนต
ดิฉันรู้สึกว่าอาจารย์เป็นอีกคนหนึ่งที่มีความสามารถมากและเป็นคนที่มี IQ สูงเป็นคนที่ความฉลาดมีเทคนิคในการสอนให้บุคคลอื่นๆได้มีความรู้และมีความสามารถที่จะใช้ชีวิตอยู่กับคนทั่วไปโดย
ไม่มีปัญหาตามมาและสอนให้รู้จักการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้และอาจารย์
ยังเป็นที่เคารพรักของลูกศิษย์อีกจำนวนมากเพราะว่าได้เห็นคุณ
พลเดช วรฉัตรที่เป็นราชทูตของไทยกับอินเดีย ยังขอมาเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์จีระ หงส์ลดารมภ์ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านวิชาการได้
ข้อ 2 การเรียนมาทั้งหมด 9 ครั้งแล้วได้อะไรนั้นตัวดิฉันเองได้
รู้สึกว่าตัวเองเปลี่ยนไปคือจากที่เป็นคนมี ความรู้น้อยแต่ดิฉันใช้คำสอนของอาจารย์ที่เน้นว่าให้ใฝ่รู้ศึกษาเพิ่มเติมจึงมีความรู้และมีความมั่นใจมากขึ้นเพิ่มกว่าเดิม ได้รู้จักคิดและเป็นคนที่จะกล้าตัดสินใจในบางเรื่องได้รู้ว่าสิ่งไหนควรตัดสินใจแบบไหนบางเรื่องต้องใช้กลยุทธ์ด้วยปัญญาว่าจะแก้ปัญหาอย่างไรถึงจะตกลงกันได้ด้วยดีบางเรื่องที่แก้ปัญหาได้ก็เพราะว่า
ได้คำแนะนำและคำสอนของอาจารย์จีระ หงส์ลดารมภ์ ผู้ที่เชี่ยวชาญด้านวิชาการที่โด่งดัง
กลุ่มพวกเราที่เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์จีระได้สนุกกับการเรียนรู้สิ่งต่างๆและได้มีความรู้เพิ่มไปกว่าเดิมมาก รวมทั้งการเรียนรู้นอกสถานที่และได้รู้จักกับวัฒนธรรมต่างๆของเมืองกรุงเก่าที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาอีกด้วย หลังจากจบครอสของอินโดรามาทั้ง
10 เดือนแล้วนั้นตัวของดิฉันเองยังคงอยากที่จะเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์จีระ หงส์ลดารมภ์
ต่อไปอีก ไม่ทราบว่าทางทีมงานหรือท่านอาจารย์จะขัดข้องหรือไม่
ด้วยความนับถือเป็นอย่างสูง
วันเพ็ญ สุขประเสริฐ
กราบสวัสดีอาจารย์จีระ หงล์ลัดดารมภ์กระผมนักเรียนจากบริษัทอินโดรามาลพบุรีได้เข้าเรียนกับอาจารย์เมื่อวันที่ 18 เมษายน 51 จะขอส่งการบ้านดังนี้.
1. การเรียน 9 เดือนที่ผ่านมาได้อะไร.
ตอบ นับตั้งแต่เดือนแรกที่กระผมได้เริ่มเรียนกับอาจารย์จีระซึ่งตอนแรกนั้นกระผมยังไม่รู้แนวทางแล้วก็ไม่รู้ว่าตนเองจะรับการเรียนได้สักเท่าไดและไม่รู้อาจารย์จะสอนอะไรแรกฯเริ่มเครียดพอเริ่มเรียนไปก็รู้สึกเหมือนมีเข็มทิศนำทางเราเริ่มรู้แนวทางที่อาจารย์สอนให้และอาจารย์นำเอาหลักการการเรียนรู้จากความเป็นจริงมาสอนทุกครั้งและทันต่อเหตุการณ์เสมอจึงทำให้นักเรียนทุกคนได้รับรู้การเรียนรู้ในโลกกว้างจึงทำให้นักเรียนได้รู้และมีการพัฒนาตนเองขึ้นไปเลื่อยฯ ตามลำดับ
2. อยากทำอะไรต่อ.
ตอบ กระผมต้องขอขอบคุณอาจารย์และทีมงานทุกท่านที่มาให้ความรู้กับพนักงานบริษัทอินโดรามาเท็กซ์ไทล์(ประเทศไทย)จำกัดกระผมจะขอนำความรู้ที่ได้มาเหล่านั้นมาพัฒนาตนเองและพนักงานของบริษัทฯ ระดับปฏิบัติงานให้มีความรู้มากยิ่งขึ้นและจะนำความรู้ที่ได้มาประยุคใช้ในหน่วยงานที่กระผมรับผิดชอบเพื่อเพิ่มผลผลิตทรัพยากรมนุษย์แห่งการเรียนรู้และเพิ่มผลผลิตแก่องค์กรสืบต่อไป
ด้วยความเคารพอย่างสูง
ฉัตรเทพ ศรีห่วง
กราบเรียน อาจารย์จีระ หงส์ลดารมภ์ ที่นับถือดิฉัน บุญช่วย พูลทอง ได้เรียนเมื่อวันที่ 18 เมษายน พ.ศ 2551 ที่อินโดรามาลพบุรี ขอตอบการบ้านของอาจารย์ดังนี้คือ
1.จาก9เดือนที่ผ่านมาเรียนแล้วได้อะไร.
ตอบ ในระยะเวลาที่ได้เรียนกับอาจารย์ก่อนหน้านั้นดิฉันไม่มีความรู้ทางด้านนี้เลยและไม่นึกว่าจะมีโอกาสที่จะเรียนในช่วงของการทำงานและโอกาสนั้นก็มาถึงเมื่อท่านผู้บริหารของบริษัทได้เล็งเห็นความสำคัญที่จะเริ่มพัฒนาพนักงานระดับหัวหน้างานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นในองค์กรจึงทำให้ดิฉันมีโอกาสได้รู้จักกับอาจารย์ที่มาสอนคือ ศ.ดร. จีระ หงส์ลดารมภ์ เริ่มนำสื่อการเรียนการสอนจากบทเรียนจากความเป็นจริงมาให้เรียน ทฤษฎีต่างๆ 5 K's 8 K's IQ EQ AQ MQ และอื่นๆให้นำมาประยุคใช้กับชีวิตประจำวัน ในการทำงานได้รู้จักการทำงานเป็นทีมที่ดีขึ้นกล้าพูดและกล้าตัดสินใจที่จะแสดงออกชึ่งความคิดเห็นได้เรียนรู้และรู้จักวัฒนธรรมของชาวต่างชาติ(อินเดีย) ทางด้านเศรฐศาสตร์ทั้งไทยและต่างประเทศได้รู้การเปลื่ยนแปลงการเมืองการปกครองและรู้ภาวะการเป็นผู้นำที่ดี
2. จากนื้อยากทำอะไรต่อ.
ตอบ ประโยชน์ที่ได้จากการเรียนทั้งหมดนี้ดิฉันจะนำความรู้ที่ได้มานี้ไปต่อยอดให้กับเพื่อนร่วมงานเพื่อที่เขาจะได้มีโอกาสพัฒนายกระดับของตัวเองให้มากขึ้นและจะนำไปพัฒนาองค์กรของเราให้มีประสิทธิภาพเพิ่มผลผลิตและคุณภาพของงานให้มากที่สุดดิฉันหวังว่าเกร็ดความรู้ต่างๆที่ได้มาจะสร้างผลประโยชน์อย่างมหาศาลให้กับองค์กรเป็นอย่างมากและตลอดไปจากรุ่นสู่รุ่น
เรียน อาจารย์ ด. ร. จีระ หงส์ลดารมภ์ ดิฉัน
มาเรียม เหลืองอร่าม ขอส่งการบ้านของอาจารย์ ดั้งนี้
ตั้งแต่ เดือนแรกที่ได้เรียนกับอาจารย์ การที่เราจะเป็นผู้นำที่ดีต้องมี EQ และ IQ และได้เรียนรู้ว่าคนอินเดียเป็นคนที่ใฝ่รู้ และชอบเรียนรู้ตลอดเวลาและดิฉันจะนำความรู้ที่ได้ไปปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตนเองและคนในองค์กรให้ไปในทางที่ดีขึ้น
เราจะต้องสร้างวัฒนธรรมแห่งการเรียนรู้
เข้าใจวิธีการเรียนรู้
สร้างบรรยากาศในการเรียนรู้
สร้างโอกาศในการเรียนรู้
สร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้
หลักสูตรนี้ดิฉันได้รับความรู้เกี่ยวกับ
ความรู้
วิธีการคิด
สังคมแห่งการเรียนรู้
เราทุกคนต้องมีทุนทางปัญญา มองสภาพแว้ดล้อมที่ดี มองภาพใหญ่ และต้องศึกษาก่อน
ได้รับความรู้ หลาย ๆ อย่าง เช่น เราต้องใฝ่รู้ตลอดเวลา เรียนรู้ตลอดเวลา และนำความรู้ที่ได้รับมาพัฒนาในกลุ่มของพนักงานให้กล้าคิด กล้าตัดสินใจ กล้าทำ สร้างให้ทุกคนคิดนอกกรอบ และเอาผลการเรียนรู้ไปสร้างมูลค่าเพิ่มให้องค์กร
และเราต้องมีทัศนคติที่เปิดกว้างเพื่อรับการเรียนรู้ใหม่ ๆ มีการสื่อสารที่ดี สนใจเรียนรู้ต่อเนื่อง รู้วิธีลดความขัดแย้งในองค์กร สร้างองค์กรให้เกิดกระแสของการเรียนรู้หาความรู้ตลอดเวลา ต่อเนื่อง และ ต่อยอด เราต้องเรียนรู้ และพัฒนาตนเองตลอดเวลา หลังที่ได้เรียนกับอาจารย์แล้ว เราต้องคิดอย่างมีเหตุผล เหตุเป็นอะไร ผลเป็นอะไร และถามตัวเองตลอดเวลาว่าได้อะไรบ้าง ต้องไม่คิดในกรอบ ต้องคิดนอกกรอบ อย่าคิดว่าตัวเองโง่ ควรคิดว่าตัวเองฉลาด เหมือน ด. ร. จีระ ที่ชอบค้นหาตลอดเวลา และรู้ให้กว้างอย่ารีบ ร้อนทำอะไรให้เป็นขั้นเป็นตอน เราต้องไม่โอเวอร์เดินสายกลาง
ข้อคิดที่ได้
การเป็นผู้นำที่ดีต้องให้คนอื่นดีด้วย
การเป็นผู้นำที่ดีต้องให้สังคมดีด้วย
ผู้นำที่ดีต้องมองภาพใหญ่ ต้องเรียนรู้การคาดการณ์อนาคต ได้รับรู้ในการมองภาพใหญ่ หรือโลกาภิวัฒน์ เงินบาทแข็งขึ้น การเป็นผู้นำที่ดีควรมองสภาพแว้ดล้อม และมองให้กว้าง เงินยูโรใช้ในยุโรป เศรฐกิจไม่เหมือนกัน เงินบาทแข็งขึ้น เพราะเราส่งออกมากขึ้น โลกาภิวัฒน์ มีการเปิดเสรีทางการค้า และปรับเปลี่ยนทางการค้า ให้ทันเหตุการณ์ อยู่เสมอ ภาพใหญ่ การเมือง ปัญหาทางภาคใต้ ก็มีปัญหาทางการค้า การลงทุน ผู้นำที่ดี ต้องกระตุ้นให้ลูกน้อง กล้าพูดสิ่งที่มีอยู่ในใจ ต้องฟังความคิดคนอื่นด้วย นำเรื่องการสนทนา และสื่อสารมารวมกัน อย่ากลัวที่จะพูด แต่ถ้าพูดแล้ว ต้องทำให้ผู้ฟังอยากฟัง ฟังแล้วไม่ลำบากใจ กล้าพูด พูดแล้วคนฟังรับได้ ต้องมีวิธีการในการพูด
มองตัวเองก่อนมองคนอื่น ทำงานเป็นทีม
ได้รับรู้การตัดสินใจ การแก้ไขปัญหา
การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ
การพัฒนาทางความคิด
แรงจูงใจในทางบวก และแรงจูงใจในทางลบ
ได้รับรู้ เรื่อง ทฤษฎี 4 L ชุมชนแห่งการเรียนรู้
4 L หมายถึง
วิธีการเรียน
บรรยากาศในการเรียน
ปะทะทางปัญญา
องค์กรแห่งการเรียนรู้
เราต้อง เรียนรู้ อยู่ในโลกนี้ และให้คนอื่นยอมรับ มีความคิด การเรียนรู้ มีพื้นฐาน และปรับใช้ ในชีวิตประจำวันได้ด้วย และต้องปรับอารมณ์ ให้ดีตลอด ไม่อารมณ์ร้อน ต้องเรียนรู้ อยู่ในสังคมให้ได้ เราต้องรู้จักอดทนในการกระทำ เราต้องเป็นคนดีด้วย ในการทำงานเราต้องมี 4 Q และมีทฤษฎีทุน 8 K s
หลังจากเดือนสุดท้าย ที่จะได้เจอ กับอาจารย์ และ จะไม่ได้เจอกับอาจารย์ อีก ดิฉันจะนำความรู้ที่ได้รับไปใช้ให้เป็นประโยชน์ให้มากที่สุด
เช่น การไหว้ การแต่งกายต้องให้สุภาพเรียบร้อย เป็นตัวอย่างที่ดี ให้คนในองค์กร เห็น และทำตาม การพูด ต้อไม่อารมณ์ร้อน ยิ้มให้เก่งขึ้น
และรู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา และจะเป็น ผู้นำที่ดี
เหมือนที่ อาจารย์สอนไว้ ขอขอบพระคุณมากค่ะ
มาเรียม เหลืองอร่าม
จากการได้ศึกษาผ่านมาแล้ว 9 ครั้งนั้น สิ่งที่ผมได้รับคือ ผมได้ทราบในหลาย ๆ เรื่องและสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างมากในทุก ๆ เรื่องที่อาจารย์นำมาสอน มาอบรม สามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน และในหน้าที่การงานอย่างเช่น การสื่อสาร การสร้างทีม การตัดสินใจ ความคิดเชิงบวก ความคิดเชิงสร้างสรรค์ แรงจูงใจ การพูดในที่ชุมชน IQ – EQ – AQ- MQ และทฤษฎีต่างๆ ที่อาจารย์นำมาสอนนั้น ถ้าเรารู้จักนำมาใช้แล้ว จะทำให้เราได้เห็นประโยชน์ในเรื่องต่างๆ หรือในแต่ละทฤษฎี ที่อาจารย์ได้นำมาสอนทั้ง 9 เดือนที่ผ่านมา ถ้าเรานำมาใช้แล้วก็จะเป็นประโยชน์ต่อตัวเรา และองค์กรของเราต่อไปได้ครับ และเมื่อได้ศึกษาแล้วทำให้ผมสามารถมองเห็นได้ว่า
- การเรียนนั้นต้องเรียนรู้ตลอดชีวิต
- มองเห็นความสุขและมองเห็นคุณค่าของตนเอง
- ได้รับทราบว่าทุกอย่างจะต้องเริ่มจากการพัฒนาตนเองก่อนที่เราจะไปพัฒนาสิ่งอื่นใด
- ความรู้ที่เรามีนั้นต้องเป็นความรู้ที่สด และสามารถนำไปสร้างมูลค่าเพิ่มได้
- การทำงานนั้นเราไม่ควรยึดติดกับอำนาจมากเกินไป
- ทำให้ผมได้มองเห็นความหวังดีที่บริษัท ฯ มีให้กับตัวผมและอีกหลายๆ คน
- ทำให้พวกเราภูมใจใน Indorama และทราบว่าตนเองมีศักดิ์ศรีที่ได้อยู่ในบริษัท ฯ ที่มีการพัฒนาในเรื่องต่างๆ
- ทำงานด้วยความสนุก สามารถสร้างพฤติกรรมของคน สามารถออกความคิดได้อย่างอิสระ
- ให้ความเคราพ ความคิดของคนไม่ปิดกั้นความคิดใดๆ ที่เกิดขึ้น และสนับสนุนความคิดเพื่อต่อยอดต่อไป
- ให้ความสุขกับทุกคนเพื่อให้เกิดความสามัคคี และให้เกิดการทำงานเป็นทีม
จากนี้ต่อไป สิ่งที่ผมคาดหวังและจะทำต่อไปก็คือ จะตั่งใจในเรื่องของการใฝ่รู้เพิ่มให้มากขึ้น โดยการหาความรู้จากสื่อต่างๆ อย่างเช่นในสื่อทาง www.chiraacademy.com ของอาจารย์ เพราะเป็นเหล่งที่รวบรวมความรู้เอาไว้อย่างมาก และใน Blog ต่างๆ ของอาจารย์นั้นเมื่อเราเข้าไปศึกษาแล้วนั้นเราสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ในหลายๆ เรื่อง ซึ่งถ้าจบหลักสูตรในการอบรมกับอาจารย์ในครั้งนี้แล้ว ผมก็คงต้องขอพบกับอาจารย์ผ่านทางสื่อ Blog ต่อไปครับ และในหน้าที่การงานที่ตนเองรับผิดชอบผมก็จะทำงานให้ดีที่สุดเพื่อเป็นการตอบแทนบริษัทฯ ที่ได้มีสิ่งดีๆ ในหลายๆ เรื่องให้กับตัวผม และจะช่วยพัฒนาองค์กรให้ก้าวหน้าต่อไปครับ
สวัสดีครับ
นายศรายุทธ ยิ้มอยู่
กราบเรียน อาจารย์ จิระ หงส์ระดารมย์
จากที่เรียนกับอาจารย์ ตั้งแต่เริ่มต้น
1.การมองภาพใหญ่ ต้องมองเห็นความสำคัญของงานที่ทำ มองภาพกว้างๆ ระดับประเทศ และระดับโลก รู้ทัน โลกาภิวัฒน์ เตรียมตัวรับสภาวะการเปลี่ยนแปลงของโลกตลอดเวลา ทำวิกฤตให้เป็นโอกาส
ภาวะผู้นำต้องเป็นผู้นำที่ดี มองการณ์ไกลพัฒนาคนด้วย เพราะทรัพยากรที่สำคัญทีสุดไม่ใช่เงิน สิ่งของ แต่เป็นคน
ทฤษฎีต่างๆที่น่าสนใจ เช่น
ทฤษฎี 4L การเรียนรู้ บรรยากาศการเรียนรู้ โอกาสการเรียนรู้ สร้างองค์กรแห่งการเรียนรู้
ทฤษฎีทุน ทุนมนุษย์ ทุนทางปัญญา ทุนทางจริยธรรม ทุนแห่งความสุข ทุนทางสังคม ทุนแห่งความยั่งยืน ทุนถาวร ทุนทางการเรียนรู้
ทฤษฎี 8H Heritage Head Home Happiness Hand Harmony Head Health
ทฤษฎี OBAMA Theory มีความหวัง แรงบันดาลใจ มีความตั้งใจ เอาชนะอุปสรรคให้ได้
ทฤษฎี Bono’s 6 thinking Hats
White hat คิดมีเหตุผล
Red hat คิดตามอารมณ์ ตามความรู้สึก
Black hat คิดอย่างระมัดระวัง คิดแบบอนุรักษ์นิยม
Yellow hat คิดเร็ว ไปข้างหน้า ชอบความเสี่ยง มองอะไรดีไปหมด
Green hat คิดสร้างสรรค์
Blue hat คือการมองทั้ง 5 hat แล้วนำมาวิเคราะห์
หลักในการทำงาน คิดเรื่องใหญ่ ทำเรื่องเล็ก ทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น สำรวจตัวเอง รู้จักตัวเอง ฝึกวินัยให้ตัวเอง อดทนอดกลั้น
กฎของ Peter Senge
รู้อะไรรู้ให้จริง
แบบอย่างทางความคิด
เห็นอนาคตร่วมกัน
เรียนเป็นทีม
คิดมีเหตุผล
2.หลังจากจบบทเรียนที่ผ่านมาแล้ว จะตั้งใจทำงานในหน้าที่ให้ดีที่สุด จะสนใจข่าว เตรียมรับสภาวะโลกาภิวัตน์ และจะติดตาม blog ขออาจารย์
กราบเรียน อาจารย์ จีระ หงส์ลดารมภ์ ดิฉันบุญช่วย จงรักษ์ ขอส่งการบ้านดั้งนี้
ตั้งแต่ได้เรียนกับอาจารย์์มาได้แนวคิดหลายๆ อย่างเช่น การเป็นผู้นำที่ดีต้องมี IQ และ EQ ต้องมีแนวคิดที่สร้างสรรค์์์ ต้องใฝ่รู้อยู่ตลอดเวลาเพื่อที่จะได้นำไปใช้และพัฒนาองค์กร ให้มีคุณภาพมากขึ้นไป ต้องมีทัศน์คติเปิดกว้างเพื่อรับการเรียนรู้ใหม่ๆ มีสื่อสารที่ดี สนใจเรียนรู้ต่อเนื่องรู้วิธีลดการขัดแย้งในองค์กร สร้างองค์กรให้เกิดกระแสของการเรียนรู้และหาความรู้อยู่ตลอดเวลา ได้เรียนรู้ถึงทฤษฎีี 4L ว่าถ้าเราเข้าใจวิธีการเรียนรู้ การสร้างบรรยายกาศในการเรียนรู้ การสร้างโอกาศในการเรียนรู้ และการสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้เป็นอย่างไร ถ้าเรานำ 4L มาใช้ในการทำงานจะทำให้คนเราออกมาดีและมีคุณภาพ หรือแม้กระทั้งการนำทฤษฎี 5K มาใช้ทำให้เราได้รู้ว่าทุนแห่งการสร้างสรรค์ ทุนทางความรู้ ทุนทางวัฒกรรม ทุนทางวัฒนธรรม และทุนทางอารมณ์ เราสามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้ทีเดียว รวมถึงการนำทฤษฎี 8K มาใช้ถ้าเรามีทุนมนุษย์ ทุนทางปัญญา ทุนทางจริยธรรม ทุนแห่งความสุข ทุนทางสังคม ทุนแห่งการยังยืน ทุนทางIT ทุนทางKnowledge skill และ Mindsct เราสามารถอยู่ในสังคมการทำงานได้อย่างมีความสุข การรู้รักสามัคคีก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้งานเราออกมาดีเช่นกัน คือรู้ จะทำอะไรต้องไปศึกษาให้รู้จริง รัก จะทำอะไรต้องสร้างฉันทะกับสิ่งนั้นๆ สามัคคี ทำอะไรก็ให้ทำงานเป็นทีม ร่วมมือร่วมใจกันทำให้มีประสิทธิภาพ
หลังจากที่ได้เรียนกับอาจารย์มา 9เดือนดิฉันได้รับความรู้หลายๆ เช่น การเป็นผู้นำที่ดีการใฝ่รู้อยู่ตลอดเวลาการนำความคิดสร้างสรรค์ไปพัฒนาองค์กร การรู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา การแต่งกายให้สุขภาพดูดีเหมาะแก่การเป็นผู้นำ รู้จักการตัดสินใจเด็ดขาดรู้จักรับฟังความคิดเห็นผู้อื่น และสุดท้ายนี้ดิฉันอยากนำทุกเรื่ิองที่เรียนมานำมาใช้ในชีวิตประจำวันและจะเป็นผู้นำที่ดีต่อไป
ขอขอบพระคุณค่ะ
บุญช่วย จงรักษ์
เรียนท่าน ศ.ดร. จีระ หงส์ลดารม ดิฉัน นาง สำลี ธูปหอม สมาชิกกลุ่ม K.P.D.ของ
บริษัท อินโดรามาขอตอบคำถามที่ท่านให้ไว้เมื่อวันที่ 18.เมษายน 2551 ดังนี้
1.9 เดือนเรียนแล้วได้อะไร
จากการเรียนมาทั้งหมด 9 เดือนดิฉันได้รับความรู้จากอาจารย์มามากพอสมควรอาจารย์
สอนให้มองภาพใหญ่อย่ามองอะไรแคบๆมองให้ถึงอนาคตในวันข้างหน้าว่าจะเกิดอะไร
ขึ้นถ้าเกิดมีปัญหาจะส่งผลกระทบมาถึงเรามากน้อยเพียงใดมีวิธีแก้ปัญหาอย่างไรจึงจะทำให้
เกิดผลกระทบกับเราน้อยที่สุดและการทำงานร่วมกันเป็นทีมสร้างความสามัคคีกันในองค์กร
ร่วมมือกันทำงานและช่วยกันแก้ใขปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นโดยการนำทฤษฎี 5K และ 4Q มาทำให้ เกิดประโยชน์ในการทำงานในองค์กรของเราให้มากที่สุดโดยทางผู้บริหารของเราได้เห็นความ
สำคัญของพวกเรามากขึ้นจึงจัดการเรียนคอมพิวเตอร์และสอนภาษาอังกฤษเพื่อเพิ่มความรู้ให้
กับพวกเราได้รู้มากกว่าเดิมและอีกเรื่องที่สำคัญคือการให้เกียรติผู้บังคับบัญชาและเพื่อนร่วมงาน
เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการทำงานให้สำเร็จร่วมกัน
2. จบแล้วอยากทำอะไรต่อ
จบการเรียนหลักสูตรนี้แล้วดิฉันจะนำความรู้ที่อาจารย์ได้ให้ไว้กลับมาพัฒนาตนเอง เพื่อน
ร่วมงานและองค์กรเพื่อที่จะได้เกิดประโยชน์ต่อไป.
กราบเรียน อาจารย์ ศ.ดร.จีระ และทีมงานทุกท่าน
ดิฉันนางบุญชู เทียนชัย ขอตอบการบ้านค่ะ
1.แสดงความคิดเห็น อ่านแล้วได้อะไร
คำตอบคือจากที่ได้อ่านในอินเตอร์เนตของอาจารย์ ท่านเป็นคนฉลาดมองการณ์ไกล พัฒนาหลายๆคนให้เป็นคนเก่งให้หลายๆคนอยากเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ ขนาดคุณพลเดช วรฉัตร ท่านเป็นถึงอัครราชฑูตที่ประเทศอินเดียยังอยากที่จะเรียนรู้และเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ เลยเข้ามาใน BLOG ของอาจารย์ คุณพลเดชเป็นคนเก่งและให้แนวความคิดใหม่ๆ ทางอินเตอร์เนตด้วย
2. 9 เดือนได้อะไร 2 เรื่องจบแล้วอยากทำอะไรต่อ
คำตอบคือ ได้ความรู้จากหนังสือทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้หนังสือเล่มนี้ทำให้หลายคนอ่านแล้วได้ความรู้หลายอย่าง หนึ่งในการเผยแพร่ความสำคัญของทรัพยากรมนุษย์ต่อสังคมสำคัญที่สุดมีความสามารถในการเรียนรู้ได้ตลอดชีวิต และเป็นทรัพย์สินที่มีค่ามากที่สุด ในการทำธุรกิจจึงต้องมีการพัฒนาคนให้มีประสิทธิภาพเกิดจากการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ การพูดคุยเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดการมองถึงผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียในธุรกิจนั้นๆ บทความที่อาจารย์เขียนสภาพการณ์ปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงทุกด้านอยู่ตลอดเวลาปัจจุบันเราต้องปรับตัวเองให้ทันกับสถานการณ์ต่างๆเช่น การช่วยกันประหยัดหันมาให้พลังงานทดแทนวัฒนธรรมการเรียนรู้ ซึ่งไม่ใช่แต่มีความรู้เพียงอย่างเดียวต้องมีหลักในการเรียนอย่างแรกคือ แนวความคิดของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวคือ รู้รักสามัคคี แนวความคิดมองเพื่อการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ จบแล้วอยากทำอะไรต่อ ค่ะดิฉันอยากเป็นผู้นำที่ดี สร้างทีมการทำงาน การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพต่อสังคม การตัดสินใจ สิ่งสำคัญจะทำงานให้กับบริษัทอินโดรามาให้ดีที่สุด
สวัสดี ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ กระผมนายวิชาญ สุริยะหิรัญ ขอแสดงความคิดแสดงเรื่อง เรียนมา 9 เดือนแล้วได้อะไร สิ่งที่ได้จากการเรียน คือ ได้รับรู้เกี่ยวกับการพัฒนาทรัพย์กรมนุษย์ จากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง และการสร้างวัฒธรรมการเรียนรู้ องค์กรแห่งการเรียนรู้แบบโต๊ะกลม ซึ่งสามารถพูดคุยแลกเปลี่ยน ความคิดซึ่งกันและกันซึ่งสามารถนำความรู้นั้นๆ ไปต่อยอดได้อีกมากมายและยังสามารถรับรู้การเปลี่ยนแปลงของโลกภายนอก เพื่อนำมาใช้ในการตัดสินใจที่มีความคิดที่เป็นระบบ สร้างสรรค์ ในการตัดสินใจแบบมีกระบวนการเพื่อที่จะได้เน้นผลในระยะยาว และสุดท้ายการที่จะได้มาซึ่งความรู้นั้น บุคคลนั้น ๆ จะต้องเป็นบุคคลที่หมั่นแสวงหาความรู้อยู่ตลอดเวลา
1. ใน 9 เดือนที่ผ่านมาได้อะไร (2 เรื่อง)
ตอบ 1.1 ผมได้รู้จักตัวเองมากขึ้น ว่าทิศทางเราจะเป็นอย่างไร ในการดำรงชีพ ในยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงหลายด้าน และในองค์กรที่เรารับผิดชอบอยู่เราต้องเปลี่ยนแปลงตัวเราก่อนจะไปเปลี่ยนแปลงในองค์กรของเราที่เราบังคับบัญชาอยู่
1.2 รู้จักการทำงานเป็นทีมมากขึ้น เมื่อก่อนส่วนใหญ่ผมจะทำงานคนเดียว งานจึงเดินไปได้ช้า พอผมได้มาเรียนรู้จากอาจารย์ และกลับมาปฏิบัติใหม่ งานต่างๆ จะใช้เวลาน้อยและเร็วขึ้น
2. หลังจากเดือนสุดท้ายอยากทำอะไรต่อ
ตอบ 2.1 จะทุ่มเททำงานให้แก่บริษัทและหน่วยงานที่เรารับผิดชอบ
2.2 ช่วยพัฒนาเพื่อนร่วมงานที่เข้ามาใหม่ให้มีประสิทธิภาพในการทำงานหน่วยงานนั้น
2.3 จะปรับปรุงตัวเองให้เป็นกลางมากที่สุด
2.4 จะนำความรู้ที่เรียนมากับอาจารย์มาพัฒนาในบริษัท และคิดไอเดียใหม่ๆมาใช้ในบริษัท
2.5 จะดูแลครอบครัวให้ดีที่สุดและสังคมที่เราจะสามารถช่วยได้ในวาระโอกาสต่างๆ ที่ทำได้
สุดท้ายนี้ผมขอให้อาจารย์มีอายุยืนและสุขภาพแข็งแรง เพื่อที่จะพัฒนาบุคลากรต่อไป
สวัสดีครับอาจารย์ ดร จีระ ที่เคารพ
ผมนายกิตติ แก้วพงษ์ ครั้งนี้ส่งการบ้านของอาจารย์ช้าไปหน่อย
ต้องขอโทษด้วยนะครับ...เพราะงานที่ในแผนกมีเยอะ และในช่วงนี้ไปใหนมาใหนก็ร้อน ช่วงเย็นๆฝนตกลมก็แรง ไปใหนมาใหนต้องระวัง อาจจะเป็นไข้หวัดได้ ทำให้เสียงานได้ ซึ้งหลังจากที่ได้เรียนกับอาจารย์มาทั้งหมด 9 ครั้งซึ้งได้รับประโยชน์มากมายและการสอนของอาจารย์ทุกครั้งซึ้งมีแนวการสอนที่ดีทำให้เขาใจง่าย มีการลง workshop บ่อยทำให้เกิดความเข้าใจ และมีการเรียนนอกสถานที่ด้วยแล้วซึ้งมองเห็นภาพไม่ต้องคิดมากก็เข้าใจแล้ว เหมือนสร้างบรรยากาศในการเรียนรู้ทำให้ในการเรียนไม่เครียดในการเรียน และซึ้งสรุปได้และสามารถนำมาปรับปรุงแก้ไขในระบบการทำงานขององค์กรและการใช้ในชีวิตประจำวันไม่ว่าจะเป็นชีวิตในครอบครัวคือการตัดสินใจที่เราจะทำอะไรในแต่ละครั้งต้องคิดให้ดีว่าสิ่งที่จะเกิดตามมาที่หลังเราสามารถรับมือกับกับมันได้มากน้อยแค่ใหนและมีผลกระทบกับครอบครัวและบุคคลใกล้เคียงหรือเปล่า ซึ้งในองค์กรของเรานั้นเมื่อนำมาประยุกต์ใช้ หรือปรับปรุงแก้ไขไปในทางที่ถูกต้องเหมาะสมเป็นขั้นเป็น
ตอน เหมือนมีหลักในการตัดสินใจว่าอะไรควรจะทำก่อนและหลัง ว่าสำคัญมากน้อยแค่ใหน เหมือนต้องมองโลกกว้าง ไม่ใช้มองอยู่แค่ภายในองค์กรของเราต้องดูด้วยว่าภายนอกเข้าพัฒนากันไปถึงใหนแล้วดูว่าเขาทำอย่างไรถึงประสบความสำเร็จมั่นศึกษาหาความรู้แล้วนำมาปรับปรุงแก้ไขให้ได้ผลดีต่อองค์กรมากที่สุดซึ้งการศึกษาหาความรู้นั้นเป็นประโยชน์อย่างยิ่งกับตัวเราและองค์กรซึ้งความรู้หรือการเรียนรู้นั้นไม่มีวันที่จะจบยิ่งเรียนรู้มากย่อมได้เปรียบเหมือนยิ่งทำมากเท่าใดก็มีประสบการณ์มากเท่านั้นย่อมแก้
ปัญหาต่างที่เกิดขึ้นได้ดีและรวดเร็วมีประสิทธิภาพด้วย.... และสุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณอาจารย์มากที่ให้ความรู้กับผม..ขอบคุณครับ
ณ บัดนี้ภารกิจที่อาจารย์ได้รับมอบหมายมาทำหน้าที่โค้ช (Coach)ให้แก่พนักงานของบริษัทอินโดรามา ซึ่งเป็นกลุ่มพนักงานระดับกลางที่จะพัฒนาให้เป็นผู้นำขององค์กรได้ในอนาคตของอาจารย์ใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว ซึ่งโครงการนี้ได้ทำต่อเนื่อง
ทุกเดือนตลอดระยะเวลา 1 ปี ก็ต้องขอขอบคุณคณะท่านผู้บริหารชาวอินโดรามา ทุกท่านที่ได้จัดทำโครงการ KPD และขอขอบพระคุณอาจารย์ที่ท่านได้สละเวลาอันมีค่ามาแนะนำประสบการณ์และความรู้แก่พวกเรา เพื่อพัฒนาศักยภาพ เพิ่มประสิทธิภาพ และความสามารถของพวกเราให้เพิ่มพูนขึ้นโดยการกระตุ้นให้เกิดแรงจูงใจในการที่จะนำความรู้และประสบการณ์ของอาจารย์มาเป็นแนวทางในการพัฒนาตัวเอง และองค์กรให้ดียิ่ง ขึ้นไปจากการสังเกตุของดิฉันสำหรับตัวเองและเพื่อนร่วมงานได้เห็นการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้นมาก นับเป็นนิมิตหมายที่ดีในการนำพาอินโดรามาไปสู่บริษัทชั้นนำในสากล
จากการที่ได้เข้าอบรมกับอาจารย์และทีมงานใน TOPIC ทั้ง 10 หัวข้อ นับว่ามีประโยชน์มาก หากทุกคนที่เรียนรู้สามารถนำมาปฏิบัติอย่างจริงจัง และจริงใจและต้องกระทำอย่างต่อเนื่องด้วยเพื่อให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุดทั้งตนเองครอบครัวและ
องค์กร สำหรับหัวข้อต่าง ๆ ตามที่ได้เข้ารับการอบรมนั้นตามที่ดิฉันเข้าใจ พอจะสรุปได้ดังนี้
- Leadership Development การพัฒนาความเป็นผู้นำ มีรูปแบบหลายๆ อย่าง ไม่จำเป็นต้องเป็นแบบเดียว สามารถศึกษาดูได้ตามสถานการณ์ต่างๆ ที่เปลี่ยนไป ภาวะผู้นำ จำเป็นทุกๆ ระดับ ไม่ใช่เน้นเฉพาะหัวหน้าเท่านั้น ลูกน้องก็จะต้องถูกสร้างให้มีภาวะผู้นำด้วยมีความอยากเป็นผู้นำ และเห็นว่าจำเป็นจะต้องมีเพื่อ บรรลุเป้าหมายให้ได้การพัฒนาภาวะผู้นำของหัวหน้างานถ้าจะให้ได้ผลจริง ๆ จะต้องมีการทำ Workshop ปรับทัศนคติและแนวทางปฏิบัติ เพื่อให้เกิดแนวคิดและปัญญา และปรับปรุงตนเองให้อยู่ในจุดที่สมดุล ไม่ยึดติดกับแนวคิดและวิธีการเก่า ๆ เพราะความสำเร็จในอดีต มันอาจจะไม่ใช่เป็นสิ่งที่ถูกต้องสำหรับอนาคต แม้จะอ่านมามากแค่ไหน แต่ก็ไม่มีอะไรดีกว่าที่ได้ลองลงมือปฏิบัติจริง
- Team Building การรวมตัวกันของสมาชิกทีม การระดมความคิดเพื่อทำให้ทีมดำเนินไปในทิศทางเดียวกัน การกำหนดทิศทางเป้าหมาย บรรทัดฐานของทีม การปฏิบัติงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ
- Effective Communication การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ การสื่อสารมีความจำเป็นมากในการทำงานและพบปะผู้คน ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารระหว่างบุคคลในครอบครัว องค์กรต่อองค์กร หรือระดับบนสู่ระดับล่าง ฉะนั้นการสื่อสารต้องตรงประเด็น ชัดเจน รวดเร็วและฉับไว ตรงไปตรงมาและที่สำคัญต้องถูกต้อง ต้องนำเสนอให้ได้รู้ว่าเราต้องการจะสื่อสารเรื่องอะไร ต้องรู้จักวิธีการใช้ในการสื่อสารเพื่อให้ประสบความสำเร็จในการสื่อสาร
- Problem Solving & Decision Making กระบวนการเลือกทางเลือกใดทางเลือกหนึ่ง จากหลาย ๆ ทางเลือกที่ได้พิจารณาหรือประเมินอย่างดีแล้วว่าเป็นทางให้บรรลุวัตถุประสงค์ และเป้าหมายขององค์การ การตัดสินใจเป็นสิ่งสำคัญและเกี่ยวข้องกับหน้าที่การบริหารหรือการจัดการเกือบทุกขั้นตอน ไม่ว่าจะเป็นการวางแผน การจัดองค์การ การจัดคนเข้าทำงาน การประสานงาน และการควบคุมขบวนการในการเลือก ทางเลือกในการปฏิบัติ เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่วางไว้มากที่สุด ภายในองค์กรต่างก็ต้องเผชิญปัญหาต่างๆ มากมาย ในการแก้ปัญหาเหล่านั้นต้องคำนึงถึงความเป็นไปได้ และตัวแปรต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งในการแก้ปัญหานั้นอาจมีวิธีที่เป็นไปได้หลายทาง การตัดสินใจ เป็นการนำหลักเกณฑ์หรือเครื่องมือต่าง ๆ เข้ามาช่วยในการการตัดสินใจเพื่อทำให้ ผู้ตัดสินใจมีโอกาสผิดพลาดน้อยลงหรือการตัดสินใจได้ถูกต้องมากขึ้น
- Learning Organization องค์กรแห่งการเรียนรู้เป็นองค์กรที่มุ่งเน้นการระตุ้นเร่งเร้า จูงใจให้สมาชิกทุกคนมีความกระตือรืนร้นที่จะเรียนรู้และพัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลา เพื่อขยายศักยภาพของตนเองและขององค์กรไปพร้อมกัน เป็นองค์กรที่มีการสร้างช่องทางให้เกิดการถ่ายทอดความรู้ซึ่งกันและกันภายในระหว่างบุคลากร ควบคู่ไปกับการรับความรู้จากภายนอก เป้าประสงค์สำคัญ คือ เอื้อให้เกิดโอกาสในการหาแนวปฏิบัติที่ดีที่สุด เพื่อนำไปสู่การพัฒนาและสร้างเป็นฐานความรู้ที่เข้มแข็ง ขององค์กรเพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลกที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา
- Cresitive Thinking (Creative + Positive Thinking) การคิดเชิงบวกในเชิงสร้างสรรค์ จะเป็นแรงผลักดันทั้งภายในและภายนอกในการทำสิ่งใดๆ ให้ประสบความสำเร็จ คนเราถ้ามีทัศนคติเชิงบวกมากเท่าไร ก็สามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้รวดเร็วเท่านั้น ทัศนคติเชิงบวกจะนำทำให้เรานับถือตัวเอง ทำให้เรามองโลกในแง่ดี มีความคิดที่จะมุ่งสู่ทิศทางที่ต้องการได้ วิธีการสร้างทัศนคติเชิงบวกเราต้องเริ่มที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ กล้าที่จะเปลี่ยนแปลงและปรับปรุงตัวเเอง ทำให้ใจต้อนรับสิ่งที่จะเกิดขึ้น ต้องพยายามทำวันนี้ให้ดีที่สุด พบปะผู้คน พูดคุยซักถามแลกเปลี่ยนความรู้ หมั่นตรวจสุขภาพทั้งกายและใจให้ดีสม่ำเสมอ แล้วความคิดของเราก็จะเปลี่ยนแปลงไปในเชิงบวกมากขึ้น
- Motivation การสร้างแรงจูงใจ คือ การนำเอาอิทธิพลของพลังที่มีอยู่ในตัวบุคคลที่จะแสดงพฤติกรรมออกมาเพื่อให้บรรลุตามความต้องการของตนเอง พลังที่มีอยู่ในตัวคนเหล่านี้เกิดจากการยั่วยุ และสิ่งล่อใจต่างๆ ทำให้เกิดพลังของความต้องการ แรงจูงใจนั้นเป็นปัจจัยที่สำคัญในการที่จะทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพสูงขึ้น คนงานที่ได้รับการจูงใจมากก็จะค้นหาวิธีการที่จะเพิ่มทักษะ และพยายามที่จะทำงานโดยใช้ทักษะให้เป็นประโยชน์มากที่สุดบุคคลจะทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและทำได้นานต้องอาศัยสิ่งจูงใจคือสิ่งจูงใจที่เป็นวัตถุ ค่าตอบแทน เงินเดือน หรือสิ่งของ สิ่งจูงในที่เป็นโอกาส เช่น โอกาสได้ตำแหน่งสูงขึ้น มีชื่อเสียงเกียรติยศ และอำนาจสิ่งจูงใจที่เป็นสภาพของการทำงานซึ่งอาศัยวัตถุเช่นมีสภาพห้องทำงานสะดวกสบาย การบำรุงขวัญให้เกิดความ
รู้สึกว่าตนมีส่วนร่วมทำให้หน่วยงานมีชื่อเสียง
- Personality Development and Social skills การที่คนเราจะมีคลิกภาพดีนั้น มิใช่การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเพียง ภายนอกด้วยการแต่งกาย หรือพฤติกรรมที่แสดงออกเท่านั้น หากจำเป็นต้องมีการปรับปรุงหรือพัฒนาบุคลิกภาพภายในเสียก่อนเป็นเบื้องต้น จึงจะทำให้ การพัฒนาบุคลิกภาพภายนอกประสบความสำเร็จได้ การสร้างความเชื่อมั่นในตนเอง ความกระตือรือร้น ความรอบร ู้ ความคิดริเริ่ม ความจริงใจ ความรู้กาละเทศะปฏิภาณไหวพริบความรับผิดชอบ ความจำ อารมณ์ขัน ความมีคุณธรรมมั่นใจในตัวเองทุกๆ ด้าน ส่วนการพัฒนาบุคคลิกภาพภายนอก เช่น รูปร่างหน้าตา การแต่งกาย การปรากฎตัว กริยาท่าทางการสบสายตา การใช้น้ำเสียง
การใช้ถ้อยคำภาษา มีศิลปการพูด ความกล้าหาญ
- IQ - EQ - AQ – MQ การพัฒนาการทางด้านสติปัญญา การจัดการทางอารมณ์ การควบคุมอารมณ์ได้ดี สามารถเอาชนะอุปสรรคต่าง ๆ ได้ การมีคุณธรรม จริยธรรมในจิตใจ คนที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตทั้งทางด้าน ครอบครัว และด้านการทำงานจำเป็นต้องอาศัย คิวทั้ง 4 มาเป็นแนวทางประกอบในการใช้ชีวิตให้มีความสุข
และสำหรั บจากนี้ไป ทุก ๆคน ก็คงต้องดำเนินชีวิตไปตามวิถีทางของตัวเอง และก็คาดว่าทุกคนคงได้แนวทาง ในการดำเนินชีวิตจากการเข้าอบรมในครั้งนี้นำไปปรับปรุงเปลี่ยนแปลงการดำเนินชีวิตตามแนวทางพระราชดำริของในหลวง คือการดำเนินชีวิตด้วยเศรษฐกิจพอเพียง อยู่อย่างประหยัด พยายามกินใช้ตามกำลังและไม่ก่อหนี้ ลดการดิ้นรน เพื่อให้ได้มาซึ่งสนองความต้องการด้านวัตถุ พยายามอยู่กับตัวเองและครอบครัวให้มากขึ้น ต้องพยายามมองทุกเรื่องให้เป็นธรรมชาติปกติ เพราะทุกวันนี้มีการเปลี่ยนแปลงทั้งทางด้านการเมือง สังคม วัฒนธรรม เศรษฐกิจอย่างมากมาย หากเราทำใจให้รับสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ เราก็คงจะอยู่กับความทุกข์ในจิตใจตลอดไป
ท้ายสุดคงต้องขอบคุณอาจารย์อีกครั้งที่นำสิ่งดี ๆ มาสู่พวกเราชาวอินโดรามาทุกท่าน
ขอบคุณและสวัสดีค่ะ
ยุพาพรรณ แสวงทอง